ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 463 เพลงกระบี่และแผลกระบี่

ตอนที่ 463 เพลงกระบี่และแผลกระบี่

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองราชวังบนฟากฟ้าอันมีสตรีมากมายเหาะเหินออกมา พวกนางลงไปหยุดอยู่บนยอดเขาต่างๆ ตำหนักสวรรค์แท้น่าจะได้รับข่าวว่าฉินมู่รวบรวมตระกูลใหญ่ทั้งหลายมาเข้าโจมตีตั้งนานแล้ว และเตรียมตัวต้านรับศึก

ปัง!

ยอดเขาใหญ่มหึมาพลันระเบิดออก และก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนก็กระจุยกระจายไปทั่วทิศ ขณะที่บางส่วนกลิ้งหล่นลงไปข้างๆ ยอดเขาเหล่านั้นจู่ๆ ก็กลายร่างเป็นยักษ์อันน่าเกรงขาม

มันย่อตัวลงดึงขาออกจากพื้นดิน เขย่าสลัดอย่างไม่หยุดยั้ง

เหออีอียกมือของนางขึ้น และเมืองต้นไผ่อันใหญ่มหึมาก็หยุดการเคลื่อนไหว

ยักษ์ภูเขาข้างหน้าพวกเขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ฝ่ามือใหญ่ยักษ์ของมันกว้างขวางเป็นสิบๆ ไร่ และเมื่อมันตบฟาดฝ่าท้องฟ้ามา ลมรุนแรงก็หวีดหวิวกระพือ ฝ่ามือนั้นพลันคว้าจับยอดเขารูปทรงกระบี่

เสียงเอี๊ยดเสียดหูดังมา เมื่อยอดเขารูปกระบี่ถูกยักษ์ภูเขาตนนั้นชักขึ้นมาจากพื้น!

ก้อนหินกลิ้งหล่นไปทั่วทิศทางเมื่อมันทำเช่นนั้น เมื่อยักษ์ภูเขายกกระบี่ขึ้นมา ดินและหินที่ปกคลุมมันอยู่ก็ร่วงออกไปจนหมด เผยให้เห็นวัตถุสีสนิมข้างใน

มันคือกระบี่ยอดเขาใหญ่!

สีหน้าของฉินมู่เคร่งขรึมเมื่องเขามองไปยังกระบี่มโหฬารและยักษ์ภูเขาผ่านหมอกอันขมุกขมัวนั้น

ปูมหลังความเป็นมาของตำหนักสวรรค์แท้นั้นลึกล้ำจนเกินไป กระทั่งอาจจะเหนือล้ำกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินภาคกลางเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นสำนักเต๋าหรือวัดใหญ่ฟ้าคำราม หรือแม้กระทั่งลัทธิมารฟ้า ก็ไม่มีภูมิหลังอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญขนาดนี้

ปัง ปัง

เสียงระเบิดกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่นมาและเขาทั้งหลายก็แปรเปลี่ยน ขณะที่ป่าทั้งหลายก็กลายเป็นยักษ์ต้นไม้อันสูงกว่าหนึ่งพันห้าร้อยวา พวกมันคว้าจับอาวุธอันมีขนาดใหญ่มหึมาเกินจินตนาการ!

พวกมันล้วนแต่เป็นผู้พิทักษ์ของตำหนักสวรรค์แท้

ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้มากมายยืนอยู่บนบ่าหรือไม่ก็บนศีรษะของยักษ์ภูเขาพวกนี้ โขยกขึ้นลงตามจังหวะย่างก้าวของสิ่งที่แบกพวกนางมา และเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันอันคละคลุ้ง

ฉินมู่มองไปยังมู่ยิ่งเสว่ หากว่านางมิได้วางยาพิษใส่ตระกูลเสียง ตระกูลอวี้ก็คงพบว่ายากที่จะบุกยึดตำหนักสวรรค์แท้ และช่วงชิงอำนาจของตระกูลเสียงมา

เพียงแค่ยักษ์ภูเขาพวกนี้ก็เป็นแสนยานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว ที่เหนือล้ำกว่าแสนยานุภาพของกองทัพอันมีไพร่พลนับล้าน!

“จัดแถวเข้าพยุหะ!” เหออีอีตะโกนด้วยเสียงอันดัง และสตรีแห่งตระกูลเหอในเมืองก็เดินออกมา แต่ละนางนำธงพยุหะอันสะบัดพริ้วในสายลมออกมา ในพริบตานั้น อาวุธวิญญาณของวิชาพยุหะก็ร่วงลงมาจากธงพยุหะ

สตรีแห่งตระกูลเหอรีบประกอบพวกมันเข้าด้วยกัน และฉินมู่ก็ได้เห็นภาพอันน่าตื่นตระหนก ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลเหอถึงกับใช้อาวุธวิญญาณสำหรับวิชาพยุหะมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นรถดีดหินอันสูงถึงร้อยห้าสิบวา พวกมันตั้งตระหง่านอยู่ข้างหลังเมืองต้นไผ่ และสายชักดีดของมันก็ถูกขันให้เครียดเขม็ง!

ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลฟางร่ายทักษะเทวะของพวกเขา และก้อนหินก็ร่วงลงมาจากยักษ์ภูเขาข้างหลังพวกอย่างไม่หยุดหย่อน พวกมันประกอบขึ้นเป็นก้อนหินใหญ่ที่กลิ้งขึ้นไปบนเครื่องดีดหินเองโดยอัตโนมัติ

ผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงมากมายแห่งตระกูลซีโปรยเมล็ดพืชที่งอกเงยขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งไปทั่วทั้งภูเขา ก่อเป็นทะเลสีเขียวขจี พวกมันรุกรานไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับที่มียักษ์ต้นไผ่ผงาดขึ้นมาและบุกไปข้างหน้า

อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้เงื้อกระบี่ของนางขึ้น และเสียงฟึ่บก็ดังไปในอากาศเมื่อสตรีหลายหมื่นคนแห่งตระกูลลัวชักกระบี่ออกมาเช่นเดียวกัน พวกนางทุกคนเต็มไปด้วยความฮึกหาญทะยานจิต

“พี่สาวตระกูลฝู!” มู่ยิ่งเสว่พลันตะโกน

ฝูอวิ๋นซีออกคำสั่ง และผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลฝูก็เรียกเมฆดำทะมึนออกมา พวกมันก่อเป็นทะเลเมฆ คลี่คลุมรัศมีเป็นพันลี้ พายุหมุนอันหนาใหญ่ไร้ใดเปรียบก่อตัวขึ้น แต่ทว่าพวกมันหมุนบิดเบี้ยวไปมารอบๆ แต่ไม่พวยพุ่งไปข้างหน้า ก็เนื่องจากว่าถูกผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลฝูควบคุมเอาไว้

มู่ยิ่งเสว่ก้าวออกไปพร้อมกับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลมู่ และโยนเอาพิษร้ายแรงมากมายที่พวกนางมีเข้าไปในลมหมุน พายุหมุนพวกนั้นดูดสารพิษเข้าไปในก้อนเมฆดำ อันแปรเปลี่ยนสีสัน ให้กลายเป็นสีเขียวแสนอันตราย

แม้กระทั่งสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ ก็มีประกายเขียวเจือปนในนั้น

ทั้งชั้นเมฆเต็มไปด้วยพิษคร่าชีวิตที่ร้ายกาจที่สุดของตระกูลมู่

ลมรุนแรงพัดพุ่งออกมาจากข้างหลังเด็กหนุ่มบนหอคอยปราการ สะบัดเสื้อผ้าเขาไปมา

ลมนี้เย็นเยือก หอบเอาความร้อนส่วนเกินจากร่างกายของเขา

โลหิตของเขาระอุอุ่นเกินไป

ผู้ฝึกวิชาเทวะสตรีเหล่านี้ได้สร้างบรรยากาศสนามรบอันแตกต่างไปจากเหล่าบุรุษแห่งสันตินิรันดร์ แต่มันก็ทำให้เลือดในกายเขาเดือดพล่านเฉกเช่นกัน!

สตรีนั้นทัดเทียมกับบุรุษ แม้ว่าพวกนางจะสวยสะคราญ แต่ก็ยังคงเป็นนักรบที่แกร่งกล้าในสมรภูมิ!

บรรยากาศรอบข้างทั้งอึมครึมและแห้งแล้ง

ตรงหน้าตำหนักสวรรค์แท้ เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเครียดเขม็ง เมฆดำที่หมายจะเข้ามาถล่มเมืองถูกรั้งเอาไว้ในควบคุม โดยมีแค่เสียงลมเท่านั้นที่ดังมา แรงกดดันเช่นนี้สามารถทำให้ผู้คนเสียสติได้

ในตอนนั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็เหาะออกมาจากราชวังท่ามกลางทะเลเมฆ และพุ่งทะยานผ่านยักษ์ภูเขาที่ไม่หืออืออะไร

“ป้าโก่ว!”

สีหน้าของเหออีอี มู่ยิ่งเสว่ ฝูอวิ๋นซี และคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนไป พวกนางมิได้เผยความขยาดกลัวเมื่อเผชิญกับยักษ์ภูเขาทั้งหลายแห่งตำหนักสวรรค์แท้ แต่เมื่อพวกนางมองเห็นหน้าตาของเงาร่างที่เหาะเหินมาทางนี้ สีหน้าพวกนางก็เปลี่ยนไป

เหออีอีกู่ร้องด้วยเสียงเบา และเมืองต้นไผ่ก็แยกชิ้นส่วนออกจากกัน ก้อนหินมากมายลอยขึ้นไปบนอากาศ และก่อขึ้นมาเป็นพยุหะป้องกันอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องศิษย์ตระกูลเหอข้างหลังนาง

ตัวนางเองก็ถูกหินก้อนหนึ่งยกลอยขึ้นไปเบื้องหน้ากระบวนพยุหะ

ทันใดนั้นก็มีผู้คนอีกหนึ่งมาปรากฏข้างๆ นาง นั่นคือฉินมู่ หัวใจของนางพลันเต็มไปด้วยความอบอุ่น

“พรายกระบี่ ทหารสวรรค์!” ลัวอิ๋นอวี้ตะโกนออกไป และผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงหลายหมื่นคนแห่งตระกูลลัวก็ยกอาวุธของพวกนางไปด้วยปราณ กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงเคร้งและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นพยุหะกระบี่ใหญ่มหึมา แม้ว่าคมกระบี่เหล่านั้นจะมากมายเหลือพรรณนา และดูเหมือนพุ่งฉวัดเฉวียนไปทั้งซ้ายและขา แต่พวกมันก็ไม่เสียกระบวนเลยแม้แต่น้อย

“แปดเสาสวรรค์!” ฟางไฉ่ตีตะโกนออกไป และยักษ์ภูเขามากมายข้างหลังนางก็พลันก่อกันเป็นเสากลมใหญ่มหึมาที่สามารถค้ำยันฟ้าและดิน ยักษ์ภูเขาแปดตนก้าวออกไปข้างหน้า และดึงเอาเสาทั้งแปดนี้ออกมาพาดบ่าด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า

ตระกูลอื่นๆ ก็ขับเคลื่อนกระบวนท่าของตนเองพลางจับจ้องไปยังเงาร่างที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยความกระวนกระวาย แม้แต่หลิ่วหรูยินและหลิ่วเจินชิงก็ยังเต็มไปด้วยความวิตก พวกนางมายังเบื้องหน้าโลงศพทองคำ พร้อมที่จะปลดปล่อยศพข้างในนั้นออกมาเมื่อใดก็ตาม

ฉินมู่สะท้านใจ เพียงแค่ป้าโก่วเพียงผู้เดียวก็แทบจะกดดันให้ตระกูลใหญ่ทั้งหลายงัดไม้ตายของพวกนางออกมาทั้งหมด เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความน่าเกรงขามของป้าโก่ว!

ชายแซ่อวี้จากเหนือฟ้าผู้นี้ ทำให้ทุกตระกูลใหญ่ในแผ่นดินตะวันตกกระสับกระส่ายขนาดนี้ได้อย่างไร ราวกับว่าพวกเขาพบเจอศัตรูอันยิ่งใหญ่!

ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะพิศวงสงสัย ในแผ่นดินตะวันตก มีค่ายสำนักไม่มากเท่ากับในสันตินิรันดร์ และส่วนใหญ่แล้วค่ายสำนักพวกนั้นก็ถูกปกครองโดยตระกูลใหญ่มากอิทธิพลเหล่านี้ กำลังฝีมือของสิบสุดยอดตระกูลนั้นมิใช่เรื่องเล่นๆ และตระกูลเหล่านี้ทั้งหมดก็มีความเลิศล้ำเป็นของตนเอง อย่าว่าแต่เพียงแค่อาคันตุกะของเหนือฟ้า ต่อให้เทพเจ้าลงมาเอง เหล่าตระกูลใหญ่ก็ไม่น่าจะระวังไวขนาดนี้

ป้าโก่วจะต้องมิใช่เพียงแค่อาคันตุกะของเหนือฟ้าอย่างแน่นอน

เมื่อเงาร่างนั้นเข้ามาใกล้พอ ฉินมู่ก็ตระหนักว่าป้าโก่วมิได้มีหน้าตาดุร้ายถมึงทึงอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้ ในทางกลับกัน เขาเป็นบุรุษที่มีรูปลักษณ์อันเหนือธรรมดา ร่างของเขาสูงและแข็งแกร่ง ขณะที่เครื่องหน้าของเขาหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง

เสื้อผ้าที่เขาใส่ทำจากวัสดุปริศนาที่พาดไปพาดมา แต่ละเส้นใยผ้าดูราวกับจะถักทอขึ้นมาจากอักษรรูน และเป็นครั้งเป็นคราวนั้น ก็มีมีประกายแสงอันแทบจะจับต้องไม่ได้ปรากฏขึ้นมาจากเส้นใย

เสื้อผ้าของเขาเข้ารูปเหมาะตัว และแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีไขมันส่วนเกิน

การแต่งกายของเขาเป็นไปตามธรรมเนียมของบุรุษจากแผ่นดินตะวันตก ด้วยผ้าขาวที่โพกไว้บนศีรษะ และโซ่ทองอันห้อยโยงไปมาบนผ้าโพกนั้น แต่ทว่าไม่เหมือนกับชายคนอื่นๆ เขามีเครื่องประดับเพียงน้อยชิ้น

สันจมูกเขาโด่ง แต่สายตาเขาอ่อนโยน ให้ความรู้สึกแช่มชื่นแก่ผู้แรกพบเขา

เมื่อฉินมู่มองดูเขา เขาก็รู้สึกว่าชายผู้นี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเทพครองแดนหยกแห่งเหนือฟ้า ครั้งหนึ่งฉินมู่เคยได้เห็นซากสังขารของบุคคลที่ว่ากันว่าเป็นชายที่งดงามสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเขาจะถูกจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสังหารไปแล้ว แต่รูปโฉมของเขาก็ยังเลิศล้ำเหนือธรรมดา

อารมณ์บรรยากาศของเขาดูคล้ายกับซวีเซิงฮวา

ฉินมู่เพ่งพิศดูและค่อนข้าตกตะลึง เขาพบว่ากิริยาท่วงทีของป้าโก่วก็ยังคล้ายคลึงกับราชครูสันตินิรันดร์อีกต่างหาก!

กิริยาท่วงทีของซวีเซิงฮวานั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหล้าไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาได้เข้ามาในโลกปุถุชนจากแดนเบื้องบนขึ้นไป และโลกียวิสัยย่อมมิอาจแปดเปื้อนเขา นี่ก็เกี่ยวกับวิชาที่เขาฝึกปรือด้วย แม้ว่าฉินมู่ได้ลากเขาลงมายังแดนปุถุชนแล้ว เรื่องราวทางโลกทั้งหลายก็ยังคงยากที่จะเปลี่ยนแปลงเด็กหนุ่มอันพิเศษเหนือธรรมดาผู้นั้น เขายังคงดูเหมือนว่าจะสามารถละวางเรื่องทางโลกและจากไปได้ตลอดเวลา

ในทางกลับกัน ราชครูสันตินิรันดร์ ดูเย็นชาและเคร่งเครียดจริงจังทั้งในคำพูดและการกระทำ มันเป็นทัศนติไร้เทียมทานของการมองลงมายังภูเขาลูกย่อมกว่าจากเบื้องบน หลังจากที่ได้ปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแล้ว

เขาเป็นปรมาจารย์ผู้มีความสำเร็จเลิศล้ำเกินธรรมดา และเป็นผู้ที่มีแต่การปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงในหัวใจเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ในโลกหล้าถูกเขาโยนทิ้งไปทั้งหมด และสิ่งที่กีดขวางการปฏิรูปของเขาก็เป็นแค่ก้อนหินไร้ค่าที่กีดขวางทาง เขาจะใช้วิธีการอันเฉียบขาดดุดันในการจัดการกับพวกมันทั้งหมด

ป้าโก่วแห่งเหนือฟ้าถึงกับมีอารมณ์บรรยากาศของซวีเซิงฮวา และกิริยาท่วงทีของราชครูสันตินิรันดร์ในเวลาเดียวกัน

“ประมุขเหอ” ชายที่โพกผ้าปักลายผู้นี้เหาะเข้ามาและคารวะทักทายเหออีอีและคนอื่นๆ “ประมุขมู่ ประมุขหลิ่ว ประมุขฟาง…”

แม้ว่าเขาและพวกนางจะเป็นศัตรูกัน แต่ทุกคนก็คารวะทักทายตอบ “ป้าโก่ว”

ชายในผ้าโพกหัวปักลายมองมายังฉินมู่ ยิ้มจนเห็นฟันเมื่อกล่าวทักทายเขา “กษัตริย์มนุษย์ฉิน”

ฉินมู่สะท้านใจเมื่อเขาคารวะตอบกลับไป “ป้าโก่ว เรียนถามได้หรือไม่ว่าท่านรู้จักตัวตนอันต่ำต้อยไร้ความสำคัญอย่างข้าได้อย่างไร”

“กษัตริย์มนุษย์ฉิน ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะต้องถ่อมตนจนเกินควร” ชายในผ้าโพกหัวกล่าว “ข้านั้นคอยให้ความสนใจแก่กษัตริย์มนุษย์ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเสมอ สำหรับกษัตริย์มนุษย์รุ่นก่อน ข้าถึงกับลงมายังแดนต่ำใต้ด้วยตนเอง เจ้าน่าจะได้เห็นแล้วใช่ไหมว่าแขนขาทั้งสี่ของเขาเป็นอย่างไร”

เขายื่นมือออกไปในท่าคว้าจับ และสตรีนางหนึ่งแห่งตระกูลมู่ก็ลอยไปหาเขาอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นางพยายามดิ้นรน แต่ก็ไร้ผล

ชายในผ้าโพกหัวปักลายชักกระบี่ของเขาออกมา และแขนที่ถูกตัดสะบั้นก็ร่วงลงมาข้างหนึ่ง เขาโบกมือของเขาอย่างแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม และแขนที่ถูกตัดข้างนั้นก็ลอยตรงไปหาฉินมู่ “จ้าวลัทธิฉิน โปรดชมดู”

หางตาของฉินมู่กระตุกเมื่อปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งออกศึกษาพิจารณารอยแผลนั้นอย่างถี่ถ้วน คิ้วของเขาขมวด และเขาก็ร้องด้วยเสียงพร่า “แผลกระบี่แบบเดียวกันไม่มีผิด”

“เป็นข้าเอง” ชายในผ้าโพกหัวยิ้มอบอุ่นให้แก่เขา “ดูเหมือนว่าเขาไม่ซ่อนแผลกระบี่จากสายตาเจ้า”

ข้างหลังพยุหะสังหารของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่กำลังซ่อนตัวอยู่ ไม่เข้ามาใกล้ แต่ทว่าเมื่อราชครูสันตินิรันดร์เห็นแสงกระบี่ของชายในผ้าโพกหัวปักลาย สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว และเสียกระบวนทันที “แย่ล่ะ! ข้ารู้ที่มาของป้าโก่วคนนี้! เร็วเข้า ตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตกจะต้องถอยทัพ!”

เสียงซีอวี่ส่ายหัว “ลูกธนูได้น้าวขึ้นสายไปแล้ว และไม่มีทางอื่นใดนอกจากปล่อยมันออกไป พวกเราถอยไม่ได้แล้วต่อให้อยากจะทำก็ตาม ทำไมจู่ๆ ราชครูก็พลันเสียกิริยาท่าทีล่ะ”

ราชครูสันตินิรันดร์สูดลมหายใจลึกยาวและประกายตาเขาก็วูบวาบ “ข้าจดจำเพลงกระบี่นี้ได้ เต๋ากระบี่นี้! มันคือเพลงกระบี่ที่สะบั้นแขนขาทั้งสี่ของกษัตริย์มนุษย์เฒ่า ชายผู้นี้มิได้มาจากตระกูลอวี้แห่งเหนือฟ้า แต่เป็นเทพเที่ยงแท้จากแดนเบื้องบน!”

ตรงหน้ากระบวนพยุหะ ฉินมู่พลันผ่อนคลายและแย้มยิ้มโดยไร้วี่แววของความว้าวุ้น “ร่างจริงของเจ้าคงลงมาในแดนต่ำใต้ไม่ได้สินะ? หากว่าลงมาได้ เจ้าจะยังซ่อนตัวเหมือนแมลงวันแมลงหวี่ในแผ่นดินตะวันตกอยู่หรือ เช่นนั้นในเมื่อนี่มิใช่ร่างที่แท้จริงของเจ้า…” เขายื่นมือออกไป สีหน้าของเขาพลันป่าเถื่อนดุร้าย “กระทืบเจ้าให้ตายก็คงจะไม่ลำบากอะไร!”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท