ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 491 ชำระแค้นเพื่อแขนขาด

ตอนที่ 491 ชำระแค้นเพื่อแขนขาด

หีบเงียบลงไป ถึงขั้นที่ไร้เสียง ไม่แม้กระทั่งแว่วเสียงลมหายใจ

ฉินมู่สามารถเคลื่อนไหวไปมาอย่างอิสระในความมืด อย่างเงียบเชียบด้วยเช่นกัน

เหงื่อหยดหนึ่งร่วงหล่นลงไปในกองเลือดด้วยเสียงแผ่วเบา เจ้าของเหงื่อรีบเคลื่อนหนี แต่พลันเจ็บแปลบแล่นเข้ามาที่หัวใจ มันดูท่าจะถูกไม้เท้าไผ่เสียบทะลุ

ฉินมู่ดึงเอาไม้เท้าไผ่ออก และเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเงียบกริบ เสียงของศพล้มครืนดังมาจากข้างหลังเขา

มันพลันชักนำปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงจากบริเวณโดยรอบ มารนอกโลกเหล่านั้นรุมโจมตีเข้ามา ระเบิดปะทุไปด้วยทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณอันเจิดจ้า ยังพื้นที่บริเวณที่เสียงดังมา

ท่ามกลางแสงวาบของทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณ ฉินมู่ก็เคลื่อนที่ข้างในหีบราวกับเงาภูตผีและผู้ฝึกวิชาเทวะก็ร่วงตายไปทีละคนสองคนด้วยน้ำมือเขา เมื่อแสงหายวับไป ความมืดก็กลับมาใหม่อีกครั้งพร้อมกับซากศพของผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นอันโงนเงนและร่วงหล่น

รอบข้างกลับสู่ความสงบอีกครา

พื้นที่ภายในหีบมีรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบวาอันเป็นพื้นที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดไร่

หากว่าผู้คนหลายร้อยคนยืนกระจัดกระจายกันในพื้นที่ขนาดนี้ พวกเขาไม่น่าจะรู้สึกแออัด แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นสัตว์ยักษ์มหึมาอย่างกิเลนมังกร กระนั้นสำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ พื้นที่รอบๆ เหมือนกับอัดแน่นเต็มไปหมด

ทักษะเทวะสามารถพุ่งไปถึงใครก็ตามได้ในพริบตา และบางทักษะที่แข็งแกร่งหน่อยก็สามารถกวาดซัดไปได้ทั้งพื้นที่

เมื่อฉินมู่ดึงพวกเขาทั้งหมดเข้าไปในหีบ ทุกคนก็ตื่นตระหนก และเริ่มลงมือต่อสู้กันทันที อันทำให้ตอนแรกนั้นหีบสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ความมืดได้นำความโกลาหลมายังกลุ่มคน และเพื่อปกป้องตนเอง ทุกคนก็โจมตีใครก็ตามที่อยู่ใกล้ เพราะอย่างนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีฝีมือแข็งแกร่งก็ตกตายด้วยน้ำมือพวกพ้องไปหลายคน

ความโกลาหลคงอยู่ไม่นาน ในเมื่อมีผู้นำของพวกเขาที่อยู่ในวรยุทธขั้นชาวสวรรค์สั่งให้พวกเขายืนนิ่งๆ

ยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์นั้นชาญฉลาด แต่เขาถูกฉินมู่สังหารในพริบตาถัดมา และความปั่นป่วนก็หวนคืนกลับมาอีกครั้ง ฉินมู่ใช้ไม้เท้าไผ่ของเขาเพื่อสังหารผู้คน และแม้แต่ยอดยุทธขั้นชาวสวรรค์ก็ไม่อาจจะรอดชีวิตจากการต่อสู้ประชิดตัวกับเขาได้

หลังจากที่สถานการณ์สงบลงบ้าง ก็มีบางคนพยายามแง้มหีบเปิดเพื่อให้แสงส่องเข้ามา แต่เขาก็ถูกฉินมู่แทง

ในช่วงเวลานั้น มีการต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในหีบต่างก็ตกอยู่ในความหวาดผวา หวั่นเกรงอันตรายต่อชีวิตตน พวกเขาสะกดข่มลมหายใจ หัวใจเต้น และแม้กระทั่งบาดแผลของตนเองเอาไว้ พวกเขาไม่ต้องการให้เลือดไหลร่วงลงมาและทำให้ฉินมู่รู้ตำแหน่งที่อยู่

พวกเขาถึงกับหลับตาลงด้วย เพื่อมิให้มันเผยพิรุธตำแหน่งแห่งที่ของตนเองในความมืด

สำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะ ทุกๆ คนมักจะฝึกทักษะเทวะเนตรที่จะส่องแสงออกมา จุดแสงในโลกมืดย่อมกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีของฉินมู่!

เขานั้นเหมือนกับค้างคาวในถ้ำไร้แสง ปรากฏและหายวับไปอย่างคาดเดาไม่ถูก เสียงใดที่เกิดขึ้นก็จะจับความสนใจของเขา และนำความตายมาสู่เจ้าของเสียง

ในความมืดอันแทบหายใจหายคอไม่ออกนี้ มีราชามารซุ่มตัวอยู่ อันพร้อมจะคร่าชีวิตใครไปเมื่อใดก็ตาม!

เมื่อหีบเปิดออกและพ่นศพออกไปอีก แสงส่องมาจากข้างบนและทุกคนก็รู้สึกโลหิตในร่างเย็นเฉียบ พวกเขาทั้งหมดเคลื่อนที่ ไม่กล้าที่จะอยู่ตรงจุดเดิมอีกต่อไป ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เสียงของทักษะเทวะปะทะกันและซากศพที่ร่วงหล่นก็ดังมา มีคนตายในความโกลาหลอีกครั้ง

“ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”

ในที่สุด ‘มารนอกโลก’ คนหนึ่งก็ไม่อาจทานทนบรรยากาศอันสยองขวัญนี้อีกต่อไปและสติขาดผึง เขาซัดทักษะเทวะทุกอย่างพร้อมกับอาวุธวิญญาณทุกประเภทออกไปทุกทิศทางพลางตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ตายซะ! พวกเจ้าตายกันไปให้หมด!”

พลานุภาพของการจู่โจมเหล่านั้นร้ายกาจและสามารถครอบคลุมพื้นที่กว่าร้อยห้าสิบวาได้อย่างง่ายดาย อาวุธวิญญาณของเขาก็คมกล้าอย่างเหนือธรรมดา กวาดซัดไปรอบทิศ บีบให้ผู้คนในความมืดต้องป้องกันตนเอง

ในหีบ เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง และเสียงตะโกนดุเดือดก็ดังไปทั่วทุกหนแห่ง อาวุธวิญญาณและทักษะเทวะมากมายแล่นพล่านไปหมดอย่างสะเปะสะปะ

นานพอดู ผู้ฝึกวิชาเทวะที่สติหลุดก็หอบหายใจอย่างรุนแรงและหยุดมือ ไม่มีเสียงอื่นๆ อีกในความมืดนอกจากเสียงหอบหายใจของเขา

“ตาย?” ชายผู้นั้นตกตะลึง เขานั้นทั้งประหลาดใจและยินดีเมื่อหัวเราะร่า “พวกเจ้าตายกันหมดแล้ว! ตายกันทั้งหมด! ข้ารอดชีวิต ข้ายังมีชีวิตอยู่!”

ฉึก!

ไม้เท้าไผ่แทงเข้าไปในปากของเขาและทะลุออกที่ท้ายทอย

หีบเปิดออกมา และด้านทั้งสี่ก็แผ่ออก แสงสว่างส่องลงมาบนพื้นที่หนึ่งร้อยห้าสิบวานี้ ทว่าข้างในนั้น มีเพียงฉินมู่ ผานกงสั่วที่สีหน้าซีดเผือด และกิเลนมังกรอันตัวสั่นเทาอยู่ที่มุมหนึ่ง

เขาได้ย่อหดร่างกายเหลือแค่วาครึ่งและซ่อนอยู่ท่ามกลางกองหิน หนังเหนียวๆ เนื้อหนาๆ ของเขายังอยู่ดี แต่อาวุธวิญญาณทุกขนาดติดอยู่เต็มตัวเขา ท่ามกลางของเหล่านั้น ถึงกับมีกระบี่จำนวนหนึ่งที่เป็นของฉินมู่อยู่ชัดๆ เห็นได้ว่ามีการโจมตีจำนวนไม่น้อยที่ซัดมาโดนเขาในความมืด

เขาตัวใหญ่โต แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหดย่อร่างลงไป แต่ก็ยังไม่ขาดลูกหลงที่ซัดมาโดนเขา

ทั้งพื้นนี้เกลื่อนไปด้วยซากศพ แต่ละร่างก็ตายด้วยวิธีต่างๆ กันไป บ้างก็ถูกไม้เท้าไผ่แทง บ้างก็ศีรษะถูกมีดผ่าแยก บ้างก็ถูกแขวนเอาไว้ในภาพวาดและถูกลบศีรษะออก มีกระทั่งวัวและแพะจำนวนหนึ่ง กับผู้ฝึกวิชาเทวะที่ถูกกระบี่รุมแทงจนเป็นเม่น และยังมีผู้ที่ถูกไจกระบี่บดขยี้ หรือถูกรังมังกรแท้บดทับ

แต่ทว่า ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาตกตายในน้ำมือของพวกเดียวกัน

สถานการณ์มันปั่นป่วนชุลมุนจนเกินไป เพื่อปกป้องตนเอง ทุกคนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสังหารซึ่งกันและกัน พวกที่ตายในเงื้อมมือของฉินมู่ ผานกงสั่ว และกิเลนมังกรนับว่าเป็นส่วนน้อย ประมาณสามในสิบส่วน

ผานกงสั่วเช็ดรอยเลือดที่เปื้อนบนใบหน้า และยังคงหวาดผวาไม่หาย

ในความมืดอันดิบดำ ฉินมู่ได้ปะทะกับเขาหนึ่งครั้ง และหากว่าเขามิได้ใช้สุดยอดวิชาของวังทองโหรวหลันเพื่อให้อีกฝ่ายตระหนักว่าเป็นเขา เขาก็คงถูกลบหายไปจากโลกด้วยฝีมือฉินมู่

ในความมืดเขาได้รับบาดเจ็บมากมายและกำจัดคู่ต่อสู้ไปก็มาก แต่ช่วงเวลาอันตรายคับขันที่สุดก็ตอนที่ฉินมู่มาประชิดตัวเขา

ตอนนั้นเขาเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง!

แม้ว่าผานกงสั่วจะรอดจากกระบวนท่าพิฆาตของฉินมู่มาได้ แต่กลางท้องของเขาก็ยังมีรูแผลเลอะเลือนอันเกิดจากไม้เท้าไผ่ นี่มาจากที่เขาหลบหลีกการแทงเข้าไปในตำแหน่งหัวใจ คอของเขาก็ถูกบีบให้บิดไปเป็นองศาที่น่ากลัวเพื่อหลบเลี่ยงมีดเชือดหมู

ฉินมู่อาจจะมิได้โจมตีเขาซ้ำอีกหนหลังจากที่จดจำทักษะเทวะของเขาได้ แต่ผานกงสั่วก็ยังสงสัยว่าไอ้เด็กเวรนี่มันรู้ว่าเป็นเขามาตั้งแต่แรก หมอนี่คงคิดจะฉวยโอกาสกำจัดเขาไปด้วยเสียเลย

แน่นอนว่าผานกงสั่วไม่มีหลักฐานใดๆ ดังนั้นเขาจะยกขึ้นมาพูดก็ไม่เหมาะ

ฉินมู่ร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต เขาลากศพโยนออกไปจากหีบจนหมด เขาเองก็ได้รับบาดแผลมากมายและได้ตกในสภาวะการณ์อันคับขันร่อแร่ เขานั้นเกือบจะตายภายใต้การโจมตีที่ส่งซัดไปรอบทิศทาง

ท่ามกลางคู่ต่อสู้ทั้งหลาย มียอดฝีมือแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งในขั้นชาวสวรรค์ ทักษะเทวะของพวกนั้นยิ่งแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ และการโจมตีจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน หากว่าถูกโจมตีไปแม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้ใช้กายามังกรแท้จ้าวแดนดินเขาก็คงจะสิ้นชีวิต

ถึงอย่างไรเขาก็ยังถูกโจมตีด้วยทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณมากมาย หากไม่เพราะว่า ‘มารนอกโลก’ คนหนึ่งเกิดเสียสติขึ้นมา ก็คงยากที่เขาจะเหลือรอดยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย

ผานกงสั่วก้าวเข้ามา และทั้งคู่ก็โยนซากศพออกไปในความืดอย่างเงียบงัน

ไม่นานนัก หีบก็ถูกเก็บกวาดหมด ฉินมู่มิได้โยนอาวุธวิญญาณของ ‘มารนอกโลก’ พวกนี้ทิ้งไป แต่เก็บพวกมันไว้ในถุงเต๋าตี้ของเขา หลังจากนั้นเขาก็เรียกอาวุธวิญญาณที่เขาทิ้งไปในระหว่างการต่อสู้กลับมา

ฉึก ฉึก ฉึก

เลือดพุ่งออกมาเป็นสายจากร่างของกิเลนมังกร เมื่อกระบี่บินจำนวนหนึ่งดึงตัวมันเองออกมา และบินกลับไปรวมกับไจกระบี่ของฉินมู่

กิเลนมังกรมองไปยังบาดแผลที่ถูกเปิดอันมีเลือดไหลกระฉูดอยู่ ก่อนที่จะมองไปยังฉินมู่ “จ้าวลัทธิ ท่านแทงข้าหรือ”

“ข้าเปล่า อย่าพูดอะไรเหลวไหลสิ มันเป็นอุบัติเหตุ” ฉินมู่ปฏิเสธหน้าตาย

ผานกงสั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาฉวยโอกาสที่กิเลนมังกรกำลังเลียแผลตนเองเพื่อขับเคลื่อนไจกระบี่ของเขา มีดสี่ห้าเล่มหลุดออกจากก้นของกิเลนมังกรกลับเข้าไปรวมกับไจมีด

กิเลนมังกรโมโหเดือด “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าก็แทงข้าเหมือนกัน?”

ผานกงสั่วไอออกมาเป็นเลือด และมองไปยังฉินมู่ที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “อุบัติเหตุ มันต้องเป็นอุบัติเหตุ…” เขาลังเลแวบหนึ่งแล้วกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน เจ้ายังมีน้ำลายมังกรเหลืออยู่ไหม ให้ข้าสักหน่อยสิ ข้าก็บาดเจ็บเหมือนกัน”

ฉินมู่คุ้ยถุงเต๋าตี้ของเขาและนำเอาน้ำลายมังกรออกมาสองสามขวด ผานกงสั่วลังเล แต่ก็ไม่กล้าจะรับมันมา เขาเกาหัวแกรกๆ “ข้าพลันรู้สึกขนพองสยองเกล้าที่จะใช้น้ำลายมังกรของจ้าวลัทธิฉินมู่รักษาบาดแผล ข้าไม่มีทางแน่ใจได้ว่าแผลของข้าจะหาย หรือชีวิตของข้าจะหายไปจากยาพิษกันแน่”

“ไม่อยากใช้ก็ไม่ต้องใช้” ฉินมู่เปิดขวดน้ำลายมังกรและทามันบนบาดแผลของเขา

ผานกงสั่วมองไปที่กิเลนมังกรซึ่งกำลังพ่นเพลิงกิเลนเพื่อหลอมละลายอาวุธวิญญาณที่ยังเหลือปักคาอยู่บนร่างของเขา เมื่อกิเลนมังกรเห็นเขาเดินเข้ามาอย่างหน้าไม่อาย เขาก็พลันเดือดดาลและหันตูดไปทางเขา เผยรอยแผลลึกบนนั้น “เลียแผลมันสนุกหรือ เจ้าอยากให้ข้าเลียแผลเจ้างั้นหรือ เช่นนั้นมาเลียแผลให้ข้าก่อนแล้วกัน!”

ผานกงสั่วสีหน้ามืดดำราวกับถ่าน และเขากล่าวอย่างเจี๋ยมเจี้ยม “ข้าอยากจะหยิบยืมน้ำลายมังกรสักนิดหนึ่ง มิได้ขอให้เจ้ามาเลียหรอก หากว่าเจ้าจะสงสารข้าสักหน่อย…”

กิเลนมังกรใจอ่อน เขาหักใจปฏิเสธไม่ลงและพ่นน้ำลายมังกรออกมากำลัง “เลียเองนะ!”

ผานกงสั่วกอบมันขึ้นมาและทาที่บาดแผลของเขา

พวกเขาเยียวยาตนเองและฉินมู่ก็นำน้ำลายมังกรอีกจำนวนหนึ่งมาทาบาดแผลที่ก้นของกิเลนมังกร แต่หลังจากที่พวกเขาพักอยู่อีกสักหน่อย ขาของพวกเขาก็ยังปวดไปหมดอยู่ดี

ในความมืด มีเสียงฝีเท้าเดินมาถึงพวกเขา และฉินมู่ดิ้นรนลุกขึ้นยืน เขาขับเคลื่อนเนตรสวรรค์ชาด และเงาร่างที่สวมใส่ผ้าคลุมสีแดงโลหิตก็ปรากฏขึ้นมาในความมืด

ผานกงสั่วก็ลุกขึ้นยืนด้วยแข้งขาสั่นพั่บๆ และเปิดขวดน้ำเต้าข้างหลังเขา น้ำตกโลหิตหลั่งไหลออกมาและพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

กิเลนมังกรพยายามที่จะยันตัวลุกขึ้น แต่แข้งขาอ่อนเปลี้ยของเขาไม่อาจค้ำพยุงร่างตนเองได้ เขารู้สึกว่าหมอบต่อไปจะดีกว่า ก็เลยพ่นไฟแท้ออกมาจากท่านั่งหมอบ

แขนของฉินมู่ห้อยเปลี้ย ไม่อาจจะยกไจกระบี่ขึ้นมา เขาทำได้แค่ดีดนิ้วเพื่อให้กระบี่ไร้กังวลบินออกมาลอยอยู่ใกล้ๆ ปลายนิ้วของเขา มันเล็กละเอียดอย่างถึงที่สุด

เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับมีดยาวที่กลางหลัง แต่ทว่า เขาไม่ได้เดินมาจนสุดทางถึงพวกเขา ในทางตรงข้าม เขาหยุดและมองดูซากศพหลายร้อยเหล่านั้นอย่างพินิจพิเคราะห์

ในความมืด สัตว์ประหลาดทั้งหลายไม่สนใจเขา ราวกับว่าสิ่งร้ายในความมืดจะมีผลก็แต่เฉพาะผู้คนในโลกใบนี้ แต่กับอาคันตุจากนอกโลกอย่างเขา พวกมันไม่เป็นอันตรายใดๆ

“สามารถสังหารกองสอดแนมของทัพหลิงซิ่วแห่งสภาสวรรค์ของข้าได้ เจ้านี่แข็งแกร่งจริงๆ!” เด็กหนุ่มแบกมีดยาวสลัดผ้าคลุมอันเต็มไปด้วยโลหิตสด เขามองไปยังฉินมู่ข้ามความมืด และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าน้อยคือลั่วอู๋ชวงแห่งทัพหลิงซิ่ว ไม่ทราบว่าท่านที่นับถือกล้าป่าวประกาศนามหรือไม่”

ผานกงสั่วหัวเราะคิก “ลั่วอู๋ชวง ทัพหลิงซิ่ว? ไม่เคยได้ยินมาก่อน เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้าก็ดูมีฝีมืออยู่บ้าง รีบไสหัวมารับความตาย!”

เด็กหนุ่มเจ้าของมีดยาวไม่ยินดียินร้าย “ข้านับถือฝีมือของทุกคนที่นี่ ถึงกับสามารถสังหารยอดฝีมือมากมายโดยใช้เพียงสองคนและหมูหนึ่งตัว กำลังฝีมือของพวกท่านต้องไม่อ่อนด้อยเลยถึงทำเช่นนี้ได้ แต่ว่าพวกเขาก็เป็นเพียงกองสอดแนมเท่านั้น ทัพหลิงซิ่วเป็นกองทัพอันเลือกสรรสุดยอดหัวกะทิจากเหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งสภาสวรรค์ และมิใช่สิ่งที่จะใช้กองสอดแนมมาเทียบเคียงได้”

“พวกท่าน ด้วงมูลควายแห่งจักรพรรดิสูงส่ง สามารถมีกำลังฝีมือระดับนี้ได้นับว่าควรแก่การเลื่อมใส ดังนั้นข้าจึงได้ถามนามของพวกท่านเพื่อให้ชื่อเสียงของพวกท่านยังคงดำรงอยู่ต่อไปหลังจากที่ตายไปแล้ว แต่ในเมื่อพวกท่านไม่ต้องการเช่นนั้น…”

เขาชักมีดออกมา และฟันลงท่ามกลางสายลมแสงมีดดูราวกับว่ามันจะถูกฝึกฝนมาเป็นพันๆ ครั้ง เมื่อมันพุ่งมาท่ามกลางกระแสอากาศ มันขยายจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ เป็นแปด เป็นสิบหก ทวีคูณไปเรื่อยๆ และเมื่อทั้งหมดนั้นแล่นมาถึงเบื้องหน้าฉินมู่และคณะ มันก็กลายเป็นท้องฟ้าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยแสงมีด!

ผานกงสั่วกู่ร้องอย่างเกรี้ยวกราด และประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน น้ำตกโลหิตพลันแปรเปลี่ยนเป็นพุทธรูปโลหิตอันเข้าเผชิญกับแสงมีด แต่ก็แตกทำลายไป ถึงอย่างไรด้วยแรงปะทะของพุทธรูปโลหิต แสงมีดก็โยกคลอนไม่เสถียรไปครู่หนึ่ง

กระนั้นผานกงสั่วก็ทรุดนั่งลงกับพื้นและหอบหายใจอย่างรุนแรง เขาไม่มีพลังวัตรเหลืออีกต่อไป

ฉินมู่ดีดนิ้วขึ้น และกระบี่ไร้กังวลพุ่งโบยบิน แทงเข้าไประหว่างตาข่ายมีดและวาบไปประชิดเด็กหนุ่มผู้นั้นในเสี้ยวพริบตา

เขาพยายามใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อขับเคลื่อนกระบวนท่ากระบี่ของเขา ในเมื่อเขาไม่มีกำลังที่จะป้องกันตนเองอีกต่อไป กิเลนมังกรร้องคำราม และเกล็ดทั่วร่างของเขาก็บินออกไป พวกมันเหมือนกับโล่ใหญ่นับหมื่นที่ยกขึ้นป้องกันตรงหน้าฉินมู่

เด็กหนุ่มเคลื่อนไหวไปอย่างคาดเดาไม่ได้เพื่อหลบเลี่ยงแสงกระบี่ และเขาก็ยกมีดขึ้นมาปัดป้อง เพลงมีดของเขาได้บรรลุถึงขั้นไร้ที่ติ และมันมีความยิ่งใหญ่อลังการแฝงอยู่

ฉินมู่ใช้พละกำลังหยดสุดท้าย และปราณชีวิตของเขาก็เคลื่อนเรือนกระบี่ ท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดแปรเปลี่ยนไปอย่างซับซ้อนเกินจะหยั่ง และเมื่อกระบวนท่าสุดท้ายถูกร่ายรำออกไป เด็กหนุ่มคนนั้นก็ครางเสียงหนัก แขนของเขาที่ถือมีดอยู่ถูกตัดสะบั้นออกไป

เขาใช้อีกมือคว้าแขนตนเอาไว้และรีบล่าถอย สะกิดเท้าพุ่งห่างออกไปหนึ่งลี้ในพริบตา

“เจ้าเป็นใคร ประกาศนามของเจ้ามา!” เขาตะโกนด้วยเสียงดุดัน

ฉินมู่คะเนว่าปราณชีวิตของเขากำลังแห้งเหือด และไม่อาจไปถึงระยะหนึ่งลี้นั้นได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกกระบี่กลับมา กระบี่ไร้กังวลพุ่งวนเวียนไปรอบๆ ตัวเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้ดูเหมือนว่าเขายังคงมีพละกำลังอยู่

“จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ฉินมู่” เขาแย้มยิ้มและกล่าวเสริมอย่างไม่เร่งร้อน “ข้างๆ ข้าคือผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลัน”

ผานกงสั่วสีหน้าแปรเปลี่ยน

…………………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน