ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 474 ตัวตนอันชั่วร้าย

ตอนที่ 474 ตัวตนอันชั่วร้าย

ผานกงสั่วยืนอยู่ใจกลางกระจก เขาเห็นพื้นผิวร้าวและแตกหักทั้งหมดราวกับแผ่นดินโปร่งใสอันแตกร้าวไปทั่วซึ่งมีช่องว่างระหว่างกันห่างไกลอันมิอาจข้ามไปได้

กระจกของเขาเป็นสมบัติแปลกพิสดารที่เขาได้มาจากแดนโบราณวินาศ โลกข้างในกระจกสามารถซ้อนทับกับโลกจริง และไม่มีใครค้นพบมันได้ ข้อเสียเดียวของมันก็คือ ไม่สามารถใช้ทักษะเทวะข้างในนั้นได้

ในอดีต ผานกงสั่วใช้สมบัติเป็นเครื่องมือในการหลบหนีอยู่เสมอ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขาลงเอยด้วยการติดกับอยู่ในกระจก

ตอนนี้เขาไม่อาจหลบหนีได้อีกต่อไป ฉินมู่ได้สะบั้นเชือกของเขา ดังนั้นทางเดียวที่เหลือก็คือกระโดดออกไปจากกระจก แต่หากว่าเขาพยายามทำเช่นนั้น เขาก็จะถูกแทงทะลุหัวใจตายคาที่

“จ้าวลัทธิฉินไม่ได้มาที่นี่เพื่อสังหารข้า แต่มาเพื่อสนทนาอย่างนั้นหรือ” ผานกงสั่วละความคิดที่จะหลบหนีและลองถามหยั่งเชิง “ทำไมเจ้าไม่พูดให้ไวกว่านี้เล่า”

ฉินมู่มองไปยังผานกงสั่วในกระจกและไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “ข้ามีโอกาสพูดเมื่อไหร่ล่ะ ในพริบตาที่เจ้าเห็นข้า เจ้าก็ทำเป็นดุดันและพยายามสังหารข้า ดังนั้นข้าจึงได้แต่ต้องป้องกันตนเอง อันที่จริงแล้ว ตอนที่เราพบกันเมื่อครู่นี้ ข้าก็พูดนี่ว่า สหายจากแดนไกลมาจากเยือนเจ้า นี่ไม่น่ารื่นรมย์หรอกหรือ ใช่ไหม เจ้าก็น่าจะฟังแล้วรู้ว่าข้ามาเพื่อรำลึกความหลังกับเจ้า ไม่ได้มาเพื่อเข่นฆ่า แล้วเจ้าจะดิ้นรนไปมากมายอย่างนี้เพื่ออะไร”

ผานกงสั่วแทบจะกระอักเลือดตาย ไอ้เด็กเปรตนี่พูดอยู่ชัดๆ ว่า สหายจากแดนไกลมาเยือนเจ้า ไฉนเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกมาตาย เขาพูดคำว่ารื่นรมย์เมื่อไหร่กัน

แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาถกเถียงเรื่องการใช้คำ ในเมื่อชีวิตของเขาตกอยู่ในกำมือของไอ้เด็กร้ายกาจนี่ ทำตามใจเขาก็คงจะดีที่สุด

“จ้าวลัทธิฉินนั้นสูงส่ง เปี่ยมเมตตา และมีจิตใจกว้างขวาง อันข้าชื่นชมมาตลอด น้องชายผู้นี้เพียงแต่หยอกเย้ากับท่านเล่นเมื่อครู่ ข้าเพียงแต่อยากได้ประจักษ์ถึงทักษะและพลานุภาพของจ้าวลัทธิเท่านั้น ท่านนั้นเลิศล้ำเหนือธรรมดา ข้ายอมรับทั้งกายและใจ” ผานกงสั่วเช็ดเลือดที่ย้อยออกมาจากมุมปาก และนั่งลงด้วยรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิอุตส่าห์เดินทางไกลมาถึงนี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะปรึกษาหารือ”

“เทพตนนั้นที่อยู่ข้างหลังเจ้า” ฉินมู่ยกกระจกขึ้นมาด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ราชครูและข้าอยากไปจะไปพบกับเขาและน้อมคารวะผู้อาวุโสรุ่นก่อนอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่แน่ใจว่าผู้สูงศักดิ์จะมอบโอกาสล้ำค่านั้นให้พวกเราได้หรือไม่”

ผานกงสั่วสีหน้าแปรเปลี่ยน

เทพข้างหลังเขานั้นมิใช่ใดอื่น นอกเสียจากเทพเจ้าที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อเขาขับเคลื่อนเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ!

ฉินมู่ถามตำแหน่งที่อยู่ของเทพเจ้านั้นย่อมมิใช่การตามไปคารวะอย่างแน่นอน เขาเตรียมที่จะรวบรวมกำลังทั้งหลายมาเพื่อกำจัดเทพนั้น!

“จ้าวลัทธิฉิน กษัตริย์มนุษย์ฉิน ข้าจะไปรู้จักกับตัวตนเช่นนั้นได้อย่างไร” ผานกงสั่วหัวร่อออกมาทันที “ท่านก็รู้ว่าฝีมือความสามารถของข้าเป็นอย่างไร ตัวตนอันต่ำต้อยอย่างข้า จ้าวลัทธิใช้มือข้างเดียวก็ตบข้าได้ทีละสองคน แล้วอย่างนั้นข้าจะไปรู้จักเทพเจ้าที่ไหนกันเล่า ส่วนตำแหน่งที่ตั้งของเขา นั่นก็เป็นสิ่งที่มดปลวกอย่างข้าไม่อาจจะล่วงรู้ได้ จ้าวลัทธิโปรดพิจารณา!”

ฉินมู่ถือกระจก และใช้กระบี่ของเขาแทงไปยังทรายรอบๆ เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ผู้สูงศักดิ์กล่าวว่าเขาไม่รู้จักเทพเจ้าตนใดๆ แต่นี่มันคือเรื่องโกหกอย่างชัดเจน หากว่าเจ้าไม่รู้จักเทพตนใด และเจ้าจะเชื้อเชิญผู้คนจากเหนือฟ้ามาจัดการข้าได้อย่างไร เจ้าจะล่อซวีเซิงฮวาออกมาได้อย่างไร หากว่าเจ้าไม่รู้จักเทพตนใดๆ เจ้าจะจดจำมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้อย่างไร”

“ผู้สูงศักดิ์ เจ้าและข้าก็ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว ดังนั้นอย่าพูดอ้อมค้อมกันเลยดีกว่า ตัวเจ้าเองไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะรู้จักเทพเจ้าใดๆ ก็จริง แต่ผู้ที่หนุนหลังเจ้าอยู่มีศักดิ์และสิทธิ์นั้น ทั้งเจ้าก็ยังใกล้ชิดกับเขา เงารูปของเทพเจ้าที่ปรากฏเบื้องหลังเจ้าตอนที่เจ้าสักการะดวงวิญญาณ เทพตนนั้นน่าจะเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือมิเช่นนั้นก็เป็นปรมาจารย์ของเจ้า ใช่หรือไม่”

ผานกงสั่วมองไปที่กระบี่ซึ่งแทงปักลงมาบนทราย และสีหน้าของเขาเดี๋ยวก็ซีดเผือดเดี๋ยวก็มืดคล้ำ ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปๆ มาๆ ในกระจกระหว่างที่เขากำลังตัดสินใจในเรื่องอันยากเย็น

ทุกผู้คนกล่าวว่าเขาคือผู้ก่อตั้งวังทองโหรวหลัน แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามีอีกบุคคลหนึ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วย ในครั้งกระโน้น เมื่อเทพเจ้าอันเขามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งได้ก่อตั้งวังโหรวหลันขึ้นมา และมันก็ตกมาถึงมือเขาด้วยเหตุโอกาสอื่นๆ

ในอดีตนั้นมีเรื่องน่าอดสูมากมาย

“เขาเป็นอาจารย์ของข้า” ผานกงสั่วหยุดเดินและเงยศีรษะขึ้นมองฉินมู่ที่อยู่ข้างนอกกระจก “เจ้าเดาถูก สาเหตุที่ข้ามีเส้นสายกับเหนือฟ้าและสามารถจดจำมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้นั่นก็เพราะว่าเขาผู้นั้น แต่ทว่า ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าไปตอแยเขาจะดีกว่า เขานั้นชั่วร้ายจนเกินไป!”

หางตาของเขากระตุกอย่างรุนแรงเมื่อเขากล่าวด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิน่าจะรู้ว่า ตัวข้านั้นนับได้ว่าเป็นคนชั่วคนหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วข้าจืดไปเลย ข้าเป็นศิษย์ของเขา แต่ทุกๆ ครั้งที่ข้าใช้เวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ ข้าก็ต้องหยิบยืมพลังของเขา เจ้ารู้ใช่ไหม ทุกๆ ครั้งที่ข้าใช้มนตร์หมอผีนี้ ข้าก็จะสูญเสียอายุขัยไปจำนวนหนึ่ง! ฮี่ๆ หากว่าแม้แต่ศิษย์เขาก็ยังทำเช่นนี้ แล้วกับคนอื่นๆ ล่ะ? นี่จึงเป็นสาเหตุที่ข้าไม่ค่อยจะอยากใช้ทักษะเทวะหมอผีดังกล่าว”

สีหน้าฉินมู่แปรเปลี่ยนไปโดยพลัน ผานกงสั่วถึงกับเรียกคนอื่นว่าชั่วร้ายได้? นี่นับว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินจินตนาการที่ผู้คนไม่อาจเชื่อหู!

ในด้านความชั่วของทั้งโลกหล้านี้ มีใครเหนือล้ำกว่าผานกงสั่วผู้ซึ่งวางยาพิษใส่ทุ่งหญ้า และสังหารชาวเผ่าเร่ร่อนผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนได้

“ข้าเองก็ไม่รู้ชื่อจริงของเขา ข้ารู้แต่ฉายา” ผานกงสั่วกล่าว “คนอื่นๆ เรียกเขาว่าเทพหมอผีขุย ข้าคิดว่าเขาน่าจะมีแซ่ขุย แต่ผู้คนในสายวิชาของพวกเราน้อยนักที่จะเผยชื่อและแซ่อันแท้จริง ดังนั้นแซ่ของเขาก็อาจจะไม่จริงเช่นกัน”

“เทพหมอผีขุย?”

ฉินมู่ตะลึงไป ขุยนั้นเป็นแซ่แซ่หนึ่งจริงๆ แต่ขุยในเทพหมอผีขุยอาจจะไม่ใช่แซ่ ขุยโดยความหมายของมันสามารถแปลว่าใบหูหรือภูตผีก็ได้ หรือว่ามันจะไม่ใช่แซ่แต่เป็นนามของเผ่าพันธุ์

หากว่าเป็นเช่นนั้น เทพหมอผีขุยน่าจะเป็นภูตผีตนหนึ่ง

“ถึงอย่างไร เจ้าลัทธิจะไปค้นหาตัวเขาก็คงจะเป็นไปไม่ได้” ผานกงสั่วกล่าว “เขามาจากโลกอื่นและจากไปแต่เนิ่นๆ ในชาติภพแรกของข้า”

ฉินมู่สังเกตสังกาใบหน้าของผานกงสั่วในกระจก อีกฝ่ายดูไม่เหมือนกับโกหก “จ้าวลัทธิฉิน ไม่มีความจำเป็นต้องสงสัยข้า ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม ความเป็นตายของข้าอยู่ในกำมือของเจ้า ดังนั้นข้าโกหกเจ้าไปก็ไม่ได้อะไรหรอก”

ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วแย้มยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าโกหกข้าอีกแล้วนะ”

“ข้าไปโกหกเจ้าเมื่อไหร่” ผานกงสั่วยิ้มฝืนอย่างจนปัญญา

“หากว่าเขาจากไปแล้วจริงๆ ทำไมเจ้ายังร่ายเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณได้อีกล่ะ รูปเงาข้างหลังเจ้า นั่นมิใช่รูปเงาของจิตวิญญาณดั้งเดิมเขาหรอกหรือ” ฉินมู่ยิ้มกริ่ม “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือว่าเขามีความสามารถที่จะฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนมาจากโลกอื่นได้ หากว่าเขามีความสามารถเช่นนี้ ทวยเทพในแดนเบื้องบนก็คงไม่ต้องลำบากลำบนโดยส่งร่างที่แข็งเป็นหินของพวกเขามาก่อน เพื่อให้เทพเจ้าจากเหนือฟ้าไปกระตุ้นการทำงานของโบราณวัตถุเทวะทำลายล้างโลกหรอก”

ผานกงสั่วสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ฉินมู่มองไปยังเด็กหนุ่มที่อายุน้อยยิ่งกว่าเขา และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถสัมผัสได้ถึงการอัญเชิญของเจ้าและฉายส่องรูปเงาของเขามาเพื่อสังหารผู้อื่นโดยการสักการะ ข้าไม่คิดว่าเทพที่ไหนจะมีเวลาว่างขนาดนี้ และข้าก็ไม่คิดว่าเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณควรถูกร่ายออกมาเช่นนี้ด้วย หากว่าวันไหนเขาอารมณ์ไม่ดี และตัดสินใจที่จะไม่ฉายส่องรูปเงาของเขามา เจ้าจะไม่เพลี่ยงพล้ำเสียทีไปหรอกหรือ ผู้สูงศักดิ์ พวกเราก็ล้วนแต่เป็นคนฉลาด ดังนั้นบอกความจริงข้ามา แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ารอดชีวิต”

ผานกงสั่วสีหน้าวูบวาบ จากนั้นเขาก็พลันหัวร่อด้วยเสียงอันดัง และปรบมือเข้าด้วยกัน “สมแล้วที่เป็นจ้าวลัทธิฉิน บุรุษที่ข้ามองเป็นศัตรูตามจองล้าง จะหลอกเจ้าน่ะไม่ง่ายเลยสักนิด ใช่แล้ว เขามิได้จากไป เขากะว่าจะจากไป แต่ข้าได้วางแผนร้ายใส่เขา และทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่จะชิงจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไป!”

ฉินมู่เบิกตากว้างจ้องมองเขาด้วยความตื่นตระหนก

รอยยิ้มของผานกงสั่วเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง “อาจารย์เป็นอย่างไร ศิษย์ก็เป็นเช่นนั้น สิ่งใดที่เขาสอนข้า ข้าเรียนรู้มันทั้งหมด และถึงกับเหนือล้ำกว่าเขา! กระนั้นไอ้กระดูกผุนั่นก็ไม่ยอมถ่ายทอดวิธีบรรลุเทพเจ้าให้แก่ข้า ในตอนนั้น ข้าแก่ชราลงไปแล้ว และกำลังจะตายในอีกไม่กี่ปี แต่เขาไม่เคยเห็นแก่สายสัมพันธ์ของพวกเราฉันท์อาจารย์ศิษย์เลย”

“ฮึ่ม ในเมื่อเขาอยากให้ข้าตายนัก ข้าก็จะให้เขาตายก่อน! ดังนั้นเมื่อเขาเตรียมพร้อมที่จะออกไปจากโลกนี้ และแดนเบื้องบนก็ได้ฉายแสงเทวะส่องลงมาเพื่อรับเขาขึ้นไป ข้าก็ได้ลงมือ”

ฉินมู่หนาวเยือกขึ้นมาในใจ

ผานกงสั่วแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ข้าใช้ทักษะเทวะที่เขาสอนข้าเพื่อขัดจังหวะแสงเทวะรับตัว แยกมันออกเป็นสอง! จ้าวลัทธิฉิน เจ้าก็เชี่ยวชาญในทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล ดังนั้นเมื่อทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของเจ้าแยกเป็นสอง เจ้าจะมีจุดจบเช่นไร”

ฉินมู่ใจเต้นแทบจะชนกระดูกซี่โครง “ข้าก็จะถูกผ่าเป็นสองด้วย”

“แสงเทวะรับตัวนั้นไม่ต่างอะไรจากทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล แตกต่างกันก็แค่การแยกกันระหว่างกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิม”

ผานกงสั่วภูมิใจในตนเองอย่างถึงที่สุดเมื่อเขากล่าวอย่างไม่อนาทร “ข้าใช้เวทมนตร์หมอผีเพื่อบูชายัญศิษย์ของข้าและผ่าแยกแสงเทวะรับตัวเป็นสองเสี่ยง กายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้า พลันฉีกแยกออกจากกัน และร่วงลงมาจากแสงเทวะรับตัว มันเหมือนกับเขวี้ยงหินก้อนเดียวได้นกสองตัว”

“ศิษย์ของข้าได้รอให้ข้าตายอย่างใจจดใจจ่อมานานแล้ว เพื่อที่จะได้ขึ้นแทนตำแหน่ง ดังนั้นข้าจึงจัดการพวกเขาทั้งคู่เสียพร้อมๆ กัน โดยปราศจากกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยจึงถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย เมื่อข้าฝังแมลงวิญญาณลงไปในนั้น!”

ฉินมู่ขนหัวลุกเต็มเหยียด และเขาถอนหายใจ

“ผู้สูงศักดิ์ เจ้าบอกว่าเทพหมอผีขุยนั้นชั่วร้าย แต่ในสายตาข้า เขาอาจจะไม่ชั่วร้ายเท่ากับเจ้า”

ผานกงสั่วส่ายหัว “เจ้าประเมินข้าสูงเกินไป ข้าไม่อาจทัดเทียมกับเขาได้ เขานั้นคือความชั่วร้ายอย่างแท้จริง แม้ว่าจะถูกกักเอาไว้มาช้านาน แต่กายเนื้อของเขาก็ยังไม่ตาย และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ยังคงอยู่ดี มันแทบจะทลายฝ่ามนตร์ปิดผนึกของข้าก็หลายครั้ง หลังจากที่ข้าใช้มันเพื่อก่อตั้งเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ”

“จ้าวลัทธิคงไม่คาดคิดหรอกใช่ไหม ในชาติภพแรกของข้า ข้าเป็นหนึ่งในตัวตนระดับสุดยอดของโลกหล้า ยอดยุทธฝีมือแกร่งที่เข้าใกล้เขตขั้นเทวะ บางทีอาจจะเพราะข้ากลับชาติมาเกิดหลายครั้งจนเกินไป และความปรารถนาที่จะก้าวหน้าต่อไปของข้าก็เหือดหาย แต่กระนั้น ความห้าวหาญทะยานจิตของข้าในครั้งนั้น ก็ไม่ด้อยไปกว่าจ้าวลัทธิฉินเลย”

ฉินมู่ผงกหัว “นั่นก็จริง ความสามารถของผู้สูงศักดิ์นั้นไม่ธรรมดา แม้ว่าเจ้าจะเรียนวิชาฝึกปรือของค่ายสำนักและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ มากมาย แต่เวทมนตร์หมอผีก็ยังคงเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้า พวกมันสั่งสมมาจากชาติภพแรก และวิชาอื่นๆ ที่เจ้าเรียนในชาติต่อๆ มานั้นเป็นเพียงสิ่งประดับประดาลงไปยังของอันสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว พวกมันมีประโยชน์แก่เจ้าเพียงน้อยนิด หากว่าเจ้าทุ่มเทการศึกษาค้นคว้าทั้งหมดไปที่เวทมนตร์หมอผีของเจ้า ความสำเร็จในวันนี้ก็คงไม่เป็นเช่นที่เป็นอยู่”

ผานกงสั่วมีสีหน้าชืดชา และน้ำเสียงของเขาก็ทื่อลง “แล้วจะอย่างไรต่อให้ข้าสามารถฝึกปรือเวทมนตร์หมอผีจนถึงสุดขีดขั้ว ข้าก็ยังไม่อาจกลายเป็นเทพเจ้าได้อยู่ดี หลังจากที่ข้าตระหนักเรื่องนี้ ข้าก็เริ่มเดินหนทางอื่น หาวิถีทางที่จะบรรลุเป็นเทพเจ้าในค่ายสำนักและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ”

“น่าเสียดายว่าพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่มีวิถีทาง ทั้งยังไม่สามารถตรึกตรองเข้าใจสิ่งที่ข้าเรียนมาในหลายชั่วชีวิตได้อย่างเต็มที่ ในท้ายที่สุด ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน บุรุษที่ข้าถือเป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ได้เผยแพร่วิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าออกไปสู่สาธารณะ ให้ความหวังข้าที่จะสามารถไปถึงขั้นนั้นได้ในที่สุด ทำให้ข้าได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่รู้จบ จนด้วยวาจาจะกล่าว”

เขาจมลงไปในภวังค์คิด และทันใดนั้นก็กล่าว “หากว่าข้าพบเจ้าในชั่วชีวิตแรก พวกเราก็อาจจะไม่ได้เป็นศัตรูกัน อาจจะเป็นสหายกันด้วยซ้ำ”

ฉินมู่หน้าแดงเล็กน้อยและหัวเราะ “ผู้สูงศักดิ์ อย่าล้อเล่นอะไรแบบนั้น ข้าน่ะไม่ชั่วร้ายเลยสักนิด จะคบเจ้าเป็นสหายได้อย่างไร เจ้าซ่อนกายเนื้อของเทพหมอผีขุยไว้ที่ไหนล่ะ และสะกดจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไว้ที่ใด”

“หากว่าข้าบอก เจ้าจะไม่ฆ่าข้า และปล่อยข้าไปตามทางไหมล่ะ”

“ข้าสามารถทำสัตยาบันภูติบดี!” ฉินมู่กล่าวอย่างมั่นเหมาะ

ผานกงสั่วส่ายหัว “จ้าวลัทธิ โปรดอย่าล้อเล่น”

ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และโบกมือ “หากว่าเจ้าไม่ต้องการจะกระทำสัตยาบันต่อภูตบดี เช่นนั้นพวกเราก็มาทำสัตยาบันต่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยกันเถอะ หากว่าเจ้าผิดคำสาบานและให้ตำแหน่งที่ตั้งเท็จแก่ข้า เจ้าก็จงตายในทันทีที่พบกับเขา! สำหรับข้าก็เหมือนกัน หากว่าข้าไม่ปล่อยเจ้าให้รอดชีวิต ข้าก็จงตายในทันทีที่พบเขา!”

……………………………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท