ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 464 สนามรบอสุรา

ตอนที่ 464 สนามรบอสุรา

ชายในผ้าโพกหัวปักลายสลายพลังวัตรของเขา และศพของผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงแห่งตระกูลมู่ผู้นั้นก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า “เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านี้ แต่กลับมีความฝันเหลวไหลเพ้อเจ้อเหมือนกับกษัตริย์มนุษย์คนก่อน”

แม้ว่ากระบี่ของเขาจะตัดแขนของยอดฝีมือหญิงแห่งตระกูลมู่ไปเพียงข้างเดียว แต่เจตจำนงกระบี่ของเขาได้แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กายนาง กัดกร่อนและลบล้างจิตวิญญาณดั้งเดิมของนาง

ด้วยความสำเร็จของเขาในเต๋ากระบี่ เขาไม่จำเป็นต้องทำร้ายศัตรูโดยตรง เพียงแต่เจตจำนงกระบี่ของเขาก็เพียงพอที่จะบดขยี้จิตวิญญาณดั้งเดิมของคู่ต่อสู้แล้ว

มู่ยิ่งเสว่กำหมัดแน่น แต่บังคับตนเองให้ระงับโทสะเอาไว้ นางไม่ระเบิดออกมาโดยทันที

ผู้ที่ตายเป็นคนในตระกูลของนาง แต่เมื่อเผชิญกับป้าโก่วอันลึกลับผู้นี้ นางก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ

ชายในผ้าโพกหัวปักลายกวาดตามองไปทั่วประมุขตระกูลทั้งหลาย ขณะที่เบื้องหลังเขาคือขุนเขาอันยิ่งยงและตำหนักสวรรค์แท้อันมีบรรยากาศเลิศเลอ เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ประมุขตระกูลแห่งแผ่นดินตะวันตกทั้งหลาย พวกเจ้าเลือกที่จะต่อต้านขัดขืนอำนาจของตำหนักสวรรค์แท้ แต่พวกเจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่าอำนาจเหล่านั้นมีที่มาจากข้า ข้าจะให้ทางถอยแก่พวกเจ้า พวกเจ้ากลับไปในตอนนี้ และบั่นศีรษะของกษัตริย์มนุษย์ฉินเพื่อส่งไปยังตำหนักสวรรค์แท้ เรื่องที่ผ่านมาก็จะแล้วกันไป”

ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้มเมื่อเห็นประมุขหลายคนดูหวั่นไหว

กองทัพแห่งแผ่นดินตะวันตกที่เขาดึงมานั้นมิใช่แผ่นเหล็กอันเป็นหนึ่งเดียว แต่มัดรวมกันไว้อย่างหลวมๆ ด้วยผลประโยชน์ แม้ว่าประมุขทั้งหลายจะสะคราญโฉมประดุจดอกไม้ และฉินมู่ก็มีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับพวกนางหลายคน แต่พวกนางก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้าสำนักและจ้าวลัทธิในสันตินิรันดร์ สาวงามพวกนี้วางผลประโยชน์ของตระกูลตนเองเอาไว้เหนือสิ่งอื่นใด

อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวมิอาจบิดเบือนจิตคิดอันมีเหตุผลของพวกนางได้

หากว่าพวกนางถอยกลับไปเพราะคำพูดของชายผู้นี้ ฉินมู่ก็คงไม่ประหลาดใจนัก

ทันใดนั้น มู่ยิ่งเสว่ก็สั่นกระดิ่งที่ข้อมือนางติงตังในความเงียบด้วยเสียงอันกังสดาล จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทั้งหมดสามารถถอนตัวไปได้ แต่ตระกูลมู่ของข้าไม่สามารถ สิ่งที่ตระกูลมู่ข้าติดค้างตระกูลเสียงเอาไว้ ก็ต้องคืนกลับไป มิเช่นนั้น มโนสำนึกของข้าคงมิอาจเป็นสุข!”

เหออีอีมองไปที่ผู้อื่นอย่างไม่ยินดียินร้าย “อวี้ป๋อชวนตกตายในเมืองต้นไผ่ของข้า และคงยากที่ข้าจะรอดพ้นจากโทษทัณฑ์ เช่นนั้นทำไมข้าจะไม่ลองล้มล้างการปกครองของตระกูลอวี้ล่ะ ตระกูลเหอของข้าก็ไม่ถอยกลับไปเช่นกัน”

หลิ่วหรูยินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่หลิ่วเจินชิงซึ่งอยู่บนโลงศพเล็กๆ ข้างๆ นางและกำลังเลียลูกกวาดอย่างจริงจัง เมื่อสังเกตเห็นสายตา เด็กหญิงจึงเงยหน้าขึ้นมาและแย้มยิ้มอย่างหวานหยด “เหมือนกับที่จ้าวลัทธิฉินกล่าว เขาเป็นเพียงแค่ร่างแยกของเทพเที่ยงแท้ และไม่ยากที่จะเข่นฆ่าสังหาร มีก็แต่เมื่อเทพเที่ยงแท้ลงมายังแดนต่ำใต้เท่านั้นมันจึงจะยากจนเกินไป ท่านแม่ ข้าได้รับกำนัลลูกกวาดพุทราเชื่อมจากฉีเอ๋อแล้ว ดังนั้นข้าจึงต้องทำบางอย่างให้กับตระกูลเสียง ยิ่งไปกว่านั้น…”

รอยยิ้มของนางยิ่งหวานกว่าเดิม “ใครจะรับประกันได้ว่าตระกูลอวี้จะไม่ตอแยหาเรื่องพวกเราอีกหลังจากเหตุการณ์นี้ พวกเขามีแต่พวกใจแคบ หากว่าพวกเราขจัดพวกเขาไปได้ แม่ลูกตระกูลเสียงก็จะปกครองตำหนักสวรรค์แท้ และยังต้องพึ่งพิงตระกูลหลิ่วของพวกเรา ผลประโยชน์นั้นสูงล้ำกว่าความเสี่ยง ทำไมจะไม่ลองดูล่ะ”

ฉินมู่ค่อยคลายใจ

แม้ว่าหลิ่วเจินชิงจะดูเหมือนเด็กหญิงตัวน้อย แต่จริงๆ แล้วนางเป็นจิ้งจอกเฒ่า ถ้อยคำของนางดูเหมือนจะไร้พิษสง แต่นางได้กล่าวจี้ใจดำของทุกๆ คน

ด้วยประโยคของนาง ตระกูลใหญ่อื่นๆ ก็ตกลงใจมั่นเหมาะ และป้าโก่วก็มิอาจเปลี่ยนความตั้งใจของพวกนางได้อีกต่อไป!

ท่ามกลางประมุขทั้งหลาย อาจจะมีเพียงมู่ยิ่งเสว่ที่ต้องการช่วยเหลือเสียงซีอวี่และเสียงฉีเอ่ออย่างจริงใจ ในเมื่อนางต้องการไถ่บาปของตนเอง คนอื่นๆ นั้นกังวลกับผลประโยชน์ของตนเองไม่มากก็น้อย แต่สำหรับฉินมู่ นั่นก็เพียงพอแล้ว

ชายในผ้าโพกหัวยิ้มกล่าว “นกตายเพราะอาหาร คนตายเพราะทรัพย์สมบัติ แม้แต่สตรีที่ชัดเจน สะคราญ และงามสง่าอย่างพวกเจ้าก็ยังโง่เขลาและทำตัวไม่สมกับร่างกายอันสูงส่งของตนเอง ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่ตาย ข้าก็คงได้แต่ส่งพวกเจ้าไปตามทาง”

เขานั้นกำลังจะหันกายกลับไป แต่เหออีอีพลันแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ในเมื่อป้าโก่วมาที่นี่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกลับไป!”

หินก้อนใหญ่จำนวนไร้ประมาณข้างหลังนางพุ่งโถมไปข้างหน้า ยังชายผู้นั้น

ในเวลาเดียวกันนั้น ประมุขแทบจะทุกคนก็ขับเคลื่อนกำลังฝีมือของพวกนาง ยักษ์ภูเขาเบื้องหลังฟางไฉ่ตีใช้ยอดเขาต่างอาวุธเพื่อฟาดลงไปยังชายในผ้าโพกหัว

ลัวอิ๋นอวี้ชักกระบี่ของนางแทงออกไป และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ตามไปอย่างติดๆ หลังกระบี่คมกล้าของนางอันยิงเลียดไปพร้อมกับยอดเขาที่กำลังโจมตีชายผู้นั้น

มู่ยิ่งเสว่ดีดนิ้ว และฝูอวิ๋นซีก็กดฝ่ามือลงไปอย่างหนักหน่วง สายฟ้าพุ่งทะยานออกไป และพายุก็กวาดซัดเอาพิษที่มู่ยิ่งเสว่โยนเข้าเพื่อถล่มใส่ชายคนนี้!

หลิ่วหรูยินและหลิ่วเจินชิงปลดโซ่บนโลงศพทองคำ และพวกนางก็ทะยานขึ้นไปราวกับมังกรไร้เขาสีดำทมิฬ

ผู้นำตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตกไม่ใส่ใจในกฎเกณฑ์ของยุทธจักร พวกนางพุ่งเข้ากลุ้มรุมต่อสู้พร้อมๆ กันโดยไม่มีการบอกเตือน หมายที่จะสกัดขัดขวางมิให้ป้าโก่วกลับไปยังกองทัพได้ ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม!

ฉินมู่พยักหน้าเงียบๆ “เยี่ยมมาก”

ชายในผ้าโพกหัวเดินตรงไปยังตำหนักสวรรค์แท้ และแสงกระบี่ก็กะพริบวูบวาบข้างหลังเขา เฉือนตัดการโจมตีของทุกๆ คน

ไม่ทันที่พยุหะของเหออีอีจะล้อมปิดเอาไว้ได้ เสาภูเขาก็ถูกเฉือนตัดด้วยแสงกระบี่อันสมบูรณ์แบบ และพายุก็ถูกขัดขวางเอาไว้ด้วยกระบี่อันกรีดฟ้า โซ่ถูกสะกิดด้วยปลายกระบี่และกระดอนกลับไป

“เพลงกระบี่ที่ยอดเยี่ยม! เพียงแค่เพลงกระบี่ของเขาเพียงอย่างเดียว ก็ไม่มีใครในแผ่นดินตะวันตกที่เป็นคู่มือของเขาได้! เขานับว่ามีเพลงกระบี่ที่ล้ำเลิศไม่ใช่เล่น!”

สีหน้าของฉินมู่เคร่งขรึม เพลงกระบี่ของชายในผ้าโพกหัวปักลายผู้นี้ได้ไปถึงเขตขั้นอันสมบูรณ์แบบ และลึกลับขนาดที่ภูตผีและเทพเจ้าก็มิอาจคาดเดา

“ฉีเอ๋อ รีบใช้งานลูกแก้วมังกรเขียว!”

เสียงฉีเอ๋อขับเคลื่อนลูกแก้วมังกรเขียว และแสงสีเขียวก็เปล่งออกมาอย่างเจิดจ้า เสียงคำรามมังกรดังออกมา และทั้งท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงมรกตอันพวยพุ่งไปทางตำหนักสวรรค์แท้

ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ทุกๆ สิ่งก็จะถูกธรรมชาติไม้แทรกซึม แม้แต่ยักษ์ภูเขารอบๆ ตำหนักสวรรค์แท้ก็กลายเป็นแข็งทื่อ แสงสีเขียวสาดส่องจากร่างพวกมัน เมื่อมีเถาวัลย์เขียวจำนวนนับไม่ถ้วนงอกงามขึ้นทั่วทั้งตัวอย่างบ้าคลั่ง

พวกสตรีที่อยู่บนบ่าและศีรษะของยักษ์ภูเขา ก็ตกภายใต้การควบคุมของลูกแก้วมังกรเขียวในพริบตานั้น เป๊าะ เป๊าะ เป๊าะ ยอดไม้อ่อนพลันผลิออก และดอกไม้ก็เบ่งบานบนใบหน้าของพวกนาง!

ลูกแก้วมังกรเขียว หนึ่งในสี่สมบัติวิญญาณแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ได้สาดส่องออกไปด้วยพลานุภาพอันสะท้านขวัญด้วยน้ำมือของเด็กหญิงผู้นี้ ชายในผ้าโพกหัวเองก็พลันแข็งทื่อเมื่อแสงสีเขียวทาบทอบนร่างของเขา ร่างกายเขาก็ดูเหมือนจะเริ่มกลายเป็นไม้ด้วยเช่นกัน!

พลานุภาพของลูกแก้วมังกรเขียวนั้นเกินจินตนาการ!

ในตอนนั้นเอง จากราชวังเหนือทะเลเมฆ หญิงสาวสามสี่คนแห่งตำหนักสวรรค์แท้ก็เดินออกมา ในมือพวกนางแต่ละคน ลูกแก้ววิเศษก็ลอยเลื่อนขึ้นไป

ลูกแก้ววิเศษทั้งสาม ทะยานขึ้นไปบนนภากาศ เปล่งแสงเจิดจรัสมากขึ้นทุกที ลูกหนึ่งนั้นมีดวงวิญญาณของเต่าและงู อีกลูกมีวิญญาณของพยัคฆ์ขาว ส่วนลูกสุดท้ายแผดเพลิงไฟออกมา และมีปักษาเทพยดาเหาะเหินอยู่ในนั้น

ลูกแก้ววิเศษทั้งสามพวยพุ่งไปด้วยรังสีแสง และรัศมีของพวกมันก็เข้าไปปะทะกับแสงจากลูกแก้วมังกรเขียว เสียงคำรามมังกรพลันกึกก้องไปทั่วทิศ เมื่อมังกรเขียวเหาะเหินออกมาจากลูกแก้ววิเศษ ในจังหวะที่มันทำเช่นนั้น มันก็ขยายร่างขึ้นมาอย่างมหึมาหาที่สุดไม่ได้ มังกรนี้จึงทะยานเข้าไปกระหวัดพันรอบขุนเขาอันยิ่งใหญ่ตระการ สร้างภาพอันน่าตื่นตะลึงอย่างเหลือล้ำ

ตรงหน้าตำหนักสวรรค์แท้ แสงของอาวุธวิญญาณทั้งสามยิ่งลุกโชนมากขึ้นทุกที พยัคฆ์ขาว เต่าดำ งูเหินหาว และหงส์แดงก็เหาะเหินออกมาจากลูกแก้ววิเศษด้วย พยัคฆ์ขาวขึ้นไปหมอบอยู่บนยอดเขาและผงาดหัวคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า หงส์แดงกู่ร้องด้วยเสียงดังยาวนานและกระพือปีกของมันเพื่อแผ่ขยายทะเลเพลิงออกไป เต่าดำเหยียบลงไปบนท้องทะเล และท้องน้ำนั้นก็สะท้านสะเทือนใต้เท้าของมัน ก็จะโถมซัดขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่งูเหินหาวบินฉวัดเฉวียนไปมาในระหว่างนั้น

สตรีทั้งสามแห่งตำหนักสวรรค์แท้ได้กระตุ้นการทำงานของสมบัติวิญญาณทั้งสามเพื่อต่อสู้กับเสียงฉีเอ๋อ พวกนางร่วมมือกันเป็นแรงเดียวเพื่อสยบพลานุภาพของลูกแก้วมังกรเขียว

ร่องรอยของการกลายเป็นไม้ของชายผู้นี้จางหายไปอย่างรวดเร็ว และเขาก็ยกยิ้มน้อยๆ กระบี่บินข้างหลังเขาลอยกลับเข้ามาเสียบในฝัก และชายผู้นี้ก็ถอยกลับเข้าไปในตำหนักสวรรค์แท้

“กำจัดพวกมัน” เขากล่าวมาจากข้างใน

ธรรมชาติไม้ที่แทรกซึมเข้าไปในสตรีบนยักษ์ภูเขาทั้งหลายก็ถูกถอนออกไปเมื่อพลานุภาพของลูกแก้วมังกรเขียวถูกสะกดข่ม ดังนั้น พวกนางก็หนีไปได้เช่นกัน

แสงสีมรกตบนร่างของยักษ์ภูเขาก็จางหายไป พวกมันเคลื่อนไหวร่างกายมหึมา และเหวี่ยงยอดเขารูปกระบี่คมกล้าเข้าโจมตีตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตก

เหออีอีตะโกนไปอย่างดุดัน และเครื่องยิงหินใหญ่มหึมาก็ยิงออกไป พวกมันดีดคานยาวและส่งมนุษย์หินทะยานข้ามฟ้า พวกมันเล็กจิ๋วหลิวเมื่อเทียบกับยักษ์ภูเขา แต่ยังใจกล้าบุกเข้าไปต่อกรกับพรายวิญญาณจากศิลาแบบเดียวกัน

เพลิงไฟปะทุขึ้นมากลางอากาศและมนุษย์หินพวกนั้นก็ถูกทุบจนแหลกก่อนที่จะทันได้ลงเหยียบพื้น พวกมันถูกทำลายภายใต้การโจมตีของอาวุธมหึมาของยักษ์ภูเขา

สมบัติสืบทอดสำนักแผ่พุ่งพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวออกไปในมือของยักษ์ภูเขา เปลี่ยนให้มนุษย์หินพวกนั้นกลายเป็นผุยผง พวกมันโปรยร่วงเกลื่อนพื้นเป็นชั้นธุลี

กระนั้นก็ยังมีมนุษย์ศิลาหลายตนที่เข้าถึงตัวยักษ์ภูเขาได้ และไต่ขึ้นไปบนร่างของคู่ต่อสู้

ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้รีดเร้นทักษะเทวะของพวกนางออกจนถึงขีดจำกัดราวกับว่ากำลังเผชิญหน้าศัตรูคู่อาฆาต พวกนางดึงเอาพรายวิญญาณออกจากร่างของศัตรู ทำให้มนุษย์ศิลาหลายตนกลายเป็นแค่กองหินที่กลิ้งร่วงตกลงสู่พื้นดิน

ฟิ้ววว!

