ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 465 อสุนีบาตในแผ่นดินตะวันตก

ตอนที่ 465 อสุนีบาตในแผ่นดินตะวันตก

ค่ายกลหินใหญ่มหึมาแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อลูกบาศก์จำนวนนับไม่ถ้วนจัดเรียงและประกอบเข้าด้วยกันอย่างเหมาะเจาะ ก่อขึ้นมาเป็นพยุหะศิลาที่ลอยเลื่อนอยู่กลางอากาศและพุ่งเข้าไปยังสนามรบ

ฉินมู่ยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่ยกขึ้นและลง เขาเฝ้ามองลูกบาศก์ทุกขนาดที่เคลื่อนที่ไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน บางครั้งพวกมันก็ก่อเป็นกำแพง บางครั้งพวกมันก็กระจัดกระจายไปราวกับควัน

ความสำเร็จวิชาพยุหะของเหออีอีนั้นสูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง เมืองต้นไผ่เข้าร่วมการรบภายใต้การควบคุมของนาง และเปิดเส้นทางให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะตระกูลเหอที่อยู่ข้างหลัง

ครืน

ยักษ์ภูเขาถลันเข้ามาพร้อมกับอาวุธของมันอันดูพิลึกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นตะบองหนาที่มีรูปลักษณ์ของภูเขาและมีระฆังสำริดทุกชนิดขนาดอยู่บนนั้น แต่ทว่าแม้ระฆังใบที่เล็กที่สุดก็ยังใหญ่จนน่าแตกตื่น

ยักษ์ภูเขาฟาดไม้ตะบองลงไปยังกระบวนพยุหะเมืองต้นไผ่ ในทันใดนั้น ระฆังที่ห้อยอยู่ก็ดังเหง่งหง่าง และคลื่นเสียงอันน่าสะพรึงกลัวก็ถล่มเข้าใส่เมืองต้นไผ่ บดขยี้ก้อนหินมากมายให้แหลกเป็นชิ้นๆ

เหออีอีรีบแปรเปลี่ยนกระบวนพยุหะของนางทันที และหินก้อนใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้าไปเกาะติดกับตะบองนั้น ในเสี้ยววินาที อาวุธอันน่าสะพรึงกลัวก็ถูกห่อหุ้มไปจนหมด และเสียงเหง่งหง่างของระฆังก็ระงับดับไป

ยักษ์ภูเขาพยายามอย่างหนักเพื่อจะเงื้อตะบองขึ้น แต่ไม่ทันที่มันจะได้เหวี่ยงซัด มันก็เห็นก้อนหินใหญ่จำนวนมากร่วงลงจากตะบองไปที่แขนของมัน

เหออีอีขับเคลื่อนกระบวนพยุหะ และพลานุภาพของมันก็แผ่พุ่งออกไป บีบทำลายแขนของยักษ์ภูเขาจนแตกหัก

ยักษ์ภูเขาตนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกรู้สา ก็ในเมื่อมันเอื้อมมืออีกข้างคว้าจับเข้ามาในกระบวนพยุหะ มันพยายามจะจับตัวเหออีอี แต่แขนข้างนี้ก็ถูกก้อนหินใหญ่ห่อหุ้มในเวลาไม่นาน กลายเป็นหนาหนักขึ้นทุกทีๆ

“วิชาพยุหะของตระกูลเหอ เหนือธรรมดาจริงๆ!” ฉินมู่ออกปากชม และพลันกระโดดออกไปจากค่ายกลเมืองต้นไผ่ เขาขึ้นไปเหยียบบนแขนของยักษ์ภูเขา และกระโดดไปมารอบๆ ราวกับเหินบิน พุ่งไปยังศีรษะของมัน

บนยอดเขา มีสนามรบอีกแห่งหนึ่ง อันผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งตำหนักสวรรค์แท้เผชิญหน้ารับมือกับผู้ฝึกวิชาเทวะตระกูลกง ทั้งสองฝ่ายต่างก็สู้กันอย่างดุเดือดบนยอดเขา แต่ก็ติดพันกันไปมาโดยไม่มีผู้ใดได้เปรียบ

ฉินมู่ทะยานเข้าไป และลูกกลมแสงสีเงินก็ระเบิดออกด้วยการโบกมือเพียงวูบเดียวของเขา มันคือไจกระบี่อันมีเส้นผ่านศูนย์กลางสองคืบ มันผงาดขึ้นไปบนท้องฟ้าและหมุนปั่นอย่างรวดเร็ว กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากข้างในนั้น พวกมันกลายเป็นแสงกระบี่ และยิงทะลวงผ่านฝูงคนที่กำลังตะลุมบอน

ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานทั้งสิบเจ็ดถูกปลดปล่อยออกมา และแต่ละท่วงท่าก็มีการเปลี่ยนแปลงนับร้อยนับพัน กระบี่แปดพันเล่มและการเปลี่ยนแปลงสิบเจ็ดท่วงท่าก็กลบกลืนยอดฝีมือสตรีทุกคนที่อยู่บนยอดเขา ฉินมู่กระโดดลงจากภูเขา กระบี่แปดพันเล่มเบื้องหลังเขาก็ราวกับลมอันเป่าก้อนเมฆ ตามเขามาติดๆ พวกมันส่งเสียงเคร้งคร้างเมื่อไหลบ่ากลับเข้าไปในไจกระบี่เหนือศีรษะเขา

บนยอดเขา ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตำหนักสวรรค์แท้ทั้งหมดล้มคว่ำลงไปและเสียชีวิต มีก็แต่ผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงแห่งตระกูลกงที่ยังเหลือรอด

ครึ่งทางลงจากภูเขา มังกรตฤณชาติก็เหาะออกมา และรับฉินมู่เอาไว้ ประมุขซีแห่งตระกูลซียืนอยู่บนหัวของมัน และข้างๆ นาง เถาวัลย์เขียวมากมายก็โจนทะยานไปราวกับฝูงมังกรไร้เขา

พวกมันงอกเงยออกมาอย่างบ้าคลั่ง ผลิดอกและออกผล เถาวัลย์เขียวจำนวนนับไม่ถ้วน แบกเอาผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงแห่งตระกูลซีไต่ขึ้นไปบนร่างกายของยักษ์ภูเขา พลางหยั่งรากของมันเข้าไปในระหว่างก้อนหินภูเขา

ผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ขับเคลื่อนทักษะเทวะของพวกนางเพื่อทำให้ต้นหญ้า ต้นไม้ และเถาวัลย์งอกขึ้นมาบนร่างกายของยักษ์ภูเขาและแยกชิ้นส่วนพวกมันออกจากกัน

ทันใดนั้น คลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากลูกแก้วหงส์แดง และนกหงส์แดงตัวใหญ่มหึมาก็กระพือปีกของมัน ทะเลเพลิงอันโหมไหม้โถมพุ่งเข้าใส่ซีอวี่ถิงที่อยู่ท่ามกลางภูเขา

นางยืนอยู่บนหัวของมังกรตฤณชาติและร่ายเวทมนตร์ แสงสีเขียวห่อหุ้มนางและก่อขึ้นมาเป็นลูกบอลต้นหญ้าขนาดใหญ่เพื่อเผชิญกับทะเลไฟ

ในพริบตาถัดมา มันก็ถูกเผาผลาญโดยเพลิงไฟอันเกรี้ยวกราด และเมื่อทะเลเพลิงผ่านไปแล้ว ก็เหลือหญ้าที่มาประกอบเป็นลูกบอลหญ้าเพียงแค่พอเห็นเป็นโครง

จากนั้นมันก็ปริเปิด และซีอวี่ถิงก็พาฉินมู่ทะยานสูงขึ้นไปๆ บนท้องฟ้า ด้วยความช่วยเหลือจากเถาวัลย์เขียวที่นางยืนอยู่

ฉินมู่กระโดดลงมาจากมันและสะกิดเท้าพุ่งปราดผ่านอากาศ เขายื่นมือออกไปคว้าจับสิ่งที่อยู่บนหัวเขา และดึงกระบี่ไร้กังวลออกมาจากไจกระบี่

กระบี่ไร้กังวลขยายขนาดออกไป และกระบี่หลายพันเล่มนั้นก็ทยอยเข้าไปรวมกับมันอย่างต่อเนื่อง

ฉินมู่ตกลงไปอย่างรวดเร็วขึ้นทุกทีๆ และรัศมีของเขาก็ทรงพลังมากขึ้นและมากขึ้น ในพริบตาถัดมา เสียงระเบิดดังกึกก้องเมื่อร่างของเขาร่วงลงปะทะกับยอดเขา ยักษ์ภูเขาอันใหญ่โตมโหฬารที่เป็นเจ้าของยอดเขานั้นก็เซแซ่ดๆ จากแรงกระแทก

เมื่อฉินมู่ลงถึงพื้น แรงกระแทกอันแตกตื่นสะท้านขวัญก็สร้างวงแหวนแรงกดดันที่เป่าศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้เกือบทั้งหมดกระเด็นไป เหลือไม่กี่คนที่อยู่ในขั้นเจ็ดทิศและชาวสวรรค์ ซึ่งยังพอหยัดยืนได้อยู่

แต่คลื่นเสียงอึงอลอันเกิดจากแรงระเบิดนั้นไม่มลายไป ห้วงมิติสั่นสะท้านและครางหึ่ง มันเกิดจากการที่กระบี่ไร้กังวลเฉือนตัดลงไปผ่านยักษ์ตนนั้น

ตูม!

จังหวะถัดมา เสียงแตกเปรี๊ยะลั่นออกมาจากศีรษะของยักษ์ภูเขา รอยร้าวใหญ่มหึมาแผ่ขยายไปจากใจกลางหัวของมัน แม้ว่าฉินมู่จะมิได้ผ่าหัวมันแยกเป็นสองเสี่ยง แต่พลานุภาพของกระบี่เขามิใช่น้อยๆ

เมื่อกระบี่ไร้กังวลฟาดฟันลงไปอีกครั้ง กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็พรั่งพรูออกจากในตัวมัน และเฉือนตัดไปข้างหน้า ในเสี้ยววินาที กระบี่บินแปดพันเล่มก็เฉือนแหวกอากาศจากยอดเขาหนึ่งไปยังอีกยอดเขาหนึ่ง

แขนขาฉีกขาดร่วงกราวลงมา และไม่ทันที่พวกมันจะร่วงลงถึงพื้น ฉินมู่ก็ไปทะยานไปข้างหน้า แสงกระบี่พุ่งวูบวาบและเฉือนไประหว่างยอดฝีมือสองคนแห่งตำหนักสวรรค์แท้ซึ่งมีวรยุทธขั้นชาวสวรรค์

สตรีทั้งสองนางตั้งตัวไม่ติด และก็ได้รับบาดแผลจำนวนมาก เมื่อเขาเข้ามาประชิด ทั้งสองก็ว้าวุ่นร้อนรนราวกับผีเสื้อที่บินพั่บๆ

แต่ถึงอย่างไร สองสตรีนี้ก็เป็นยอดฝีมือแห่งตำหนักสวรรค์แท้ แม้ว่าพวกนางจะไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิด และถูกฉินมู่โจมตีจนบาดเจ็บ พวกนางก็ยังเหนือกว่าในด้านความเข้มข้นของพลังวัตร อันเลิศล้ำกว่าฉินมู่ไปหลายขุม ไม่นาน พวกนางก็เริ่มตั้งตัวได้

จิตวิญญาณดั้งเดิมของหญิงทั้งสองเหาะออกมา และขณะที่พวกมันจะขยายตัวขึ้นไปกลางฟากฟ้า พร้อมที่จะขย้ำใส่ฉินมู่ มังกรตฤณชาติก็พลันทะลวงมาจากเบื้องล่าง และขยายตัวใต้เท้าของพวกนาง รัดพันเอาไว้อย่างรวดเร็ว

ขณะที่ประมุขซีอวี่ถิงกระโดดลงไปเหยียบบนหัวยักษ์ภูเขา ฉินมู่ก็กระโดดขึ้นไป ที่หว่างคิ้วของยอดฝีมือทั้งสองนั้นพลันมีรอยแดงปรากฏ ร่างเนื้อของพวกนางถูกกระบี่ไร้กังวลเสียบแทง และสมองก็ถูกทำลาย

ซีอวี่ถิงลงมาช้ากว่าฉินมู่ไปเพียงก้าวเดียว แต่เขาก็ได้ขจัดกวาดล้างผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตำหนักสวรรค์แท้บนยอดเขานี้จนหมดสิ้น มีแต่เพียงสองยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ที่ยังหลงเหลือ

นางรู้ว่าหากยอดฝีมือทั้งสองนี้สามารถปลดปล่อยจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมาได้ ฉินมู่ก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางและอาจจะถูกสังหารแทน ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะพันธนาการร่างเนื้อของทั้งสองเอาไว้ก่อน

แต่ถึงอย่างไร นางก็ไม่คาดคิดเลยว่าฉินมู่จะปิดฉากการต่อสู้ด้วยรวดเร็วเพียงนี้ นางเพิ่งจะลงมาเหยียบแตะยอดเขา แต่ฉินมู่ก็ได้สังหารยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว

ซีอวี่ถิงมองไปและเห็นเขาวิ่งทะบึงข้ามเวหา กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงหวีดหวือเมื่อมันพุ่งไปข้างหน้า เรียงรายเป็นเส้นทางใต้เท้าของเด็กหนุ่มเพื่อพาเขาบุกไปยังทิศไกลๆ

“จ้าวลัทธิมารฟ้าเหนือธรรมดาจริงๆ!” ซีอวี่ถิงอุทาน

ฉินมู่พุ่งถลันไปยังยักษ์ภูเขาตนอื่น และบัดนี้ก็พลันมีรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากตำหนักสวรรค์แท้ ยอดยุทธฝีมือแกร่งของตำหนักได้เข้ามาร่วมศึกในสมรภูมิ

จำนวนยอดฝีมือในตำหนักสวรรค์แท้มิใช่น้อยๆ เลย คราวนี้น่าจะเป็นชนชั้นผู้อาวุโสที่ลงมือแล้วสินะ? เป้าหมายของพวกนางน่าจะเป็นประมุขของตระกูลต่างๆ!

ขณะที่ฉินมู่คิดเช่นนั้น เขาก็เห็นมู่ยิ่งเสว่บนเมฆขาวกำลังเผชิญกับยอดฝีมือตำหนักสวรรค์แท้ ข้างหลังนางคือฝูอวิ๋นซีที่กำลังขับเคลื่อนทักษะเทวะควบคุมก้อนเมฆจากข้างหลัง

ฉินมู่เก็บกระบี่ของเขา และขับเคลื่อนวิชาขาเทวะขโมยสวรรค์เพื่อตะบึงไปหาอย่างไม่คิดชีวิต เขาตามมู่ยิ่งเสว่ทันภายในไม่กี่อึดใจ และเหยียบลงข้างๆ กายนางบนก้อนเมฆ

“เจ้าแพร่พิษ! ข้าจะเสริมบำรุง!”

ทั้งสองคนหันไปมองตากันและกันด้วยรอยยิ้ม

พวกเขาเผชิญกับยอดยุทธฝีมือแกร่งแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ผู้อาวุโสหลายคนในวรยุทธขั้นเป็นตายผู้ซึ่งกำลังปลดปล่อยจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกนางออกมา จิตวิญญาณดั้งเดิมเหล่านั้นมีรูปลักษณ์ของเทพยดาแห่งกายาวิญญาณทั้งสี่ และพุ่งทะลวงเข้ามายังฉินมู่และมู่ยิ่งเสว่

พวกเขาทั้งสองดีดนิ้วออกไป หนึ่งแพร่พิษ และอีกหนึ่งเสริมบำรุง ฝ่ายหลังนั้นสนับสนุนโดยเพิ่มพูนความเป็นพิษเข้าไปอีกทบทวี และเมื่อพวกเขาทั้งของขับเคลื่อนวิชาของตน ทะเลเมฆก็กวาดซัดผ่านพวกเขาไป พาเอาพิษเหล่านั้นไปยังเหล่าผู้อาวุโสแห่งตำหนักสวรรค์แท้ มันเป็นการโจมตีของฝูอวิ๋นซี

ทะเลเมฆโถมซัดและกลืนกินผู้อาวุโสทั้งหลายแห่งตำหนักสวรรค์แท้ พร้อมๆ กับจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกนาง

พวกนางล้วนแต่เลิศล้ำไม่ธรรมดา และขับเคลื่อนกระบวนท่าทุกชนิดประเภทเพื่อทำลายทะเลเมฆ แต่ทันใดนั้น สีหน้าของหญิงสาวทั้งหลายก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เมื่อเนื้อหนังของพวกนางเริ่มจะละลายเป็นน้ำหนอง และจิตวิญญาณดั้งเดิมก็กำลังแหลกสลาย ไม่นานนัก พวกนางก็แปรเปลี่ยนเป็นกองกระดูกแห้งที่ร่วงกราวลงไปกับพื้น

เมื่อยอดฝีมือวิชาพิษอันดับสามและอันดับสี่แห่งโลกหล้าร่วมมือกัน แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่อาจรับมือได้ อย่าว่าแต่เพียงแค่ผู้อาวุโส!

ฉินมู่และมู่ยิ่งเสว่แยกจากกัน และพุ่งไปยังยักษ์ภูเขาตนอื่น

ตึงๆๆ

ยักษ์ภูเขาถล่มลงไป และร่างกายใหญ่มหึมาของมันก็ร่วงกระจายลงกับพื้น ทำให้เกิดแผ่นดินสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงโห่ร้องยินดีดังมาจากพวกผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลเหอ และตามด้วยเสียงครืนครันอีกครั้ง ยักษ์อีกตัวได้ล้มลงไปตามติดๆ

ตระกูลใหญ่ทั้งหลายร่วมมือกัน และสองตาพวกนางก็แดงฉานจากการเข่นฆ่า หลังจากล้มยักษ์ภูเขาทั้งหลายได้แล้ว ตระกูลฟางก็แยกชิ้นส่วนพวกมันเพื่อเปลี่ยนเป็นยักษ์เนินเขาขนาดเล็กลงเป็นร้อยตนเพื่อดำเนินศึกต่อ เมื่อผนวกกับพยุหะค่ายกลของตระกูลเหอ การโจมตีภูมิอากาศของตระกูลฝู ต้นหญ้าและต้นไม้ของตระกูลซี แม่น้ำสายยาวและเชี่ยวกรากของตระกูลกง พิษของตระกูลมู่ และเพลงกระบี่ของตระกูลลัว แสนยานุภาพของกองกำลังปฏิวัติก็ยิ่งเพิ่มพูนเข้าไปทุกขณะจิต

ไม่ช้านาน การต่อสู้ก็ค่อยๆ เงียบลง ในเมื่อมีเพียงแต่ยักษ์เนินเขาสองสามพันตนที่ยังเหลืออยู่เท่านั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะจากตระกูลต่างๆ มากมายยืนหอบหายใจท่ามกลางก้อนหินต่างๆ ระเกะระกะ ยักษ์ภูเขาของตำหนักสวรรค์แท้ถูกพวกนางกำจัดไปจนหมดสิ้น

ผู้ฝึกวิชาเทวะสตรีเป็นหมื่นคนเงยหน้าขึ้นไปมองยังตำหนักสวรรค์แท้อันอยู่สูงเหนือหัวพวกนาง

ในที่สุดพวกนางก็สำเร็จแผนการขั้นแรก พวกนางได้เผชิญหน้ากับแดนศักดิ์สิทธิ์ และกำลังจะย่างเท้าเข้าไปในสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์เทวาสิทธิราชแห่งแผ่นดินตะวันตก!

แม้ว่าพวกนางจะได้เสียสละพี่สาวน้องสาวไปมากมาย การล้มล้างตำหนักสวรรค์แท้ก็ยังคงเป็นความสำเร็จอันเลิศล้ำเกินจะหยั่งที่การเสียสละของมรณสักขีทั้งหลายควรค่าแก่มัน!

ตำหนักสวรรค์แท้เงียบงัน ทันใดนั้น เสียงของทองคำและโลหะเสียดสีกันก็ดังออกมา รัศมีเทพค่อยๆ แผ่พุ่ง ทรงพลังยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น ด้วยตำหนักสวรรค์แท้เป็นศูนย์กลาง รัศมีเทวะก็กำจรไปทั่วทุกทิศทาง สะกดข่มผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งทุกแซ่ตระกูล พวกนางพบว่าแม้แต่จะหายใจก็ยังยากเย็น

เสียงเคร้งคร้างของโลหะดังมากขึ้นทุกทีๆ และในท้ายที่สุด รูปปั้นทองคำก็ก้าวเดินออกมาจากประตูราชวังด้วยดวงตาที่ปิดสนิท ร่างของมันแข็งแกร่ง และสูงกว่าสิบห้าวา อักษรรูนบนร่างของรูปปั้นกะพริบไปมาด้วยแสงวูบวาบ

เทวรูปลืมตาขึ้นมา และแสงเทวะก็ฉายขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะกวาดลงมายังพื้นดิน เทวรูปนี้ดูราวกับเทพเจ้าที่มีชีวิต!

ในอึดใจถัดมา เทวรูปอีกตนก็เดินออกมา ตามมาด้วยตนที่สาม สี่ ห้า…

รูปปั้นเทพเจ้าเจ็ดตนก้าวออกมาจากตำหนักสวรรค์แท้ และยืนอยู่ที่หน้าประตู แสงเทวะจากดวงตาของพวกมันส่องสว่างไปทุกหนทุกแห่ง

พวกมันคือเทวรูปที่ถูกปลุกขึ้นมาโดยวิชาปลุกพรายวิญญาณ พวกมันผ่านการปลุกเสกยาวนานตั้งไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี จนกระทั่งกลายเป็นแข็งแกร่งอย่างผิดธรรมดา ราวกับเทพเจ้าที่แท้จริง

เสียงโกร่งกร่างดังมาจากตำหนักสวรรค์แท้ และผู้ฝึกวิชาเทวะกว่าหมื่นคนจากตระกูลอวี้ก็พากันเดินออกมา เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ ปรากฏขึ้นที่ใต้ประตูตำหนัก มองลงไปยังนักรบทั้งหลายที่กำลังเตรียมจู่โจมตำหนักของนาง บนใบหน้าเจ้าตำหนักมีแววเย้ยหยันปรากฏ

โลหิตในกายของทุกคนเย็นเฉียบ ผู้คนเป็นหมื่นล้มตายหรือไม่ก็บาดเจ็บเพียงเพื่อแค่กำจัดยักษ์ภูเขาที่เฝ้าประตูตำหนักเท่านั้น กระนั่นมันก็ยังเป็นเพียงแสนยานุภาพผิวเผินของตำหนักสวรรค์แท้ พละกำลังใจกลางของตำหนักยังคงอยู่ดี และยิ่งน่าสะพรึงกลัวกว่าเดิม!

เทวรูปทั้งเจ็ดนั้นอาจเพียงเพียงพอที่จะกวาดล้างตระกูลใหญ่ทั้งหมดได้!

ผนวกกับผู้ฝึกวิชาเทวะเรือนหมื่นของตระกูลอวี้ กองกำลังกบฏคงมีแต่หนทางตายเพียงสายเดียว!

ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นความสิ้นหวังฉายชัดบนใบหน้าของทุกๆ คน ไม่เว้นแม้แต่เหออีอี ฟางไฉ่ตี และลัวอิ๋นอวี้

เขาเดินไปยังข้างๆ ฝูอวิ๋นซีและเอ่ยถาม “พี่สาวอวิ๋นซี ท่านสามารถควบคุมปรากฏการณ์ภูมิอากาศได้ แล้วท่านควบคุมอสุนีบาตได้หรือไม่”

ฝูอวิ๋นซีผงกหัวและกล่าวด้วยความเศร้า “ตระกูลฝูของข้าเชี่ยวชาญในการควบคุมปรากฏการณ์ภูมิอากาศในแผ่นดินตะวันตก แต่ดูท่าว่าพวกเขากำลังจะพ่ายแพ้…”

ฉินมู่ยิ้มกล่าว “พวกท่านสามารถควบคุมอสุนีบาตได้มากแค่ไหนหรือ”

ฝูอวิ๋นซีตะลึงไปจากคำพูดของเขา และหันไปมองหน้าฉินมู่

ฉินมู่นำรังมังกรแท้ออกมาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “มังกรอ้วน มานี่!”

กิเลนมังกรรีบวิ่งเข้ามาทันที และฉินมู่กระโดดขึ้นขี่หลังของเขา เขานำเอาหม้อห้าอสุนีบาตออกมา และวางมันไว้บนหัวกิเลนมังกร

มังกรอ้วนรู้สึกหนาวเยือกถึงกระดูกสันหลังและรีบหัวเราะฝืดๆ “จ้าวลัทธิ กษัตริย์มนุษย์ นายท่านฉิน! ท่านจะทำอะไรน่ะ? สัตว์เลี้ยงน้อยๆ ของท่านทั้งเนื้อหนังบอบบางกระดูกก็เปราะ ข้าจะทนสายฟ้านับหมื่นผ่าใส่โดยไม่ตกตายไปได้อย่างไร”

“มียอดฝีมือตระกูลฝูอยู่ เจ้าจะไม่เจ็บตัวสักนิดแน่นอน ลุกขึ้นแล้วบินไปข้างหน้า” ฉินมู่ปลอบโยนเขา

กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้มอย่างหยุดไม่อยู่ เขาเหยียบเมฆอัคคีแล้วเหาะเหินขึ้นไป

ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “พี่สาวอวิ๋นซี ให้ศิษย์ตระกูลฝูทุกคนตามข้ามา!”

เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ฉีกยิ้มเมื่อนางเห็นกิเลนมังกรแบกฉินมู่เข้ามา เขาแสยะยิ้มกลับไปให้นาง และทันใดก็ซัดไจกระบี่ขึ้นไป มันปริกระจายออก และกระบี่แปดพันเล่มที่แทงไปยังหม้อห้าอสุนีบาตอย่างพร้อมเพรียงกัน!

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท