ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 448 สายเลือดของปรมาจารย์

ตอนที่ 448 สายเลือดของปรมาจารย์

ทันทีที่ฉินมู่กล่าวเช่นนั้น ทุกคนในตึกก็แค่นเสียงหยันไม่รู้จบ

ฉินมู่ไม่ใส่ใจพวกเขาและแย้มยิ้ม “หากว่ามิใช่มีแดนโบราณวินาศขวางกั้นระหว่างแผ่นดินตะวันตกกับสันตินิรันดร์ แผ่นดินตะวันตกถูกคงถูกสันตินิรันดร์กวาดล้างไปตั้งนานแล้ว อันที่จริงเลยนะ มรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเจ้าได้ล้าหลังทอดทิ้งไปตามกาลเวลาแล้วเมื่อเทียบกับสันตินิรันดร์ และเวทมนตร์และทักษะเทวะของสันตินิรันดร์ก็ยังล้าหลังอยู่บ้างในสายตาของข้า ดังนั้นข้าจึงเสาะหาความเปลี่ยนแปลง พี่หญิงและชายทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตก อยู่ใกล้ข้าขนาดนี้มันอันตรายมากเลยนะ อย่าว่าแต่วรยุทธขั้นหกทิศ แม้แต่ศิษย์พี่ทั้งหลายในขั้นเจ็ดทิศ เจ้า เจ้า และเจ้า เมื่อเจ้ามาใกล้ตัวข้า ในสายตาของข้าแล้ว…”

เขาชี้ไปยังยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นและส่ายหัว “พวกเจ้าล้วนแต่เป็นศพที่พูดได้เดินได้ ปัญหาเดียวก็คือว่า เจ้าจะกลายเป็นศพตอนไหนก็เท่านั้นแหละ”

ทุกคนเดือดพล่านไปด้วยจิตสังหาร เยว่ชิงซานพลันลุกขึ้นและยิ้มหยัน “จ้าวลัทธิฉิน! จะจองหองไปแล้วนะ! เจ้าเมืองเกอเคอ เจ้าเป็นผู้เหย้าของที่นี่ และข้าหมายจะประมือกับจ้าวลัทธิฉินผู้นี้ สามารถทำได้หรือไม่”

เกอเคอหัวเราะและกล่าว “ทุกคนที่นี่เป็นแขกเหรื่อที่มาร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้แห่งเมืองหอมเบ่งบาน ไฉนต้องชักมีดขึ้นใส่กัน ทุกท่านควรเสาะหาคนรักเพื่อร่วมค่ำคืนอันแสนสำราญ นั่นไม่น่าอัศจรรย์กว่าหรอกหรือ แน่ล่ะ หากว่าทุกท่านยังยืนกรานที่จะต่อสู้ ข้าก็คงไม่อาจยับยั้งพวกท่านได้ ใช่หรือไม่”

เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเป็นผู้ชมดูเท่านั้น

เยว่ชิงซานเดินออกไปจากตึกพลางยิ้มหยัน “จ้าวลัทธิฉิน ออกมา ข้าต้องการค่าหัวเจ้าจากตำหนักสวรรค์แท้”

ฉินมู่เผยยิ้มละไมและนำเอาลูกเหล็กกลมขนาดสองคืบออกมาพลางส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องลงไปข้างล่าง ที่นี่ออกจะดี”

เขายกลูกเหล็กกลมในมือ และตึกนี้พลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ค่อยๆ จมลงไปในดิน ทั้งตัวตึกส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด และชั้นที่หนึ่งก็จมไปใต้ดินแล้ว ตามด้วยชั้นที่สอง จากนั้นก็ชั้นที่สาม ถึงเพิ่งหยุด

ทุกคนตกตะลึงและเกอเคอก็ชมเปาะ “ลูกกลมหนักอะไรอย่างนี้!”

“ทุกท่านโปรดชมดู” มือซ้ายของฉินมู่เขย่าลูกเหล็กกลมเบาๆ พลางกล่าว “นี่คือไจกระบี่ของข้า”

เปรี๊ยะ!