ฝนหนักเริ่มโปรยปรายลงมา และหยาดฝนสีเขียวก็ร่วงพรำๆ พร้อมกับที่มีฟ้าแลบและฟ้าร้องกึกก้องไปในอากาศ มันคือพายุพิษที่ก่อขึ้นมาจากฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะตระกูลมู่และตระกูลฝู

ข้างในนั้น แม้แต่ฟ้าแลบที่แปลบปลาบไปมาก็ยังเป็นสีเขียวและมีพิษร้ายแฝงอยู่ อสุนีบาตปะปนกับสายฝนและฟาดเปรี้ยงปร้างลงทุกบนยอดเขาของยักษ์ภูเขา!

สตรีแห่งตำหนักสวรรค์แท้เหาะออกมามากขึ้นอีก และอาวุธวิญญาณมากมายก็พวยพุ่งไปข้างหน้า พวกมันเป็นกำไลเงินและกำไลทองทุกชนิดทุกขนาด ที่กระจายออกไปทั่วทั้งขุนเขาทั้งหลาย

กำไลเงินและทองอันหมุนติ้วๆ ได้ดึงดูดสายฟ้าและน้ำฝน รัดพันพวกมันเอาไว้ข้างในก่อนจะส่งมันลงไปข้างๆ ภูเขา

เมฆทะมึนบนเวหาสั่นสะเทือน และพายุหมุนก็โถมถล่มลงมา บิดเอี้ยวร่างของพวกมันเมื่อกวาดซัดไปยังกำไลเงินกำไลทอง

พวกสตรีที่ควบคุมลูกแก้วเต่าดำกระตุ้นเร้ามัน และทะเลก็โถมซัดเข้าใส่เมฆมืด กลืนพวกมันหายเข้าไปพร้อมกับพายุหมุนและสายฟ้า!

“ฆ่ามัน!”

เสียงตะโกนดังมาจากฝั่งฉินมู่ และเครื่องดีดหินก็แล่นมาเป็นะระยะหลายลี้ก่อนที่จะตั้งกับที่อีกครั้ง หญิงสาวมากมายกระโดดขึ้นไปบนโครงมหึมาของพวกมัน และถูกดีดเข้าไปร่วมการต่อสู้ด้วยเครื่องดีดหินเหล่านั้น

ยักษ์ภูเขามากมายเข้าไปปะทะกับยักษ์ภูเขาพวกที่ป้องกันตำหนักสวรรค์แท้ ศิษย์ตระกูลใหญ่นับหมื่นยืนอยู่บนพวกยักษ์และอาวุธวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็พรั่งพรูออกไปต่อสู้กับพวกศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้

เถาวัลย์ยั้วเยี้ยยืดยาวออกมาจากท้องฟ้าและกวาดตวัดไปยังยักษ์ภูเขา หญิงสาวตระกูลซีเหยียบขึ้นไปบนเถาวัลย์และเดินทางข้ามขุนเขา โจมตีพวกผู้หญิงจากตำหนักสวรรค์แท้ พลางให้เถาวัลย์กระหวัดรัดรอบๆ ภูเขา

ครืนครืน…

ภูเขารูปทรงเจดีย์กดทับลงมา และบดขยี้สตรีตระกูลซีจำนวนมาก แต่ทว่าไม่มีใครมีเวลามาเศร้าโศก พวกที่ยังรอดชีวิตก็เข้าไปควบคุมแม่น้ำสายยาวอันประดุจมังกรไร้เขาและส่งพวกมันขึ้นไปบนภูเขา พวกมันฟาดฟันกับน้ำตกและแม่น้ำอันหลั่งไหลจากบนยอดเขา มียักษ์วารีมากมายที่ยืนขึ้นมาจากแม่น้ำใหญ่ด้วย แกว่งมีดควงดาบอันก่อขึ้นมาจากน้ำแข็งลึกลับ กลุ่มพรายวิญญาณเหล่านี้เข้าปะทะกับเหล่าศิษย์หญิงตรงหน้า

ดินแดนตรงหน้าตำหนักสวรรค์แท้ได้กลายเป็นสนามรบอสุราอันนองเลือด และนักรบในนั้นก็ล้วนแต่เป็นโฉมสะคราญ

“มังกรอ้วน ปกป้องฉีเอ๋อ”

ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนก้อนหินของเหออีอีที่กำลังลอยอยู่บนอากาศ เมืองไม้ไผ่อันใหญ่มหึมาได้แยกออกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นทะเลก้อนหินอันลอยเกลื่อนอยู่กลางท้องฟ้า

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท