บทที่ 67 คุณล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน
ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหัวหน้าของหลี่เหวินกวงชื่อว่า จั่วซือเฉิง
“คุณลู่ มาทานข้าวที่นี่เหมือนกันเหรอครับ” จั่วซือเฉิงให้การทักทายอย่างกระตือรือร้น
เมื่อสองวันก่อนแม้ว่าลู่เฉินเคยเชิญเขาไปร่วมรับประทานอาหาร แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร
ชายหนุ่มที่มองจากภายนอกแสนธรรมดาคนนี้ แท้จริงแล้วเป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉีผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งแม้แต่เจ้านายสูงสุดของเขาเองยังต้องให้ความเคารพ อีกทั้งกำชับกับพนักงานทุกคนว่า ต้องให้ความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉีทุกประการ ซึ่งกฎเกณฑ์ในการดำเนินงานเช่นนี้ เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาทำงาน
แน่นอนว่าทุกคนเข้าใจในกฎเกณฑ์นี้ดี
เพียงดูจากงบประมาณการลงทุนของบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉีแล้ว ก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่ามีขอบเขตกว้างขวางกว่ากลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ย
ก่อนหน้านี้ ในหนึ่งปีกลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยจ่ายค่าภาษีกว่า 4 หมื่นล้าน ซึ่งถือว่าครอบครองหยูโจวได้ทั้งเมือง หากในอนาคตบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉีดำเนินขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ทุกคนแค่จินตนาการก็สามารถรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉี
“ใช่ครับ คุณพึ่งมาทานข้าวตอนนี้เหรอ?” ลู่เฉินพยักหน้าแล้วยิ้ม
“พอดีก่อนหน้านี้มีธุระต้องจัดการนิดหน่อย เลยทำให้มาสายครับ” ” จั่วซือเฉิงยิ้มตอบ
“เข้าใจครับ ทุกคนมีธุระที่ต้องจัดการ ผมคิดว่าเพื่อนของคุณก็คงจะเข้าใจดี” ลู่เฉินมองมาที่ หลินอี้จุนและอู๋เล่ย เป็นความหมายว่าให้พวกเขาออกเดินทางไปก่อน
หลินอี้จุนและอู๋เล่ยเมื่อเห็นลู่เฉินรู้จักกับหัวหน้าสำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ พวกเขาก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
อู๋เล่ยนั้นยังพอเข้าใจได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ลู่เฉินบอกตนว่ากำลังจะเปิดร้านค้า การที่รู้จักเขาก็เป็นเรื่องปกติ
แต่สำหรับหลินอี้จุนนั้นไม่ใช่ ตอนนี้หัวใจเธอเต้นแรงมาก
เมื่อวานนี้เธอยังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลู่เฉินและหลี่เหวินกวงคืนดีกัน และหวังว่าลู่เฉินจะได้มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวอีกครั้งหนึ่ง จากความช่วยเหลือจากหลี่เหวินกวง ถึงแม้หลี่เหวินกวงจะช่วยไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม
เธอคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะสนิทสนมกับหัวหน้าของหลี่เหวินกวงมากขนาดนี้
ในสมองของเธอนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอจึงเข้าใจแล้วว่าเรื่องเมื่อวานและวันนี้ เหตุใดลู่เฉินถึงไม่ให้เกียรติหลี่เหวินกวง
เพียงแต่ลู่เฉินรู้จักกับหัวหน้าจั่วได้อย่างไร เธอเองเริ่มเกิดความสงสัย
นี่คือบุคคลใหญ่โตคนที่สามที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ลู่เฉินจะรู้จัก ในสายตาเธอ
ลู่เฉินหนอลู่เฉิน สามีของฉัน คุณปิดบังเรื่องอะไรกับฉันไว้กันเท่าไหร่กัน
“พวกคุณไปรอที่รถก่อนนะ ผมขอคุยกับหัวหน้าจั่วสักสองสามคำ” เมื่อเห็นทั้งสองไม่มีการตอบสนองใดๆ ลู่เฉินจึงพูดออกมา
“อ้อ ได้เลย” อู๋เล่ยตอบแล้วเดินไปที่รถ
หลินี้จุนเก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วเดินไปที่รถ
เมื่อทั้งสองเดินจากไปลู่เฉินจึงหันมาที่จั่วซือเฉิงพูดว่า “ หัวหน้าจั่วครับ ผมไม่ต้องการให้หลี่เหวินกวงเข้ามามีส่วนร่วมเกี่ยวกับ เทคโนโลยีอี้ฉี ”
จั่วซือเฉิงถึงกับผงะ เนื่องจากหลี่เหวินกวงเป็นหลานชายของรองสำนักหลี่เจี้ยนอาน อีกอย่าง เทคโนโลยีอี้ฉี เป็นโครงการที่ใหญ่มาก ทุกคนล้วนอยากเข้ามามีส่วนร่วม
หลี่เจี้ยนอานเองก็พยายามแนะนำหลี่เหวินกวงเข้ามาร่วมโครงการนี้
พูดได้ว่าหากหลี่เหวินกวงเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการของ เทคโนโลยีอี้ฉี นั้น ผ่านไปอีกสองสามปี เขาจะมีความก้าวหน้าอย่างแน่นอน
“ครับ คำแนะนำของคุณลู่ ผมจะนำไปพิจารณาอย่างแน่นอน” จั่วซือเฉิงพยักหน้าตอบรับ แม้เขาจะพูดไปเช่นนั้นแต่ในความจริงแล้วเขาคงไม่ต้องนำไปพิจารณา หากแต่ตัดรายชื่อของหลี่เหวินกวงทิ้งในทันที
“ครับ อย่างนั้นผม ไม่รบกวนเวลาหัวหน้าจั่วในการกินข้าวแล้ว” ลู่เฉินพยักหน้าแล้วเดินไปที่รถของเขา
เนื่องจากถูกลู่เฉินและอู๋เล่ยรบกวนสมาธิของเขา หลี่เหวินกวงเองก็ไม่มีกะจิตกะใจอยากจะอยู่ร่วมงานต่อไป จึงได้เอ่ยอำลาทุกคนแล้วเดินออกมาเช่นกัน
เมื่อคนอื่นเห็นดังนั้นก็ไม่มีใครกล้ากินต่อไป ในใจพวกเขาแอบด่าทอทั้งสองและเดินออกมาเช่นกัน
ส่วนภาพที่ลู่เฉินและจั่วซือเฉิงสนทนากันเมื่อครู่ บรรดาเพื่อนๆทุกคนได้เห็นเต็มตา
เมื่อเห็นลู่เฉินและจั่วซือเฉิงคุยกันอย่างสนุกสนานคล้ายกับเพื่อนเก่านั้น ทุกคนก็อ้าปากค้าง
นี่เป็นไอ้กระจอกที่พวกเขาเพิ่งหัวเราะเยาะเมื่อสักครู่งั้นหรือ?
นี่เป็นไอ้กระจอกที่ไม่มีทางไปเมื่อสักครู่จริงๆหรือ?
ทุกคนล้วนตกอยู่ในความงุนงง
เมื่อสักครู่ที่พวกเขาหัวเราะเยาะเย้ยลู่เฉิน บอกว่าเขาปฏิบัติตนในสังคมไม่เป็น อีกครั้งไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพียงแค่พริบตาเดียว เขาได้พูดจาดูสนิทสนมกับหัวหน้าสูงสุดของหลี่เหวินกวง
ฉากเมื่อสักครู่ทำให้หลี่เหวินกวงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
เนื่องจากเขารู้จักจั่วซือเฉิงดีที่สุดมากกว่าใครในที่นี้
แววตาที่จั่วซือเฉิงมองไปยังลู่เฉินนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการประจบประแจงเขา
แต่เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าเหตุใดจั่วซือเฉิงถึงต้องไปเอาอกเอาใจลู่เฉิน
ลู่เฉินเป็นใครกันแน่ จึงทำให้จั่วซือเฉิงเคารพและหวาดกลัวเช่นนั้น?
“พระเจ้า พวกเธอเห็นนั่นไหมลู่เฉินและหลินอี้จุน สองสามีภรรยานั่นขับรถ A6 คนละคัน รถ Audi รุ่นใหม่คันละห้าแสนกว่านะ”
“นั่นสิสองคันก็ปาเข้าไปเป็นล้านแล้ว พวกเราในที่นี้มีใครสักกี่คนที่จะหยิบเงินจำนวนมากขนาดนี้มาซื้อรถได้กัน อีกอย่างขับคนละคันด้วยนะ”
“ก่อนหน้านี้ใครนะบอกว่าหลินอี้จุนเป็นแค่พนักงานขายธรรมดาทั่วไป ใครนะบอกว่าลู่เฉินเป็นแค่ยามคนหนึ่ง ไหนก้าวออกมาซิพ่อจะต่อยให้ ใครเคยเห็นพนักงานขายของกับรปภ.ขับรถ A6 คันละห้าแสนไหม”
หูหมินเพื่อนของหลินอี้จุน มองดูสองสามีภรรยาขับรถคนละคันจากไปในใจเธอขมขื่นยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้เธอพูดต่อหน้าหลินอี้จุนหลายต่อหลายครั้งว่าลู่เฉินไม่ดีอย่างไร ตอนนี้อยู่ๆเธอรู้สึกว่าเธอเองนั้นกลับกลายเป็นคนธรรมดาที่แสนจะธรรมดา
หยูลี่จ้องมองไปที่ A6 ทั้งสอง คันนั้นที่เพิ่งขับออกไป สีหน้าเธอเคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนหน้านี้เธอยังเอาเรื่องที่จะหางานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับลู่เฉินมาเยาะเย้ยเขา เธอคิดจริงๆว่าลู่เฉินต้องการไหว้วานแฟนของเธอให้หางานให้แต่ไม่คิดว่าลู่เฉินจะแกล้งเธอเล่นเท่านั้น
คนที่มีปัญญาขับ Audi A6 เขาจะต้องการให้คนอื่นหางานให้เชียวเหรอ?
แม้แต่หัวหน้ายามรักษาความปลอดภัยก็ยังไม่มีปัญญาขับ A6 หรอก
ในฉับพลันหยูลี่รู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขันยิ่งนัก
แต่ภายในใจของเธอเต็มไปด้วยความเคียดแค้นลู่เฉิน
“ลู่เฉินคอยดูเถอะ เราจะได้เห็นดีกันดีกัน รอให้แฟนของฉันปักหลักที่ เทคโนโลยีอี้ฉี ได้แล้ว ฉันจะตามไปล้างแค้น” หยูลี่กัดฟันพูด
ถึงแม้จ่าวเทียนหยู่จะขับรถดีกว่าทั้งสอง แต่ก็ทำให้เขาค้นพบว่าที่ผ่านมาเขามองคนผิดไป
พูดตามตรง ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าลู่เฉินเป็นเพียงแค่ไอ้กระจอกคนหนึ่ง จึงไม่อยากจะให้ความสนใจกับเขา ใครจะรู้ล่ะว่าทั้งสองนั้น มีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าหลายคนนัก
ส่วนคนที่ตกใจสุดขีดคงเป็นเกาหู
ก่อนหน้านี้ที่ลู่เฉิน พูดแทนอู๋เล่ยโดยไม่ให้เกียรติเขา เขาเองยังนึกอยู่ว่าจะจัดการลู่เฉินอย่างไรดี
แต่……
ตอนนี้เขาถึงเพิ่งค้นพบว่า ตัวตนที่แท้จริงของลู่เฉินนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทองหรือเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์อื่น ล้วนสูงส่งกว่าเขาโดยที่เขาไม่สามารถเทียบได้
“หัวหน้าจั่วครับ” เมื่อเห็นจั่วซือเฉิงเดินมาหลี่เหวินกวงรีบจัดการอารมณ์ของตนเองและเดินไปต้อนรับ
เมื่อจั่วซือเฉิงเห็นหลี่เหวินกวงและลู่เฉินที่เดินทางจากไปแล้ว เขาก็เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อสักครู่ลู่เฉินถึงได้เอ่ยเรื่องนั้นกับเขา
“อ๋อ พอดีเลยผมมีเรื่องต้องบอกกับคุณ โครงการเทคโนโลยีอี้ฉี นั้น คุณไม่ต้องเข้าร่วมแล้วนะ” จั่วซือเฉิงพูดขึ้น
“ครับ? ทำไมกัน” หลี่เหวินกวงตกใจมาก การมีส่วนร่วมในการก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉี นั้น เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะทำให้เขาได้เลื่อนขั้น เขาใช้ความพยายามอยู่มากจึงได้รับโอกาสนั้นมา แต่คำพูดของจั่วซือเฉิงทำให้เขารับไม่ได้
“เพราะคุณล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน” จั่วซือเฉิงมองดูหลี่เหวินกวงด้วยสายตาสงสารแล้วเดินเข้าโรงแรมไป