ไจกระบี่นี้แยกปริออก และกระบี่บินแปดร้อยเล่มอันเล็กละเอียดราวเส้นด้ายก็พวยพุ่งออกมา ปลายของของมันชี้ไปยังจุดศูนย์กลางของลูกบอล สามารถหลอมสร้างสิ่งอันเพริศแพร้วพิสดารเช่นนี้ได้ ไม่เพียงแต่ผู้หลอมสร้างจะต้องมีวิชาตีเหล็กอันสุดขีดขั้ว แต่ยังต้องมีความสำเร็จเชิงคำนวณที่พอๆ กัน

แสงเย็นเยียบสะท้อนออกมาจากกระบี่แปดพันเล่ม และผนังทั้งสี่ด้านของเรือนตึกก็ระยิบพริบพราวไปด้วยแสง พวกมันถึงกับสาดส่องลงบนใบหน้าของทุกคน

กระบี่แต่ละเล่มเหมือนกับผลงานศิลป์อันไร้ที่ติ

ฉินมู่ยกไจกระบี่ขึ้นมา และมันลอยขึ้นไป พลางหมุนวนอย่างแช่มช้า ให้ทุกคนสามารถมองเห็นโครงสร้างภายในของมันได้ “ทุกท่าน โดยปราศจากการวิวัฒน์พัฒนา มรรคา วิชา และทักษะเทวะก็จะล้าหลังไปภายในเวลาหนึ่งร้อยปี อย่าว่าแต่หนึ่งพันปี มรรคา วิชา และทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตกของพวกท่านนั้นได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษเมื่อสองหมื่นปีก่อน เพื่อปลุกดวงวิญญาณหรือดวงจิตในสรรพสิ่ง เพื่อให้พวกมันลงมือต่อสู้ได้ด้วยตัวมันเอง”

“แต่ทว่า ระยะเวลากระตุ้นการทำงานของทักษะเทวะของพวกท่านนั้นช้าเกินไป แม้แต่ยอดฝีมือในขั้นชาวสวรรค์ก็ยังต้องการระยะเวลาที่แน่นอนระยะหนึ่งในการกระตุ้นการทำงานของพวกมัน แต่ทว่า ทักษะเทวะอื่นๆ มีความเปลี่ยนแปลงนับหมื่นแสนในชั่วพริบตา เช่นนั้นใครล่ะจะให้เวลาพวกท่านกระตุ้นทักษะเทวะ ให้ข้าร่ายรำเพลงกระบี่ เพื่อที่ทุกคนที่นี่จะได้ชี้แนะให้แก่ข้า อย่าขยับ”

ถิงฟางแห่งตำหนักสวรรค์แท้ยิ้มหยัน “หากว่าพวกเราไม่ขยับ มิใช่จะเป็นการปล่อยให้เจ้าฆ่าพวกเราได้หรอกหรือ”

ฉินมู่ยิ้มนิดๆ แล้วกล่าว “หากว่าเจ้าต้องการขยับ ก็จงเตรียมรับผลที่จะตามมา กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง…”

ไจกระบี่ในมือของเขาพลันแยกกระจายออกไป และกระบี่บินก็เกลื่อนเต็มตัวตึก!

เมื่อกระบี่บินแปดพันเล่มเคลื่อนไหว แทบทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาเพื่อป้องกันตนเอง ในจังหวะนั้น แสงกระบี่ทั้งหมดพลันหายวับ และพร้อมกับพวกมัน ตึกอาคารก็หายไปเช่นกัน แทนที่ด้วยทะเลเลือดอันท่วมฟ้าท่วมดิน!

กระบวนท่าที่สองของภาพกระบี่ กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต

เมื่อกระบวนท่านี้ถูกร่ายรำออกไป อารมณ์อันกว้างใหญ่ไพศาลและคร่ำครวญหวนไห้ก็กวาดซัดมา ทุกคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขามองเห็นเทพและมารนับไม่ถ้วนดิ้นรนอยู่ในทะเลเลือดและกรีดร้องอึงอล ในพริบตาถัดมา พวกเขาก็กลายเป็นซากศพในแสงกระบี่ และจมลงไปในทะเลโลหิต!

กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต ขุนเขาและแม่น้ำทั่วทิศ จิตเวิ้งว้างขมุกขมัว เหลียวแลซ้ายมองขวา มิอาจหาผู้คนในเสื้อผ้ามาตุภูมิ

ในชั่ววินาทีนั้น พวกเขาได้ยินเสียงใครบางคนฟาดทุบโต๊ะ และบางคนกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว และยังมีเสียงของทักษะเทวะที่ปะทะเข้าด้วยกันอย่างกระชั้นสั้น

ทันใด สีสันของทะเลเลือดก็จางหายไปราวกับเวลาที่ผันผ่าน และพวกเขาก็สามารถมองเห็นแผ่นหลังของบุรุษผู้หนึ่งที่แบกกระบี่อยู่และเหลียวกลับมามอง ความเดียวดายและความเสื่อมถอยชราภาพ ได้สะกิดเส้นหัวใจของพวกเขา

ภาพแผ่นหลังนั้นหายไป และเรือนตึกก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มือของฉินมู่ยังคงยกขึ้น และในฝ่ามือของเขาคือไจกระบี่อันหมุนวนไปอย่างไม่หยุดยั้ง

จานและชามทั้งหมด เช่นเดียวกับอาหารการกินตรงหน้าแขกเหรื่อ ยังคงเหมือนเดิม ไม่ถูกแตะต้อง

ทุกคนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ และพวกเขารีบมองไปรอบๆ ด้วยสายตาอันหวาดผวา พวกเขาเห็นศพของ อวี้จิ่นฟาง และถิงฟางล้มพับลงไปกับเก้าอี้ของพวกนางด้วยรอยเลือดที่หว่างคิ้ว และยังมีศพอีกสองศพของคนรับใช้

พวกเขาได้ตบโต๊ะต่อหน้าแสงกระบี่ของฉินมู่ และพยายามจะต่อสู้ประชันกับแสงกระบี่ของเขา ผลลัพธ์เดียวที่พวกเราประสบก็คือความตาย ส่วนคนอื่นๆ นั้นมิได้ลงมือ ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่รอดปลอดภัย

ใบหน้าของเยว่ชิงซานขาวซีดไปหมด แต่เขาก็มิได้ลงมือ นั่นไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นเจตจำนงกระบี่อันแตกตื่นสะท้านขวัญของฉินมู่ แต่เขากลับรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่กล้าขยับ

เกอเคอโบกมือ แล้วก็มีคนที่รีบเข้ามาเพื่อลากศพเหล่านั้นออกไป

บนที่นั่งรอบโต๊ะ สีหน้าของทุกคนซีดขาวและบางคนถึงกับเทาราวขี้เถ้า

ความน่าขนพองสยองเกล้าที่มาจากกระบวนท่าของฉินมู่นั้นรุนแรงเกินไป เพลงกระบี่ก็ยังรวดเร็วเกินไป และทำให้พวกเขาไม่อาจรับมือทัน พวกเขาได้แต่นั่งอยู่ที่นั่น และความจนปัญญาระหว่างรอคอยความตายเช่นนี้มิใช่ความรู้สึกที่ดีเลยแม้แต่น้อย

โดยเฉพาะกับยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาว แม้ว่าพวกเขาจะสามารถให้จิตวิญญาณดั้งเดิมออกไปจากร่างได้ พลานุภาพของจิตวิญญาณดั้งเดิมนั้นแข็งแกร่งเกินไป และตึกนี้ก็จะกลายเป็นแออัดยัดเยียด กระบี่ของฉินมู่นั้นรวดเร็วอย่างสุดขีด และแสงกระบี่ก็ได้ท่วมท้นพวกเขาก่อนที่จะทันได้ทำอะไร

กระบวนท่าของฉินมู่มีฤทานุภาพร้ายกาจเกินจะหยั่ง ทั้งกระบี่แต่ละเล่มก็ถูกหลอมสร้างขึ้นมาด้วยวัสดุล้ำเลิศที่สุด ดังนั้นชีวิตของทุกคนจึงเหมือนแขวนไว้กับเส้นด้าย!

ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะเทวะทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณของพวกเขาก็ช้ากว่ากระบี่ของฉินมู่ไปมากจริงๆ หากว่าพวกเขาจะต่อสู้กัน ก็มีแต่ต้องพยายามสร้างระยะห่างจากฉินมู่ก่อนที่จะพยายามขับเคลื่อนทักษะเทวะของพวกตน

เพราะเช่นนั้น ในตึกนี้ พวกเขาจึงไม่มีโอกาสเลยแม้แต่นิด

ฉินมู่เก็บไจกระบี่กลับเข้าไป และกล่าวขออภัย “พี่เกอเคอ หวังว่าท่านจะอภัยให้ข้าที่ทำให้ตึกของท่านเลอะเทอะเปรอะเปื้อน”

“ความเพริศแพร้วพิสดารในเพลงกระบี่ของเจ้าลัทธิฉินนั้นไร้ต่อต้าน ได้เปิดหูเปิดตาให้ข้า แม้ว่าท่านจะยิงกระบี่ออกไปมากมายไร้ประมาณ ท่านก็ไม่ได้ทำให้เรือนตึกของข้าเสียหายแม้รอยขีดข่วน นี่จึงนับว่าเป็นฝีมืออย่างแท้จริง ขอเรียนถามได้หรือไม่ว่า กระบวนท่านี้เป็นเพลงกระบี่ที่เพิ่งคิดค้นขึ้นมาหลังจากการปฏิรูปของจักรวรรดิสันตินิรันดร์หรือไม่”

ฉินมู่ส่ายหัว “กระบวนท่านี้มิใช่ทักษะเทวะที่เกิดขึ้นมาหลังจากการปฏิรูป แต่ถูกคิดค้นขึ้นมาเมื่อสี่ร้อยห้าร้อยปีก่อน กระบวนท่านี้ก็นับว่าล้าหลังไม่ทันยุคสมัย แต่ในแผ่นดินตะวันตก ข้าใช้มันก็สามารถสังหารผู้ฝึกขั้นหกทิศและเจ็ดดาวได้ทั้งหมด ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ข้าได้ แม้ว่าทุกคนที่นี่จะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่พวกท่านก็ยังด้อยกว่าผานกงสั่วอยู่ดี เขานั้นแข็งแกร่งเหนือกว่าพวกท่านไปหลายขุม สามารถรับมือกับกระบวนท่านี้ได้ อย่างมากเขาก็บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น”

ทุกคนแค่นเสียงเย็นชา หมายจะกล่าวอะไร แต่คอของพวกเขาแหบแห้งไปหมด เสียงของพวกเขาก็สั่นระริก พวกเขาจึงรีบกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อน

“เจ้าเมืองเกอเคอ ข้าไม่มีหน้าอยู่ที่นี่ต่อ ขอลา!” เยว่ชิงซานพลันประสานมือคารวะ แล้วหันกายจากไป

ในจังหวะที่เขาทำเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นและกล่าวลา ไม่นาน เรือนตึกก็เหลือเพียงฉินมู่และผู้เหย้าของเขา

“จ้าวลัทธิฉิน ท่านมิได้นำยอดฝีมือมากับท่านด้วยมากมาย มีเพียงกิเลนมังกรที่อยู่ในขั้นชาวสวรรค์ แต่ในทางกลับกัน แผ่นดินตะวันตกของข้าเต็มไปด้วยยอดยุทธ ท่านไม่กลัวจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่หรอกหรือ” เกอเคอถามอย่างสงสัยใคร่รู้

ฉินมู่ยิ้มแบบไม่เชิงยิ้ม “พี่เกอเคอก็รู้จักกิเลนมังกร?” เกอเคอไม่ตอบ ฉินมู่จึงยิ้มกล่าว “มีผู้คนมากมายที่ต้องการจะสังหารข้า แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จเลยสักคน การเดินทางในครั้งนี้ของข้ามิใช่มาเพื่อท้าทายยอดยุทธทั่วแดนดิน แต่เพื่อท่องเที่ยวหย่อนใจและสำรวจโลกหล้า ไม่ทราบว่าพี่เกอเคอรู้หรือไม่ว่าตำหนักสวรรค์แท้อยู่ที่ใด”

“ตำหนักสวรรค์แท้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา และทุกคนก็รู้จักมัน” เกอเคอยิ้มและกล่าว “หากจ้าวลัทธิฉินอยากจะไปที่นั่น ข้าสามารถชี้ทางให้แก่ท่านได้”

ฉินมู่กล่าวขอบคุณและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตำหนักสวรรค์แท้หมายหัวข้า แต่กระนั้นพี่เกอเคอก็ยังปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงแขกผู้ทรงเกียรติ ท่านไม่กลัวตำหนักสวรรค์แท้จะมาระรานหรอกหรือ”

เกอเคอหัวร่อฮาๆ แล้วส่ายศีรษะ “แม้ว่าตำหนักสวรรค์แท้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าพวกเขาจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ แม้ว่าทั่วทั้งแผ่นดินตะวันตกจะมีแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงแห่งเดียวนี้ แต่ก็มิใช่ตำหนักสวรรค์แท้ที่เป็นผู้ปกครองแผ่นดินตะวันตก เป็นเหนือฟ้าต่างหาก ตำหนักสวรรค์แท้ไม่ไปแจ้งข่าวแก่เหนือฟ้าด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก เข้ามา คนของข้า คัดลอกแผนที่ภูมิประเทศแผ่นดินตะวันตกของพวกเราให้จ้าวลัทธิฉินสักฉบับ!”

ฉินมู่เคร่งขรึมสำรวจ ถ้อยคำของเกอเคอได้เผยให้เห็นข้อมูลชิ้นสำคัญ ตำหนักสวรรค์แท้และเหนือฟ้า ดูท่าจะมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง

คนรับใช้ก้าวเข้ามา และมอบแผ่นที่ภูมิประเทศแผ่นดินตะวันตกให้แก่ฉินมู่ เมื่อเขารับมันมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะไต่ถาม “เจ้าเมืองเกอเคอ คฤหาสน์ของท่านดูราวกับจะปลูกสร้างแบบสถาปัตยกรรมสันตินิรันดร์”

เกอเคอยิ้มละไม “จ้าวลัทธิฉิน ท่านควรไปได้แล้ว สังหารถิงฟางแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และอวี้จิ่นฟางแห่งตระกูลอวี้นั้นเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เล่น ผู้คนที่รีบรุดออกไปนั้นคงจะมิได้ไปร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ แต่จะไปรายงานและเรียกกำลังเสริม หากว่าท่านยังรีรอ ท่านจะออกจากเมืองไม่ได้ออกต่อไป”

ฉินมู่มองเขาด้วยสายตาลึกซึ้งและถาม “ปรมาจารย์อยู่ที่นี่นานแค่ไหน”

เกอเคอนิ่งเงียบไป จากนั้นสักพัก เขาก็กล่าว “ไม่นานนัก เขาจะมาที่นี่ปีละหนเพื่อสอนข้าถึงเรื่องต่างๆ มากมาย ครั้งสุดท้ายที่เขาจากไป เขาบอกข้าว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมาอีก จ้าวลัทธิฉิน เขาจากไปแล้วหรือ”

ฉินมู่เงียบไปครู่ จากนั้นเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองลงไปยังกิเลนมังกรที่อยู่ข้างล่าง เจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนี้กำลังเงี่ยหูผึ่งและเห็นได้ชัดว่าเขากำลังลอบฟังการสนทนาข้างบน

“ไม่” ฉินมู่เผยยิ้มและกล่าว “ปรมาจารย์อาจจะได้บรรลุเป็นเทพเจ้าไปแล้ว”

ข้างล่าง หูที่ผึ่งออกมาของกิเลนมังกรหลุบลงคืนและเขาก็หมอบลงกับพื้นด้วยหางที่เหยียดออกไป

เกอเคอมาที่ข้างกายเขาและมองลงไปข้างล่าง เขาเห็นเสียงฉีเอ๋อปีนขึ้นไปบนปลายหางของกิเลนมังกร เจ้าตัวใหญ่นี้จึงยกหางขึ้น ให้เสียงฉีเอ๋อไถลลงมาราวกระดานลื่น ทำให้เด็กหญิงน้อยหัวเราะคิกคักไม่หยุด

“ข้าเคยพบกับกิเลนมังกรเมื่อข้ายังเด็ก แต่ดูเหมือนเขาจะจำข้าไม่ได้” เกอเคอส่ายหัว “เจ้าพาองค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้มาด้วย แล้วยังหวังที่จะไปให้ถึงตำหนักทั้งยังเป็นๆ อีกหรือ มิน่าล่ะตำหนักสวรรค์แท้ถึงอยากจับตัวเจ้ามากขนาดนี้ เจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าจริงๆ น่ะหรือ ในเมื่อข้าเป็นเจ้าเมือง ข้าย่อมมีความสามารถและกลเม็ดอยู่บ้าง! ท่านพ่อได้สอนข้าไว้หลายอย่าง!”

ฉินมู่เดินออกไปจากเรือนตึกพลางส่ายหัว “ท่านก็มีครอบครัวของท่าน และข้าคงไม่ชักนำเภทภัยมาพัวพันท่านหรอก มังกรอ้วน ฉีเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”

เกอเคอส่งพวกเขาออกนอกคฤหาสน์และโบกมือลา ฉินมู่ดูจะสังเกตเห็นและหันกลับมาโบกมือตอบเช่นกัน

เกอเคออดไม่ได้จึงถามคำถามสุดท้าย

“ข้าจะพบเขาได้อีกไหม”

“หลังจากที่ท่านบรรลุเป็นเทพ ท่านก็อาจจะได้พบเขา” ฉินมู่ตะโกนกลับไปด้วยเสียงอันดัง

เกอเคอแย้มยิ้มระหว่างที่ส่งพวกเขาไป แต่เมื่อคณะฉินมู่ลับสายตา สีหน้าของเขาก็หดหู่

ทุกครั้งที่เขากล่าวถึงท่านพ่อ เขาใช้คำว่าอาจจะ ท่านพ่อจากไปแล้วจริงๆ…

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน