ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 475 เพทุบายร้ายกาจ

ตอนที่ 475 เพทุบายร้ายกาจ

ผานกงสั่วพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้ ข้อเสนอของฉินมู่นั้นนับว่าจริงใจ แต่ก็ซ่อนเงื่อนอันร้ายกาจไว้เช่นกัน หากว่าผานกงสั่วผิดคำสาบาน ก็จะเท่ากับทำให้เวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณของเขากลายเป็นไร้ประโยชน์

หากว่าเขาร่ายมัน เขาก็จะตายในทันที

เมื่อวิชานี้ไร้ประโยชน์ กำลังฝีมือของเขาก็จะไม่น่าสะพรึงกลัวอีกต่อไป ทักษะเทวะของเขาก็จะกลายเป็นสาบสูญ ในเมื่อไม่มีใครสามารถใช้มันได้อีก

ตัวตนและระดับภัยคุกคามของผานกงสั่วก็จะลดลงเป็นอย่างมาก

อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ฉินมู่สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับผานกงสั่ว และต่อยตีเขาเสียน่วมยับเยินได้ นั่นก็เพราะว่าเวทมนตร์สักการะดวงวิญญาณไม่มีผลต่อเขา

หากว่าผานกงสั่วเผชิญหน้ากับคนอื่น แม้ว่าคนผู้นั้นจะมีขั้นวรยุทธที่สูงกว่าหนึ่งหรือสองขั้น พวกเขาก็ยังจะต้องตายภายใต้วิชานี้ ไม่มีผลลัพธ์อื่น!

มีก็แต่คนที่ใช้ชื่อปลอมอย่างฉินมู่ที่สามารถต้านทานการโจมตีอันร้ายกาจที่สุดของผานกงสั่วได้ และบีบให้อีกฝ่ายต้องสู้กับเขาด้วยตนเอง

“ตกลง!” ผานกงสั่วกล่าวโดยไม่ลังเล “พวกเรามาทำสัตยาบันต่อเทพหมอผีขุย!”

เขาพลันขับเคลื่อนเวทมนตร์สักการะดวงวิญญาณ และก็ปรากฏแท่นสังเวยเบื้องหลังเขา บนนั้นคือรูปเงาของเทพหมอผีขุย

ทั้งคู่รีบกระทำสัตยาบันเทพหมอผีขุยโดยพลัน แต่ละฝ่ายต่างก็วิเคราะห์คำสาบานของฝ่ายตรงข้ามว่ามีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง พวกเขาพลันพบว่าอีกฝ่ายนั้นชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหลือช่องโหว่ทิ้งเอาไว้มากนัก และช่องโหว่ที่ทิ้งเอาไว้ก็เป็นกับดัก

จิ้งจอกเฒ่า จิ้งจอกน้อย ทั้งสองคนต่างก็ด่าทออีกฝ่ายในใจ

ผานกงสั่วระบายลมหายใจสั่นสะท้านและกล่าว “ข้าซ่อนร่างเนื้อของเทพหมอผีขุยเอาไว้ในภูเขาหยางอันตั้งอยู่ที่สุดทิศใต้ของแดนโบราณวินาศ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาถูกสะกดเอาไว้ที่ภูเขาหยินอันตั้งอยู่ที่สุดทิศเหนือ หากว่าเจ้าไปยังสองสถานที่นี้ ก็จะสามารถพบเจอได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองฉินมู่นอกกระจก “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าควรจะทำตามข้อตกลง”

“เจ้าน่าจะวางเวทปิดผนึกเอาไว้เยอะอยู่สินะ? ทำไมไม่บอกเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยล่ะ”

ผานกงสั่วยิ้มให้แก่เขาในแบบที่ไม่เชิงยิ้ม “จ้าวลัทธิ สัตยาบันระหว่างเราไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ข้าบอก เจ้าก็จะเชื่อข้าหรือ”

ฉินมู่อ้าปากหาว ใบหน้ายังเต็มด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมไม่กล้าเชื่อ แต่ข้าบอกว่าข้าจะไม่สังหารเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าราชครูสันตินิรันดร์จะไม่สังหารเจ้า”

ผานกงสั่วหัวเราะด้วยเสียงอันดัง และพลันแปลงกายเป็นเงาดำที่มุดออกมาจากกระจก และแปลงกลับเป็นร่างเดิม เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ราชครูสันตินิรันดร์ยังต่อสู้ติดพันกับมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ และทั้งสองคนก็กำลังขับเคี่ยวคับขัน กำลังฝีมือของพวกเขาทัดเทียมกัน ยากจะตัดสินแพ้ชนะ”

เขาเดินวนอ้อมฉินมู่สองรอบ จากนั้นพลันโจมตีพลางหัวเราะในคอ “จ้าวลัทธิฉิน สัตยาบันของพวกเราระบุว่าเจ้าจะปล่อยข้าไปและไม่สังหารข้า แต่ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าข้ามิอาจฉวยโอกาสนี้โจมตีเจ้า!”

ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนโดยพลัน เขารีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว ผานกงสั่วโจมตีอย่างบ้าคลั่ง พลางหัวเราะด้วยเสียงอันดัง กระบวนท่าและรูปร่างของเขาถูกช่วงใช้ตามใจปรารถนา และความอัปยศอดสูก่อนหน้าก็หายวับไปราวปลิดทิ้ง

ฉินมู่พบว่ายากที่จะป้องกัน ความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ไม่มากเท่าไร ดังนั้นหากว่าผานกงสั่วโจมตีต่อไปเรื่อยๆ และเขาก็ยังป้องกันต่อไปเรื่อยๆ ผานกงสั่วก็จะชิงชัยได้เปรียบ และความได้เปรียบนี้ก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นทุกที!

ในท้ายที่สุด ฉินมู่ก็อาจจะตกตายในน้ำมือของเขา!

“ผู้สูงศักดิ์” ฉินมู่พลันชักกระบี่ของเขาออกมา และโต้กลับไปด้วยรอยยิ้ม “สัตยาบันของข้าระบุว่าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่มิได้หมายความว่าข้าจะไม่สะบั้นแขนขาเจ้าสักสองสามข้าง! ไม่ต้องห่วง น้องชาย ข้าเชี่ยวชาญในวิชาเยียวยาอย่างสุดๆ ต่อให้ข้าตัดหัวเจ้าออกไป ข้าก็ยังสามารถรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้แน่นอน อย่างมากข้าก็เอาหัวเจ้าไปต่อกับสุกร!”

ผานกงสั่วแทบโดนตัดแขนไปข้าง และรีบล่าถอยออกไปทันที โทสะพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจของเขา “ไอ้ลูกเต่า!”

“ไอ้ลูกเต่า!” ฉินมู่เองก็โมโหเดือด “เจ้าเองก็แอบซ่อนเพทุบาย รอประทุษร้ายข้าเหมือนกันไม่ใช่หรืออย่างไร”

ผานกงสั่วหลบทางนั้นทีทางนี้ทีด้วยความร้อนรน จากนั้นก็ตบถุงเต๋าตี้ของเขา อันยิงกล่องกระบี่ออกมา กระบี่บินพรั่งพรูขึ้นไปบนท้องฟ้าและแปรเปลี่ยนเป็นนิพนธ์ที่หกแห่งกระบี่เต๋า

เจ็ดบัวทองวิจิตรพิสดาร รัชสมัยอันกระจ่างและรื่นรมย์!

นี่คือเพลงกระบี่ในวรยุทธขั้นเจ็ดดาวของกระบี่เต๋าแห่งสำนักเต๋า กระบี่ทั้งหลายบินเข้าไปในดวงดาวทั้งเจ็ด พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นดอกบัวเจ็ดดอก อันรองรับธาตุทั้งห้าและสุริยันจันทรา ทักษะนี้มีพลานุภาพรุนแรงอย่างผิดธรรมดา

ฉินมู่ตะโกนออกไปและใช้นิพนธ์ที่หกแห่งกระบี่เต๋า เพลงกระบี่ทั้งสองปะทะกันส่งให้ผานกงสั่ว กระเด็นไปข้างหลัง เขาพลันมุดเข้าไปในดิน และฉินมู่ก็พุ่งไปข้างหน้าพลางตะโกนด้วยเสียงอันดัง “มังกรอ้วน เดี๋ยวข้าจะทำให้มันบาดเจ็บ แล้วเจ้าไปฆ่ามัน!” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น ก็มุดดำดินตามไปด้วย

ที่ไกลๆ นั้น กิเลนมังกรคอยดูอยู่ห่างๆ โดยมิได้เข้ามาใกล้ เมื่อเขาได้ยินคำสั่งของฉินมู่ เขาก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น

แต่เมื่อเพิ่งมาถึงจุดที่ฉินมู่และผานกงสั่วหายไป ทะเลทรายก็ระเบิดตูมห่างออกไปสิบลี้เมื่อมีเงาร่างทั้งสองพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่กิเลนมังกรวิ่งไปถึงจุดนั้น ทั้งสองคนก็มีอักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลกะพริบรอบร่าง และก็หายวับ

เมื่อทั้งคู่ปรากฏขึ้นมาใหม่ พวกเขาก็อยู่ห่างออกไปอีกสิบลี้อีกครั้ง และกระบี่ส่งเสียงเคร้งคร้างเมื่อพวกเขาปะทะประมือกัน

“สองคนนั่นหนีเอาชีวิตเก่งจนจะเป็นภูตผีอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าจะไปตามพวกเขาทันได้อย่างไร” กิเลนมังกรบ่นพึม

ขณะที่เขากำลังจะไล่ตามไปอีกครั้ง เงาร่างของฉินมู่และผานกงสั่วก็หายวับ กระบี่ปะทะกันส่งประกายไฟกระเด็นไปทั่วฟากฟ้า ทำให้แสงโลหิตกระจายออกไปทั่วทิศ

“จ้าวลัทธิ หยุดวิ่งได้แล้ว!” กิเลนมังกรมองตรงไป และสีหน้าเขาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขาตะโกน “นั่นมันเป็นสนามต่อสู้ของราชครูและมารดาเฒ่าสวรรค์แท้!”

ฉินมู่ไล่ล่าผานกงสั่วซึ่งคิดแต่จะหนีเอาชีวิตรอด เขากัดฟันบุกเข้าไปในพายุทราย

ฉินมู่ก็เข้ามายังที่อันลมพัดกระหึ่ม เป่าเม็ดทรายให้ปั่นป่วนเป็นพายุอันน่าสะพรึงกลัว ฟ้าแลบพุ่งแปลบปลาบและฟ้าคำรามก็กึกก้องในพายุทราย ขณะที่เม็ดทรายทั้งหลายราวกับอาวุธวิญญาณชิ้นเล็กๆ แทบจะเฉือนเข้าไปผิวหนังของเขา มันเจ็บแสบเป็นอย่างยิ่ง

“กายามังกรแท้จ้าวแดนดิน!” ฉินมู่ตะโกนออกไป

เขาเผยผลลัพธ์ของการหลอมรวมวิชาเก้ามังกรราชันย์เข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ปราณชีวิตของเขาประดุจมังกรตัวหนึ่งที่กระหวัดรัดพันรอบๆ ร่างกายของเขา เส้นเลือดของเขามีโลหิตไหลเชี่ยวมาอย่างไม่หยุดยั้ง กล้ามเนื้อของเขาระเบิดออกไปข้างนอกราวกับฟ้าแลบและฟ้าร้องเมื่อมันเคลื่อนไหวไป

ทรายในกระแสลมปะทะกับร่างกายเขาและกระเด็นออก เขาไม่รู้สึกเจ็บมากมายอีกต่อไป

ลำแสงสองลำพวยพุ่งออกจากดวงตา และไม่ทันที่เม็ดทรายจะเข้ามาถึงดวงตาของเขา มันก็ระเหิดหายไปจากแสงเทวะ

ฉินมู่มองไปรอบๆ แต่สายตาของเขามองไปได้ไม่ไกล ถึงกระนั้น ผานกงสั่วก็อยู่ไม่ไกล ฉินมู่พุ่งไปโจมตีเขาทันที ข้างใต้เท้าผานกงสั่วนั้นเป็นโล่ใหญ่อันมีรอยประทับรูปเต่า พวกมันเปล่งแสงขึ้นมา และลวดลายกระดองเต่าอันยิ่งใหญ่อลังการก็ปรากฏขึ้นรอบๆ กายของเขา ป้องกันเขาเอาไว้เป็นชั้นๆ

จำนวนสมบัติวิเศษที่เขามีไว้ในครอบครอง นับว่าเกินจินตนาการ

เมื่อราชครูสันตินิรันดร์รุกรานวังทองโหรวหลัน ผานกงสั่วคงจะได้ขนย้ายสมบัติวิญญาณส่วนใหญ่อันเขารวบรวมเอาไว้ตลอดกว่าหมื่นปีออกมา เห็นได้ชัดว่าโล่ลายกระดองเต่านี้เป็นหนึ่งในสุดยอดสมบัติที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ

บุรุษทั้งสองพบว่าท่ามกลางพายุทรายอันดุเดือดเช่นนี้ พวกเขายากที่จะทรงตัว และร่างกายของเขาพวกเขาถูกซัดกวาดไปรอบๆ ด้วยกระแสลมรุนแรง แม้แต่อาวุธวิญญาณของพวกเขาก็ไม่สามารถบินออกไปได้ไกล มิเช่นนั้นมันจะถูกเป่าหาย

สายฟ้าฟาดเปรี้ยงในทะเลทรายลงมาระหว่างพวกเขาทั้งสอง ทันใดนั้น คลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัวได้กวาดซัดมา และทั้งสองก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่จะถูกดีดกระเด็นขึ้นไป มันมีการกระเพื่อมไหวในห้วงมิติที่บางครั้งก็สูง บางครั้งก็ต่ำ ร่างกายของพวกเขาบางทีก็ถูกยืดออก และบางทีก็ถูกบีบอัดเข้าไป แปรเปลี่ยนจากสูงสิบแปดคืบ เป็นเตี้ยห้าคืบ ยากจะทานทน

ฟิ้ววว!

ดวงตะวันสีดำกลิ้งผ่านพวกเขาไป ยังคงพวยพุ่งไปด้วยความร้อนมหาศาล เผาทรายและพายุลมในบริเวณรอบๆ เปลวเพลิงพลันเปลี่ยนเป็นพายุหมุนอัคคีที่ทั้งรวดเร็วทั้งเกรี้ยวกราด

ฉินมู่และผานกงสั่วไม่อาจยืนได้มั่น และถูกกวาดซัดเข้าไปในนั้น พายุหมุนไฟอันหนาแน่นอย่างไร้ที่เปรียบ หมุนติ้วอย่างรวดเร็วสุดกู่ และซัดพวกเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า

ติง ติง ติง

เสียงกระบี่ปะทะกันมากกว่าร้อยครั้ง จนกระทั่งการผ่าขนานพื้นของกระบี่หนึ่งสามารถเฉือนผ่าพายุหมุนอัคคีได้ ร่างของฉินมู่และผานกงสั่วหมุนอย่างเร็วจี๋ แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะตั้งหลัก งูทรายอันหนากว่าร้อยห้าสิบวาก็อ้าปากคำรามจนหูอื้ออึง ก่อนที่จะอ้าปากฉกใส่พวกเขา

ฉินมู่วิ่งตะบึงอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่ผานกงสั่วกลิ้งตลบๆ ไปในอากาศอีกข้างหนึ่ง เขาหลบงูทรายตัวหนาใหญ่นี้ได้อย่างเฉียดฉิว และได้ยินเสียงครืนครันเมื่ออสรพิษทรายมุดเข้าไปในใต้ดิน ทำให้ทั้งสองคนกระอักเลือดจากแรงสั่นสะเทือน

การสัประยุทธ์ของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้และราชครูสันตินิรันดร์นั้นดุเดือดจนเกินไป เด็กหนุ่มทั้งสองไม่อาจทานทนแรงสะเทือนปลายหางที่เกิดจากเทพเจ้าทั้งสองตนนี้ และอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเมื่อในพายุทราย

ผานกงสั่วพุ่งออกไปจากพายุทรายหลังจากที่หลบหลีกงูทรายตัวนั้น แต่ทว่า ในพริบตานั้น เสียงฝีเท้าอันดังสนั่นหวั่นไหวก็ก้องมา ฉินมู่และผานกงสั่วได้แต่ยืนตะลึง

แผ่นดินใหญ่มหึมากำลังเคลื่อนที่ไปในทะเลทราย ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ห้วงมิติก็จะหดรัดและสร้างคลื่นกระเพื่อมจากการสั่นสะเทือน

อวกาศนั้นมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อมันถูกเรือตะวันบีบอัดเข้าไป ผู้คนก็จะสามารถมองเห็นคลื่นกระเพื่อมของอวกาศได้อย่างชัดตา!

“หนี–” ผานกงสั่วกรีดร้อง แต่เสียงของเขาถูกกลบหายในพายุทราย

ฉินมู่พยายามจะวิ่งหนี แต่ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ขาเทวะขโมยสวรรค์ของเฒ่าเป๋ เขาก็มิอาจวิ่งได้เร็ว สายลมนั้นรุนแรงจนเกินไป

รัศมีเทวะอันกล้าแกร่งไร้เทียมทานแผ่พุ่งออกมา และทั้งสองคนก็กระอักเลือดจากแรงกระแทก แม้แต่กายามังกรแท้จ้าวแดนดินของฉินมู่ และโล่กระดองเต่าของผานกงสั่วก็ไม่อาจต้านทานได้

พึงรู้ว่าวรยุทธของทั้งสองคนอยู่ที่ระดับสุดขีดขั้วของขั้นเจ็ดดาว พวกเขาขาดอีกหนึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ขั้นชาวสวรรค์ แต่รัศมีเทวะจากพายุทรายก็ยังแข็งแกร่งเกินจะรับไหว

ปัง ปัง

ฉินมู่ติดไปกับเท้าข้างหนึ่งของเรือตะวันและหลุดออกไปไม่ได้ ใบหน้าเขาย่นยู่ไปหมดจากกระแสลมรุนแรง และการยืดขยายของห้วงอวกาศก็ทำให้ร่างของเขาเหยียดยาวกว่ายี่สิบคืบ ฉินมู่รู้สึกราวกับว่าสมองของเขากลายเป็นละเอียดและแหลมคม แม้กระทั่งจักษุผัสสะก็กลายเป็นแปลกประหลาด

ข้างๆ เขาคือผานกงสั่วที่ถูกยืดเป็นบะหมี่เส้นยาวด้วยเหมือนกัน และอีกฝ่ายนั้นก็คว้าจับขาอีกข้างของเรือตะวันด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

หลังจากคลื่นระลอกนี้ พลังลมก็ลดถอยลงไป และร่างกายของพวกเขาก็กระเด้งกลับ ฉินมู่ยกกระบี่ด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อให้มันหมุนเกลียวอย่างรวดเร็ว เฉือนฟันไปตามขาของเรือตะวันไปยังศัตรูของเขา

ผานกงสั่วเหยียบขึ้นไปบนโล่กระดองเต่าและยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้อง เขาครางเสียงหนักและเกิดรอยแผลตัดลึกที่ขาของเขา

ตูม!

คลื่นกระเพื่อมมาจากเรือตะวันอีกครั้ง และคราวนี้มันแผ่พุ่งออกไปข้างนอก สะท้อนทั้งสองคนให้กระเด็นออกไป จากนั้นก็บีบอัดทั้งคู่ให้เป็นลูกกลมๆ สองลูก

ในเวลานั้น ฉินมู่เห็นแสงกระบี่พุ่งเฉือนผ่านพายุทราย ราชครูสันตินิรันดร์เดินขึ้นไปบนเรือตะวันท่ามกลางแรงสะเทือนอันร้ายกาจ และแสงกระบี่ของเขาก็สะบั้นศีรษะของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ปักหลักอยู่ใจกลางเสาทั้งสี่ แต่ทว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็เผยยิ้มโหดเหี้ยมออกมาในจังหวะนั้น และดวงตะวันดำมหึมาก็ฟาดลงมาจากด้านหลังของราชครู

ดวงตะวันดำบดขยี้แทบจะทุกสิ่งทุกอย่างบนเรือตะวัน และกลิ้งไปจนสุดเรืออีกฟาก พลิกแกว่งเรือตะวันให้สะดุดเซไปหลายก้าว ก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด

ฉินมู่ถูกพายุอันสะท้านขวัญนี้ยกลอยขึ้นไป อันมันก็ยังพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง กวาดซัดและกลบกลืนทะเลทรายเพลิงโหมมากขึ้นทุกที แม้แต่กิเลนมังกรก็ถูกเป่าขึ้นไปและดิ้นรนอย่างไร้ผล ไม่นานนักเขาและฉินมู่ก็ได้แต่ยอมจำนนชะตาและปล่อยให้พายุเป่าพวกเขาไปยังทิศไกลๆ

…………………………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท