บทที่ 515 ความร้ายกาจของดาวนิวตรอน!
ความจริงคืออะไร?
ในใจทุกคนเต็มไปด้วยการรอคอย
แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็มีสติและระมัดระวังตลอดเวลา
โดยเฉพาะหลันหลิงและซูจิง
พวกนักวิทยาศาสตร์อย่างเช่นฉีฉีส่งพลังทั้งหมดไว้ที่เครื่องตรวจสอบต่างๆ
ส่วนพวกเขาก็คอยระแวดระวังอันตรายที่อาจมาทางไหนก็ได้
ห้าล้านกิโลเมตร สี่ล้านกิโลเมตร สามล้านกิโลเมตร…
ยื่งยานสำรวจเข้าใกล้เศษดาวนิวตรอนเท่าไหร่ แต่ยานสำรวจก็ยังไม่รู้สึกถึงแรงดูดใดๆเลย
ไม่นาน ยิ่งมีคนเชื่อว่าข่าวเรื่องเศษดาวนิวตรอนเป็นแค่ข่าวลวงมากขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นพอยานสำรวจเข้าไปในระยะห่างแค่แสนกิโลเมตรเท่านั้น
พอแสงสปอร์ตไลท์ความเร็วสูงจากยานสำรวจส่องไปจุดที่คาดว่ามีเศษดาวนิวตรอนอยู่ ภาพสวยงามอันหาที่เปรียบไม่ได้ก็ปรากฏสู่สายตาทุกคน
พอแสงที่ส่งออกมาสะท้อนกลับมาที่ยานสำรวจ
และสะท้อนไปยังเศษดาวนิวตรอน ทำให้ต่อหน้าทุกคน แสงนี้ปรากฏออกมาเป็นรูปโค้งประหนึ่งดอกไม้บาน
ลูกบอลแสงทรงกลมมีขนาดราวห้าพันกิโลเมตรปรากฏต่อหน้าทุกคน แสงโค้งแล้ว!
แถมลูกบอลแสงทรงกลมนี่ยังเปลี่ยนรูปร่างและหมุนตัวด้วยความเร็วสูง
เหมือนของทรงกลมในกระบอก เดี๋ยวปกติดี เดี๋ยวยุ่งเหยิง
แต่ทุกการเปลี่ยนแปลงก็จะให้ความรู้สึกอาร์ตสุดๆ
เหมือนเป็นประติมากรรมตามธรรมชาติยังไงยังงั้น!
แสงที่ยานสำรวจส่องออกไปแสดงให้ทุกคนได้เห็นศิลปะที่แปลกแต่ทำคนทอดถอนใจด้วยวิธีแปลกๆอยู่พอดี!
ซี๊ด!
ฉากนี้ทำทุกคนอดสะท้านเยือกในอกไม่ได้
“แสงโค้งแล้ว มันกำลังสะท้อนให้เห็นขอบเขตแรงดูดของเศษดาวนิวตรอน!”
“พระเจ้า เศษดาวนิวตรอนมีอยู่จริง!”
“ขอบเขตแรงดูดมันโดนจำกัดแค่ภายในห้าพันกิโลเมตร นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ แรงอะไรที่ทำได้ถึงขนาดนี้เนี่ย?”
“แรงที่สามารถทำให้เศษดาวนิวตรอนที่มีสสารดาวฤกษ์ใหญ่ถึงหนึ่งในพันของดาวฤกษ์โดนจำกัดลดเหลือแค่ห้าพันกิโลเมตรเนี่ยนะ?”
ลู่ฉีฉีร้องอุทานอย่างตะลึง
ไม่เพียงแค่เธอ นักวิทยาศาสตร์และทีมวิจัยที่เห็นฉากนี้พากันตะลึงงัน
เศษดาวนิวตรอนมีอยู่จริง!
นอกจากนักวิทยาศาสตร์และทีมวิจัย คนอื่นก็พากันตะลึงกับภาพทั้งหมดที่เห็น แต่หลายคนก็ไม่เข้าใจทั้งหมดนี่มันหมายความว่ายังไง
และการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในระดับที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่านี่ ยิ่งทำให้ทุกคนไม่เข้าใจ
ซูจิงถามอย่างสงสัยว่า “ฉีฉี นี่มันหมายความว่ายังไง? ทำไมถึงมีภาพแสงปรากฏในรูปแบบนี้ได้?”
พวกหลันหลิงเองก็หันไปมองลู่ฉีฉี
ฉีฉีตอบว่า “เพราะน้ำหนักไง”
เธอหันกลับมามองซูจิงก่อนอธิบายว่า “น้ำหนักของเศษดาวนิวตรอนนี่มีถึงหนึ่งในพันของดาวฤกษ์ มันใหญ่กว่าโลกหรือแม้แต่พร็อกซิมาคนครึ่งม้าbมากนัก ต้องรู้นะว่าไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักของโลกหรือของพร็อกซิมาคนครึ่งม้าbที่เราอยู่ตอนนี้ก็มีแค่ราวหนึ่งในหลายแสนส่วนของดาวฤกษ์เท่านั้นเอง
แต่น้ำหนักที่มากขนาดนี้กลับหดลงเหลือขนาดเล็กแค่นี้ อย่างน้อยตอนที่พวกเขาเข้ามาใกล้ในระยะแสนกิโลเมตรแล้ว ยังไม่สามารถมองเห็นเศษนิวตรอนได้เลย มันเล็กจนเหลือแค่นี้”
“น้ำหนักมากขนาดนั้น ขนาดเล็กขนาดนี้ แรงที่มาผลักดันให้เป็นแบบนี้ มันเป็นแรงที่น่ากลัวสุดๆแม้แต่แสงยังได้แต่หนี
พูดง่ายๆคือ ระดับการหนีสูงถึงขนาดที่ต้องการแสงมาผลักดันถึงจะสามารถหนีได้…”
พอฉีฉีพูดจบ พบว่าพวกซูจิงยังทำหน้างง ก็ไม่ได้รำคาญอะไร
เธอหัวเราะ อธิบายอย่างใจเย็นว่า “พูดง่ายกว่านั้น ดาวเคราะห์หนึ่งมีแรงดูดอยู่
ที่จริงแล้ว ในกาแล็คซี่ไม่เพียงดาวเคราะห์เท่านั้นที่มีแรงดูด น่าจะเป็นสสารทั้งหมดต่างมีแรงดูด
ดังนั้นถึงสามารถเรียกได้ว่าแรงดูด เพียงแต่สสารเล็กๆอย่างเช่นร่างกายมนุษย์อย่างพวกเรา หรือไม่ก็ภูเขาก้อนหินอะไรแบบนั้น น้ำหนักน้อยเกินไป เลยลืมเรื่องแรงดูดไปก็ได้
แต่สำหรับดาวเคราะห์ที่น้ำหนักมากแล้ว แรงดูดจะถือเป็นแรงมหาศาล
ยกตัวอย่างโลกหรือแม้แต่พร็อกซิมาคนครึ่งม้าb สิ่งมีชีวิตบนนั้นรวมถึงอากาศไรงี้ล้วนแล้วแต่โดนแรงดูดไว้ ถึงสามารถอยู่ภายในได้ และไม่ได้กระเด็นออกมาสู่จักรวาล”
“และดาวเคราะห์ที่มีแรงดูดนี้จะออกจากดาวได้ ต้องมีแรงอื่นมาทำลายแรงดูด
เหมือนยานอวกาศซี-หวั้งหรือยานสำรวจของเรานี่ไง ล้วนแต่ใช้แรงต้านมาทำลายแรงดูด
ถ้างั้นในตอนที่ไม่มีแรงต้านจะทำไงล่ะ?
ก็ได้แต่อาศัยความเร็วมาทำการหนี นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่า ระดับความหนีของดาว อย่างโลกกับพร็อกซิมาคนครึ่งม้าbเนี่ย ความเร็วน่าจะประมาณสิบกว่ากิโลเมตรต่อวินาที มีแต่ความเร็วระดับนี้เท่านั้นถึงจะออกจากดาวได้”
“ยิ่งน้ำหนักดาวมากเท่าไหร่ ความเร็วที่จะออกจากดาวยิ่งต้องมากเท่านั้น ถ้าเป็นน้ำหนักแบบพระอาทิตย์ ความเร็วต้องถึงหกร้อยกว่ากิโลเมตรต่อวินาที…”
แบบนี้นี่เอง
พอได้ยินฉีฉีอธิบายโดยละเอียด พวกซูจิงก็ถึงบางอ้อกันในที่สุด
ฉีฉีพูดตรงขนาดนี้แล้ว แถมไม่ได้ใช้ข้อมูลตัวเลขอะไรเลย
ถ้าพวกเขายังไม่เข้าใจอีก นี่มัน…
คงค้องไปรวมรวบความรู้ทั่วไปแล้วล่ะ
หลันหลิงเงียบไปอึดใจก่อนถาม “ฉีฉี นี่เป็นเศษดาวนิวตรอนจริงหรอ? มันอยู่ในรูปอะไรน่ะ? พวกเราจะเข้าใกล้มันได้ไหม? แล้วพวกเรามีหนทางไหนสามารถเปลี่ยนทิศทางของมันได้ไหม?”
“น้าหลัน จากทุกอย่างที่เราเห็นในตอนนี้ เศษดาวนิวตรอนน่าจะมีจริงค่ะ หรือพูดอีกอย่าง ต่อให้มันไม่มีอยู่จริง มนุษย์เราก็ยังต้องรับการคุกคามที่ไม่ด้อยกว่าเศษดาวนิวตรอนเลย
ถ้าบอกว่าความน่ากลัวเบื้องหน้าตอนนี้เป็นสิ่งที่อารยธรรมอื่นสร้างขึ้นมา งั้นฉันกลับอยากให้เศษดาวนิวตรอนมีอยู่จริงมากกว่า แบบนั้นพวกเรายังมีโอกาสหนีได้ ไม่งั้น…”
ทุกคนเข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าไง เพราะถ้าเศษดาวนิวตรอนไม่ใช่เรื่องกุขึ้น แต่มีอยู่จริง หรือใช้เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สร้างออกมา
ถ้างั้นมนุษย์ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงก็ดี แบบนั้นมนุษย์จะได้หนีได้ ไม่งั้นอารยธรรมต่างดาวในจักรวาลที่สร้างเศษดาวนิวตรอนออกมาได้นี่ มันจะทำยังไงกับมนุษย์กันล่ะ?
ไม่ว่าจะเป็นทำลาย ไม่แยแส หรือกระบวนการทารุณแบบอื่น ทั้งหมดนี่ไม่เกี่ยวกับมนุษย์แล้ว
ถึงตอนนั้นมนุษย์จะยิ่งลำบากกว่าพวกคนแคระในตอนนี้
หรือแม้แต่โอกาสให้มนุษย์เป็นทาสยังไม่แน่ว่าจะมีเลย
“ถ้างั้นตอนนี้พวกเราจะเข้าใกล้อีกหน่อยไหม?” จู่ๆซูจิงถามขึ้น