ฉินมู่เหาะขึ้นไปบนอากาศและพบว่าคลื่นกระเพิ่มจากหม้อห้าอสุนีบาตค่อยๆ หยุดลง ฝูอวิ๋นซีและหญิงสาวมากมายแห่งตระกูลฝูกำลังเหนี่ยวนำสายฟ้าในบริเวณรอบๆ ออกไปไกลๆ
“จ้าวลัทธิ กระบี่ของท่าน!” ฝูอวิ๋นซีตะโกนออกมา
ฉินมู่เรียกกระบี่บินของเขา และกระบี่บินทั้งแปดพันเล่มก็เข้ามารวมตัวกันเป็นไจกระบี่อันมีขนาดเล็กเท่าผลส้ม
“ทำไมไจกระบี่หดลงเยอะขนาดนี้”
ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะคว้าไจกระบี่ พวกสาวๆ สี่ห้าคนจากตระกูลฝูก็เหาะเข้ามาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “จ้าวลัทธิฉิน อย่าขยับ!”
ฉินมู่ชะงักค้าง ขณะที่สาวๆ พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ เปลวสายฟ้าพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา ถูกพวกสาวๆ ชักนำออกมา
“ยังคงมีอสุนีบาตอยู่ในร่างกายของท่าน เพราะว่าท่านยังไม่ได้เข้าไปแตะต้องสัมผัสกับใคร มันก็เลยยังไม่ระเบิดปะทุออกมา” หนึ่งในเด็กสาวกล่าว “หากว่าท่านไปแตะต้องกับอะไรเข้า พลังงานก็จะระเบิดออกไป สายฟ้าในขวดน้ำเต้ายักษ์นี้เป็นสายฟ้าเทพยดาอันมีพลานุภาพร้ายกาจน่ากลัว บัดนี้เมื่อพวกเราเหนี่ยวนำสายฟ้าออกไปแล้ว ท่านสามารถขยับได้ล่ะ”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสี้ยงเปรี้ยงอึกทึกครึกโครม เขามองไปยังที่มาของเสียงและพบว่ากิเลนมังกรซึ่งกำลังเหยียบอยู่บนเมฆอัคคีเพื่อลงสู่พื้นดิน แต่ไม่ทันได้แตะพื้น พลังสายฟ้าในร่างกายของเขาก็พลันระเบิดออกมา
สายฟ้าที่ไหลพล่านออกมาจากร่างกายกิเลนมังกร ฟาดเปรี้ยงปร้างไปรอบทิศทางและทำลายล้างทุกอย่างรอบๆ เขา เจ้าอ้วนยักษ์นี้เหมือนลูกบอลสายฟ้า กระเด้งขึ้นกระเด้งลง ในพริบตานั้น กิเลนมังกรดำเมี่ยมไปหมด
พวกสาวๆ แห่งตระกูลฝูรีบเข้าไปช่วยเหลือขณะที่ฉินมู่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เขายื่นมือไปจับไจกระบี่แทน น้ำหนักของมันยังคงเดิม แต่มีขนาดเล็กลงมาก มันพอเหมาะพอกำไว้ในฝ่ามือ และง่ายที่จะควบคุมมากกว่าเก่า
เขาดีใจจนออกนอกหน้า โดยการยืมพลังของหม้อห้าอสุนีบาตเพื่อขัดเกลาไจกระบี่ข้าจนถึงขั้นนี้ ข้าก็คงไม่ไกลจากขั้นที่จะบ่มเพาะกระบี่จนกลายเป็นวารีแล้ว!
“จ้าวลัทธิ ไหนท่านบอกข้าว่าจะไม่เจ็บตัวสักนิดเลยอย่างไร” ควันพวยพุ่งออกจากปากกิเลนมังกรเมื่อเขาประท้วง
ฉินมู่ทำเป็นไม่ได้ยิน และเก็บหม้อห้าอสุนีบาตกลับเข้าไปในรังมังกรแท้ ก่อนที่จะรีบรุดไปยังตำหนักสวรรค์แท้
“จ้าวลัทธิ!”
กิเลนมังกรหมายจะไล่ตามเขา แต่พวกสาวๆ แห่งตระกูลฝูล้อมเขาเอาไว้ “หยุดขยับได้แล้วเจ้าอ้วน ร่างของเจ้าใหญ่โตเกินไป ทั้งยังเป็นคนที่แบกขวดน้ำเต้ายักษ์นั้นด้วย ดังนั้นเจ้าจึงมีสายฟ้าในร่างกายมากที่สุด ระวังเถอะ เดี๋ยวก็ถูกไฟช็อตจนตายหรอกหากว่ายังวิ่งเพ่นพ่านอยู่น่ะ!”
กิเลนมังกรรีบยืนนิ่งและแย้มยิ้ม “พี่สาวทั้งหลาย ข้าไม่ได้เสียโฉมใช่ไหม เกล็ดมังกรของข้าทั้งสวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นมันจะมาเสียหายไม่ได้นะ!”
“นี่…” พวกสาวๆ มองไปที่เขามีสีหน้าลำบากใจ
กิเลนมังกรตงิดใจขึ้นมาและหมายที่จะเอี้ยวกลับไปดูร่างกายของเขา แต่ทว่า เพราะเขาอ้วนพีจนเกินไปและคอเขาก็หนาเป็นสัน ทำให้เขาเอี้ยวตัวกลับไปไม่ได้
ราชครูสันตินิรันดร์นั้นเป็นคนแรกที่ขึ้นไปเหยียบตรงหน้าประตูตำหนักสวรรค์แท้ ที่นั่นมีทั้งร่างไหม้เกรียมและหลุมใหญ่มากมายที่เกิดจากสายฟ้าฟาดทั่วทุกหนทุกแห่ง และยังมีบางที่ที่มีไฟลุกไหม้อยู่
เจ้าตำหนักสวรรค์หมอบฟุบอยู่กับพื้น เมื่อนางมองไปยังบุรุษที่กำลังก้าวเดินเข้ามาหานาง นางก็วิงวอนด้วยเสียงอันเบาหวิว “ข้ากำลังตั้งท้อง เห็นแก่เด็กในท้องของข้า อย่าฆ่าข้าเลย…”
ราชครูสันตินิรันดร์เดินไปข้างๆ นางๆ และกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ไม่ว่าเจ้าจะตั้งท้องอยู่หรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่มีความบาดหมางกับเจ้า ดังนั้นข้าจะไม่จงใจทำร้ายเจ้า ข้าเพียงแต่ต้องการตำหนักสวรรค์แท้แห่งนี้ แผ่นดินตะวันตกแห่งนี้”
เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ตกตะลึง
เสียงซีอวี่พาเสียงฉีเอ๋อมายังหน้าราชวัง และหางตาของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ก็กระตุก “ไหน่ขุย ข้าตั้งท้อง…”
“ตอนที่เจ้าฆ่าล้างตระกูลเสียง สตรีมากมายก็ตั้งท้องอยู่”
ความเกลียดชังอันลึกล้ำฉายลึกในแววตาของเสียงซีอวี่ เมื่อนางแย่งดึงเอาลูกแก้วเต่าดำจากหญิงที่นอนช่วยตัวเองไม่ได้ ก่อนที่จะหยิบลูกแก้วมังกรเขียวจากมือของเสียงฉีเอ๋อเช่นกัน นางกระซิบเสียงเบาและกล่าว “เจ้าเคยปรานีหญิงเหล่านั้นไหม”
ลูกแก้วมังกรเขียวสาดส่องลงไปบนร่างของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ นางดิ้นรนหมายจะหนีไป แต่ร่างกายและจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางถูกธรรมชาติไม้เข้าแทรกซึมอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา นางก็กลายเป็นรูปสลักไม้ที่ดูดิ้นรนตะกุยตะกาย
เสียงซีอวี่ระบายลมหายใจสะท้านและพาเสียงฉีเอ๋อออกไปจากตำหนักสวรรค์แท้ “ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยเจ้าไปเพียงเพราะกำลังตั้งครรภ์ จงกลายเป็นรูปสลักไม้ที่หน้าประตูตำหนัก และคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไปชั่วนิรันดร์!”
หญิงสาวมากมายแห่งตระกูลใหญ่ทั้งหลายกรูกันเข้าไปในตำหนักสวรรค์แท้ เพื่อเข่นฆ่าสมาชิกที่เหลือของตระกูลอวี้
ฉินมู่ก็เข้ามาด้วยและเห็นว่าตำหนักแห่งนี้โอ่โถงเป็นอย่างยิ่ง และมีตรอกซอกซอยมากมาย อันมีสมาชิกตระกูลอวี้หลบซ่อนอยู่ไปทั่วทุกแห่ง
ยอดฝีมือที่เหลืออยู่จำนวหนึ่งของตระกูลอวี้ใช้ลูกแก้วหงส์แดงและลูกแก้วพยัคฆ์ขาวเพื่อสู้กัน พลานุภาพของลูกแก้วสองลูกนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าแม้วรยุทธของผู้ที่ควบคุมลูกแก้วจะไม่สูงส่ง แต่ก็ปลดปล่อยพลานุภาพอันน่าแตกตื่นได้
ฉินมู่ฟันผ่าบุกตะลุยเข้าไปในราชวังพร้อมกับทุกๆ คน พลางครุ่นคิด ผานกงสั่วน่าจะอยู่ในตำหนัก ใช่ไหม ไม่ว่าจะอย่างไร คราวนี้ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เขารอดไปแล้ว!
ทันใดนั้น แสงทองคำก็ฉายส่องออกมาเมื่อหญิงนางหนึ่งชูลูกแก้วโปร่งแสงสีทองขึ้นสูง ข้างในนั้นคือดวงวิญญาณของพยัคฆ์ขาว เมื่อแสงทองสาดส่องจากลูกแก้ว ผู้คนที่ต้องแสงก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ!
ฉินมู่ขับเคลื่อนไจกระบี่ออกอย่างเร่งรีบ และกระบี่บินทั้งแปดพันเล่มก็ห้อมล้อมเขา เสียงอึงอลจากการปะทะต่อสู้ดังมาจากที่ไกลๆ แต่เขาถูกกระแทกให้ถอยร่นไปพร้อมกระบี่ของเขาจากแสงทองนั้น
ฉินมู่กลิ้งไปหลายตลบก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด เขาพบว่าเขากระเด็นมาไกลกว่าสิบวา
“ลูกแก้วพยัคฆ์ขาว!”
เขาหลบเข้าไปในโถงใหญ่ แต่ทันใดนั้น แสงทองก็ถั่งโถมเข้ามาราวน้ำหลาก ผ่านประตูที่เขาเพิ่งหนีเข้ามาเมื่อครู่ ฉินมู่เพ่งสายตามองและเห็นว่าไม่ว่าแสงทองจะผ่านไปที่ใด ปราณธาตุทองก็ฟุ้งกระจายไปด้วย พวกสตรีที่ตกตายภายใต้แสงทองเหล่านี้ ถูกทำร้ายโดยปราณทองอันคมกล้าไร้ใดเปรียบ!
ฉินมู่กอดเสามหึมาเอาไว้ และขับเคลื่อนพละกำลังจากเอวของเขา หมายที่จะยกมันขึ้นมาและใช้มันฟาดทุบยอดฝีมือตระกูลอวี้ที่กำลังควบคุมลูกแก้วพยัคฆ์ขาวอยู่
เสาใหญ่นั้นไม่สะเทือนเลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่ครางเสียงหนักและรีดเร้นพละกำลังให้มากกว่าเดิม แต่เสาก็ยังไม่ขยับอยู่ดี
“จ้าวลัทธิฉิน ที่นี่คือตำหนักสวรรค์แท้” ทันใดนั้นฉินมู่ก็ได้ยินเสียงของหลิ่วเจินชิง เขาอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นโลงสีดำจำนวนหนึ่งช่วยกันแบกโลงทองคำมาระหว่างกลาง สองแม่ลูกตระกูลหลิ่วนั่งมาบนฝาโลงศพของพวกนาง เด็กหญิงน้อยวางพุทราเชื่อมลงด้วยรอยยิ้มและกล่าว “ตำหนักสวรรค์แท้! ปราสาทสวรรค์ของจริง!”
ฉินมู่ตกตะลึง ร้องออกมา “เจ้าหมายความว่า?”
“ปราสาทสวรรค์นี้ร่วงลงมาจากสรวงสวรรค์ มันมิใช่ของเทียมเลียนแบบ”
หลิ่วเจินชิงกระโดดลงมาจากโลงของนางหลังจากที่ปักก้านลูกอมพุทราเชื่อมไว้ข้างในนั้น นางปีนขึ้นไปบนโลงศพทองคำและแกะยันต์ออกจากบนนั้นทีละอันๆ “รีบหลบไป ตัวร้ายเฒ่ากำลังจะออกมาแล้ว! จับโซ่เอาไว้ให้ดีๆ”
ระหว่างที่นางกล่าว โลงศพทองคำก็เปิดผลัวะออกมาและรัศมีเทพเจ้าก็พวยพุ่งพร้อมกับเสียงตะโกนอันสะท้านหัวใจ ร่างใหญ่น่าเกรงขามพุ่งตรงไปยังแสงทองคำ
ตูม!
เสียงระเบิดกึกก้องดังมาจากหลังตำหนักและเสียงเคี้ยวกรุบๆ ก็ดังมา
หลิ่วเจินชิงดูกระวนกระวายสุดๆ และสั่งการผู้คนตระกูลหลิ่ว “ดึงโซ่กลับมาเร็วเข้า เร็วกว่านี้อีก ลากตัวร้ายเฒ่ากลับมา! ไม่ต้องกลัว ลูกแก้วพยัคฆ์ขาวอยู่ในปากของมัน ดังนั้นมันก็จะถูกสะกดข่มเอาไว้ เร็วอีก! เร็วอีก!”
โซ่ดังโกร่งกร่างเมื่อยอดฝีมือตระกูลหลิ่วทั้งหลายรีบดึงมันกลับมาจากโลงศพสีดำมากมาย สักครู่หนึ่ง ศพอันสูงใหญ่กำยำของเทพเจ้าก็ถูกลากกลับมา
มันดิ้นรนอย่างสุดกำลัง พยายามจะหนีให้เป็นอิสระ หลิ่วเจินชิงและหลิ่วหรูยินก้าวไปข้างหน้าและรีดเร้นพละกำลังทั้งหมดเพื่อดึงศพเทพเจ้ากลับเข้าไปในโลง
หลิ่วเจินชิงปีนขึ้นไปบนหัวของศพเทวะและต่อยเข้าไปที่จมูกของมันอย่างดุร้ายด้วยกำปั้นเล็กๆ ของนาง พลางร้องตะโกน “คายออกมา รีบคายมันออกมา!”
แก้มของศพเทพเจ้าป่องตุง เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน
ศพเทพมองไปยังเด็กหญิงผู้นี้ราวกับว่าอยากจะงาบหัวนาง แต่ทว่าแขนขาทั้งสี่ของมันถูกพันธนาการเอาไว้ มันขยับไม่ได้
วัตถุในปากของศพก็คือลูกแก้วพยัคฆ์ขาวที่ถูกกลืนเข้าไปพร้อมๆ กับยอดฝีมือตำหนักสวรรค์แท้ที่ถือมันเอาไว้ แต่ทันทีที่ลูกแก้วมังกรขาวหลุดเข้าไปในปากของมัน มันก็ตระหนักทันทีว่าของสิ่งนี้อันตรายเพียงใด ลูกแก้วพยัคฆ์ขาวไม่เพียงแต่ไม่ยอมร่วงเข้าไปในคอ แต่พลังของมันยังเริ่มแทรกซึมเข้าไปในศพเทพเจ้า
หลิ่วเจินชิงต่อยจมูกของศพจนเละไปหมด ในที่สุดศพเทพเจ้าก็ต้านทานไม่ไหวอีกต่อไป และอ้าปากเพื่อคายลูกแก้วพยัคฆ์ขาวออกมาพร้อมกับกระไอพิษศพอีกหอบหนึ่งใส่หลิ่วเจินชิง
ปัง
โลงศพปิดไป และหลิ่วเจินชิงรีบแปะยันต์กลับก่อนที่จะหยิบลูกแก้วพยัคฆ์ขาวขึ้นมาจากพื้น นางยิ้มกว้างด้วยความดีใจแล้วกระโดดกลับไปยังโลงศพเล็กๆ ของนาง ดึงเอาพุทราเชื่อมมาเลียอีกที นางส่งยิ้มไปให้ฉินมู่และกล่าว “พี่ชายฉิน พวกเรากำลังจะกลับไป ไปเล่นกับพวกเราที่หุบเขาฝังเทพยาดาเมื่อเจ้าว่างนะ!”
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และโบกมือให้นาง
“ไปกัน!” ฝาโลงพลิกปิดดังปัง เก็บเด็กหญิงไว้ข้างใน เสียงทึบๆ ของหลิ่วเจินชิงดังคงดังออกมาข้างนอก เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ไม่ต้องสู้แล้ว กลับไปหุบเขาฝังเทพยดา! ตระกูลหลิ่วพวกเรามิได้มาที่นี้เพื่อแตกส่วนอำนาจตำหนักสวรรค์แท้ ด้วยลูกแก้วพยัคฆ์ขาว ตระกูลหลิ่วของเราสามารถกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินตะวันตก!”
โลงศพดำมากมายอารักขาโลงทองคำระหว่างที่ล่าถอยออกไปจากตำหนักสวรรค์แท้
น้องสาวหลิ่วเจินชิงนั้นโดดเด่นไม่ธรรมดา และอาจจะสามารถก่อตั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ศพขึ้นมาก็เป็นได้ ฉินมู่ยังคงมุ่งหน้าต่อไปข้างในตำหนักสวรรค์แท้พลางครุ่นคิดในใจ แต่ทว่า ข้าไม่ควรเรียกนางว่าน้องสาว ก็ในเมื่ออายุของนางน่าจะใกล้เคียงกับมารดาหลิ่วหรูยิน พวกนางน่าจะอายุสี่ห้าร้อยปี
ในส่วนลึกของตำหนักสวรรค์แท้ มีสมบัติวิญญาณอันพลานุภาพน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ ลูกแก้วหงส์แดงแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่ไฟแท้ของมันพุ่งผ่านไป มีก็แต่ตัวตำหนักราชวังแห่งตำหนักสวรรค์แท้เท่านั้นที่ไม่ถูกแตะต้อง
มีผู้คนจากตระกูลใหญ่มากมายที่โถมพุ่งไปยังพลานุภาพของลูกแก้วหงส์แดง เห็นได้ชัดว่าพวกนางหมายจะไปคว้ามันมาครอบครองก่อนที่เสียงซีอวี่และบุตรสาวจะมาเก็บมันกลับ
“ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน”
จากโถงใหญ่อีกโถง ราชครูสันตินิรันดร์เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่หาดูได้ยาก เขาผงกหัวให้กับฉินมู่เป็นการทักทาย
ฉินมู่เดินเข้าไปและถามด้วยความสงสัย “ราชครู ด้วยกำลังฝีมือของท่าน จะแย่งชิงลูกแก้ววิเศษทั้งสามลูกคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่กระนั้นท่านก็ไม่สนใจสมบัติวิเศษแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ท่านกำลังค้นหาสิ่งใดกันแน่”
“ประวัติศาสตร์” ราชครูสันตินิรันดร์เดินเข้าไปในราชวังอีกหลังพลางกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “สมบัติของตำหนักสวรรค์แท้เป็นของแผ่นดินตะวันตก และข้าก็จะไม่ต่อสู้แย่งชิงมัน สำหรับข้าแล้ว แม้ว่าสมบัติเหล่านี้จะดึงดูดใจไม่ใช่น้อย แต่ประวัติศาสตร์ของตำหนักสวรรค์แท้ต่างหากคือความมั่งคั่งที่แท้จริง จ้าวลัทธิฉิน ไม่มีความจำเป็นที่ต้องต่อสู้แย่งชิงสิ่งของและอำนาจ ตามข้ามาและไปประจักษ์ประวัติศาสตร์แห่งตำหนักสวรรค์แท้ด้วยกัน”
เจตนาของเขาคือต้องการให้เด็กหนุ่มไปด้วย
“ความคิดอ่านของราชครูนั้นเหนือธรรมดา หากข้ายังมัวแต่ละโมบสมบัติแห่งตำหนักสวรรค์แท้ มิใช่ว่าจะเป็นที่ดูแคลนของท่านหรอกหรือ” ฉินมู่กล่าว
เขาติดตามราชครูสันตินิรันดร์ไปยังสถานที่อื่น
ตำหนักสวรรค์แท้นั้นทั้งโอฬารและยิ่งใหญ่ แม้ว่าสงครามจะยังคงดำเนินไปด้วยทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณทุกชนิดอันลอยเกลื่อนฟ้า แต่ภาคพื้นนั้นก็ยังคงดีอยู่ไม่บุบสลาย
“สำนักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคำราม นครหยกน้อย ล้วนแต่เป็นผู้พ่ายแพ้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงบันทึกประวัติศาสตร์ แล้วเช่นนี้ผู้ชนะจะไม่จดจารประวัติศาสตร์แห่งชัยชนะของตนในกาลอันนิรันดร์ได้อย่างไร”
ราชครูสันตินิรันดร์เดินเข้าไปในโถงวังหนึ่งอันมีศิษย์ตระกูลอวี้มากมายซ่อนตัวอยู่ พวกเขาโจมตีใส่ทันที แต่ราชครูสันตินิรันดร์เพียงโบกมือเบาๆ พละกำลังอันร้ายกาจดุดันของพวกเขาก็กลายเป็นสายลมเบาหวิว พวกเขากระเด็นไปปะทะกับกำแพงวัง ไม่อาจจะขยับเขยื้อน
“ข้าได้เห็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้โดยสำนักเต๋า นครหยกน้อย และวัดใหญ่ฟ้าคำรามแล้ว บัดนี้ข้าอยากที่จะเห็นประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนโดยผู้ชนะ”
ราชครูสันตินิรันดร์วาดมืออีกครั้ง และหญิงสาวมากมายที่ถูกพลังอำนาจของเขากดทับไปกับกำแพง ก็ถูกผลักให้เลื่อนถอยไปข้างๆ เผยภาพวาดฝาผนังข้างหลังพวกนาง
ฉินมู่มองที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังและเห็นว่าเป็นภาพวาดของเทพเจ้าที่ลงมาจากท้องฟ้าและหมู่ปราสาทราชวังมากมาย เทพเจ้านี้ดูค่อนข้างคล้ายคลึงกับป้าโก่ว
ในภาพวาดที่สอง ป้าโก่วมาพบกับเทพนารีนางหนึ่งที่มีสถานะทัดเทียมกับเขา และถูกวาดไว้เป็นคู่แข่ง
“นางมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากผู้ก่อตั้งตำหนักสวรรค์แท้ มารดาเฒ่าสวรรค์แท้” สีหน้าของราชครูสันตินิรันดร์ดูใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง “ในเมื่อนางสามารถยืนในศักดิ์อันทัดเทียมกับป้าโก่วได้ นางก็ไม่น่าจะถูกข้าสังหารในกระบวนท่าเดียว…นี่มันแปลกอยู่นะ”
ฉินมู่เองก็อึ้งไป เมื่อเขาหวนนึกถึงเทวรูปไม้ที่พบพานในทะเลทราย หน้าตาของรูปสลักนั้นคล้ายคลึงกับมารดาเฒ่าสวรรค์แท้
เขามองไปยังภาพถัดไป แต่ไม่มีเงาร่างของป้าโก่วปรากฏอีก ภาพวาดที่สามนั้นเป็นภาพของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ใช้ลูกแก้วหงส์แดงแปรเปลี่ยนพื้นพิภพให้กลายเป็นทะเลทรายอันมีเพลิงโหมไหม้
“ทะเลทรายเพลิงโหม!”
ฉินมู่หรี่ตา ปริมาณพลังวัตรที่ต้องใช้ในการแปรเปลี่ยนพื้นที่รัศมีหลายหมื่นลี้ให้กลายเป็นทะเลทรายเพลิงโหมนั้น น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!
“จ้าวลัทธิ คิดหรือว่าใครบางคนที่มีกำลังฝีมือระดับนางจะถูกข้าสังหารได้ในกระบี่เดียว” ราชครูสันตินิรันดร์ถาม
ฉินมู่ตัวสั่นเทา “นางยังไม่ตาย!”
ราชครูสันตินิรันดร์ผงกหัว “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ข้าสังหารในกระบี่เดียวนั้น อย่างมากก็เป็นเพียงเทวรูป เต๋าของนางในการเสกสรรธรรมชาติ มีความเปลี่ยนแปลงนับหมื่นพัน และนางถึงกับสามารถปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาในภูเขาและแม่น้ำ ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลุกขึ้นเดินได้ ดั้งนั้นการสร้างร่างปลอมขึ้นมา สำหรับนางแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร หรือว่านางจะอยู่ใกล้ๆ แถวๆ นี้”