บทที่ 42 เหตุผล
หยุนลาวหรือหยุนจงฉี อยู่รับใช้บ้านตระกูลลู่มากว่ายี่สิบปีแล้ว หลังจำความได้ ลู่เฉินก็ได้เรียนรู้จากหยุนลาวในด้านต่างๆ เช่นการดูแลสุขภาพ หมากรุก ชงชา และการป้องกันตัวเป็นต้น
ลู่เฉินเคยเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ แต่กลับถูกปฏิเสธ
ทั้งสองเป็นเหมือนเพื่อนและอาจารย์กับศิษย์
เมื่อเห็นหยุนลาว ความกังวลใจเมื่อครู่ของลู่เฉินก็ลดลงไปไม่น้อย
“ผมรู้ดีว่าคุณจะต้องกลับมาในไม่ช้านี้” หยุนลาวพูดขึ้น
“หยุนลาวครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คุณพ่อไปไหน ทำไมท่านถึงตัดสินใจเช่นนี้?” ลู่เฉินถามออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม
“คุณท่านไปที่ไหน ไม่ใช่เหตุที่คุณชายจะรับรู้ในตอนนี้ ส่วนเรื่องเหตุผลก็เพื่อปกป้องคุณชาย” หยุนลาวพูด
“ปกป้องผม?” ลู่เฉินไม่เข้าใจ
“คุณชายรู้ไหมว่าเหตุใดคุณท่านถึงเดินทางมาที่เมืองหลวงเพียงลำพัง และตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่ไหมครับ?”
ลู่เฉินส่ายหัว เมื่อตอนยังเด็กตัวเขาเองไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อหนีออกจากบ้านไปครั้งนั้นและต้องการสร้างครอบครัวก่อตั้งธุรกิจของตัวเองแล้ว เขานับถือความสามารถของพ่อเขาจริงๆ
จากที่เขารู้ เมื่อสามสิบปีก่อนพ่อของเขาเดินทางมายังเมืองหลวงเพียงคนเดียว ภายในระยะเวลายี่สิบกว่าปีเขาสามารถก่อตั้งตระกูลลู่ที่มีอิทธิพลมั่งคั่งติดอันดับหนึ่งในห้าของเมืองหลวงนี้ได้
เพียงแต่พ่อเขาเป็นผู้สืบทอดตระกูลแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีพี่น้องหรือญาติคนอื่นๆเลยแม้แต่คนเดียว ทำให้ตระกูลลู่นั้นดูโดดเดี่ยว
พูดได้ว่าในสายตาตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ตระกูลลู่ถือว่าเป็นตระกูลที่ไม่ใช่ตระกูลที่แท้จริง
“เพราะว่าคุณท่านเป็นผู้สืบทอดตระกูลสายตรงแต่เพียงผู้เดียว จากเดิมคุณท่านเป็นทายาทสูงสุดของตระกูล แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขาสละสิทธิ์นี้และหนีออกจากบ้านมา ด้วยความสามารถของคุณท่านแม้ว่าจะออกจากบ้านมาด้วยตัวเปล่าก็สามารถก่อร่ดางสร้างตัวได้โดยง่ายๆ” หยุนลาวกล่าวขึ้น
“ตระกูลลู่?ผมไม่เคยได้ยินว่าเรามีตระกูลที่แข็งแกร่งเช่นนั้นมาก่อนเลย? คุณปู่เป็นคนก่อตั้งมาอย่างนั้นหรือ?”ลู่เฉินถามด้วยความสงสัย
“ตระกูลลู่ที่แท้จริงนั้นเป็นตระกูลที่ลึกลับ ไม่ใช่คุณปู่แต่เป็นคุณปู่ของคุณปู่ที่ก่อตั้งขึ้นมา” หยุนลาวส่ายหัว
“นี่มัน……” ลู่เฉินตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น เขาคิดมาตลอดว่าคุณปู่นั้นเสียไปแล้วตระกูลลู่นั้นมีเพียงพ่อและเขาแค่สองคน คิดไม่ถึงว่าพ่อของเขาก็มาจากตระกูลลู่
“ถ้าอย่างนั้น ตระกูลลู่ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน?” ลู่เฉินถาม
“เรื่องพวกนั้นคุณชายยังไม่ต้องใส่ใจ ตอนนี้ที่ดีก็ไม่ควรไปสืบหาข้อมูล รู้เพียงแค่ว่าแม้เป็นครอบครัว Rothschild หากอยู่ต่อหน้าตระกูลลู่ก็ต้องให้ความเคารพยำเกรง” หยุนลาวกล่าวตอบ
ตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่าง Rothschild เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลลู่ยังต้องให้ความเคารพนับถือ?
ลู่เฉินอ้าปากค้าง ตระกูลลู่เก่งกาจขนาดนี้เชียวหรือ?
“ถ้าอย่างนั้นพ่อผมคงกลับบ้านตระกูลลู่ไปแล้วใช่ไหม?” ลู่เฉินถามกลับเมื่อดึงสติกลับมาได้
“อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ คุณท่านเดินทางไปที่ไหนผมเองก็ไม่รู้ แต่ต้องเกี่ยวข้องกับแม่ใหญ่ของคุณชายแน่นอน” หยุนลาวส่ายหัว
“เสี่ยวเบชิง?” ลู่เฉินตกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อของเธออีกครั้ง ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเกลียดแค้น
แม่ของเขาถูกผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวเบชิงบงการให้คนขับรถชนจนเสียชีวิต
แค้นนี้เขาต้องแก้แค้นให้ได้
แม้พ่อของเขาจะขัดขวางก็ตาม!
“เมื่อสมัยก่อนคุณท่านจะหนีออกจากบ้านมาท่านได้ถูกบังคับให้แต่งงาน และถูกแม่ใหญ่ของคุณชายบีบบังคับจนต้องหนีออกมา ผมขอพูดความจริงว่าอุบัติเหตุรถชนในครั้งนั้นแม่ใหญ่ของคุณชายเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ที่จริงเธอต้องการให้คุณชายตายไปด้วย แต่คุณหญิงท่านไหวตัวทันจึงได้ช่วยคุณชายไว้” หยุนลาวกล่าว
ลู่เฉินไม่ได้พูดอะไรเนื่องจากเขารู้เรื่องนี้มานานแล้ว เขากำกำปั้นทั้งสองไว้แน่น ดวงตาอาฆาตพร้อมปลิดชีพใครบางคน
“ผมคิดว่านี่คือเหตุผลที่คุณท่านยุบตัวอุตสาหกรรมของตระกูลลู่และไม่ต้องการให้คุณชายกลับมาเมืองหลวงอีก อีกอย่างในเมืองหยูโจวมีไม่กี่คนที่รู้ว่าคุณชายอยู่ที่นั่น เพียงแค่คุณชายไม่ทำตัวโดดเด่นมากนักในที่นั้น คงไม่มีใครหาคุณชายพบ อ้ออีกอย่าง หลังจากที่คุณชายหนีออกจากบ้านไป คุณท่านได้สร้างสถานการณ์ว่าคุณชายเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นหากคุณชายไม่ปรากฏตัว ทุกคนคงเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ” หยุนลาวพูด
ลู่เฉินกัดฟันแน่นพูดแกมถามว่า “หยุนลาว หากตอนนี้ผมอยากแก้แค้นให้แม่ มีความเป็นไปได้สูงไหม?”
“เป็นไปไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แม่ใหญ่ของคุณมาจากตระกูลที่แข็งแกร่งเช่นกัน คุณชายเพียงแค่ปรากฏตัวยังไม่ทันได้มีโอกาสหาพวกเขาพบ เกรงว่าจะเป็นศพเสียก่อน” หยุนลาวส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง
“แต่ว่าผมจะไม่หยุดแค่นี้แน่!” นึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นแม่ของเขาสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเขาไว้จึงได้ถูกรถทับจนร่างกายแหลกเหลว เปลวไฟแห่งความเกลียดชังในใจของลู่เฉินก็ลุกโชนขึ้น
ในตอนนั้นเขาเอาแต่โทษพ่อที่ไม่ไปรับเขา จึงทำให้แม่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
“คุณชายต้องการแก้แค้นก็ต้องใช้ความสามารถของตัวเอง เนื่องจากตระกูลลู่ไม่สนับสนุนคุณชายแน่นอน อีกอย่างคุณชายจะมีโอกาสกลับไปยังบ้านตระกูลลู่นับญาติกับพวกเขาหรือไม่นั้นก็ยังเป็นปัญหา” หยุนลาวกล่าว
ลู่เฉินกำหมัดทั้งสองด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง
จะถูกพวกเขาปฏิเสธการนับญาตินั้นเขาไม่สนใจ ที่ผ่านมายี่สิบกว่าปีนี้เขาก็ไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าจะมีตระกูลลู่นี้อยู่
เขาเพียงต้องการแก้แค้นให้แม่เท่านั้น
“ดังนั้นผมว่าคุณชายลู่กลับไปหยูโจวเถอะครับ และไม่ต้องมาที่เมืองหลวงนี้อีก และไม่ต้องคิดเรื่องการแก้แค้น นอกเสียจาก……” หยุนลาวส่ายหัวไม่พูดอะไรต่อจากนั้น
“นอกจากอะไรครับ?” ลู่เฉินจ้องมองหยุนลาว
“นอกเสียจากคุณชายจะได้เป็นผู้นำสูงสุดของบ้านตระกูลลู่ หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นตัวเลือกผู้นำรุ่นต่อไปที่มีความแข็งแกร่งที่สุด มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้เลย ตระกูลลู่ในตอนนี้คาดว่าคงไม่ยอมรับคุณชาย ถึงแม้พวกเขาจะยอมรับก็ยังมีบรรดาพี่น้องอีกมากมาย พวกเขาล้วนเป็นผู้มีความสามารถที่สูงส่ง คุณชายแทบไม่มีโอกาสใดๆเลย” หยุนลาวพูด
“กลับไปเถอะครับและไม่ต้องมาที่นี่อีก สำหรับที่นี่คุณชายได้ตายไปแล้ว หากมีคนมาพบเข้าข่าวคราวแพร่กระจายไป เรื่องที่คุณชายมีชีวิตอยู่อาจไปถึงหูของแม่ใหญ่ได้” หยุนลาวพูดอีกครั้ง
ลู่เฉินรู้สึกน้อยใจมากในตอนนี้ เขาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยแบบนี้มาก่อน
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” ลู่เฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเอ่ยลาหยุนลาว
หลังเดินทางออกมาจากบ้านแล้ว ลู่เฉินได้ซื้อดอกไม้และผลไม้นั่งรถมายังสุสาน
เขาคุกเข่าต่อหน้าหลุมศพของแม่ มือลูบคลำที่ป้ายหน้าหลุมศพแล้วดวงตาก็เริ่มแดงขึ้น
“แม่ครับ ผมขอโทษที่ก่อนหน้านี้โกรธพ่อเรื่องการจากไปของแม่ จึงไม่ได้เดินทางมาที่นี่อีก ผมมันลูกอกตัญญู……”
“แม่ครับ ผมแต่งงานแล้วนะ มีลูกสาวน่ารักๆหนึ่งคน ครั้งหน้าผมจะพาพวกเธอมาหาแม่นะครับ ถ้ายังอยู่คงชอบพวกเขามากแน่ๆ”
“แม่ครับ แม้ว่าหยุนลาวจะบอกว่าแม่ใหญ่แข็งแกร่งมาก ตระกูลของเธอก็เช่นกัน ถึงขนาดพ่อยอมยุบตัวตระกูลลู่แล้วจากไป ก็เพราะเธอ
แต่ไม่ว่าเธอจะเก่งแค่ไหน ถึงแม้ต้องแลกด้วยชีวิต สักวันผมจะต้องล้างแค้นนี้ให้ได้!
ผมจะไม่ให้แม่ต้องทนอยู่ในความแค้นครั้งนี้แน่นอน!”
“แม่ครับ ผมต้องไปแล้ว หยุนลาวบอกว่าหากผมอยู่ที่เมืองหลวงต่อไปอันตราย ตอนนี้ผมเองก็อ่อนแอเกินกว่าจะเผชิญสู้ได้ รอสักวันที่ผมแข็งแกร่งพอผมสัญญาว่าจะแก้แค้นให้แม่ก่อนอันดับแรก”
ลู่เฉินคารวะหน้าหลุมศพอยู่สามครั้งก่อนปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นหันหลังกลับไป
เมื่อเขาหันหลังมาก็พบหญิงสาวคนหนึ่งอายุราวยี่สิบปียืนมองเขาอยู่จากด้านหลัง