บทที่ 322 สงครามระหว่างตระกูลหลาน
สำหรับการจัดการที่เย็นชาของฆ่าวิหาร เนปิดอ รวมไปถึงกองทัพต่านและขุนศึกคนอื่นๆก็ต่างโกรธมาก
โดยเฉพาะเนปิดอและกองทัพต่าน พวกเขาทั้งสองรู้สึกว่าฆ่าวิหารนั้นหยิ่งผยองเกินไปและเพิกเฉยต่อพวกเขาโดยสิ้นเชิงพวก เขาได้ลดสถานะลงไปแต่ฆ่าวิหารไม่ตอบสนองมแม้แต่ใดๆ แล้วดูถูกพวกเขา
แต่วันนี้ พวดเขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด ฆ่าวิหารให้ประชาชนในเมืองโกกังทั้งเมืองถอนตัวออกจากเมืองชั่วคราว
เพราะฆ่าวิหารจะรบกับตระกูลหลานต่อ
ไม่นึกเลยว่าฆ่าวิหารจะทุ่มเทในการสังหารน่ารบของตระกูลหลาน เนปิดอและกองทัพต่านได้กลับมามีความหวังอีกครั้ง แม้แต่คณะรัฐมนตรีของเนปิดอก็ยังโทรหาอู๋เหว่ยของกองทัพต่านมาเป็นการส่วนตัว
นี่เป็นข้อเสนอ ถึงแม้ว่าอู่เหว่ยจะไม่ได้ตอบ แต่ผู้หมวดใต้ความดูแลเขาก็ได้หวั่นไหวแล้วนิดนึง
วิหารที่ถูกสังหารก่อนหน้านี้ได้ทำลายค่ายกองทัพของพวกเขากลายเป็นพื้นพี่ราบไปหมด และยังได้ฆ่าผู้บัญชาการเข้าด้วย ทำให้ทหารพวกนี้ไม่พอใจ
ขอแค่ฆ่าวิหารแล้นักรบของตระกูลหลานได้สูญเสียคนกัน พวกเขาต้องยอมรับข้อเสนอของเนปิดอแน่นอน และล้างแค้นกับฆ่าวิหารเป็นเวลาแรก
และเหล่าขุนนางก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขายังติดต่อกับขุนพลอีกห้าคนเป็นเวลาแรก พวกเขาหวังว่ากองทัพต่านจะช่วยพวกกำจัดฆ่าวิหารก่อน
คำพูดของเหล่าขุนนางเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมของชาติ รุ่งอรุณแห่งเหตุผล กลับมีขุนศึกใหญ่สามคนที่ถูกเขาโน้มน้าวใจ ต่างยินดีและเห็นด้วยในการกำจัดฆ่าวิหาร
แต่เบื้องต้นคือต้องให้ฆ่าวิหารและตระกูล หลานสงครามกันในวันหลัง
การสมคบคิดของขุนศึกคนสำคัญหลังจากเนปิดอ ลู่เฉินไม่รู้ และถึงต่อให้รู้ก็ไม่ใส่ใจ
คราวนี้เขาซื้อกระสุนมากและอาวุธมาเพียงพอที่จะสู้ศึกใหญ่หลายครั้งเลย ใครกล้าเปิดสงครามก่อน เขาก็ถ้ารับ
พม่ามีพื้นที่ขนาดเล็ก ระยะของเครื่องยิงจรวดนั้นเพียงพอที่จะทิ้งระเบิดของขุนศึกคนสำคัญและกองทัพต่านได้แล้ว เขาอาจไม่ใช้อาวุธเลยด้วยซ้ำ
ราคาเครื่องยิงจรวดหนึ่งลูกต่อแสนกว่าหยวน ถูกกว่าขีปนาวุธอีก การต่อสู้แบบนี้สำหรับเขาแล้ว มันกระจอกมาก
และทุกครั้งที่ขุนศึกพ่ายแพ้เขาจะได้รับประโยชน์จากมันเป็นสองเท่าเลย
วันรุ่งขึ้นชาวเมืองโกกังได้คัดค้านจำนวนมากเหมือนอย่างที่ติดไว้เลย แต่ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็ย้ายออกจากเมืองโกกังอย่างเชื่อฟัง ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับชีวิตทั้งนั้น
ในช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้นเมืองโกกังได้กลายเป็นเมื่องว่างเกือบทั้งเมือง ยกเว้นนักรบห้าร้อยคนของตระกูลหลาย ไม่สามารถหาใครเจอได้มากกว่านี้
พม่ามีสงครามบ่อยมาก สำหรับคนโกกัง พวกขาเคยพบเจอเรื่องแบบนี้มามากมาย ดังนั้นจึงไม่ค่อยตกใจอะไรขนาดนั้น
หลายคนถึงกับคิดจะให้คำแนะนำกับฆ่าวิหารต่างๆ ในใจพวกเขาภาวนาให้สงครามมันจบลงเร็วๆ แล้วหลังจากนั้นกลับมารับค่าชดเชย
เมียนมาร์ล้าหลังเกินไป และหลายแห่งถึงกับต้องอธิบายเลยว่าเป็นผู้คนขาดที่อยู่อาศัย กล่าวได้ว่าพวกเขาล้าหลังกว่าหลายประเทศในแอฟริกาอีก
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่คนของพวกเขาจะมีความคิดเช่นนี้
พวกเขาไม่สนใจว่าใครจะมาเป็นผู้นำพวกเขา พวกเขาสนใจแค่ว่าใครสามารถให้พวกเขาอิ่มท้องและมีเสื้อผ้าอุ่นๆใส่
การอพยพออกของประชาชนโกกังเกิดคาดเดาของลู่เฉิน ดูเหมือนว่ามันกำลังจะกลายเป็นเมืองล้างในอีกไม่ช้า ทันใดนั้นลู่เฉินหรี่ตา
“สั่งการให้กองกำลังที่สามเตรียมพร้อม อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาการต่อสู้จะเริ่มขึ้น” ลู่เฉินพูด
เขาไม่ใช่คนหัวโบราณ ถึงแม้จะบอกว้าพรุ่งนี้เปิดสงคราม แต่ตอนนี้ประชาชนโกกังให้ความร่วมมือมาก แล้วทำไมเขาถึงไม่รักษาโอกาสนี้ไว้หละ
และเขาเชื่อว่าตระกูลหลานส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักหรอกว่าเขาจะทำการต่อสู้ล่วงหน้าแน่นอน
จะเปิดสงครามกับตระกูลหลานได้พอดีเลยหละ
ตู้เฟย เซียวจ้านและชิจินพยักหน้า จากนั้นก็ออกจากห้องบัญชาการทันที
หลังจากที่ทั้งสามออกไป ก็ได้มีหญิงร่างบางที่ถืออาวุธประจำตัวมาที่ห้องบัญชาการ เธอเป็นผู้บัญชาการกองร้อยพิเศษ รับผิดชอบในการฝึกกองกำลังพิเศษ ปฏิบัติภารกิจพิเศษต่างๆเพื่อฆ่าวิหาร
“ฉันรู้ว่าพ่อของฉันก็อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นโปรดอย่าฆ่าพ่อของฉัน หากมีโอกาส โปรดมอบสิ่งนี้ให้กับเขา เมื่อเขาเห็น เขาก็จะไม่สู้กับคุณอีก” หญิงร่างบางกล่าว เสียงของเธอแหบเล็กน้อย แต่เป็นเสียงของผู้หญิง
เพียงแค่ฟังเสียงของเธอ ก็สามารถบอกได้ว่าเธอเป็นคนเสียงดีและเป็นผู้หญิงที่เยือกเย็น
ลู่เฉินรับจดหมายจากเธอมา แล้วบนซองจดหมายนั้นก็มีรูปนิ้วครึ่ง
เขามอง แล้วพยักหน้า
หลังจากที่หญิงร่างบางเดินออกไป ลู่เฉินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรออก “เข้ามา”
ในไม่ช้าเจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามาด้วยความเคารพ
“ผู้บัญชาการ” เจ้าหน้าที่พลเรือนทำความเคารพและรอคำสั่งของลู่เฉิน
“ขยายภาพนี้และล้างออกมามอบให้กับนายพลทั้งสามตู้เฟย เซียวจ้าน และชิจินบอกพวกเขาว่าห้ามฆ่าชายในรูปนี้ จับคุมตัวมาก็พอ หากจับไม่ได้ก็ให้เขาหนีไป อย่าไล่ตาม” พูดเสร็จลู่เฉินก็ยื่นรูปนิ้วครึ่งนั้นให้เจ้าหน้าที่พลเรือน
“ครับ” เขาตอบและออกไปพร้อมกับรูปถ่าย
หลังจากเจ้าหน้าที่พลเรือนออกไป ลู่เฉินก็หยิบบุหรี่ออกมาแล้วพิงพนักเก้าอี้แล้วพึมพำ: “ฉันทำได้มากสุดก็เท่านี้แหละ พ่อของเธอจะรอดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ โชคชะตาและวาสนาของเขาแล้วหละ
เพราะท้ายที่สุดนี่คือสงคราม ปืนมันไม่มีตา
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ลู่เฉินสวมหมวกทหารและเข้ามาตรงหน้ากองทัพทั้งสาม
เขาหยิบไมโครโฟนที่ส่งมอบโดยเจ้าหน้าที่พลเรือนและเริ่มการพูดคุยระดมพลก่อนการสู้รบ
คำพูดของเขาไม่มีคำว่าหลงใหลมากเกินไป และไม่มีการดัดแปลงแบบไร้ขอบมากเกินไป
เขาแค่เน้นย้ำ
นั้นก็คือตระกูลหลานหลบซ้อนตัวอยู่ในโกกัง คุกคามชีวิตครอบครัวพวกเขา คุกคามชีวิตพวกเขา หากอยากจะปกป้องความปลอดภัยของครอบครัวพวกเขาเอง พวกเขาก็ต้องเอาพลังชั่วร้ายนั้นให้ได้
ทั้งโกกังนี้ มีเพียงลู่เฉิน ที่ไม่ยอมรับกองกำลังใด ๆ เข้าแทรกแซง
“ศึกครั้งนี้ ผมอยู่ร่วมกับพวกคุณ ออกเดินทาง!”
สุดท้ายนี้ หลังจากลู่เฉินได้แสดงสัญลักษณ์ กองร้อยรถถังและกองร้อยเกราะก็ได้เริ่มขับออกจากค่ายทหารอย่างช้าๆทีละคัน
อีกด้านหนึ่งของสนามบิน เฮลิคอปเตอร์ได้ออกทีละลำ เพื่อเป็นการทิ้งระเบิดระลอกแรก
เบาะแสของนักรบตระกูลหลานล้วนอยู่ในกำมือของ ลู่เฉิน ดังนั้นเฮลิคอปเตอร์จึงสามารถโจมตีเป้าหมายได้เลยทันที
เพื่อที่จะจัดการกับนักรบห้าร้อยคนของตระกูล หลาน ลู่เฉินได้ส่งทีมรถถังหนึ่งพันคันและทีมหุ้มเกราะหนึ่งพันตัวออกไปทีเดียว และถึงกับใช้เฮลิคอปเตอร์สามสิบลำ และนี้มันก็ดีเกินมากพอต่อตระกูลหลานแล้ว
เขานั่งอยู่บนรถหุ้มเกราะคันสุดท้าย และอยู่ด้านหลังเพื่อส่งคำสั่ง
มีกองทัพที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เขาไม่จำเป็นต้องเสี่ยงต่ออะไร
หลังจากผ่านไปมากกว่านาที ในที่สุดเฮลิคอปเตอร์ก็ได้ขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือเมืองโกกังและเริ่มทิ้งระเบิดถล่มอาคารที่นักรบตระกูลหลานอาจอาศัยอยู่
การต่อสู้ที่แตกหักและไม่ทันได้ตั้งตัวได้เปิดม่านขึ้นกับตระกูลหลานแล้ว