ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 467 ปราสาทสวรรค์

ตอนที่ 467 ปราสาทสวรรค์

ฉินมู่เหาะขึ้นไปบนอากาศและพบว่าคลื่นกระเพิ่มจากหม้อห้าอสุนีบาตค่อยๆ หยุดลง ฝูอวิ๋นซีและหญิงสาวมากมายแห่งตระกูลฝูกำลังเหนี่ยวนำสายฟ้าในบริเวณรอบๆ ออกไปไกลๆ

“จ้าวลัทธิ กระบี่ของท่าน!” ฝูอวิ๋นซีตะโกนออกมา

ฉินมู่เรียกกระบี่บินของเขา และกระบี่บินทั้งแปดพันเล่มก็เข้ามารวมตัวกันเป็นไจกระบี่อันมีขนาดเล็กเท่าผลส้ม

“ทำไมไจกระบี่หดลงเยอะขนาดนี้”

ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะคว้าไจกระบี่ พวกสาวๆ สี่ห้าคนจากตระกูลฝูก็เหาะเข้ามาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “จ้าวลัทธิฉิน อย่าขยับ!”

ฉินมู่ชะงักค้าง ขณะที่สาวๆ พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ เปลวสายฟ้าพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา ถูกพวกสาวๆ ชักนำออกมา

“ยังคงมีอสุนีบาตอยู่ในร่างกายของท่าน เพราะว่าท่านยังไม่ได้เข้าไปแตะต้องสัมผัสกับใคร มันก็เลยยังไม่ระเบิดปะทุออกมา” หนึ่งในเด็กสาวกล่าว “หากว่าท่านไปแตะต้องกับอะไรเข้า พลังงานก็จะระเบิดออกไป สายฟ้าในขวดน้ำเต้ายักษ์นี้เป็นสายฟ้าเทพยดาอันมีพลานุภาพร้ายกาจน่ากลัว บัดนี้เมื่อพวกเราเหนี่ยวนำสายฟ้าออกไปแล้ว ท่านสามารถขยับได้ล่ะ”

ฉินมู่กล่าวขอบคุณ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสี้ยงเปรี้ยงอึกทึกครึกโครม เขามองไปยังที่มาของเสียงและพบว่ากิเลนมังกรซึ่งกำลังเหยียบอยู่บนเมฆอัคคีเพื่อลงสู่พื้นดิน แต่ไม่ทันได้แตะพื้น พลังสายฟ้าในร่างกายของเขาก็พลันระเบิดออกมา

สายฟ้าที่ไหลพล่านออกมาจากร่างกายกิเลนมังกร ฟาดเปรี้ยงปร้างไปรอบทิศทางและทำลายล้างทุกอย่างรอบๆ เขา เจ้าอ้วนยักษ์นี้เหมือนลูกบอลสายฟ้า กระเด้งขึ้นกระเด้งลง ในพริบตานั้น กิเลนมังกรดำเมี่ยมไปหมด

พวกสาวๆ แห่งตระกูลฝูรีบเข้าไปช่วยเหลือขณะที่ฉินมู่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เขายื่นมือไปจับไจกระบี่แทน น้ำหนักของมันยังคงเดิม แต่มีขนาดเล็กลงมาก มันพอเหมาะพอกำไว้ในฝ่ามือ และง่ายที่จะควบคุมมากกว่าเก่า

เขาดีใจจนออกนอกหน้า โดยการยืมพลังของหม้อห้าอสุนีบาตเพื่อขัดเกลาไจกระบี่ข้าจนถึงขั้นนี้ ข้าก็คงไม่ไกลจากขั้นที่จะบ่มเพาะกระบี่จนกลายเป็นวารีแล้ว!

“จ้าวลัทธิ ไหนท่านบอกข้าว่าจะไม่เจ็บตัวสักนิดเลยอย่างไร” ควันพวยพุ่งออกจากปากกิเลนมังกรเมื่อเขาประท้วง

ฉินมู่ทำเป็นไม่ได้ยิน และเก็บหม้อห้าอสุนีบาตกลับเข้าไปในรังมังกรแท้ ก่อนที่จะรีบรุดไปยังตำหนักสวรรค์แท้

“จ้าวลัทธิ!”

กิเลนมังกรหมายจะไล่ตามเขา แต่พวกสาวๆ แห่งตระกูลฝูล้อมเขาเอาไว้ “หยุดขยับได้แล้วเจ้าอ้วน ร่างของเจ้าใหญ่โตเกินไป ทั้งยังเป็นคนที่แบกขวดน้ำเต้ายักษ์นั้นด้วย ดังนั้นเจ้าจึงมีสายฟ้าในร่างกายมากที่สุด ระวังเถอะ เดี๋ยวก็ถูกไฟช็อตจนตายหรอกหากว่ายังวิ่งเพ่นพ่านอยู่น่ะ!”

กิเลนมังกรรีบยืนนิ่งและแย้มยิ้ม “พี่สาวทั้งหลาย ข้าไม่ได้เสียโฉมใช่ไหม เกล็ดมังกรของข้าทั้งสวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นมันจะมาเสียหายไม่ได้นะ!”

“นี่…” พวกสาวๆ มองไปที่เขามีสีหน้าลำบากใจ

กิเลนมังกรตงิดใจขึ้นมาและหมายที่จะเอี้ยวกลับไปดูร่างกายของเขา แต่ทว่า เพราะเขาอ้วนพีจนเกินไปและคอเขาก็หนาเป็นสัน ทำให้เขาเอี้ยวตัวกลับไปไม่ได้

ราชครูสันตินิรันดร์นั้นเป็นคนแรกที่ขึ้นไปเหยียบตรงหน้าประตูตำหนักสวรรค์แท้ ที่นั่นมีทั้งร่างไหม้เกรียมและหลุมใหญ่มากมายที่เกิดจากสายฟ้าฟาดทั่วทุกหนทุกแห่ง และยังมีบางที่ที่มีไฟลุกไหม้อยู่

เจ้าตำหนักสวรรค์หมอบฟุบอยู่กับพื้น เมื่อนางมองไปยังบุรุษที่กำลังก้าวเดินเข้ามาหานาง นางก็วิงวอนด้วยเสียงอันเบาหวิว “ข้ากำลังตั้งท้อง เห็นแก่เด็กในท้องของข้า อย่าฆ่าข้าเลย…”

ราชครูสันตินิรันดร์เดินไปข้างๆ นางๆ และกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ไม่ว่าเจ้าจะตั้งท้องอยู่หรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่มีความบาดหมางกับเจ้า ดังนั้นข้าจะไม่จงใจทำร้ายเจ้า ข้าเพียงแต่ต้องการตำหนักสวรรค์แท้แห่งนี้ แผ่นดินตะวันตกแห่งนี้”

เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ตกตะลึง

เสียงซีอวี่พาเสียงฉีเอ๋อมายังหน้าราชวัง และหางตาของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ก็กระตุก “ไหน่ขุย ข้าตั้งท้อง…”

“ตอนที่เจ้าฆ่าล้างตระกูลเสียง สตรีมากมายก็ตั้งท้องอยู่”

ความเกลียดชังอันลึกล้ำฉายลึกในแววตาของเสียงซีอวี่ เมื่อนางแย่งดึงเอาลูกแก้วเต่าดำจากหญิงที่นอนช่วยตัวเองไม่ได้ ก่อนที่จะหยิบลูกแก้วมังกรเขียวจากมือของเสียงฉีเอ๋อเช่นกัน นางกระซิบเสียงเบาและกล่าว “เจ้าเคยปรานีหญิงเหล่านั้นไหม”

ลูกแก้วมังกรเขียวสาดส่องลงไปบนร่างของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ นางดิ้นรนหมายจะหนีไป แต่ร่างกายและจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางถูกธรรมชาติไม้เข้าแทรกซึมอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา นางก็กลายเป็นรูปสลักไม้ที่ดูดิ้นรนตะกุยตะกาย

เสียงซีอวี่ระบายลมหายใจสะท้านและพาเสียงฉีเอ๋อออกไปจากตำหนักสวรรค์แท้ “ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยเจ้าไปเพียงเพราะกำลังตั้งครรภ์ จงกลายเป็นรูปสลักไม้ที่หน้าประตูตำหนัก และคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไปชั่วนิรันดร์!”

หญิงสาวมากมายแห่งตระกูลใหญ่ทั้งหลายกรูกันเข้าไปในตำหนักสวรรค์แท้ เพื่อเข่นฆ่าสมาชิกที่เหลือของตระกูลอวี้

ฉินมู่ก็เข้ามาด้วยและเห็นว่าตำหนักแห่งนี้โอ่โถงเป็นอย่างยิ่ง และมีตรอกซอกซอยมากมาย อันมีสมาชิกตระกูลอวี้หลบซ่อนอยู่ไปทั่วทุกแห่ง

ยอดฝีมือที่เหลืออยู่จำนวหนึ่งของตระกูลอวี้ใช้ลูกแก้วหงส์แดงและลูกแก้วพยัคฆ์ขาวเพื่อสู้กัน พลานุภาพของลูกแก้วสองลูกนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าแม้วรยุทธของผู้ที่ควบคุมลูกแก้วจะไม่สูงส่ง แต่ก็ปลดปล่อยพลานุภาพอันน่าแตกตื่นได้

ฉินมู่ฟันผ่าบุกตะลุยเข้าไปในราชวังพร้อมกับทุกๆ คน พลางครุ่นคิด ผานกงสั่วน่าจะอยู่ในตำหนัก ใช่ไหม ไม่ว่าจะอย่างไร คราวนี้ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เขารอดไปแล้ว!

ทันใดนั้น แสงทองคำก็ฉายส่องออกมาเมื่อหญิงนางหนึ่งชูลูกแก้วโปร่งแสงสีทองขึ้นสูง ข้างในนั้นคือดวงวิญญาณของพยัคฆ์ขาว เมื่อแสงทองสาดส่องจากลูกแก้ว ผู้คนที่ต้องแสงก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ!

ฉินมู่ขับเคลื่อนไจกระบี่ออกอย่างเร่งรีบ และกระบี่บินทั้งแปดพันเล่มก็ห้อมล้อมเขา เสียงอึงอลจากการปะทะต่อสู้ดังมาจากที่ไกลๆ แต่เขาถูกกระแทกให้ถอยร่นไปพร้อมกระบี่ของเขาจากแสงทองนั้น

ฉินมู่กลิ้งไปหลายตลบก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด เขาพบว่าเขากระเด็นมาไกลกว่าสิบวา

“ลูกแก้วพยัคฆ์ขาว!”

เขาหลบเข้าไปในโถงใหญ่ แต่ทันใดนั้น แสงทองก็ถั่งโถมเข้ามาราวน้ำหลาก ผ่านประตูที่เขาเพิ่งหนีเข้ามาเมื่อครู่ ฉินมู่เพ่งสายตามองและเห็นว่าไม่ว่าแสงทองจะผ่านไปที่ใด ปราณธาตุทองก็ฟุ้งกระจายไปด้วย พวกสตรีที่ตกตายภายใต้แสงทองเหล่านี้ ถูกทำร้ายโดยปราณทองอันคมกล้าไร้ใดเปรียบ!

ฉินมู่กอดเสามหึมาเอาไว้ และขับเคลื่อนพละกำลังจากเอวของเขา หมายที่จะยกมันขึ้นมาและใช้มันฟาดทุบยอดฝีมือตระกูลอวี้ที่กำลังควบคุมลูกแก้วพยัคฆ์ขาวอยู่

เสาใหญ่นั้นไม่สะเทือนเลยแม้แต่น้อย

ฉินมู่ครางเสียงหนักและรีดเร้นพละกำลังให้มากกว่าเดิม แต่เสาก็ยังไม่ขยับอยู่ดี

“จ้าวลัทธิฉิน ที่นี่คือตำหนักสวรรค์แท้” ทันใดนั้นฉินมู่ก็ได้ยินเสียงของหลิ่วเจินชิง เขาอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นโลงสีดำจำนวนหนึ่งช่วยกันแบกโลงทองคำมาระหว่างกลาง สองแม่ลูกตระกูลหลิ่วนั่งมาบนฝาโลงศพของพวกนาง เด็กหญิงน้อยวางพุทราเชื่อมลงด้วยรอยยิ้มและกล่าว “ตำหนักสวรรค์แท้! ปราสาทสวรรค์ของจริง!”

ฉินมู่ตกตะลึง ร้องออกมา “เจ้าหมายความว่า?”

“ปราสาทสวรรค์นี้ร่วงลงมาจากสรวงสวรรค์ มันมิใช่ของเทียมเลียนแบบ”

หลิ่วเจินชิงกระโดดลงมาจากโลงของนางหลังจากที่ปักก้านลูกอมพุทราเชื่อมไว้ข้างในนั้น นางปีนขึ้นไปบนโลงศพทองคำและแกะยันต์ออกจากบนนั้นทีละอันๆ “รีบหลบไป ตัวร้ายเฒ่ากำลังจะออกมาแล้ว! จับโซ่เอาไว้ให้ดีๆ”

ระหว่างที่นางกล่าว โลงศพทองคำก็เปิดผลัวะออกมาและรัศมีเทพเจ้าก็พวยพุ่งพร้อมกับเสียงตะโกนอันสะท้านหัวใจ ร่างใหญ่น่าเกรงขามพุ่งตรงไปยังแสงทองคำ

ตูม!

เสียงระเบิดกึกก้องดังมาจากหลังตำหนักและเสียงเคี้ยวกรุบๆ ก็ดังมา

หลิ่วเจินชิงดูกระวนกระวายสุดๆ และสั่งการผู้คนตระกูลหลิ่ว “ดึงโซ่กลับมาเร็วเข้า เร็วกว่านี้อีก ลากตัวร้ายเฒ่ากลับมา! ไม่ต้องกลัว ลูกแก้วพยัคฆ์ขาวอยู่ในปากของมัน ดังนั้นมันก็จะถูกสะกดข่มเอาไว้ เร็วอีก! เร็วอีก!”

โซ่ดังโกร่งกร่างเมื่อยอดฝีมือตระกูลหลิ่วทั้งหลายรีบดึงมันกลับมาจากโลงศพสีดำมากมาย สักครู่หนึ่ง ศพอันสูงใหญ่กำยำของเทพเจ้าก็ถูกลากกลับมา

มันดิ้นรนอย่างสุดกำลัง พยายามจะหนีให้เป็นอิสระ หลิ่วเจินชิงและหลิ่วหรูยินก้าวไปข้างหน้าและรีดเร้นพละกำลังทั้งหมดเพื่อดึงศพเทพเจ้ากลับเข้าไปในโลง

หลิ่วเจินชิงปีนขึ้นไปบนหัวของศพเทวะและต่อยเข้าไปที่จมูกของมันอย่างดุร้ายด้วยกำปั้นเล็กๆ ของนาง พลางร้องตะโกน “คายออกมา รีบคายมันออกมา!”

แก้มของศพเทพเจ้าป่องตุง เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน

ศพเทพมองไปยังเด็กหญิงผู้นี้ราวกับว่าอยากจะงาบหัวนาง แต่ทว่าแขนขาทั้งสี่ของมันถูกพันธนาการเอาไว้ มันขยับไม่ได้

วัตถุในปากของศพก็คือลูกแก้วพยัคฆ์ขาวที่ถูกกลืนเข้าไปพร้อมๆ กับยอดฝีมือตำหนักสวรรค์แท้ที่ถือมันเอาไว้ แต่ทันทีที่ลูกแก้วมังกรขาวหลุดเข้าไปในปากของมัน มันก็ตระหนักทันทีว่าของสิ่งนี้อันตรายเพียงใด ลูกแก้วพยัคฆ์ขาวไม่เพียงแต่ไม่ยอมร่วงเข้าไปในคอ แต่พลังของมันยังเริ่มแทรกซึมเข้าไปในศพเทพเจ้า

หลิ่วเจินชิงต่อยจมูกของศพจนเละไปหมด ในที่สุดศพเทพเจ้าก็ต้านทานไม่ไหวอีกต่อไป และอ้าปากเพื่อคายลูกแก้วพยัคฆ์ขาวออกมาพร้อมกับกระไอพิษศพอีกหอบหนึ่งใส่หลิ่วเจินชิง

ปัง

โลงศพปิดไป และหลิ่วเจินชิงรีบแปะยันต์กลับก่อนที่จะหยิบลูกแก้วพยัคฆ์ขาวขึ้นมาจากพื้น นางยิ้มกว้างด้วยความดีใจแล้วกระโดดกลับไปยังโลงศพเล็กๆ ของนาง ดึงเอาพุทราเชื่อมมาเลียอีกที นางส่งยิ้มไปให้ฉินมู่และกล่าว “พี่ชายฉิน พวกเรากำลังจะกลับไป ไปเล่นกับพวกเราที่หุบเขาฝังเทพยาดาเมื่อเจ้าว่างนะ!”

ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และโบกมือให้นาง

“ไปกัน!” ฝาโลงพลิกปิดดังปัง เก็บเด็กหญิงไว้ข้างใน เสียงทึบๆ ของหลิ่วเจินชิงดังคงดังออกมาข้างนอก เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ไม่ต้องสู้แล้ว กลับไปหุบเขาฝังเทพยดา! ตระกูลหลิ่วพวกเรามิได้มาที่นี้เพื่อแตกส่วนอำนาจตำหนักสวรรค์แท้ ด้วยลูกแก้วพยัคฆ์ขาว ตระกูลหลิ่วของเราสามารถกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินตะวันตก!”

โลงศพดำมากมายอารักขาโลงทองคำระหว่างที่ล่าถอยออกไปจากตำหนักสวรรค์แท้

น้องสาวหลิ่วเจินชิงนั้นโดดเด่นไม่ธรรมดา และอาจจะสามารถก่อตั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ศพขึ้นมาก็เป็นได้ ฉินมู่ยังคงมุ่งหน้าต่อไปข้างในตำหนักสวรรค์แท้พลางครุ่นคิดในใจ แต่ทว่า ข้าไม่ควรเรียกนางว่าน้องสาว ก็ในเมื่ออายุของนางน่าจะใกล้เคียงกับมารดาหลิ่วหรูยิน พวกนางน่าจะอายุสี่ห้าร้อยปี

ในส่วนลึกของตำหนักสวรรค์แท้ มีสมบัติวิญญาณอันพลานุภาพน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ ลูกแก้วหงส์แดงแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่ไฟแท้ของมันพุ่งผ่านไป มีก็แต่ตัวตำหนักราชวังแห่งตำหนักสวรรค์แท้เท่านั้นที่ไม่ถูกแตะต้อง

มีผู้คนจากตระกูลใหญ่มากมายที่โถมพุ่งไปยังพลานุภาพของลูกแก้วหงส์แดง เห็นได้ชัดว่าพวกนางหมายจะไปคว้ามันมาครอบครองก่อนที่เสียงซีอวี่และบุตรสาวจะมาเก็บมันกลับ

“ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน”

จากโถงใหญ่อีกโถง ราชครูสันตินิรันดร์เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่หาดูได้ยาก เขาผงกหัวให้กับฉินมู่เป็นการทักทาย

ฉินมู่เดินเข้าไปและถามด้วยความสงสัย “ราชครู ด้วยกำลังฝีมือของท่าน จะแย่งชิงลูกแก้ววิเศษทั้งสามลูกคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่กระนั้นท่านก็ไม่สนใจสมบัติวิเศษแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ท่านกำลังค้นหาสิ่งใดกันแน่”

“ประวัติศาสตร์” ราชครูสันตินิรันดร์เดินเข้าไปในราชวังอีกหลังพลางกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “สมบัติของตำหนักสวรรค์แท้เป็นของแผ่นดินตะวันตก และข้าก็จะไม่ต่อสู้แย่งชิงมัน สำหรับข้าแล้ว แม้ว่าสมบัติเหล่านี้จะดึงดูดใจไม่ใช่น้อย แต่ประวัติศาสตร์ของตำหนักสวรรค์แท้ต่างหากคือความมั่งคั่งที่แท้จริง จ้าวลัทธิฉิน ไม่มีความจำเป็นที่ต้องต่อสู้แย่งชิงสิ่งของและอำนาจ ตามข้ามาและไปประจักษ์ประวัติศาสตร์แห่งตำหนักสวรรค์แท้ด้วยกัน”

เจตนาของเขาคือต้องการให้เด็กหนุ่มไปด้วย

“ความคิดอ่านของราชครูนั้นเหนือธรรมดา หากข้ายังมัวแต่ละโมบสมบัติแห่งตำหนักสวรรค์แท้ มิใช่ว่าจะเป็นที่ดูแคลนของท่านหรอกหรือ” ฉินมู่กล่าว

เขาติดตามราชครูสันตินิรันดร์ไปยังสถานที่อื่น

ตำหนักสวรรค์แท้นั้นทั้งโอฬารและยิ่งใหญ่ แม้ว่าสงครามจะยังคงดำเนินไปด้วยทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณทุกชนิดอันลอยเกลื่อนฟ้า แต่ภาคพื้นนั้นก็ยังคงดีอยู่ไม่บุบสลาย

“สำนักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคำราม นครหยกน้อย ล้วนแต่เป็นผู้พ่ายแพ้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงบันทึกประวัติศาสตร์ แล้วเช่นนี้ผู้ชนะจะไม่จดจารประวัติศาสตร์แห่งชัยชนะของตนในกาลอันนิรันดร์ได้อย่างไร”

ราชครูสันตินิรันดร์เดินเข้าไปในโถงวังหนึ่งอันมีศิษย์ตระกูลอวี้มากมายซ่อนตัวอยู่ พวกเขาโจมตีใส่ทันที แต่ราชครูสันตินิรันดร์เพียงโบกมือเบาๆ พละกำลังอันร้ายกาจดุดันของพวกเขาก็กลายเป็นสายลมเบาหวิว พวกเขากระเด็นไปปะทะกับกำแพงวัง ไม่อาจจะขยับเขยื้อน

“ข้าได้เห็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้โดยสำนักเต๋า นครหยกน้อย และวัดใหญ่ฟ้าคำรามแล้ว บัดนี้ข้าอยากที่จะเห็นประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนโดยผู้ชนะ”

ราชครูสันตินิรันดร์วาดมืออีกครั้ง และหญิงสาวมากมายที่ถูกพลังอำนาจของเขากดทับไปกับกำแพง ก็ถูกผลักให้เลื่อนถอยไปข้างๆ เผยภาพวาดฝาผนังข้างหลังพวกนาง

ฉินมู่มองที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังและเห็นว่าเป็นภาพวาดของเทพเจ้าที่ลงมาจากท้องฟ้าและหมู่ปราสาทราชวังมากมาย เทพเจ้านี้ดูค่อนข้างคล้ายคลึงกับป้าโก่ว

ในภาพวาดที่สอง ป้าโก่วมาพบกับเทพนารีนางหนึ่งที่มีสถานะทัดเทียมกับเขา และถูกวาดไว้เป็นคู่แข่ง

“นางมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากผู้ก่อตั้งตำหนักสวรรค์แท้ มารดาเฒ่าสวรรค์แท้” สีหน้าของราชครูสันตินิรันดร์ดูใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง “ในเมื่อนางสามารถยืนในศักดิ์อันทัดเทียมกับป้าโก่วได้ นางก็ไม่น่าจะถูกข้าสังหารในกระบวนท่าเดียว…นี่มันแปลกอยู่นะ”

ฉินมู่เองก็อึ้งไป เมื่อเขาหวนนึกถึงเทวรูปไม้ที่พบพานในทะเลทราย หน้าตาของรูปสลักนั้นคล้ายคลึงกับมารดาเฒ่าสวรรค์แท้

เขามองไปยังภาพถัดไป แต่ไม่มีเงาร่างของป้าโก่วปรากฏอีก ภาพวาดที่สามนั้นเป็นภาพของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ใช้ลูกแก้วหงส์แดงแปรเปลี่ยนพื้นพิภพให้กลายเป็นทะเลทรายอันมีเพลิงโหมไหม้

“ทะเลทรายเพลิงโหม!”

ฉินมู่หรี่ตา ปริมาณพลังวัตรที่ต้องใช้ในการแปรเปลี่ยนพื้นที่รัศมีหลายหมื่นลี้ให้กลายเป็นทะเลทรายเพลิงโหมนั้น น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!

“จ้าวลัทธิ คิดหรือว่าใครบางคนที่มีกำลังฝีมือระดับนางจะถูกข้าสังหารได้ในกระบี่เดียว” ราชครูสันตินิรันดร์ถาม

ฉินมู่ตัวสั่นเทา “นางยังไม่ตาย!”

ราชครูสันตินิรันดร์ผงกหัว “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ข้าสังหารในกระบี่เดียวนั้น อย่างมากก็เป็นเพียงเทวรูป เต๋าของนางในการเสกสรรธรรมชาติ มีความเปลี่ยนแปลงนับหมื่นพัน และนางถึงกับสามารถปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาในภูเขาและแม่น้ำ ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลุกขึ้นเดินได้ ดั้งนั้นการสร้างร่างปลอมขึ้นมา สำหรับนางแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร หรือว่านางจะอยู่ใกล้ๆ แถวๆ นี้”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท