ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 495 แผนการฟ้าเหนือกว่ามานะคน

ตอนที่ 495 แผนการฟ้าเหนือกว่ามานะคน

ภายใต้หน้าผา ประตูสองบานอันนำไปสู่โลกมิติที่แตกต่างกันสองโลกได้เปิดออก และแต่ละฝ่ายต่างก็มีข้อจำกัดของตนเอง

นี่มิใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองคนนี้ได้พบเจอกัน และมิใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้ปะทะประมือ พวกเขาได้ต่อสู้กันในอดีต ในช่วงเวลาที่ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งกำลังจะถูกกลบฝัง

หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ต่อสู้กันอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่มันได้เกิดขึ้นในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง!

ที่หน้าผาภูเขา พวกเขาได้ต่อสู้กันนับครั้งไม่ถ้วน

ทั้งสองคนได้จากโลกมิติอันแห้งแล้งนี้ไปแล้ว และก็เป็นเพียงแต่รูปเงาของพวกเขาที่ต่อสู้กัน วรยุทธของพวกเขาสูงล้ำจนเกินไป และหากไม่มีโอกาสวาสนา ร่างที่แท้จริงของพวกเขาก็ไม่อาจเข้ามาในโลกนี้ได้

โลกแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ และก็ไม่มีใครที่สามารถมีชีวิตรอดที่นี่

มันคือมหาซากโบราณแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง

สถานที่อันร้ายกาจทารุณเสียยิ่งกว่าแดนโบราณวินาศของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง

ที่แดนโบราณวินาศ อย่างน้อยก็ยังมีรูปสลักหินของทวยเทพทั้งหลายเพื่อคอยปกป้องผู้คน ให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ รอดอยู่ได้ แต่ทว่า ที่นี่มีเพียงทะเลทราย และเมื่อความมืดรุกรานเข้ามาในยามราตรี ก็ไม่มีที่ใดให้พักพิง

ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ มาตั้งสามหมื่นสี่หมื่นปีแล้ว มีก็เพียงเทพเจ้า

ในช่วงต้นรัชสมัยของจักรพรรดิก่อตั้ง เทพเจ้าทั้งหลายได้จากที่นี่ไปทีละคนสองคน พวกเขาเดินทางไปยังโลกมิติอื่น และสองคนที่กำลังสู้กันอยู่ในตอนนี้ก็คือเทพเจ้าสองตนสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลือ

“หญิงตระกูลป๋ายจากเมื่อสี่หมื่นปีก่อน เจ้ามาถามหาบุคคลที่ทิ้งถ้อยคำเหล่านี้เอาไว้อย่างนั้นหรือ”

เทพเจ้าแขนเดียวมีร่างสูงตระหง่าน และมีดยาวที่สะพายหลังของเขาก็ส่งเสียงหึ่งฮัม เจตจำนงมีดูราวกับว่าจะแทงทะลุผ่านกาลอวกาศออกมาได้ เฉือนตัดเข้าไปยังโลกมิติอื่น เขายิ้มหยันและกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้าก็ได้ข่าวว่าเขาถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ข้ารู้มานานแล้วว่าเพลงกระบี่ของเจ้ามีอะไรพิกล พวกมันเหนือล้ำกว่ายุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง และแม้แต่ก้าวหน้าไปกว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง แต่ข้าไม่เคยคิดใคร่ครวญเลยว่าเจ้าจะมีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับจ้าวลัทธิมารฟ้า!”

ร่างกายของสตรีในแสงเทวะสั่นเทิ้ม และความปีติยินดีอาบไปทั่วทั้งหัวใจของนาง นางไม่สนใจความแค้นอาฆาตที่เผยออกมาของเขาเลยสักนิด “เขามาจริงๆ หรือ เขาที่เดินทางข้ามเวลาได้ปรากฏขึ้นที่นี่จริงๆ น่ะหรือ”

“เจ้าไม่มีทางขวางข้าได้!” เทพเจ้าแขนเดียวในซุ้มประตูหินกล่าวอย่างจองหองสุดๆ “ข้าหมายจะสังหารเขา และเจ้าก็หมายจะหยุดยั้งข้า พวกเราได้ต่อสู้กันมาตั้งหลายปี แต่มันก็ไม่เคยมีผลลัพธ์ชัดเจน เจ้าและข้าต่างก็ทำอะไรกันไม่ได้ สาเหตุที่ข้าทิ้งให้แขนของข้าขาดหายไปดุจเดิมไม่เปลี่ยนแปลงนั้นก็เพื่อจะได้ต่อสู้กับเขาในวันหนึ่ง และชำระแค้นให้แขนขาดของข้า เพื่อทวงความแค้นที่เขาได้ทำให้มรรคาเต๋าของข้าด่างพร้อย”

“หากว่าข้ามิอาจทำลายเพลงกระบี่ของเขาด้วยเพลงมีดของข้า ข้าก็คงไม่อาจอยู่เป็นสุข ไม่อาจผลักดันให้เต๋ามีดของข้าก้าวขึ้นไปอีกระดับ! และในวันนี้ ข้าก็ได้รอมานานเกือบจะสี่หมื่นปีแล้ว!”

หญิงสาวในแสงเทวะของหน้าผาเดินออกจากรัศมีและยืนอยู่บนทะเลทราย นางเป็นเพียงรูปเงาและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เจ้าจะพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์ หากว่าเจ้าเข้ามาในโลกแห่งนี้ไม่ได้”

เทพแขนเดียวหันกายกลับไป และผ้าคลุมหลังสีแดงโลหิตของเขาก็ไหวกระเพื่อมเพื่อปิดคลุมทั้งประตู ทันใดนั้น ที่ซึ่งผ้าคลุมกระเพื่อมไหวไปมา แสงมีดหนึ่งก็พุ่งออกมาเฉือนผ่าม่านคุ้มกันระหว่างสองโลก!

เจตจำนงมีดไร้ประมาณ และน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด มันถึงกับสามารถเฉือนเปิดม่านคุ้มกันระหว่างสองโลกได้!

แสงมีดแผ่พุ่งมาและทะยานออกจากประตูหิน สองคลื่นทรายถูกยกขึ้นไปบนอากาศ ตรงใจกลางนั้นคือกำแพงชันอันถูกยกเชิดขึ้นสูงกว่าหนึ่งพันห้าร้อยวา และมันก็เหยียดยาวไปไกลหลายร้อยลี้!

แต่เมื่อบุรุษผู้นี้พยายามจะก้าวเข้ามาในโลก พลังอันไร้ตัวตนจากฟ้าและดินก็ดีดเขากลับไป

เด็กสาวเดินกลับเข้าไปในแสงเทวะและหายวับเข้าไปในหน้าผา “ด้วยพละกำลังของเจ้า ร่างที่แท้จริงของเจ้าไม่มีทางผ่านเข้ามาได้ ล้มเลิกความคิดเถอะ”

เทพแขนเดียวในประตูหินรั้งมีดของเขากลับมาและหันกายเดินจากไป ประตูหินค่อยๆ พังทลายลง “ข้าจะกลับมาที่โลกแห่งนี้ เพียงแค่ม่านคุ้มกันระหว่างโลก ไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า!”

กิเลนมังกรแบกฉินมู่และหีบไปยังก้อนเมฆ เมื่อครู่นี้ยังเป็นกลางวันอยู่ชัดๆ แต่ในเสี้ยววินาทีที่พวกเขาผ่านก้อนเมฆเข้าไป ท้องฟ้าก็กลายเป็นมืดทมิฬ เสียงน้ำปะทะถั่งโถมดังมาในราตรีอันมืดมิด และฉินมู่มองไปยังทิศทางเสียง เขาเห็นแสงกระจัดกระจายของหน้าผา ส่องสว่างอยู่ในยามกลางคืน

พวกเขาได้กลับมายังแดนโบราณวินาศ มาที่ต้นธารแม่น้ำหย่ง

มันยังคงเป็นร่องเหวสวรรค์ที่เหยียดยาวจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกของแดนโบราณวินาศ และหน้าผาที่เกิดขึ้นจากชั้นแผ่นดินยกและทรุดต่างกันราวฟ้าและดิน อันแบ่งแยกแดนโบราณวินาศออกเป็นฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก นี่ก็ยังเป็นแหล่งธารต้นน้ำของแม่น้ำหย่งอีกด้วย อันคือน้ำตกที่พรั่งพรูลงจากหน้าผา แหล่งกำเนิดของน้ำพวกนี้ควรแก่การคิดใคร่ครวญ

มวลน้ำในแม่น้ำหย่งอาจจะมาจากโลกอื่น และอาจจะเข้าไปยังโลกอื่นผ่านรอยแยกพวกนี้ บางทีที่นี่อาจจะมีเรื่องราวอันผิดแผกแตกต่าง…

ฉินมู่มองไปยังหน้าผาขาด และหัวใจเขาพลันเต้นพลาดจังหวะ เขามองเห็นมนุษย์ไร้หัวยืนอยู่ที่รอยแยก!

ซิงอ้าน!

ขนหัวเขาลุกเต็มเหยียด ซิงอ้านได้ยืนป้องกันทางเข้าไปยังโลกมิติที่เขาเพิ่งจากมา และรอให้เขาเดินเข้าไปประจันหน้า!

โลกแห่งทะเลทรายเหลือนั้นเป็นโลกมิติที่สิ้นไร้สิ่งมีชีวิต โลกที่ตายดับไปอย่างสิ้นเชิง

เจ้าหมอนี่ถึงกับดึงหัวของตนเองออกไป และให้ร่างกายที่ไร้ศีรษะยืนป้องกันอยู่ที่นี่ เมื่อฉินมู่คิดดูแล้ว หัวและดวงตาของอีกฝ่ายคงยังเหาะไปอย่างสุ่มๆ ทั่วทะเลทรายสีเหลืองเพื่อตามหาตัวพวกเขา!

กิเลนมังกรก็สังเกตเห็นเรื่องนี้เช่นกัน และลงจอดกับพื้นอย่างเงียบเชียบ หีบส่องแสงเรืองออกมาขับไล่ความมืดออกไป ปกป้องพวกเขา

เมื่อกิเลนมังกรมาถึงพื้นดิน ฉินมู่ก็ปีนลงจากหลังของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง หมอบต่ำเอาไว้ กิเลนมังกรก็หดย่อร่างกายตนเองให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ และปีนขึ้นไปบนหีบ ฉินมู่เองก็ขึ้นไปบนหีบเช่นกัน อันมันก้าวอาดๆ เข้าไปใกล้แม่น้ำ

น้ำในแม่น้ำที่นี่เป็นต้นธารของแม่น้ำหย่ง เพราะว่าท้องน้ำไม่กว้างนัก กระแสน้ำจึงไม่ไหลเชี่ยวสักเท่าไร เรียกได้ว่าเป็นต้นน้ำ

หีบเข้าไปในแม่น้ำ และขาของมันก็ถีบพุ้ยน้ำแหวกว่ายไปทางปลายน้ำอย่างเงียบๆ

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก ซิงอ้านได้ทิ้งศีรษะของตนเอาไว้ในโลกมิตินั้น ดังนั้นเขาจึงสูญเสียความสามารถที่จะสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเขา ทำให้ฉินมู่และคณะลอบหลบหนีไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ตราบเท่าที่พวกเขาไปได้ไกลกว่านี้ โอกาสที่ซิงอ้านจะตามหาตัวพวกเขาเจอก็จะยิ่งริบหรี่

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงกึงเมื่อหีบเข้าไปชนกับแก่งหิน เสียงนี้ไม่ได้ดังมากมาย แต่กลับฟังบาดหูในยามดึกสงัด

พวกเขายังไปได้ไม่ไกลจากทั้งน้ำตกและซิงอ้าน

ฉินมู่หันกลับไปดูและเห็นซิงอ้านผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงรอยแยกไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จังหวะเต้นของหัวใจเขาสงบลงไป และเขาแย้มยิ้ม ข้าระวังตัวเกินไป และลืมไปว่าศีรษะของซิงอ้านไม่ได้อยู่ที่นี่ โดยปราศจากหูและตา ต่อให้พวกเราเดินเฉียดหน้าเขา เขาก็คงไม่อาจมองเห็นหรือได้ยินพวกเราได้

กิเลนมังกรก็ระบายลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม “เสียงน้ำตกดังจะตาย เช่นนั้นทำไมเราต้องกลัวเขาจะได้ยินพวกเราด้วยล่ะ…จ้าวลัทธิ”

ฉินมู่สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ในรอยแยกของหน้าผา ร่างกายของซิงอ้านพลันหันกลับมา และคอของเขาดูจะยาวเป็นพิเศษ ทั้งสองข้างคอมีใบหูอยู่ข้างละอัน

กายเนื้อของเขานั้นราวกับเทพเจ้า ดังนั้นมันจึงเปล่งแสงเทวะอันสะดุดตาในความมืด

ซิงอ้านได้ตัดหูของเขาออกและปลูกถ่ายมันลงบนคอของตนเอง!

ในจังหวะนั้น สองหูของเขาสั่นสะเทือนในสายลมและขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จนมหึมาเสียยิ่งกว่าช้างทองคำที่โหรวหลัน!

ฉินมู่หักใจเด็ดเดี่ยวและใช้สำนึกรู้ของเขาถ่ายทอดเสียง “หนี! อย่าใช้ทางน้ำ! ขึ้นฝั่งไป!”

ความเร็วของหีบที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำนั้นช้ากว่าบนบกมาก ในความมืด พวกเขาจำเป็นต้องอาศัยหีบในการพิทักษ์คุ้มกันจากความมืด ดังนั้นหีบเร็วเท่าไร พวกเขาก็เร็วเท่านั้น

ในรอยแยกของหน้าผา ร่างไร้ศีรษะพลันเหาะขึ้นมา และกระโจนขย้ำเข้าไปยังตรงจุดที่ฉินมู่และคณะเคยอยู่!

ในเวลาเดียวกัน ลูกตาลูกหนึ่งก็รีบเหาะออกมาจากในรอยแยกอย่างรวดเร็ว เมื่อมันทำเช่นนั้น มันก็หยุดอยู่กลางอากาศ แสงเทวะสาดส่องออกจากลูกตา และให้แสงสว่างแก่บริเวณโดยรอบ เพื่อให้มันสามารถจำแนกแยกแยะสภาพแวดล้อมได้

เสาแสงจึงส่องลงมาจากเนตรเทวะและสาดส่องบริเวณหลายสิบไร่พลางเคลื่อนที่ไปข้างหน้า!

“บัดซบ…”

ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ หีบสามารถป้องกันการรุกรานจากความมืดได้ แต่ความเร็วของมันไม่เร็วมากนัก บัดนี้เมื่อมันอยู่ในน้ำและมิได้อยู่บนบก ความเร็วของมันก็ยิ่งช้าเข้าไปใหญ่ แต่พวกเขาก็ทิ้งมันหนีไปไม่ได้!

ตึง!

ซิงอ้านที่ไร้หัวลงมาเหยียบบนน้ำ ไม่ไกลไปจากพวกเขา เขาเอียงหูที่คอของตนเองและยืนอยู่อย่างไม่ไหวติง หูทั้งสองข้างของเขายิ่งขยายใหญ่เข้าไปอีก

ทันใดนั้น แสงสว่างจากบนท้องฟ้าก็สาดส่องลงมาราวกับเสาแสง อาบลงบนร่างไร้ศีรษะของซิงอ้าน จากนั้นมันก็กวาดไปข้างหน้า และตกต้องร่างของฉินมู่และกิเลนมังกรซึ่งลอยน้ำอยู่บนหีบ พวกเขาดูว้าวุ่นอย่างสุดๆ

ฉินมู่ยิ้มสู้เสือ และหีบใต้เท้าเขาก็หยุดเช่นกัน อยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ซิงอ้าน หากว่าข้าช่วยท่านให้หลุดพ้นจากความป่วยไข้อันแฝงเร้นของท่านได้ ท่านจะปล่อยข้าไปหรือไม่”

บนคอของซิงอ้าน หูของข้าพลันโบกสะบัด และดวงตาที่อยู่กลางอากาศก็ลอยเข้ามา

“ความไร้ยางอายของเจ้าทำให้แม้แต่ข้าก็ยังแตกตื่น เจ้ายังมีหน้ามาพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ”

เมื่อเสียงของซิงอ้านดังมา ศีรษะหนึ่งก็ลอยออกมาจากความมืดข้างหลังร่างกายของเขา และลงไปต่อบนคอ

ในเวลาเดียวกันนั้น หูสองข้างก็ลอยขึ้นมาและไปปักเข้าที่รูหูของเขา

ดวงตาอีกดวงลอยมา แต่มันไม่ได้เข้าไปในเบ้าตา มันลอยอยู่ในอากาศเหนือฉินมู่ คอยเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของเขา

ซิงอ้านเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ตอนนี้ข้าบอกเจ้าได้เลยว่าไม่ ยอดหมอเทวดาฉินนั้นกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์จนเกินไป เมื่อข้าเผลอแวบเดียว เจ้าก็ถึงกับขโมยหีบของข้า ข้าเกรงว่าหากปล่อยให้เจ้ารักษาข้า แม้แต่ชีวิตก็คงถูกเจ้าขโมยไปเหมือนกัน! บุคคลที่กลอกกลิ้งชั่วร้ายเช่นนี้ มีก็แต่เปลี่ยนเจ้าให้เป็นศพข้าถึงจะสบายใจ”

บนแม่น้ำ คลื่นของหมอกพลันโหมเข้ามายังพวกเขา ไอน้ำที่นี่หนาแน่นอย่างสุดๆ และหมอกหนาก็มันแผ่ขยายออกมาโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น

ฉินมู่มองไปที่หมอกหนา และหัวใจเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “พี่ซิงอ้านระมัดระวังตัวเกินไปแล้ว อันที่จริง ท่านก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เพียงแต่ยึดติดกับความอมตะมากเกินไป ช่วงนี้ท่านไม่ได้ไปที่สันตินิรันดร์เลยสินะ? ข้าได้ซ่อมแซมสะพานเทวะและก่อตั้งตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของมัน ตราบใดที่ท่านฝึกปรือมัน ท่านก็จะสามารถซ่อมแซมสะพานเทวะได้โดยสมบูรณ์ อันที่จริงแล้ว ทุกๆ คนในจักรวรรดิสันตินิรันดร์รู้เรื่องนี้ ยกเว้นก็แต่ท่านที่ยังคงแสวงหาวิธียืดอายุขัยด้วยการพึ่งพิงชิ้นส่วนร่างกายของผู้อื่น”

ซิงอ้านนั้นกำลังจะลงมือกำจัดเขา แต่เขาตกตะลึงจากสิ่งที่ได้ยิน เขายิ้มหยันและกล่าว “เจ้ากำลังโกหก! หากว่าเจ้ามีวิชาฝึกปรือแบบนี้จริงๆ ทำไมเจ้าถึงไม่เก็บมันเอาไว้เอง แต่กลับเผยแพร่ออกไปแทนล่ะ เจ้านั้นเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า ดังนั้นเจ้าย่อมต้องถ่ายทอดวิชาฝึกปรือนี้ให้กับสาวกลัทธิแทน เพิ่มพูนแสนยานุภาพของลัทธิของเจ้า! ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สูงศักดิ์ก็อยู่กับข้ามาตั้งหกเจ็ดวัน ทำไมเขาไม่พูดถึงเรื่องนี้กับข้าเลยสักนิด”

ฉินมู่หัวเราะและกล่าว “ผู้สูงศักดิ์หมายจะยืมมือท่านมากำจัดข้า และยังอยากที่จะให้ท่านกับเทพหมอผีขุยย่อยยับกันไปทั้งสองฝ่ายอีกด้วย ดังนั้นเขาจะบอกท่านเรื่องนี้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น จะให้เก็บมันไว้กับข้าเพียงคนเดียวงั้นหรือ…ท่านประเมินกรอบคิดจิตใจของข้าต่ำเกินไปแล้ว”

“หากว่าท่านแสวงหาความเป็นอมตะ ท่านสามารถโยนทุกสิ่งทุกอย่างในหีบ และละทิ้งชิ้นส่วนอวัยวะของบุคคลอื่นไปโดยสิ้นเชิง ท่านเพียงแต่ต้องเรียนวิชาฝึกปรือจากข้าสามประเภท เคล็ดลับสะพานนกกางเขน เคล็ดลับนำทางปริศนา และเคล็ดลับเทพข้ามพ้น เมื่อใดที่สะพานเทวะของท่านก่อรูปขึ้นมา ท่านก็จะสามารถข้ามมันและเข้าไปในปราสาทสวรรค์ได้ กลายเป็นเทพเจ้าผู้ไม่มีวันตาย ว่ากันตามตรงแล้ว ตอนนี้มีผู้ที่นำหน้าท่านไปก้าวหนึ่ง ราชครูสันตินิรันดร์ได้บรรลุเป็นเทพเจ้าแล้ว”

หมอกยิ่งมายิ่งหนาหนัก ท่วมทับทั้งสองคน

ดวงตาของซิงอ้านยังคงอยู่บนท้องฟ้า และลอยเข้ามาใกล้อีก พวกมันจ้องเขม็งไปที่ฉินมู่ และแม้ว่าจะมีหมอกหนาทึบ ก็ยังคงเห็นได้อย่างกระจ่างชัด

เสียงของซิงอ้านดังมาจากหมอกหนาเมื่อเขาถอนหายใจและกล่าว “มีจิตใจกว้างขวางเช่นนี้นับว่าเจ้านั้นไม่ธรรมดา ข้าได้ดูแคลนเจ้าจนเกินไป แต่ทว่า เจ้าก็ดูแคลนข้าที่คิดว่าข้าช่วงชิงชิ้นส่วนของผู้อื่นเพียงเพื่อความอมตะ เป้าหมายของข้านั้นคือการบรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นข้าก็จะสังหารสิ่งคนที่ข้าต้องสังหาร และข้าก็จะยังคงแย่งชิงชิ้นส่วนของคนอื่นๆ ตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติสะพานเทวะของเจ้านั้นมีประโยชน์ต่อข้ามาก ดังนั้นข้าขอขอบคุณ แต่ในเมื่อเจ้าได้ถ่ายทอดมันให้กับทุกๆ คนไปแล้ว…”

ลำแสงส่องออกมาจากดวงตาของฉินมู่ และร่างกายของเขาพลันจมลงไปในน้ำ ปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งออกมา และแปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนจำนวนนับไม่ถ้วน ห่อหุ้มตัวเขากิเลนมังกร และหีบ!

“แล้วเก็บเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร”

แสงสาดส่องเจิดจ้าจากดวงตาของซิงอ้าน และเฉือนตัดอักษรรูนรอบๆ ฉินมู่ กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงแย้มยิ้มและชักมีดของเขาออกมา กวัดแกว่งมันเหมือนกับพายุ ด้วยแต่ละมีด อักษรรูนแต่ละตัวที่ถูกทำลายจากการบีบอัดของห้วงอวกาศก็จุดแสงขึ้นมาอีกครั้ง

แสงมีดห้อมล้อมตัวเขาจากทุกทิศทาง และแม้แต่ซิงอ้านก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม “ความสามารถเจ้าไม่เลวเลยสักนิด ไม่ด้อยกว่าข้าในอดีตเลย”

กายเนื้อของเขาถลันเข้าไปจะโจมตี แต่ขณะที่เขาจะฟาดซัดฉินมู่นั่นเอง ทั้งโลกก็หมุนติ้ว และสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว “บัดซบ!”

พึ่บบบ!

ดวงตาทั้งสองดวงของเขาหายไป กายเนื้อของเขาพึ่งพิงดวงตาในการมอง แต่บัดนี้พวกมันถูกฉินมู่เคลื่อนย้ายระยะไกลไปลิบลับ ภาพที่ซิงอ้านมองเห็นผ่านตาหมุนเหวี่ยงหวือราวกับข้ามโลกข้ามมิติ!

“อุแหวะ–”

ซิงอ้านอ้าปากอ้วก พลางใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเองเพื่อสะกดข่มทัศนวิสัยอันสับสน เขารู้สึกเหมือนกับร่างทั้งร่างหมุนเป็นลูกข่าง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงประสาทสัมผัสลวงที่นำมาจากทัศนวิสัย!

“ในอดีตงั้นหรือ ซิงอ้าน จะให้เจ้าถือรองเท้าให้ข้าก็ยังไม่คู่ควร!” ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง และอักษรรูนก็จุดแสงสว่างรอบตัวเขาอีกครั้ง ซิงอ้านได้ยินเสียงของเขา และรีบพุ่งเข้าไป ในจังหวะที่เขาเคลื่อนไหว เขาก็พลันพบว่านี่เป็นความคิดที่ผิดพลาด เสียงปังดังสนั่นออกมาในจังหวะถัดมาที่เขาพุ่งไปหลายสิบลี้เข้าไปในหน้าผา!

เนตรเทวะได้ให้ทัศนวิสัยแก่เขา ฉะนั้นเมื่อตอนนี้มันหมุนติ้วอย่างไม่หยุดยั้ง การกะคะเนพื้นที่ของเขาก็หายไป และทำให้เขาไม่อาจกำหนดทิศทาง!

ปราณชีวิตของฉินมู่แผ่พุ่งขึ้นมา และอักษรรูนปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล และหายวับไปพร้อมกับหีบและกิเลนมังกร

ข้าสามารถเคลื่อนย้ายระยะไกลดวงตาของซิงอ้านไปได้เกือบร้อยลี้ แต่เมื่อข้านำกิเลนมังกรและหีบไปด้วย ข้าก็เคลื่อนย้ายพวกเราไปได้แค่สี่ลี้เป็นอย่างมาก แต่ตราบเท่าที่ข้าไม่สร้างสุ้มเสียง ข้าก็คงจะสามารถหลบหนีเข้าไปในใต้แม่น้ำ และเล็ดรอดไปได้…

ฉินมู่ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายระยะไกล พลันได้ยินเสียงชนอึกทึกกึกก้อง ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของเขาล้มเหลว และเขาชนเข้ากับภูเขาโครงกระดูกอันพลันปรากฏขึ้นมาจากที่ใดก็ไม่ทราบได้ กระดูกมากมายปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้าจากการพุ่งชน

นี่ทำให้ฉินมู่ตกตะลึง อึ้งจนพูดไม่ออก

โครงกระดูกที่ร่วงตกจากภูเขา ร่วงผ่านเขาไปพลางร้องออกมา “นี่เจ้าตาบอดหรืออย่างไร”

…………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท