บทที่ 485 การประชุมครั้งยิ่งใหญ่ที่ตัดสินอนาคตของมนุษย์
เวลานี้เป็นเวลานอนตอนกลางคืนภายในยานอวกาศซี-หวั้งแต่หลังจากได้รับข่าวแล้ว ผู้นำระดับสูงทุกคนลุกออกมาจากที่นอน ค่อยๆ ทยอยมาที่ห้องประชุม
บางคนยังมีท่าทางงัวเงีย
ลู่เฉินนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน สายตามองไปที่ทุกคน
แล้วจึงพูดว่า “ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะถูกปลุกให้ตื่นจากฝันหวาน อารมณ์คงจะไม่ดีเท่าไหร่แน่
แต่ว่าเรื่องนี้อยู่เหนือการควบคุมของพวกเรา เป็นเรื่องเร่งด่วน จึงต้องเรียกพวกคุณให้ลุกมากลางดึก
ผมก็จะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกคุณจะเชื่อหรือไม่อย่างไรก็ตามมีอารยธรรมต่างดาวในกาแลกซีที่เราอาศัยอยู่
อีกทั้ง อารยธรรมต่างดาวนี้ยังแข็งแกร่งกว่าอารยธรรมของพวกเรามากมายเหลือเกิน”
“ฮะ!”
ผู้คนต่างพากันร้องอย่างตื่นตกใจ สีหน้าแสดงให้เห็นถึงความแปลกประหลาดใจ
แม้ทุกคนจะสงสัยมาตลอด ว่าอาจจะมีอารยธรรมต่างดาวภายในกาแลกซี่ทางช้างเผือก
แต่ก็ไม่เคยได้รับการยืนยันมาก่อน
ดังนั้น ในจักรวาลจะยังมีอารยธรรมต่างดาวอยู่หรือไม่เรื่องนี้ ก็อาจจะเป็นแค่การคาดเดา
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ลู่เฉิน ที่เป็นกัปตันของพวกเขา จะพูดอย่างมั่นใจแบบนี้ว่ามีอารยธรรมต่างดาวอยู่จริง และยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าของมนุษย์เรามากด้วย
“กัปตัน อย่างนั้น ความหมายของคุณก็คือ นักดาราศาสตร์ของมนุษย์เราได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ แล้วเหรอครับ?” หวังเหวยเอ่ยถาม
“ใช่ พวกเราค้นพบซากปรักหักพังชิ้นหนึ่งแล้ว กลุ่มซากปรักหักพังของยานอวกาศจากต่างดาว”
สองมือของลู่เฉินแค่สัมผัส หน้าโฮโลแกรมก็เปิดออก แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนออกมา
“จากภาพที่ถ่ายพวกเราจะเห็นว่า ห่างจากการเดินทางของพวกเราประมาณห้าวัน มีจุดที่อยู่ของซากยานอวกาศต่างดาวครอบคลุมระยะทางประมาณหลายหมื่นกิโลเมตร
พวกเราสามารถมองเห็นอย่างชัดเจนมาก ว่ากลุ่มซากยานอวกาศเหล่านี้ชนจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี ชิ้นส่วนที่เล็กที่สุดมีความยาวเพียงไม่กี่เซนติเมตรหรือหลายสิบเซนติเมตรในขณะที่ชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดใหญ่กว่ายานอวกาศซี-หวั้งของพวกเราเสียอีก”
ภาพนี้ถ่ายโดยดาวเทียมในระยะใกล้ ด้วยความคมชัดสูงสุด
ผู้คนต่างมองภาพถ่าย สีหน้าแววตายิ่งตื่นตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จากในภาพนั้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของยานจากต่างดาวลำนี้
ต่อให้แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวและเทคโนโลยีขั้นสูง เทคโนโลยีของมนุษย์ในตอนนี้แทบจะไม่มีอะไรมาเทียบได้
ในใจของทุกคนต่างเกิดความรู้สึกเหมือนสิ้นหวัง
ถ้ายานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวลำนี้โจมตีโลกตอนนั้น โลกก็คงจะถูกทำลายไปนานแล้ว
“ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ไม่ใช่นักวิชาการไม่ใช่นักวิจัยด้วยซ้ำ แม้ผมจะเป็นกัปตันผมก็ยังอยากลองฟังความคิดเห็นของพวกคุณอยู่ดี……”
“ปัจจุบัน จากการวิเคราะห์ภาพเหล่านี้ จะเห็นได้ชัดว่ายานอวกาศต่างดาวลำนี้มีประสิทธิภาพในด้านเทคโนโลยีแข็งแกร่งกว่าของพวกเรามากมายนัก หากพวกเราต้องการค้นพบในระดับนี้ อาจใช้เวลาพัฒนาอีกหลายสิบหลายร้อยปีก็เป็นได้
ดังนั้น ผมกับสำนักวิทยาศาสตร์มีความเห็นตรงกัน พวกเราวางแผนเยี่ยมชมยานอวกาศต่างดาวลำนี้ เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีของพวกเขา
หากได้รับเทคโนโลยีจากพวกเขา ก็หมดข้อสงสัยได้เลยว่า เทคโนโลยีของมนุษย์อย่างพวกเราจะต้องก้าวกระโดดไปอย่างมากแน่นอน
แต่ขณะเดียวกันพวกเราก็ยังไม่มีความเข้าใจยานลำนี้เลยแม้แต่น้อย ว่าจะมีอันตรายอะไร พวกเราก็ยังไม่แน่ใจ
อาจจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างร้ายแรงกับยานอวกาศซี-หวั้งหรือไม่ พวกเราก็ไม่แน่ใจ
อย่างนั้น ตอนนี้ ผมอยากจะลองฟังความคิดเห็นของทุกคุณดู”
สายตาของลู่เฉินมองทุกคนอย่างพินิจพิจารณา พูดอย่างหนักแน่นมั่นคง
ภายในห้องประชุมเต็มไปด้วยความเงียบ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ดังนั้นจึงไม่มีใครแสดงความคิดเห็นส่งเดช
ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด เป็นผู้ที่มีไอคิวสูงเป็นพิเศษ
“ศาสตราจารย์ติง ผมขอถามสักหน่อย พวกคุณรู้ข้อมูลทางเทคโนโลยีของกลุ่มยานอวกาศต่างดาวนี้หรือเปล่า? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าพวกเราเข้าสู่ไปในยานอวกาศต่างดาว มีโอกาสที่จะนำความหวังไปสู่หายนะอย่างยิ่งยวดนั้นได้มากเพียงใด?”
เซ่เว่ยเหานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มองไปยังติงต้าเฉิงก่อนจะเอ่ยถาม
“คำถามนี้ของคุณผมไม่รู้จะตอบยังไง เพราะเมื่อครู่พวกเราเพิ่งจะค้นพบว่ามันคือซากของยานอวกาศต่างดาว ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจสภาพภายในเลยสักนิด
แต่ถ้าหากพวกเราเตรียมพร้อมที่จะไปสำรวจยานอวกาศ แน่นอนว่าพวกเราจะต้องมาวิเคราะห์วิจัยสภาพภายนอกรอบซากเหล่านี้ก่อน
หลังจากได้ข้อมูลเพียงพอแล้ว จึงจะสามารถส่งคนไปได้
พวกเราจะไม่ทำให้ยานอวกาศซี-หวั้งเสี่ยงอันตรายจนไม่อาจฟื้นคืนสภาพเดิมได้ เพียงเพื่อจะได้รับเทคโนโลยีขั้นสูงนั่นอย่างแน่นอน” ติงต้าเฉิงกล่าว
ผู้คนต่างพยักหน้า คำพูดของติงไร้ซึ่งช่องโหว่ที่จะโจมตีได้ พูดได้อย่างมีเหตุผลรอบคอบมาก
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง อยู่ภายใต้ความดึงดูดจูงใจของเทคโนโลยียังสามารถรักษาความตื่นตัวได้แบบนี้ นี่คือแบบอย่างหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์พึงมี
ตามตำนานนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ล้วนสติแตก
ต่างยึดติดจนกลายเป็นคนวิกลจริตแบบนั้น
ในโบกของพวกเขามีเพียงหัวข้อที่พวกเขาวิจัย
จุดมุ่งหมายที่เขาไขว่คว้า มีเพียงการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง
แต่ติงต้าเฉิงยังคงมีความเข้าใจที่มีสติตื่นตัวเช่นนี้ ทำให้ทัศนคติของคนหลายคนที่มีต่อนักวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงไป
มนุษย์ก็มีความขัดแย้งในตัวเองแบบนี้
ด้านหนึ่งก็หวังว่าพวกนักวิทยาศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของทุกคนต่อไปไม่หยุด
อีกด้านหนึ่ง ก็กังวลว่าพวกนักวิทยาศาสตร์จะดื้อรั้นยึดติดเกินไป และทำให้เกิดหายนะอะไรได้
ตัวอย่างเช่นไวรัส D บนโลกก่อนหน้านี้
หากไม่ใช่นักชีวเคมีบางคนที่ยึดติดจนเพี้ยนไป ก็จะไม่สามารถทำลายโลกได้
“ศาสตราจารย์ติง ผมอยากถามหน่อยว่า กลุ่มยานอวกาศต่างดาวนี้ ยังมีส่วนที่สภาพสมบูรณ์อยู่มั้ย? ผมไม่ได้หมายถึงยานอวกาศที่สมบูรณ์ซึ่งให้มนุษย์สามารถครอบครองและควบคุมได้ ผมหมายถึง …”
พูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าท่าทางของตู้เฟยมีความเกรี้ยวกราดดุดัน เขาพูดว่า
“ผมหมายถึงเป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกจะมีชีวิตอยู่ พวกเขายังควบคุมยานบางลำอยู่ เป็นไปได้มั้ยว่าพวกเขาจะโจมตีมนุษย์อย่างพวกเรา!
ปัญหานี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ขอแค่ให้คำตอบพวกเรา พวกเราจึงจะตัดสินใจได้ว่าจะส่งกองกำลังไปสำรวจยานอวกาศต่างดาวหรือไม่”
“ใช่ ผู้บัญชาการทหารตู้ปัญหาข้อนี้สำคัญมาก นอกจากปัญหาของพวกเขาแล้ว ทางผมเองก็มีคำถามนิดหน่อย”
รองผู้บัญชาการทหารอวู๋กวางเจิ้งก็ได้ถามคำถามของเขาออกมา “นั่นก็คือยานอวกาศจากต่างดาวที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารถึงขนาดนี้ พวกเขามาจากที่ใด ต่อไปจะไปที่ไหน?
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ยานลำนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง ถูกพัดพาจากแดนไกลมาอยู่ที่นี่ ? หรือว่าจุดที่ทำให้พังพินาศก็คือที่นี่?เป็นหายนะของจักรวาลเหรอ?ดาวที่น่ากลัวเหรอ?หรือว่า……”
ในตอนท้ายอวู๋กวางเจิ้งแทบจะเน้นย้ำถามทีละคำๆ “ถูกโจมตีจากอารยธรรมอื่นเหรอ?”
ติงต้าเฉิงกำลังประมวลคำถามของตู้เฟยและอวู๋กวางเจิ้ง
ลู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า: “ความสงสัยของท่านผู้บัญชาการทั้งสอง ความจริงก็เป็นความสงสัยของผมเองด้วยเช่นกัน เพราะพวกเราเพิ่งจะรู้ว่ามันคือซากของยานอวกาศจากต่างดาว ก่อนที่จะประชุมกันนี่เอง