ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 461 คะนึงหา อย่าลืมข้า

ตอนที่ 461 คะนึงหา อย่าลืมข้า

มู่ยิ่งเสว่ซึ่งอยู่ในชุดดำ ตะลึงไป นางกำถุงหอมในมือไว้อย่างแน่นแฟ้น จากนั้นก็พลันระเบิดน้ำตาออกมา

นางและฉินมู่เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่พบพานกันโดยบังเอิญ การที่จะกล่าวถึงความรู้สึกลึกล้ำอะไรนั่นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ในตอนนั้น นางเพียงแค่มีความประทับใจแง่บวกต่อเขาเท่านั้น และรู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่เลว เขายังมีบุคลิกลักษณะอันสง่างามที่สอดคล้องกับรสนิยมของนางอีกด้วย

สำหรับอาจารย์พิษแล้ว ยากนักที่จะหาชายซึ่งมีวาสนาผูกพันกับนางได้ ส่วนใหญ่แล้วก็จะกลัวนางจนแทบตาย หรือไม่ก็ตายเพราะถูกนางวางยาพิษไปหมด

แต่ฉินมู่เป็นผู้ที่สามารถรับตัวตนของนางได้

ผู้คนแห่งแผ่นดินตะวันตก เคารพนับถืออาจารย์พิษ แต่ไม่มีใครกล้ารักพวกนาง

มีอาจารย์พิษรุ่นก่อนๆ จำนวนไม่น้อยที่แก่ตายอย่างเดียวดาย พวกนางมีนิสัยใจคอประหลาด และวิธีการก็อำมหิต ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครกล้ารักใคร่พวกนาง

ฉินมู่ได้เก็บรักษาถุงหอมที่นางมอบให้เขา ถั่วแดงกำนั้น และได้นำมันติดตัวมาด้วยเมื่อมายังเมืองขุนเขาสายฟ้าแห่งแผ่นดินตะวันตกเพื่อตามหานาง มู่ยิ่งเสว่ได้กล่าวว่านางรู้ว่าเขามิได้มาหานาง แต่เมื่อนางมองไปยังถุงบรรจุถั่วแดงพวกนั้น ด้านที่อ่อนแอในเบื้องลึกหัวใจนางก็ถูกแตะต้อง

คนแปลกหน้าอาจพบพานโดยบังเอิญ มีความคะนึงหากันและกันโดยไม่รู้ตัว

ฉินมู่มิได้มายังแผ่นดินตะวันตกเพียงเพราะแผนการของจักรพรรดิและราชครู แต่ก็เพราะเขามีนางในหัวใจด้วย

เด็กโง่ เดินทางหมื่นลี้เพื่อคนแปลกหน้า มันคุ้มค่าแล้วหรือ

แต่ทว่า ฉินมู่ดูจะเป็นคนเช่นนั้น เขาและเสียงซีอวี่เป็นคนแปลกหน้าที่พบพานกันโดยบังเอิญ แต่เขาก็ยังไล่ตามทวงความยุติธรรมให้กับนางโดยไม่มีความคิดเป็นอื่น เขาช่วยชีวิตแม่ลูกคู่นี้ไว้โดยไม่ลังเลที่จะผลักตนเองเข้าไปในอันตราย

ธุระเรื่องราวของเสียงซีอวี่และธิดาไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังกระทำมัน เขาถึงกับพาเสียงฉีเอ๋อกลับมายังแผ่นดินตะวันตก เพื่อทวงถามความเป็นธรรมให้พวกนาง

แม้ว่ามันจะเป็นความคิดของจักรพรรดิและราชครูที่ปะปนมาด้วย แต่มู่ยิ่งเสว่มั่นใจว่าเป้าหมายของเด็กโง่งมผู้นี้นั้นก็เพื่อตามหาความยุติธรรมให้สองแม่ลูก

การตัดสินใจอันทื่อมะลื่อในสายตาของคนอื่น เป็นจรรยาบรรณของเด็กโข่งผู้นั้น และเป็นหลักการอันมิอาจฝ่าฝืน

การศึกษาหลักการเบื้องหลังเพื่อแสวงหาความรู้ นั้นก็คือการที่ความรู้และการกระทำเป็นหนึ่งเดียว

โดยการศึกษาบางอย่างหรือบางวิชาชีพไปจนถึงที่สุด นั้นก็คือการศึกษาหลักการเบื้องหลังเพื่อแสวงหาความรู้

แต่ทว่า มันไม่จำเป็นที่จะต้องมาจากหัวใจของคนคนนั้น

หัวใจและจิตคิดเป็นหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นที่จะแตกต่างไปจาก ความรู้และการกระทำเป็นหนึ่ง

มันคือสัญญาณของผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์

มู่ยิ่งเสว่ตกตะลึง

ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน พวกเขาเป็นศัตรูที่ชื่นชมความสามารถซึ่งกันและกัน นางได้พ่ายแพ้ไปในตอนนั้น วิชาพิษของนางพ่ายแพ้ให้แก่ของเขา และนางก็ชื่นชมเด็กโข่งผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่านางจะกำนัลถั่วแดงและขโมยจูบของเขา แต่นั่นก็ยังมิใช่ความรัก

แต่ในการพบกันคราวนี้ มิใช่วิชาพิษที่นางมองเห็น แต่เป็นนิสัยใจคอของเขา

นิสัยใจคอของฉินมู่ได้เอาชนะหัวใจของนาง

เรื่องราวของตระกูลเสียงมีสาเหตุมาจากนาง มันเป็นยาพิษของนางที่ได้ล้มยอดฝีมือมากมายแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และบ่อนทำลายวรยุทธของพวกเขา นั่นแหละตระกูลอวี้จึงสามารถเข้ายึดครองตำหนักสวรรค์แท้ได้สำเร็จในรวดเดียว

โดยปราศจากเสาหลักทั้งหลายของตระกูลเสียง พวกเขาก็พ่ายแพ้ ความตายอันน่าสังเวชของผู้คนมากมายในเวลานั้น ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับนาง

เรื่องราวของตระกูลเสียงเกิดขึ้นจากข้า ดังนั้นข้าไม่อาจปล่อยให้หนุ่มน้อยของข้าไปแบกรับความรับผิดชอบแทนข้าได้!

มู่ยิ่งเสว่เงยหน้าขึ้น และความมั่นใจก็ไหลบ่าเข้ามาในตัวนางอีกครั้งเมื่อนางเผยยิ้ม “ในแผ่นดินตะวันตกของพวกเรา ผู้หญิงดูแลกิจการทั้งหลายทั้งปวง เหตุไฉนข้าจึงจะปล่อยให้หนุ่มน้อยของข้าต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมที่ข้าก่อด้วยล่ะ พี่สาวน้องสาวแห่งเมืองขุนเขาสายฟ้า!” เสียงของนางก้องกังวานไปด้วยความอ่อนหวานและความฮึกหาญไปพร้อมๆ กัน “เตรียมสัมภาระของพวกเจ้า และพร้อมเข้าสู้ศึก!”

ในเมืองขุนเขาสายฟ้า ผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนที่เชี่ยวชาญในวิชาพิษ ก็เก็บข้าวของสัมภาระ และไม่นานก็มารวมตัวกัน พวกเขามองไปที่ประมุขของตนและเห็นว่านางนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าอันสะคราญของนางเอิบอาบเปล่งประกายราวกับไข่มุก นางดูน่าลุ่มหลงเป็นอย่างยิ่ง

“พี่สาว พวกเราจะไปที่ใด” หญิงผู้หนึ่งเอ่ยถาม

มู่ยิ่งเสว่กระโดด และเถาวัลย์เขียวก็เลื้อยเข้ามาจากในอากาศ ลงมาช้อนรับเท้าของนางเพื่อยกร่างนางขึ้นไป เสียงของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์และสรวล นางกล่าว “แน่นอนว่าพวกเราก็จะต้องไล่ตามพี่เขยของพวกเจ้าไป และยัดถุงถั่วแดงคะนึงหานี้คืนใส่มือเขาน่ะสิ พวกเราจะต้องทำให้แน่ใจว่าเขาจะเก็บถุงนี้ไว้อย่างถูกต้องเหมาะสม และไม่ลืมเลือนการคะนึงหานี้ หรือข้า มู่ยิ่งเสว่!”

“ได้เลย!” เด็กสาวคนอื่นๆ หัวเราะกันอย่างอึงอล “รีบๆ ออกไปกันเร็วเข้า! พี่เขยดีๆ แบบนี้ พวกเราปล่อยให้นังเท้ากีบน้อยที่ไหนคว้าไปไม่ได้นะ! พวกเรารีบไปแย่งชิงพี่เขยกลับมา!”

“แย่งชิงพี่เขยกลับมา!”

ฉินมู่กลับไปยังหุบเขาฝังเทพยดาแห่งตระกูลหลิ่ว โลงศพสีดำสนิทมากมายเข้ามาร่วมทางกับเขา งอกขาออกมาและวิ่งตามไปเป็นขบวน

บนท้องฟ้า มีโลงศพลอยเลื่อนอยู่อีกมากหลาย ครึ้มราวกับเมฆฝน

ท่ามพลางพวกมัน ก็มีโซ่ลากที่โลงศพทองคำอันใหญ่มหึมาและสะดุดตาเป็นอย่างยิ่งไปด้วย และฉินมู่ก็พิศวงสุดๆ ว่าทำไมหลิ่วหรูยินถึงยืนกรานที่จะนำสิ่งอันตรายเช่นนี้ไปด้วย แต่ทว่า เมื่อเขาได้ยินว่าเป็นความคิดของธิดานาง เขาก็ไม่ตั้งคำถามอีกต่อไป

เด็กหญิงน้อยผู้นี้ หลิ่วเจินชิง ทั้งชาญฉลาดและกลอกกลิ้ง ในเมื่อนางต้องการนำโลงศพทองคำไปด้วย มันก็จะต้องมีประโยชน์ใช้สอยอย่างแน่นอน

ขณะที่ฉินมู่นำกองกำลังตระกูลหลิ่วตรงไปยังหุบเขาแม่น้ำกระบี่ เตรียมที่จะเข้ารวมกลุ่มกับเหออีอีและกลุ่มอื่นๆ เขาก็พลันได้ยินเสียงดังกังวานมาจากข้างหลังพวกเขา “หนุ่มน้อย รอข้าด้วย!”

ฉินมู่หันกลับไปมอง และตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งเมืองขุนเขาสายฟ้าพากันนั่งมาบนหลังสัตว์พิษและแมลงพิษทุกชนิดทุกประเภท รีบรุดตะบึงมาอันเต็มไปด้วยความคึกคักจอแจ มีทั้งแมงมุม ตะขาบ คางคก งู นกพิษ สัตว์เถื่อน ตัวต่อ และพวกมันก็มืดฟ้ามัวดินไปหมด

และยังมีพืชพิษมากมายที่ถูกปลุกพรายวิญญาณโดยผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลาย และมนุษย์ต้นไม้พิษร้ายแรงที่ก้าวอาดๆ ไปข้างหน้า ยังมีเถาวัลย์เรียวบางกับดรุณีบุปฝาจากดอกไม้พิษที่กระพือกลีบดอกอันบอบบางของพวกนางมา และถึงกับมีปลาพิษร้ายที่งอกเงยขาเพื่อวิ่งตะบึงมาบนแผ่นดิน

นำหน้าพวกเหล่านั้นมาทั้งหมดคือมู่ยิ่งเสว่ผู้ซึ่งดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ และนางก็ถลาเข้ามาหาเขาผ่านเส้นทางที่กองทัพโลงศพเปิดเอาไว้ให้ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นางกระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกร และยัดถุงหอมเข้าไปในมือของเขา ก่อนที่จะกอดเขาเพื่อประทับจูบอย่างหนักหน่วงลงไปที่ข้างแก้ม

ฉินมู่งงงัน และเด็กสาวผู้นี้ก็ยืดอกผยองกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ข้าต้องการให้เจ้าเก็บถุงหอมคะนึงหานี้ไว้ติดตัวเจ้าตลอดไป และไม่มีวันโยนมันทิ้ง ไม่มีวันลืมข้าไปตลอดชีวิต เจ้าทำได้หรือไม่”

ด้วยความฮึกหาญอัดอก ฉินมู่ประกาศก้อง “ทำได้!”

มู่ยิ่งเสว่หันกลับไปและโบกมือแก่พวกสาวๆ แห่งเมืองขุนเขาสายฟ้า “เขาบอกว่าทำได้! พี่สาว น้องสาว ป้าและน้าๆ พวกเราไปถล่มตำหนักสวรรค์แท้ และเปลี่ยนแปลงโลกหล้ากันเถอะ!”

เสียงโห่ร้องกึกก้องมาจากข้างหลังพวกเขา

ข้างๆ กิเลนมังกร โลงดำเล็กๆ โลงหนึ่งเปิดฝาออก และหลิ่วเจินชิงก็โผล่หัวของนางขึ้นมา นางกอดอกและทำแก้มป่องอย่างไม่สบอารมณ์

“นังเท้ากีบน้อย” นางบ่มพึมพำเมื่อปรายตามองมู่ยิ่งเสว่

โลงศพของหลิ่วหรูยินลอยมาข้างๆ และประมุขตระกูลหลิ่วผู้นี้ก็กระซิบกระซาบ “อย่าไปสนใจนังเท้ากีบน้อยนี่เลย ตอนนี้ทำเป็นผยองไปเถอะ เมื่อนางตาย พวกเราค่อยทำให้นางกลายเป็นคนตระกูลหลิ่ว!”

“ฮึ่ม!”

ธงทิวปลิวสะบัดในหุบเขาแม่น้ำกระบี่ และฉินมู่ตกตะลึงในจำนวนของตระกูลใหญ่มากอิทธิพลแห่งแผ่นดินตะวันตกที่มารวมตัวกันและตั้งค่ายอยู่ในบริเวณรอบๆ

มันน่าจะเป็นครั้งแรกที่แผ่นดินตะวันตกมีเรื่องใหญ่ที่ผู้คนมารวมตัวคับคั่งขนาดนี้ ธงของตระกูลเหอ ตระกูลฟาง ตระกูลกง ตระกูลซี และตระกูลฝู ล้วนแต่ถูกชักขึ้นสูง และยังมีตระกูลน้อยใหญ่อื่นๆ ที่เหออีอีได้เชื้อเชิญมาอีก

ตระกูลใหญ่ทั้งหลายล้วนแต่เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ กัน ตระกูลเหอเชี่ยวชาญด้านพยุหะค่ายกล ตระกูลฟางเชี่ยวชาญด้านควบคุมภูเขา ตระกูลกงเชี่ยวชาญด้านควบคุมแม่น้ำ ตระกูลซีเชี่ยวชาญด้านควบคุมต้นไม้ใบหญ้า ขณะที่ตระกูลฝูเชี่ยวชาญในการควบคุมลมฟ้าอากาศ

ตระกูลทรงอิทธิพลอื่นๆ ก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะที่แตกต่างกันไป

ผู้คนที่มารวมตัวกันเกือบทั้งหมดเป็นสตรี จำนวนของพวกนางนั้นนับว่าน่าตระหนก

กองทัพของสตรีนับแสนได้ทำให้ฉินมู่ตกตะลึง

แม้ว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์จะค่อนข้างเปิดกว้าง และสตรีสามารถเป็นขุนนางเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าร่วมกองทัพได้ แต่ก็นับได้เพียงสองส่วนจากสิบส่วนเท่านั้น บุรุษยังคงเป็นคนกลุ่มใหญ่ แต่กระนั้นในแผ่นดินตะวันตก สตรีในกองทัพมีถึงแปดส่วน ขณะที่บุรุษมีเพียงสองส่วนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายก็จะทำแต่งานระดับล่างในกองทัพ

นี่เป็นโอกาสอันหาได้ยากของตระกูลใหญ่ทั้งหลายในแผ่นดินตะวันตก หากว่าสามารถล้มล้างตระกูลอวี้ได้ ความเสื่อยถอยของตระกูลเสียงก็จะเท่ากับว่าพวกนางก็จะเป็นอิสระจากตำหนักสวรรค์แท้มากกว่าเดิม นี่จึงเป็นเหตุให้พวกนางมาที่นี่เพื่อปฏิวัติ

ฉินมู่สูดลมหายใจลึกและกำหมัดแน่นเมื่อเขามองไปยังทิศทางของตำหนักสวรรค์แท้

ในการเดินทางมายังแผ่นดินตะวันตก เขาได้นำมาเพียงแต่กิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อ มีเพียงแค่เขา หนึ่งสัตว์ขี่ และเด็กหญิงอ่อนแอคนหนึ่ง โดยปราศจากกำลังทหารใดๆ กระนั้นเขาก็สามารถรวบรวมกองทัพเป็นแสนๆ คนของเหล่าสตรีที่ตระเตรียมจะเข้าโจมตีสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินตะวันตก ตำหนักสวรรค์แท้!

เมื่อเขาคิดมาถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นจนกระดูกสั่นเกรียวกราว และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็แทบบินหลุดออกจากร่าง!

เขาจูงมือเสียงฉีเอ๋อ เดินเข้าไปในเมืองต้นไผ่พร้อมกับมู่ยิ่งเสว่ หลิ่วหรูยินและธิดาของนาง ประมุขของตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลทั้งหลายต่างมารวมตัวกันที่นี่ และกำลังรอการมาถึงของเขาอย่างใจจดใจจ่อ!

ฉินมู่โค้งคารวะจนแทบหัวจรดพื้นและกล่าวด้วยเสียงอันกึกก้อง “จ้าวลัทธิมารฟ้าฉินมู่แห่งแผ่นดินภาคกลาง ขอน้อมคารวะพี่สาวทั้งหลาย!”

หญิงเหล่านั้นมากมายรีบโค้งคารวะกลับไป “จ้าวลัทธิ ไม่ต้องมากพิธีหรอก”

ฉินมู่กระตุกมือเสียงฉีเอ๋อ และนางก็รีบโค้งคารวะเช่นกัน

“ฉีเอ๋อขอน้อมคารวะท่านน้าและท่านป้าทั้งหลาย!”

ทุกๆ คนรีบคารวะกลับไป “พวกเรามิกล้า องค์หญิงน้อย โปรดลุกขึ้นเถิด!”

ฉินมู่ยืดตัวตรงและแย้มยิ้มอย่างกว้างขวางไปยังพวกนาง “สตรีมากมายได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่เด็ดขาด อันกล้าที่จะจุดดวงตะวันและจันทราขึ้นมาบนฟ้าใหม่! พี่สาวทั้งหลาย น้องชายผู้นี้ได้เดินทางรอนแรมมาจากแผ่นดินภาคกลาง และหมายที่จะเป็นกำลังความสามารถของพี่สาวทุกท่านที่ตำหนักสวรรค์แท้! พี่สาวอีอี พวกเราออกเดินทางได้หรือยัง”

เหออีอีเรียกเมืองต้นไผ่ และมันก็ลุกขึ้นยืน ในเวลาเดียวกันนั้นประมุขตระกูลทั้งหลายก็ถ่ายทอดคำสั่งลงไป พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่น และมวลเมฆก็พวยพุ่งไปข้างหน้า กองทัพสตรีหลายแสนไพร่พลก็ยาตรามุ่งหน้าไปยังตำหนักสวรรค์แท้

กิเลนมังกรเหลียวหลังกลับไปมอง และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน ปรมาจารย์ไม่ดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดนี้เลยในครั้งกระโน้น จ้าวลัทธิอย่างไรก็เป็นจ้าวลัทธิ เขามาแผ่นดินตะวันตกแค่แผล็บเดียว ก็จีบสาวๆ ได้เป็นแสนคน…

ห่างไกลออกไปบนท้องฟ้า ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่ยืนอยู่บนก้อนเมฆและมองลงไปยังภาพอันยิ่งใหญ่อลังการจากที่ไกลๆ

เสียงซีอวี่อึ้งสุดๆ อึ้งจนพูดไม่ออก

ราชครูสันตินิรันดร์ก็จนด้วยวาจาเช่นกัน

“ราชครู ท่านคาดหวังผลลัพธ์นี้มาตั้งแต่แรกหรือเปล่า” ในที่สุดเสียงซีอวี่ก็ได้สติ และหันไปมองชายกลางคนข้างๆ นางอย่างพินิจพิเคราะห์ “แม้แต่ข้า ไหน่ขุยคนก่อนก็ยังไม่มีความสามารถและพลังอำนาจเหมือนกับจ้าวลัทธิฉิน เขาถึงกับสามารถรวบรวมไพร่พลเรือนแสนได้ด้วยการเพรียกขานเพียงครั้งเดียว นี่จ้าวลัทธิฉินจะไม่น่ากลัวไปหน่อยหรอกหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์ระบายลมหายใจสั่นสะท้านและพึมพำ “ข้ารู้ว่าเขาจะต้องก่อเรื่องวุ่นวาย และดึงดูดความสนใจของตำหนักสวรรค์แท้เป็นแน่ แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาจะทำได้ดีขนาดนี้ ตำหนักสวรรค์แท้จะต้องรู้สึกระแวงภัยจากเรื่องนี้ และที่ดีไปกว่านั้นก็คือ ป้าโก่วก็จะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะเผยตัวออกมา หลังจากที่เขาเพลี่ยงพล้ำเสียที เทพเจ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักสวรรค์แท้ก็จะต้องเผยตัวออกมา และทำให้ข้ามีโอกาสจู่โจมสังหารเขา…”

เขามองไปยังกองทัพสตรีอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรและอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทิ้ม พลางส่ายหน้าไปมา “น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว ความเป็นหนึ่งเดียวนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไปจริงๆ แต่ทว่า พรสวรรค์ของจ้าวลัทธิฉินก็คือเรื่องนี้นี่เอง เพราะถึงอย่างไร แม้แต่ข้าก็ยังถูกเขาหลอกให้ไปเข้าร่วมลัทธินักบุญสวรรค์ หากว่าเจ้าเด็กร้ายกาจนี่คิดจะก่อกบฏล่ะก็…”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน