ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 471 ช่องโหว่

ตอนที่ 471 ช่องโหว่

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เริ่มปวดหัวตึ้บเมื่อฉินมู่ยัดลูกแก้วเต่าดำใส่มือนางอีกครั้ง หากว่านี่เป็นการสะกดหาร่องรอยใครบางคน ไยต้องใช้สมบัติวิเศษขนาดนี้ด้วยล่ะ

นี่มันเป็นการหยั่งเชิงอีกครั้งชัดๆ!

ไอ้เด็กต่ำช้านี่เป็นจิ้งจอกหรืออย่างไร เขาได้ทดสอบข้าไปห้าหกครั้งแล้ว และก็ยังคงทดสอบอีก!

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้คืนลูกแก้วเต่าดำให้ฉินมู่ด้วยสายตาอันอบอุ่นและแย้มยิ้ม “หากว่าเพียงแค่สะกดร่องรอยของบุคคล ไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติล้ำค่าขนาดนี้ จ้าวลัทธิฉินมีภาพวาดของผู้สูงศักดิ์หรือไม่”

ฉินมู่ราวกับคนตาบอด ไม่ใส่ใจความสวยสะคราญและรอยยิ้มอันยั่วยวนของนาง เขารีบวาดภาพของผานกงสั่วและมอบให้นาง

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้อดทนเป็นอย่างยิ่ง นางร่ายเวทมนตร์ปลุกพรายวิญญาณเพื่อปลุกก้อนเมฆ ภูเขา ต้นไม้ขึ้นมา และหลังจากที่ไต่ถามพรายวิญญาณเหล่านั้นทั้งหมด นางก็พบที่อยู่ของผานกงสั่วได้ในเวลาไม่นาน

“เวทมนตร์ของตำหนักสวรรค์แท้ไม่เลวเลยจริงๆ หากว่าตำรวจคนไหนมีเวทมนตร์พวกนี้ในมือ เขาก็คงกลายเป็นมือหนึ่งในวิชาชีพได้อย่างแน่นอน”

ราชครูสันตินิรันดร์ครุ่นคิด “บางทีเราอาจจะให้ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้เข้ามาเป็นตำรวจที่สันตินิรันดร์”

“มุมมองของราชครูนั้นเหนือธรรมดาจริงๆ” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวอย่างนุ่มนวล

ราชครูสันตินิรันดร์ไม่มีสีหน้าอื่นใด “เป็นแค่ความคิดคร่าวๆ เท่านั้น ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยอ้าง”

ระหว่างทางมารดาเฒ่าสวรรค์แท้คอยดูแลปรนนิบัติฉินมู่และราชครูในเรื่องอาหารการกินและสถานที่พักผ่อน นางรินชาให้กับทั้งคู่ ซักเสื้อผ้าให้ บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มละไมตลอดเวลา ทำให้นางดูเฉลียวฉลาด อ่อนหวาน และเข้าอกเข้าใจผู้อื่น

แต่ทว่าฉินมู่และราชครูมองราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา และฉินมู่ยังถึงกับให้นางเลี้ยงอาหารกิเลนมังกร เจ้าอ้วนยักษ์ตัวนี้

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มิเคยปริปากบ่นเลยสักคำ ยังคงรักษาบุคลิกอันอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจไว้ตลอดเวลา แต่ทว่านางไม่แน่ใจ

ฉินมู่ดูเหมือนพวกที่มีนิสัยเจ้าชู้ตามธรรมชาติ ด้วยปากของเขาหวานราวกับทาน้ำผึ้ง เจอสาวๆ ที่ไหนก็เรียกพี่สาวไปหมด แต่ทว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ไม่ว่านางจะยั่วยวนเขาเท่าใด เขาก็ไม่รู้ประสาและโง่เขลา ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย

ราชครูสันตินิรันดร์นั้นยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เขาดูเหมือนว่าอารมณ์ความรู้สึกแม้สักน้อยก็ไม่มี เขาทำแต่สิ่งที่เขาต้องทำ และไม่หวั่นไหวด้วยเสน่ห์ของนางเลยสักนิด

ส่วนกิเลนมังกรนั้น เขาเป็นสิ่งน่าประหลาดใจที่สุด เขานั้นจ้องอ่างอาหารของตนเองเขม็งและนับยาวิญญาณทุกเม็ดอย่างถี่ถ้วน น้อยไปเม็ดหนึ่งก็ไม่ยอม

เมื่อเขาไม่กิน เขาก็จะมัวแต่กังวลเรื่องหนังและเส้นขนที่ไม่งอกกลับมา และเกล็ดของเขาอันเต็มไปด้วยรูสีดำเล็กๆ อันเกิดจากสายฟ้าและไม่หายเป็นปกติเสียที เขาจะพร่ำบ่นแต่ว่าเขาไม่หล่อเหลาเหมือนเดิมอีกแล้ว จากนั้นก็จะพึมพำหาวิธีต้มตุ๋นเอาอาหารจากมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ให้มากขึ้นไปอีก เขานั้นแทบจะทำให้หัวของนางปลิวกระเด็นไปด้วยการพูดจ้อไม่หยุดปาก

ข้าจะต้องฆ่าพวกมัน!

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้หมายที่จะลงมือ แต่เมื่อเผชิญกับราชครูสันตินิรันดร์ นางก็ไม่มีโอกาสสักนิด

เขาไม่เคยเผยช่องโหว่ แม้เมื่อราตรีมาถึง เขาก็ไม่หลับไหล และเพียงแต่นั่งด้วยดวงตาอันลืมโพลง

ผ่านไปสักพัก มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็ยิ่งพบข้อเท็จจริงที่น่าแตกตื่นกว่านั้น ซึ่งก็คือเมื่อราชครูสันตินิรันดร์รับประทานอาหาร เขาก็ขับเคลื่อนเพลงกระบี่ของตนไปด้วยระหว่างใช้ตะเกียบคีบอาหาร ในท่วงท่าที่เขายื่นมือออกไปและชักกลับมา เจ้าคนวิปริตนี่ถึงกับร่ายรำเพลงกระบี่ไปเป็นร้อยๆ ชนิด!

ที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้นก็คือ ในกิริยาของการคีบผักก็ยังถึงกับผสานการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั่วทั้งร่างกายของเขา เช่นเดียวกับการแปรเปลี่ยนไปของปราณชีวิต เขานั้นอยู่ในสภาวะอันพร้อมเต็มที่ตลอดเวลา และสมบูรณ์แบบจนไร้ช่องโหว่

ในทางกลับกัน ฉินมู่นั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่ และนางสามารถสังหารเขาให้ตายอย่างน่าอนาถเมื่อใดก็ได้ ไม่ต้องลำบากอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ

แต่ทว่า หากว่านางยังไม่กำจัดราชครูสันตินิรันดร์และลงมือกับฉินมู่ก่อน คนที่ตายเป็นอันดับถัดมาก็จะต้องเป็นนาง

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ไม่กล้าลงมือ และได้แต่รอคอยโอกาสอย่างอดทน

ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้ตลอดเวลา เขาจะต้องเผยช่องโหว่ออกมาแน่นอน! ในโลกนี้ แม้แต่เทพเจ้าก็ยังมิอาจไร้ช่องโหว่!

ระหว่างการเดินทาง ฉินมู่ปรึกษาราชครูสันตินิรันดร์ในเรื่องเพลงกระบี่อย่างต่อเนื่อง และมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็รับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หวังว่าจะสามารถหาช่องโหว่ในเพลงกระบี่ของเขาได้ แต่ไม่นาน นางก็พบว่านางไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังสนทนาอยู่เลยสักนิด

ความสำเร็จในเต๋ากระบี่ของราชครูเพิ่มพูนไปด้วยความเร็วราวเทพยดา และความสำเร็จในเพลงกระบี่ของฉินมู่เองก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นทั้งสองคนจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษในศาสตร์นี้ มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีความสำเร็จสูงสุดขั้นในด้านธรรมชาติเสกสรร แต่ปฏิภาณความเข้าใจของนางในด้านเพลงกระบี่นั้นด้อยกว่าหลายขุม

ทั้งคู่แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันกลางอากาศอยู่บ่อยครั้ง ฉินมู่จะโจมตีใส่ราชครูซึ่งก็จะยืนไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา ด้วยกระบี่ในมือข้างเดียว เขาก็สามารถปัดป้องการโจมตีของฉินมู่ได้อย่างง่ายดาย

พวกเขาทั้งดุเดือดและเปลี่ยนแปรไปมาอย่างไม่สิ้นสุด เทียบกันแล้วเพลงกระบี่ของราชครูเรียบง่ายอย่างสุดขีดขั้ว และสิ่งที่เขาใช้ก็เป็นเพียงท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน กระนั้นเขาก็สามารถทำลายเพลงกระบี่อันสลับซับซ้อนได้ทั้งหมด

ฉินมู่เหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงหยุดพัก เขาจมจ่อมในการใคร่ครวญว่าจะพัฒนาเพลงกระบี่ของตนอย่างไร ราชครูสันตินิรันดร์ไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้เขาคิดอย่างเงียบๆ เพียงลำพัง

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้อดไม่ได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ “เพลงกระบี่ของราชครูนั้นราวกับเทพยดา ไฉนท่านไม่ชี้แนะเขาสักหน่อยเล่า”

“ข้าไม่สามารถ” ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว “เขาได้บรรลุถึงสุดขีดขั้วแห่งเพลงกระบี่แล้ว ดังนั้นจะได้ปฏิภาณความเข้าใจอะไรใหม่ๆ มาก็ต้องขึ้นกับตัวเขาเองเท่านั้น”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แม้แต่ราชครูสันตินิรันดร์ก็ไม่อาจให้คำชี้แนะแก่ฉินมู่ได้อีกต่อไปแล้วหรือ

“ทำไมราชครูท่านไม่ปิดผนึกสมบัติเทวะเพื่อต่อสู้ในขั้นวรยุทธเดียวกันกับเขาล่ะ” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ชม้อยตาและถามต่อ

“ข้ามิกล้า” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พลังวัตรของเขากล้าแข็งเกินไป ในวรยุทธขั้นเดียวกันนั้น ข้าได้แต่อาศัยพลานุภาพในเต๋ากระบี่ ถึงจะสามารถเสี่ยงชีวิตกับเขาได้ ความเข้มข้นของพลังวัตรของเขาสามารถสังหารข้าได้ในกระบวนท่าเดียว”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มองไปที่ฉินมู่และครุ่นคิดในใจ บรรลุถึงเขตขั้นอันสูงส่งเพียงนี้ด้วยอายุเยาว์ ไอ้เด็กนี้ปล่อยให้มีชีวิตไว้ไม่ได้หรอก! ไม่อย่างนั้น ใครจะมาปราบเขาได้

ขณะที่นางคิดเช่นนั้น นางก็ได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องสะท้านพิภพดังมาจากร่างกายของฉินมู่ เป่าเมฆขาวในบริเวณรอบๆ กระจัดกระจายไป มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ใจเต้นตึกๆ อย่างรุนแรง และสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่เชื่อสายตา

มันคือเสียงของกำแพงสมบัติเทวะถูกพังทลาย แต่ความเข้มข้นของมันดูราวกับการทลายสมบัติเทวะชาวสวรรค์!

ปัง ปัง ปัง

แสงสว่างสาดส่องจากร่างของฉินมู่และแปรเปลี่ยนเป็นดาวเจ็ดดวงที่หมุนวนรอบๆ เขา มันประกอบไปด้วยปราณหยางพิสุทธิ์อันราวกับดวงตะวันอันเจิดจ้า ปราณหยินพิสุทธิ์อันราวกับดวงจันทร์อันนวลใย และยังมีดาวอังคาร ดาวเสาร์อันเปล่งรัศมีสีเหลืองดิน ดาวศุกร์ที่พริบพรายด้วยรังสีแสงสีขาว ดาวพุทธอันห่อหุ้มไปด้วยไอน้ำ และดาวพฤหัสบดีที่พวยพุ่งไปด้วยปราณมังกรเขียว พวกมันทั้งหมดถูกห้อมล้อมไปด้วยประกายไฟฟ้า

บนดาวแต่ละดวงมีเทพเจ้ายืนอยู่บนนั้น พวกเขาล้วนแต่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดต่างๆ นานา หนึ่งนั้นมีกายมนุษย์และศีรษะวัว อีกหนึ่งมีสามขาและศีรษะนก และอีกหนึ่งก็มีศีรษะพยัคฆ์และหางเสือดาว เทพครองดาวใหญ่ทั้งเจ็ดมีรูปลักษณ์พิสดารต่างๆ กันไป

ร่างของฉินมู่สั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ และจิตวิญญาณดั้งเดิมที่สูงแปดวาก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหลังเขา มือทั้งสองของเขายกขึ้นมาเหนือหัวราวกับว่ากำลังแบกอะไรสักอย่าง และดวงดาวทั้งเจ็ดก็ขึ้นไปลอยวนอยู่เหนือฝ่ามือของเขา

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ร้องออกมาด้วยความแตกตื่น “จิตวิญญาณดั้งเดิมแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้ เขาบรรลุขั้นชาวสวรรค์ แต่ทำไมเกิดภาพปรากฏการณ์ของเจ็ดดาวล่ะ”

“เจ้าเห็นไหมล่ะว่าเสียงกัมปนาทของการทลายขั้นวรยุทธของเขาน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน” ราชครูสันตินิรันดร์ระบายลมหายใจสะท้าน ขณะที่สายตาของเขาก็ระโหยแล้ง “ข้าคิดมาตลอดว่าข้าคือเส้นตรง และไม่มีจุดอ่อนใดๆ บัดนี้ข้าถึงรู้ว่าข้ามิได้เป็นเช่นนั้น เขาเป็นเส้นตรง ส่วนข้าเป็นสามเหลี่ยม กายาจ้าวแดนดิน มันสามารถแข็งแกร่งได้ขนาดนี้เชียวหรือ”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้งงงวย นางตกตะลึงกับภาพปรากฏการณ์การทลายขั้นเจ็ดดาว ในเมื่อความอึกทึกที่เกิดขึ้นนั้นไม่ควรที่จะน่าแตกตื่นขนาดนี้

แต่ทว่าที่ทำให้นางตกตะลึงที่สุดก็ยังคงเป็นกายาจ้าวแดนดิน

นางไม่เคยได้ยินกายาชนิดนี้มาก่อน!

“ราชครู อะไรคือกายาจ้าวแดนดินที่ท่านว่า” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ปรึกษาเขาอย่างจริงใจ หมายที่จะได้รับแสงสว่างแห่งปัญญา

“กายาจ้าวแดนดินมาจากตำนานโบราณ” ราชครูสันตินิรันดร์จิตวิญญาณฟ่องฟูขึ้นมา “เรื่องนี้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งบอกเล่าแก่ข้า ดังนั้นให้ข้าบอกเล่าเจ้าต่อโดยละเอียด ตำนานกล่าวว่าสามารถมีกายาจ้าวแดนดินได้เพียงหนึ่งในโลกหล้า…”

พวกเขาไล่ตามร่องรอยของผานกงสั่วมาราวๆ ห้าวัน อันฉินมู่ใช้ในการปรับรากฐานวรยุทธขั้นเจ็ดดาวของเขาให้มั่นคง พลังวัตรของเขานั้นเข้มข้นขึ้นและเข้มข้นขึ้นไปทุกที ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อเขาเปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ และเจ็ดดาวขึ้นมาพร้อมๆ กัน พลานุภาพของพลังวัตรของเขาก็แทบจะเท่ากับกิเลนมังกร

เจ้าอ้วนนี่เริ่มกระวนกระวาย และรู้สึกผวาอย่างสุดๆ แย่ล่ะ วรยุทธของจ้าวลัทธิไล่ตามข้ามาติดๆ แล้ว ข้ากำลังจะไร้ประโยชน์! อย่างนี้ข้าจะไปหาเจ้านายอาหารที่ล้ำเลิศเช่นจ้าวลัทธิฉินได้จากไหนกันล่ะ

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ระบายลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม “ตอนนี้พวกเราอยู่ไม่ไกลจากผู้สูงศักดิ์แล้ว”

ฉินมู่มองขึ้นไปรอบๆ พวกเขา ต้องประหลาดใจที่พบว่าทะเลทรายเพลิงโหมอยู่ข้างหน้า “ผานกงสั่วคงจะวิ่งหนีออกไปจากแผ่นดินตะวันตกเรียบร้อยแล้ว เขาสมกับเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่มีใครทัดเทียมเขาได้ในเรื่องความสามารถในการหลบหนี หากว่าไม่ใช่เพราะพี่สาวซืออวี่ เขาก็คงหนีรอดไปได้อีกตามเคย”

เพลิงไฟข้างหน้าพวกเขาลุกไหม้สูงลิ่ว ในจังหวะที่พวกเขาเข้าใกล้มัน รอยประทับประหลาดพิลึกมากมายก็ปรากฏบนร่างของฉินมู่ คืบไต่ไปทั่วตัวเขา

หางตาของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้กระตุก และนางถามด้วยความกังวล “จ้าวลัทธิฉิน รอยประทับบนร่างของท่านพวกนี้…”

“ข้าเดาว่ามันน่าจะเป็นคำสาปแบบหนึ่ง” ฉินมู่ไม่ใส่ใจมัน “ครั้งล่าสุดที่ข้ามาที่นี่ รอยประทับนี้ปรากฏทั่วทั้งร่างของข้า ตลอดไปจนถึงใจกลางฝ่าเท้า และไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถขจัดมันไปได้ มีก็แต่เมื่อข้าเดินออกไปจากทะเลทรายเพลิงโหมเท่านั้น พวกมันจึงจะจางหายไปเอง”

“แม้กระทั่งใจกลางฝ่าเท้าหรือ”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้จิตสั่นสะท้าน และนางเกือบจะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

ราชวงศ์! เขาคือสมาชิกราชวงศ์!

นางได้สังหารชนชั้นสูงมากมายจากเหล่าผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศ แต่มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่เป็นผู้สืบสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้ง นางมิเคยได้สังหารผู้คนเช่นนี้มาก่อน!

เขามิใช่แค่ชนชั้นสูงแห่งแดนโบราณวินาศ เขาคือราชวงศ์!

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ลิงโลดยินดี และความรู้สึกอัปยศอดสูจากช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็หายวับเป็นปลิดทิ้ง นางได้เดินทางไปไกลและไพศาลเพื่อจะหาราชวงศ์สักหนึ่งคน แต่เขากลับเดินมาหานางด้วยตนเอง! พวกเบื้องบนนั้นกังวลที่สุดก็คือราชวงศ์ และหากว่านางสามารถกำจัดเขาได้ นางก็จะประสบความสำเร็จไต่เต้าไปได้อย่างสูงลิ่ว และพ้นจากโลกรูหนูนี่เพื่อไปใช้ชีวิตเริงรื่นที่แดนเบื้องบน!

สายตาของนางวูบไหว แม้ว่าไอ้เด็กสำส่อนนี่จะฆ่าง่ายกว่า แต่เขากลับมีความสำคัญที่สุด! ชีวิตของเขามีค่ามากกว่าราชครูสันตินิรันดร์ไปเป็นร้อยๆ เท่า! แต่ก่อนที่จะกำจัดเขา ข้าก็จำเป็นต้องกำจัดราชครูสันตินิรันดร์ไปเสียก่อน! จะจัดการกับเขาโดยปกติธรรมดานั้นยากเย็น แต่หลังจากที่เข้าไปในทะเลทรายแล้ว ข้าก็จะมีวิธีการ! ผู้สูงศักดิ์ คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว!

นางร่ายเวทมนตร์เพื่อรวบรวมทราย ปลุกยักษ์ทรายขึ้นมาเพื่อถามเขาเกี่ยวกับตำแหน่งที่อยู่ของผานกงสั่ว

กิเลนมังกรเพิ่มพูนความเร็วของเขาเมื่อวิ่งไปยังที่ไกลๆ

ในเช้าวันถัดมา กิเลนมังกรก็ไปถึงซากโบราณที่ยังสภาพดีอยู่ในทะเลทราย ข้างๆ มันนั้นมีเรือตะวันและดวงตะวันที่ถูกฝังไว้ครึ่งหนึ่ง

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ด้วยเรือตะวันนี้ ผานกงสั่วก็คงยากที่จะหลบหนีไปได้ ต่อให้เขาต้องการหนีมากแค่ไหนก็ตาม”

ฉินมู่จิตใจฮึกเหิม แย้มยิ้มออกมา “ราชครู พี่สาวซืออวี่ โปรดรอที่นี่เพื่อเฝ้าต้นทาง อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้อีก ข้าจะไปตามหาไอ้เด็กเปรตผานกงสั่วนั่น!”

ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่เขา “ต้องการความช่วยเหลือจากข้าไหม”

“ไม่จำเป็น!” ฉินมู่เร่งความเร็วของเขา และไม่นานเขาก็ลงไปเหยียบที่โถงวังอันพังยุบลงมาในซากโบราณ เขาหัวร่อด้วยเสียงอันดัง “ผานกงสั่ว สหายจากแดนไกลมาเยือนเจ้า ไฉนเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกมาตาย”

“ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้ามันตามหลอกหลอนข้าไม่เลิก!” ร่างหนึ่งทะยานจากผืนทรายขึ้นไปบนท้องฟ้า ด้วยเสียงตึบ มันเหยียบลงตรงสุดอีกด้านของโถงวังนี้ มันคือเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง และไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากผานกงสั่ว เขานั้นเต็มไปด้วยความอาจหาญลำพองและหัวเราะด้วยเสียงกึกก้อง

“เจ้ามาได้เวลาพอดี ในช่วงนี้พลังวัตรของข้าเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล และในที่สุดข้าก็จะได้สำเร็จความปรารถนาอันหมายมาดไว้เนิ่นนาน ก็คือสับเจ้าเป็นชิ้นๆ และให้เจ้าคุกเข่าลงต่อหน้าข้า!”

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้จ้องไปที่แผ่นหลังราชครูสันตินิรันดร์อยู่ตลอดเวลา และในขณะนั้น นางก็เห็นช่องโหว่ของเขา!

……………………………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท