ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 470 มารดาเฒ่าสวรรค์แท้

ตอนที่ 470 มารดาเฒ่าสวรรค์แท้

เทพนารีที่หลบหนีออกมามิใช่ใครอื่น นอกเสียจากเทพนารีที่ถูกฉินมู่แย่งชิงสุราออกไปจากถาดและถูกเตะกระเด็น นางวิ่งไปที่มุมห้องหนึ่ง ผ่านฉากกั้นไป และเมื่อออกมา ก็กลายเป็นสตรีที่มีรูปลักษณ์ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง

นางสวมใส่เครื่องประดับวงกลมที่ศีรษะและเสื้อคลุมสั้นสีดำ รองเท้าส้นสูงปลายแหลมงอนประดับเท้าของนาง ภูษาอาภรณ์ไม่แตกต่างจากสตรีแผ่นดินตะวันตกโดยทั่วไป

เกือบไปแล้ว ร่างที่แท้จริงของข้าเกือบถูกเตะจนเผยออกมาโดยไอ้ผู้คนที่ถูกละทิ้งนั่น! แต่ถึงอย่างไร ข้าก็เผยไต๋ไป เทพและมารทั้งหมดที่นั่นพูดได้แต่วลีง่ายๆ อย่างฆ่ามัน หรือสัตว์ร้ายชั่วช้า ส่วนข้าพูดประโยคเต็มๆ

หญิงผู้นี้รีบมุ่งออกไปจากโถงใหญ่แห่งตำหนักสวรรค์แท้ แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนใบหน้าสะสวยของนาง และนางก็ก้มหน้าพลางครุ่นคิด ทั้งสองคนนั้นอาจจะยังไม่รู้ตัว แต่ถ้าพวกเขาย้อนคิด ก็จะต้องค้นพบเรื่องนี้อย่างแน่นอน! ข้าจะต้องรีบออกจากที่นี่ไปโดยด่วน หรือว่าข้าควรจะไปเอาลูกแก้ววิญญาณทั้งสี่มาก่อนดี…

ฝีเท้าของนางทั้งเบาและเร่งร้อน ตรงหน้าของนางคือฉินมู่และราชครูสันตินิรันดร์ ดังนั้นนางจึงผ่อนความเร็วลง นางทำตัวตามปกติและแย้มยิ้มให้แก่พวกเขาราวกับว่านางคือศิษย์ธรรมดาสามัญแห่งตำหนักสวรรค์แท้

“แย่แล้ว!” ทันใดนั้น สีหน้าฉินมู่ก็เปลี่ยนแปลงไป และกำหมัดแน่นพลางร้องออกมา “ข้ารู้แล้วว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ไปซ่อนอยู่ที่ไหน!”

ราชครูสันตินิรันดร์เองก็ชาญฉลาดอย่างยิ่ง และคิดถึงประเด็นสำคัญออกโดยทันที “ใช่แล้ว ในภาพจิตรกรรมที่มุมหายไปมุมหนึ่ง! เทพนารีที่ถือถาดสุรา!”

เขาหันกลับไปและวิ่งไปยังโถงใหญ่ กล่าวอย่างรวดเร็ว “พวกเราสังหารจักรพรรดิสวรรค์ในภาพจิตรกรรม แต่กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์ก็ยังพูดเต็มประโยคไม่ได้ มีก็แต่เทพนารีผู้นี้ที่ทำเช่นนั้น!” แต่ไม่นานเขาก็เดินออกมาจากโถงวัง พลางส่ายหัว “เทพนารีที่ถือถาดสุราไม่อยู่ในภาพวาดแล้ว”

ฉินมู่เลียนน้ำเสียงของเทพนารีผู้นั้นและกล่าว “เด็กต่ำช้านี่มาจากที่ไหน นี่คือสุราศักดิ์ศักดิ์สำหรับเทพสูงส่ง เจ้าจะมาแตะต้องได้หรือ ประโยคนี้ซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้คนในภาพวาด จิตรกรของภาพนี้ยังไม่บรรลุถึงขั้นนั้น ดังนั้นมีแต่เทพนารีที่สามารถพูดจาได้เท่านั้นที่เป็นมารดาเฒ่าสวรรค์แท้! ร้ายลึกจริงๆ ถึงกับไปซ่อนตัวในภาพวาด ข้าประเมินนางต่ำไป”

หญิงสาวผู้นั้นเดินมายังข้างๆ ทั้งสองคนและคารวะทักทายฉินมู่ “จ้าวลัทธิฉิน”

ฉินมู่ประกายตาวูบไหว แต่เขาก็แย้มยิ้มให้นาง “ทำไมพี่สาวไม่คารวะทักทายราชครูล่ะ”

“ราชครู? ข้าไม่เคยพบเขามาก่อน หรือว่าเขาคือยอดฝีมือที่สังหารป้าโก่ว”

สีหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และนางรีบคารวะทักทายราชครูสันตินิรันดร์ นางมองเข้าไปในดวงตาเขาด้วยกิริยาปฏิพัทธ์เอียงอาย ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหน้า “ไม่ใช่นาง หลังจากที่ข้ามายังแผ่นดินตะวันตก ข้าไม่เคยเผยโฉมหน้าออกมา ดังนั้นสตรีเกือบทั้งหมดของแผ่นดินตะวันตกจึงไม่รู้จักหน้าข้า”

ฉินมู่ผงกหัวแล้วกล่าวกับหญิงผู้นั้น “เจ้าได้เห็นใครเดินออกมาจากโถงนั้นหรือเปล่า”

นางส่ายหัวไปมา “ข้าไปกับประมุขเพื่อแย่งชิงลูกแก้วหงส์ไฟ และเดินผ่านมาที่นี่่ แต่ข้าไม่เห็นใครเลย”

ฉินมู่พึมพำอยู่ครู่หนึ่ง และโบกมือไล่ให้นางไป หญิงนางนั้นมองไปยังราชครู จากนั้นก้มหน้างุดเดินผ่านพวกเขา แต่ฉินมู่พลันยุดชายเสื้อของนางเอาไว้ และมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็หนังหัวชาวูบ นางเกือบจะหยุดตัวเองที่จะโจมตีออกไม่ได้

ฉินมู่แย้มยิ้มแก่นาง “ข้าจะเรียกพี่สาวว่าอย่างไรได้หรือ และพี่สาวมาจากตระกูลไหน ใครคือประมุขของท่าน”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สีหน้าแปรเปลี่ยน และนางคุกเข่าลงกับพื้นโดยทันที ร่างของนางสั่นเทาไปหมด นางโขกศีรษะแล้วกล่าว “ข้าเป็นศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ จ้าวลัทธิ อย่าฆ่าข้าเลยนะ! หากว่าผู้คนรู้ว่าข้าเป็นศิษย์ตำหนัก ข้าก็จะต้องตายอย่างแน่นอน! จ้าวลัทธิ โปรดไว้ชีวิตข้า!”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและกล่าวกับราชครูสันตินิรันดร์ “ข้าดันไปคิดว่านางคือมารดาเฒ่าสวรรค์แท้เสียอีก ถึงอย่างไรนางก็เป็นเทพเจ้า นางจะมาคุกเข่าให้มนุษย์ธรรมดาได้อย่างไร นางเป็นศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ที่กำลังพยายามหนีเอาชีวิตรอดจริงๆ นั่นแหละ”

ราชครูสันตินิรันดร์โบกมือของเขาและกล่าว “เจ้าจัดการนางเถอะ”

ฉินมู่ช่วยพยุงมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ให้ลุกขึ้นและกล่าวด้วยสีหน้าแช่มชื่น “พี่สาว อย่ากลัวไปเลย อย่าไปเชื่อคำคนอื่นพูด พวกเขาเรียกข้าว่าจ้าวลัทธิมารฟ้า จริงๆ แล้วเพราะว่าข้ามาที่นี่แต่ลำพัง ข้าไม่ค่อยมั่นใจในตนเองก็เลยเรียกตัวเองว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าเพื่อข่มขวัญผู้คน อันที่จริงข้าคือจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ลัทธิของเรามีเมตตาเป็นที่สุดและไม่ทำร้ายผู้คน ดูสิ แม้แต่ราชครูก็ยังเป็นหนึ่งในสี่เทวราชแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้า จริงสิ เจ้าชื่ออะไรหรือ”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ดูไม่ค่อยเชื่อคำพูดเขา “ชื่อของข้าคือเถียนซืออวี่ ท่านไม่ส่งตัวข้าไปแน่หรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์เหมือนจะเพิ่งนึกอะไรได้ “ข้าจะไปประกาศราชโองการ ดังนั้นไม่มีเวลาอยู่ที่นี่ต่อ”

ฉินมู่ตามราชครูสันตินิรันดร์ไปพลางจูงมือมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ “ข้าอยากจะหาใครสักคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าผานกงสั่ว และอีกชื่อว่าผู้สูงศักดิ์ เขานั้นเป็นประมุขแห่งวังทองโหรวหลัน และได้มายังตำหนักสวรรค์แท้ของเจ้าครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าพี่สาวเคยเห็นเขาบ้างไหม”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ถูกดึงไปด้วยกันกับเขา เมื่อใดก็ตามที่นางมองไปยังราชครูสันตินิรันดร์ นางก็ไม่กล้าดิ้นรน “ข้าเคยเห็นเขามาก่อน ข้ารู้แต่ว่าเขาเรียกว่าผู้สูงศักดิ์ และเป็นสหายแนบใจของผู้อาวุโสอวี้ชิงฉาน แต่ทว่า เขานั้นมิได้อยู่ในตำหนักแล้ว เมื่อเขาเห็นจ้าวลัทธิฉินมาโจมตีตำหนักสวรรค์แท้ เขาก็วิ่งหนี”

“สมกับเป็นผู้สูงศักดิ์” ฉินมู่ถอนหายใจ จากนั้นก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง “พี่สาวซืออวี่ จริงสิ วิชาสะกดรอยของแผ่นดินตะวันตกของเจ้านี่นับว่าไร้เทียมทานในโลกหล้า ใช่หรือไม่ ข้าจะช่วยปกป้องเจ้าไม่ให้เป็นอันตราย และเจ้าต้องช่วยข้าสะกดรอยผานกงสั่ว แบบนี้เป็นอย่างไร”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ลิงโลด “ได้เลย! ตกลงแน่ใช่ไหม”

ฉินมู่หัวเราะและกล่าว “ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม ตกลงแน่สิ! ราชครู อ่านราชโองการแล้วมากับข้าไปไล่ล่าผานกงสั่วกันหน่อย”

“ได้ ข้าก็อยากรู้ว่าใครคือเทพเจ้าตนที่อยู่เบื้องหลังผานกงสั่ว และเขาไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย

สีหน้าของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางคิดว่าฉินมู่จะไปกับนางตามลำพังเพื่อไล่ล่าผานกงสั่ว เมื่อทั้งสองคนอยู่ตามลำพัง ก็จะง่ายที่นางจะสังหารเชื้อสายสูงส่งท่ามกลางเหล่าผู้คนที่ถูกละทิ้งผู้นี้ แต่ไอ้เด็กต่ำช้านี่กลับเชื้อเชิญราชครูสันตินิรันดร์ไปด้วย!

มีราชครูอยู่ด้วย มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็จะอยู่ในอันตราย เพียงแค่เผลอหลุดนิดเดียว นางก็จะถูกไอ้คนไร้ใจนี่สังหารทันที!

เมื่อนางและเขาอยู่ใกล้กัน หากว่าราชครูสันตินิรันดร์โจมตีมา นางก็จะไม่อาจป้องกันตนเองได้!

แต่ราชครูสันตินิรันดร์ตามไปด้วยก็ดีเหมือนกัน กลายเป็นให้โอกาสข้ากำจัดเขามากขึ้น ถึงอย่างนั้นข้าก็ต้องการลูกแก้ววิญญาณทั้งสี่ เมื่อข้าได้พวกมันมา จากขจัดราชครูให้หายไปจากโลกก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น…

ตระกูลใหญ่แผ่นดินตะวันตกปราบปรามตำหนักสวรรค์แท้จนสงบราบคาบในที่สุด และสังหารไม่ก็จับเป็นยอดฝีมือตระกูลอวี้ทั้งหลาย ตระกูลเหล่านั้นได้พร้อมใจเลือกเสียงซีอวี่ให้เป็นเจ้าตำหนักและไหน่ขุยอีกครั้ง นางจูงมือเสียงฉีเอ๋อและรับการคารวะจากทุกๆ คน

ราชครูสันตินิรันดร์อ่านราชโองการของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และเสียงซีอวี่รีบน้อมรับมันทันที ในเวลาเดียวกันนั้น ฉินมู่ก็ไปดึงตัวเสียงฉีเอ๋อมาและขอลูกแก้วมังกรเขียวกับลูกแก้วเต่าดำออกมาเล่น

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มองไปที่ลูกแก้ววิญญาณทั้งสองในมือของเขาและพยายามข่มระงับความอยากที่จะแย่งชิงมันมา

เด็กทั้งสองไม่ได้ฟังราชโองการ แต่กลับละเล่นกับลูกแก้วไปๆ มาๆ ดีดสมบัติวิญญาณทั้งสองไปทางโน้นที ทางนี้ที ทำให้เสียงฉีเอ๋อหัวเราะคิกคักไม่หยุด

ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ยัดลูกแก้วมังกรเขียวเข้าไปในมือนางแล้วแย้มยิ้ม “พี่สาวซืออวี่ มาเล่นกับฉีเอ๋อสักครู่หนึ่งสิ”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ถือลูกแก้วมังกรเขียวในมือ พลางมองไปยังใบหน้าเกลื่อนยิ้มของฉินมู่ด้วยความตะลึงงัน นางค้นไม่พบเลยสักนิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่!

ลูกแก้วมังกรเขียวอยู่ในมือข้าแล้ว และมันสามารถปะทุพลานุภาพอันแข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ หากว่าข้าลงมือตอนนี้ ทุกคนในตำหนักสวรรค์แท้ก็จะแข็งค้างและกลายเป็นไม้!

สายตาของนางแทบลุกเป็นไฟ แต่ขณะที่นางจะลงมืออยู่นั่นเอง นางก็เห็นเสื้อผ้าของราชครูสันตินิรันดร์เคลื่อนไหวโดยปราศจากลม และนางก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่

เด็กต่ำช้ากับราชครูสันตินิรันดร์ล้วนแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่า พวกเขากำลังทดสอบข้า!

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้หนาวเยือกถึงกระดูกสันหลัง และนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยมเพื่อเล่นดีดลูกแก้วกับเสียงฉีเอ๋อ

ไม่นานนัก ราชครูสันตินิรันดร์ก็อ่านราชโองการของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเสร็จ และฉินมู่ก็มาขอลูกแก้วมังกรเขียวกลับคืนไปไว้ในมือเสียงฉีเอ๋อ หลังจากพาทุกๆ คนน้อมรับราชโองการแล้ว เสียงซีอวี่ก็เรียกเสียงฉีเอ๋อมา นางหยิบลูกแก้ววิเศษสองลูกและโค้งคารวะ

“ข้าขอบรรณาการลูกแก้ววิเศษสองลูกนี้แต่ฝ่าบาท และจะไม่ทรยศเป็นอันขาด”

สีหน้าของเหออีอี มู่ยิ่งเสว่ และคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนไป เสียงซีอวี่รู้ดีว่าการปกครองแผ่นดินตะวันตกคงเป็นเรื่องยากสำหรับนาง ขนาดว่าลูกแก้วอีกสองลูกก็ยังถูกแย่งชิงไป ดังนั้นนางจึงเพียงแค่มอบสองลูกที่เหลือให้แก่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง มันเป็นวิธีการเรียบง่ายที่ใช้ถ่วงดุลตระกูลใหญ่ทั้งหลาย!

ราชครูสันตินิรันดร์รับมาเพียงลูกแก้วเต่าดำ “เจ้าตำหนักยังคงต้องการสมบัติวิเศษเพื่อใช้พิทักษ์ปกป้องแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นเก็บลูกแก้วมังกรเขียวไว้เถอะ”

เสียงซีอวี่กล่าวขอบคุณและดึงเสียงฉีเอ๋อลุกขึ้น

หลังจากพิธี ราชครูสันตินิรันดร์ก็เร่งฉินมู่ “เจ้าทิ้งรอยรักไปทั่วหมดทุกแห่ง แต่เจ้าต้องไม่อุทิศตนให้กับเรื่องพวกนั้น ระวังเถอะว่าจะสูญเสียชื่อเสียงแบบราชาพิษหน้าหยกและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเฉือนตัดใบหน้าของตนเองออกไป รีบไปบอกตัดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเจ้าเร็วเข้าเถอะ แล้วจะได้ไปตามหาตัวผู้สูงศักดิ์”

“ข้าไม่ใช่คนเจ้าชู้…” ฉินมู่กล่าวพลางปลุกปลอบขวัญตนเองเพื่อไปบอกลาสตรีทั้งหลาย

เหออีอีมองไปที่เขาด้วยแววตาอันล้ำลึก “จ้าวลัทธิไม่อยู่ต่ออีกสามสี่วันหรือ ยังมีบางเรื่องที่พวกเรายังไม่ได้ทำกันเลย”

มู่ยิ่งเสว่กล่าวอย่างโผงผาง “หนุ่มน้อย กลับไปได้เลยตามสบาย แต่รอเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปปีนหน้าต่างห้องเจ้าที่แผ่นดินภาคกลาง!”

เสียงซีอวี่นำเสียงฉีเอ๋อมาบอกลาอย่างอิดเอื้อนไม่อยากให้ไป “หากว่าพวกเรามิได้พบกับจ้าวลัทธิ พวกเราก็คงตายไปนานแล้ว ศพพวกเราคงแห้งซากอยู่ที่ไหนสักแห่งในป่าชัฏ จ้าวลัทธินั้นเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตระกูลเสียง หากว่าวันใดท่านปรารถนาสิ่งใด ตำหนักสวรรค์แท้ก็จะไม่อิดออดเป็นอันขาด”

ฉินมู่แย้มยิ้มให้แก่นาง “ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องจดจารไว้ในใจขนาดนั้น ในเมื่อข้าเพียงแต่กระทำตามความเชื่อของข้าเท่านั้น ไม่ต้องการฝืนธรรมชาติของข้า ไหน่ขุย ฉีเอ๋อ ลาก่อน”

ทุกความรู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจของเสียงซีอวี่ เมื่อนางเห็นเขาออกไปจากตำหนักสวรรค์แท้ นางพลันตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง

“ผู้เที่ยงธรรม!”

ฉินมู่อึ้งไป จากนั้นเขาก็หันกลับไปด้วยรอยยิ้มและโบกมือลา

คำนี้มิใช่สาเหตุที่เขาช่วยชีวิตสองแม่ลูก เขาเพียงแต่มิอาจทนดูเสียงฉีเอ๋อตกตายในน้ำมือของตำหนักสวรรค์แท้ แต่ทว่า ในบัดนี้ เขาสมควรแก่คำเรียกขานนี้แล้ว

ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกรและดึงเอามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ขึ้นมา “ราชครู แผ่นดินตะวันตกเป็นดินแดนที่เปี่ยมมนตร์เสน่ห์ จักรพรรดิจะปฏิบัติต่อที่นี่อย่างไรหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์ก้าวไปบนอากาศอย่างแช่มช้า พลางกล่าวอย่างเยือกเย็น “เขาก็จะปฏิบัติต่อที่นี่ประดุจที่ปฏิบัติต่อเจ้า เขามีจิตใจกว้างขวาง ข้าได้ประกาศแก่จักรพรรดิแล้วว่าข้าต้องการเข้ายึดครองแผ่นดินตะวันตก แต่มิใช่ด้วยกำลัง สาเหตุที่ข้ามิได้เคลื่อนกองทัพมาก็ด้วยเกรงว่าจะทำความสันติสุขที่นี่”

“สตรีที่นี่งดงามเป็นอย่างยิ่ง และข้าไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์อย่างการข่มขืนหรือการปล้นชิงเกิดขึ้น นั่นจึงทำให้ข้ากล่าวแก่จักรพรรดิว่า ข้าจะไม่นำกองทัพที่มีไพร่พลเรือนล้านมา แต่จะแนะนำบุรุษผู้หนึ่งมีเทียบเท่ากับยอดฝีมือนับล้าน และบุรุษผู้นี้…” เขาเหลียวกลับไปมองที่ฉินมู่ด้วยรอยยิ้ม “ก็คือเจ้า ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ มีแต่จ้าวลัทธิฉินเท่านั้นที่สามารถกวาดล้างทั้งแผ่นดินตะวันตกด้วยตัวคนเดียวได้”

ฉินมู่ตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะขำ “ราชครูยกยอข้าแล้ว! พี่สาวซืออวี่ เจ้าไม่คิดว่าชมกันเกินไปหรอกหรือ”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีรอยยิ้มแปะบนใบหน้า แต่นางไม่กล่าววาจา

ฉินมู่ยัดลูกแก้วเต่าดำเข้าไปในมือนาง “พี่สาวซืออวี่ ร่ายเวทมนตร์เถอะ พวกเรารีบไปตามหาไอ้เด็กเปรตผานกงสั่วนั่นกัน”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กำลูกแก้วเต่าดำแน่น จากนั้นปรายตามองราชครูสันตินิรันดร์ ชายกลางคนผู้นี้มีมือไพล่หลังข้างหนึ่งที่กำลังใช้เคล็ดลับกุมกระบี่

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน