ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 500 ลูกหลานผู้มีอิทธิพลแห่งยมโลก

ตอนที่ 500 ลูกหลานผู้มีอิทธิพลแห่งยมโลก

ฉินมู่มองไปยังทิศทางเสียงและเห็นชายร่างสูงกำยำอันพาดเสื้อชั้นนอกของเขาไว้ที่ไหล่ เขาดูเกียจคร้านเล็กน้อย และเสื้อบนเนื้อตัวเขาก็ดูหลุดลุ่ยปล่อยตัวอยู่หน่อย เขาเผยกลิ่นอายอันมีเอกลักษณ์เฉพาะ

“ที่แท้ก็เป็นกษัตริยมนุษย์ฉีคัง” เทพฉือซิ่วกล่าว “ข้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ กษัตริย์มนุษย์ฉินได้ใช้เวทมนตร์แดนใต้พิภพเพื่อแย่งชิงตัวผู้คนกลับไป และแม้แต่ท้าวยมราชก็ยังต้องแตกตื่น หัวใจของภูตผีทั้งหลายแห่งยมโลกหวั่นไหวไม่มั่นคง กลัวว่าจะถูกเพรียกขานไปยังแดนใต้พิภพ และจมดิ่งลงไปที่นั่นตราบชั่วนิรันดร์ เพราะอย่างนี้ ท้าวยมราชจึงหมายที่จะลงโทษเขา ข้าไม่ใช่ต้นเหตุ”

กษัตริย์มนุษย์ฉีคังจับเสื้อนอกที่พาดไว้บนไหล่และแย้มยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าทำตามหน้าที่ ดังนั้นข้าจะไม่สร้างความลำบากแก่เจ้า ข้าเพียงแต่จะมาเอาตัวกษัตริย์มนุษย์ฉินไปเท่านั้น ส่วนเจ้าก็แค่ไปบอกท้าวยมราชสักหน่อยก็พอ”

เทพฉือซิ่วส่ายหัวและกล่าว “นั่นคงจะไม่ได้ ท้าวยมราชยังคงต้องการลงโทษเขาด้วยตนเองในภายหลัง ดังนั้นข้าย่อมไม่อาจปล่อยให้เจ้าเอาตัวเขาไป…”

ในตอนนั้นเอง เสียงเฒ่าชราก็ดังมา “ฉือซิ่ว ข้าได้ยินว่าศิษย์เหลนของข้าถูกเจ้าจับตัวมาใช่ไหม”

เทพฉือซิ่วสีหน้าแปรเปลี่ยนเมื่อเขาเห็นผู้เฒ่าผมขาวเดินเข้ามา นั่นมิใช่ใครอื่นนอกเสียจากอาจารย์ของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง เขารีบอธิบายทันที “ที่แท้ก็เป็นกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน เรื่องของกษัตริย์มนุษย์ฉินนั้นข้าไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ ในเมื่อเป็นท้าวยมราชที่ต้องการจะลงโทษเขาจากการก่อความวุ่นวายในยมโลก ข้าไม่อาจทำอะไรได้ กษัตริย์มนุษย์อี้ซาน โปรดอย่าโทษข้า”

“ข้าไม่เห็นว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตอะไร” ผู้เฒ่าผมขาวมีร่างเตี้ยเล็ก และเคราขาวโพลงของเขาชี้ชันขึ้นจากสองข้าง เสียงของเขาดังเหมือนระฆังใหญ่เมื่อเขาหัวร่อออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าตัดสินใจเองไม่ได้ ดังนั้นข้าก็จะไม่ให้เจ้าตัดสินใจ เดี๋ยวข้าเป็นคนตัดสินใจเอง ข้าจะนำตัวกษัตริย์มนุษย์ฉินไป!”

“เจ้าทำไม่ได้นะ!” เทพฉือซิ่วกระวนกระวายและกล่าว “ท้าวยมราชต้องการลงโทษเขาด้วยตนเอง กษัตริย์มนุษย์อี้ซาน ข้าตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้…”

“ฉือซิ่ว ข้าได้ยินว่าศิษย์ลื่อของข้าถูกเจ้าจับตัวมาใช่ไหม”

อีกเสียงหนึ่งดังมา และเทพฉือซิ่วก็อดไม่ได้ที่จะร่ำร้องหาความช่วยเหลือในใจ เขาเห็นหญิงสาวในชุดสีน้ำเงินถือตะกร้าไม้ไผ่สานเดินเข้ามา “ที่แท้ก็เป็นกษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ เกี่ยวกับเรื่องนี้…”

“ฉือซิ่ว ข้าได้ยินว่าศิษย์หลานของศิษย์เหลนของข้าถูกเจ้าจับตัวมาใช่ไหม”

“ฉือซิ่ว ข้าได้ยินว่าศิษย์เหลน…”

“ฉือซิ่ว!”

ผู้คนเข้ามาห้อมล้อมรอบตัวเทพฉือซิ่วมากขึ้นทุกที เขาแทบจะระเบิดดังปัง เขาคิดในใจ นี่ข้าไปตอแยรังแตนเข้าหรือ กษัตริย์แห่งโถงกษัตริย์ล้วนแต่เป็นฝูงแตน ใช่หรือไม่ ปกติแล้วเจ้าไม่ค่อยเห็นพวกเขาโผล่หัวออกมาหรอก แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าตอแยสักตัวหนึ่ง ทั้งรังก็จะบินกันออกมาหมด!

เขารู้สึกว่าเขามิอาจตอแยผู้คนเหล่านี้ได้ เมื่อกษัตริย์มนุษย์ที่น่าตายเหล่านี้โผล่ออกมามากขึ้นทุกที เขาได้แต่กล่าว “ทุกท่าน พวกท่านล้วนแต่เป็นตัวตนอันเลื่องชื่อลือนาม แล้วไฉนจะต้องมาบีบบังคับข้าด้วยล่ะ อย่ามาหาเรื่องวุ่นวายให้ข้าเลย ข้าสามารถส่งตัวกษัตริย์มนุษย์ฉินให้พวกเจ้าก่อนได้ แต่เขามิอาจออกไปจากยมโลก ข้าจะต้องส่งตัวเขาให้ท้าวยมราช…”

“ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่หาเรื่องใส่หัวเจ้าแน่นอน!”

ทุกคนกล่าวระเบ็งเซ็งแซ่

ฉินมู่มองไปรอบๆ ด้วยความเหม่อลอยและพูดติดๆ ขัดๆ “เทพฉือซิ่ว ท่านบอกว่าข้ามีผู้คนหนุนหลัง…”

“ใช่แล้ว!” ฉือซิ่วพยายามเบียดออกมาจากฝูงชนขณะที่กล่าวอย่างเดือดดาล “พวกกษัตริย์มนุษย์แห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ล้วนแต่เป็นนักเลงหัวไม้และคนคุมถิ่น และพวกเขาก็คือกลุ่มอิทธิพลในยมโลกที่ไม่อาจตอแยได้! จิ้มเข้าไปทีหนึ่ง ต่อแตนทั้งรังก็จะบินกรูกันออกมา แล้วข้าจะมาตามตัวเจ้าใหม่ทีหลัง!”

เขาเบียดออกมาจากกลุ่มคนและโบกปีกกระพือ บินหนีไป

ฉินมู่มองไปยังเหล่ากษัตริย์มนุษย์ในบริเวณรอบๆ งงงวยเล็กน้อย ทุกๆ คนแย้มยิ้มขณะที่สำรวจตรวจดูเขา ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นมีทั้งหญิงและชาย เยาว์และชรา สูงและเตี้ย อ้วนและผอม หล่อสวยและหน้าเถื่อน สุภาพและแข็งแกร่ง และก็ยังมีคนที่ดูอ่อนแออีกด้วย

ฉินมู่มองไปยังกลุ่มคน แต่ไม่พบผู้ใหญ่บ้านในนั้น เขาพลันกระแอมไอและคารวะทักทาย “ผู้เรียนน้อยและไม่ผิวเผินฉินมู่ กษัตริย์มนุษย์รุ่นปัจจุบันขอน้อมพบอาจารย์ปู่ อาจารย์ทวด อาจารย์เทียด อาจารย์ปู่เทียด….”

“ไม่ต้องมากพิธีรีตองขนาดนั้นหรอก!”

ทุกคนออกันเข้ามาและห้อมล้อมเขา โครงกระดูกเล็กๆ ตนนี้ เอาไว้ตรงกลาง ทำให้กระดูกเขาสั่นเกรียวกราวจนแทบจะร่วงหลุดจากกัน พวกเขารวบตัวรอบๆ และพาเขาตรงไปยังใจกลางเมืองด้วยรอยยิ้ม “ยากนักที่จะมีคนเป็นๆ มาเยี่ยมพวกเรา ดังนั้นมาฉลองกันให้ครึกครื้นสักหน่อยดีกว่า!”

“เจ้าไม่ได้เผากระดาษเงินกระดาษทองมาให้พวกเราเลย หากว่าไม่เพราะเจ้าผีน้อยแซ่ซูตายลงมาที่ยมโลก พวกเราก็นึกว่าโถงกษัตริย์มนุษย์คงขาดผู้สืบทอดไปแล้ว!”

“ทำไมเจ้าไม่ช่วยกวาดหลุมศพให้พวกเรา หากว่าเจ้าไป พวกเราก็คงรู้ว่ามีผู้สืบทอด พวกเราถึงกับทิ้งสมบัติเอาไว้ให้เจ้าในโถงกษัตริย์มนุษย์”

มีคำถามมากมายเกินไป ดังนั้นฉินมู่จึงได้แต่ตอบไปตามสัตย์ “จนถึงบัดนี้ ข้าก็ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนโถงกษัตริย์มนุษย์เลย ผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่บอกข้าว่ามันอยู่ที่ไหน…”

กษัตริย์มนุษย์ฉีคังเดือดดาลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ไอ้ผีน้อยแซ่ซูมันทำงานประสาอะไรของมัน ถึงกับยังไม่พาเจ้าไปที่โถงกษัตริย์มนุษย์! เจ้าลูกเต่านี่ เมื่อมันกลับมา ข้าจะสั่งสอนมันแน่นอน!”

กษัตริย์มนุษย์อี้ซานเตะก้นกษัตริย์มนุษย์ฉีคังอย่างรุนแรง และเป่าหนวดตนเองพลางถลึงตาจ้อง ก่อนที่จะตะโกน “เจ้าสอนศิษย์อย่างไรของเจ้า ใช้วิธีทุบตีศิษย์จะสั่งสอนศิษย์ดีๆ ออกมาได้อย่างไร! เพราะว่าการสั่งสอนของคนอย่างเจ้า กษัตริย์มนุษย์ฉินเลยไม่ได้ไปกวาดหลุมศพให้พวกข้า!”

หลังจากเขาเตะกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน หัวของเขาก็โดนกษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ต่อยเข้าไปจั๋งหนับ และเขาก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บ กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่กล่าวอย่างเดือดดาล “อี้ซาน ข้าสอนเจ้าแบบนี้หรือ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมีหน้ามาพูดใส่ฉีคังว่า ‘เจ้าสอนศิษย์อย่างไรของเจ้า’”

“หลันโพ่ เด็กสาวหัวรุนแรง ทำข้าอับอายขายหน้าไปหมด!”

“ข่งเสียน เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทุบตีศิษย์หลานข้า เจ้ารำคาญชีวิตแล้วใช่หรือไม่!”

พวกผู้เฒ่าเหล่านี้เริ่มต่อสู้กันในเมือง และพวกเขาชุลมุนกันจนแยกออกมาไม่ได้ ฉินมู่พบประเด็นประหลาดในเรื่องนี้ กษัตริย์มนุษย์ในอดีตจะช่วยศิษย์หลานของพวกเขารุมสกรัมลูกศิษย์ของตนเอง

ดูเหมือนศิษย์ทุกๆ คนไม่ค่อยเป็นมิตรกับอาจารย์ตัวเองเท่าใดนัก

แต่ถึงอย่างไร กำลังฝีมือของกษัตริย์มนุษย์ในอดีตเหล่านี้นับว่าน่าแตกตื่น โดยข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาทุกคนคือตัวตนที่ได้ฝึกปรือจนถึงเขตขั้นมรรคาเต๋า กระนั้นก็น่าแปลกอีกก็คือแต่ละคนล้วนมีความเชี่ยวชาญเป็นของตนเอง กำลังฝีมือของศิษย์และอาจารย์แต่ละคู่นั้นล้วนชำนาญในทางต่างๆ กัน กษัตริย์มนุษย์ฉีคังนั้นเป็นอาจารย์ของผู้ใหญ่บ้านและผู้ใหญ่บ้านชำนาญที่สุดในเชิงกระบี่ เขาเป็นที่รู้จักในนามกระบี่เทวะ กระนั้นกษัตริย์มนุษย์ฉีคังกลับเชี่ยวชาญในวิชาหมัดและมุทรา

พวกเขาทั้งแข็งแกร่งและเขื่องโข วิชามุทราของเขายิ่งน่าสะพรึงกลัวกว่าวิชาหมัดแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามเสียอีก

กระนั้นอาจารย์เขาซึ่งก็คือกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน ผู้เชี่ยวชาญด้านทักษะเทวะ อาจารย์ของเขา กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ เชี่ยวชาญด้านอาวุธวิญญาณ และสำหรับกษัตริย์มนุษย์ข่งเสียน เขานั้นเชี่ยวชาญในด้านทักษะเทวะเวทมนตร์ถ้อยคำ

ดูเหมือนว่าแต่ละคนเกลียดขี้หน้าอาจารย์ของตนเองเป็นอย่างยิ่ง และได้สาบานว่าจะไม่ดำเนินตามมรรคาของอาจารย์ ดึงดันที่จะบุกเบิกหนทางของตนเอง

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และมองไปโดยรอบ กษัตริย์มนุษย์ที่กำลังต่อยตีกันวุ่นวายนั้นได้ถล่มถนนพังพินาศไปหลายถนนในชั่วไม่กี่อึดใจ มีก็แต่เมื่อโถงวังและบ้านเรือนมากมายถูกทำลายราบ พวกเขาถึงหยุดสู้กัน

เทพและมารในเมืองหุบปากเงียบด้วยความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักแอะ พวกเขาล้วนแต่หยุดทำธุระของตนเองและมองเข้ามา

โถงวังของพวกเขาจำนวนหนึ่งถูกทำลาย แต่พวกเขาไม่พูดอะไรสักนิด พวกเขาได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจขณะที่ผีน้อยจำนวนมากมายก้าวเข้ามาช่วยพวกเขาซ่อมแซมโถงอาคาร

เทพฉือซิ่วบอกว่า โถงกษัตริย์มนุษย์ของพวกเรานั้นเป็นกลุ่มอิทธิพลในยมโลก ดูเหมือนว่าเขาจะพูดถูก ฉินมู่คิดในใจ อดีตกษัตริย์มนุษย์เหล่านี้ทุบทำลายไปสองสามหัวมุมถนน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับพวกเขา ผู้ใหญ่บ้านคงใช้ชีวิตอย่างสุขีที่นี่แน่นอน ไปที่ไหนก็ไม่มีใครกล้าหือ เขาอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นลูกหลานผู้มีอิทธิพลแห่งยมโลก ว่าแต่ เขาหายไปที่ไหนกันนะ

ใบหน้าของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังฟกช้ำไปหมดเมื่อเขาคลานออกมาจากข้างใต้เท้าของกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน “เจ้าจะต้องไปโถงกษัตริย์มนุษย์ให้ได้นะ อดีตกษัตริย์มนุษย์ทุกคนได้ทิ้งสุดยอดวิชาของตนเองเอาไว้ที่นั่น หวังว่าใครบางคนในรุ่นต่อๆ ไปจะสามารถทลายเขตขั้นในมรรคาของเขาต่อ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังต้องไปกวาดหลุมศพ และทุกๆ ปีใหม่กับเทศกาลอื่นๆ เจ้าจะต้องเผาข้าวของเซ่นไหว้พวกเราลงมาด้วย”

อี้ซานหัวเราะในคอ “เจ้าจะเผาศัตรูมาให้พวกเราสักหลายๆ คนก็ได้นะ จะได้เอาไว้เล่นสนุก ยมโลกนี่ดีทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่ไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นสนุก ตอนนี้พวกเรามาถึงหน้าโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยางของบรรพชนแรก ดังนั้นไปที่นั่นกันเถอะ!”

“บรรพชนแรก?”

ฉินมู่จิตใจสะท้านอย่างรุนแรง บรรพชนคนแรกนั้นคือกษัตริย์มนุษย์รุ่นที่หนึ่ง เทพเที่ยงแท้ผู้ได้เปิดต้นสายมรดกยุทธแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ เขามีกำลังฝีมืออันเลิศล้ำไม่ธรรมดา และฉินมู่ก็อยากที่จะพบกับยอดคนในอดีตผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง!

เขาได้เห็นรูปสลักหินของกษัตริย์มนุษย์รุ่นที่หนึ่งในนครหยกน้อย และผู้สันโดษชิงโยวก็กล่าวว่า บรรพชนคนแรกของกษัตริย์มนุษย์นั้นได้กลายเป็นรูปสลักหินก็เพราะความสิ้นหวังอันท่วมท้น หลังจากนั้น ฉินมู่ก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้พบกับเขา

“บรรพชนแรกได้ออกจากยมโลกไปสักพักหนึ่งแล้ว เขากล่าวว่าเขาจะไปจัดการธุระบางอย่างที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง อาจารย์ของเจ้าไปตามหาเขา และเขาก็ยังคงไม่กลับมา อาจารย์ของเจ้านั้นแปลกเสียจริง เขาดูเหมือนว่าจะยังไม่หยุดหายใจไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงสามารถเดินออกจากยมโลกได้ ในทางกลับกัน พวกเราสิ้นลมหายใจไปโดยสิ้นเชิงแล้ว” ฉีคังกล่าว

ทุกคนกรูกันเข้ามา และทำให้สัตว์พิสดารตัวยักษ์สองตัวที่พิทักษ์หน้าโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยางต้องกระโดดโหยงด้วยความตกใจ สัตว์พิสดารที่เป็นปักษาหน้าคนทางด้านซ้ายรีบไต่ถาม “กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลาย พวกท่านมาที่บ้านนายผู้เฒ่าเพื่อหาของกินอีกแล้วหรือ ของที่นี่ถูกพวกท่านกินไปจนแทบจะเกลี้ยงเกลาแล้ว ทำไมพวกท่านไม่ไปที่บ้านของบรรพชนสองแทนเล่า”

“หุบปาก!” กษัตริย์มนุษย์เฒ่าทั้งหลายตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน “บ้านของบรรพชนสองก็ถูกกินจนเกลี้ยงเกลาแล้ว เช่นเดียวกับบ้านของบรรพชนสาม! ท่ามกลางเหล่ากษัตริย์มนุษย์ก็มีแต่บ้านของเจ้านี่แหละที่ยังพอมีของเหลืออยู่บ้าง!”

ปักษาหน้าคนรีบหุบปาก และทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้พวกเขาบุกเข้ามา

ฉินมู่ให้กิเลนมังกรและหีบรออยู่นอกโถงวัง “รออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปสนทนากับบรรพบุรุษ”

กิเลนมังกรทำตามที่เขาบอก และเพ่งพิศสัตว์ยักษ์ทั้งสอง เขาพลันถามขึ้นมา “พวกเจ้าเคยเห็นปรมาจารย์ลัทธินักบุญสวรรค์หรือไม่ เขาดูเหมือนเด็กหนุ่ม และหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง”

ปักษาหน้าคนนั้นพูดจาง่ายกว่าและกล่าว “ปรมาจารย์ลัทธินักบุญสวรรค์งั้นหรือ เจ้าควรไปที่รังของลัทธินักบุญสวรรค์ จ้าวลัทธิในอดีตทั้งหลายพักอยู่ที่นั่น แต่พวกเขาส่วนมากดูชั่วช้าและดุร้าย พวกเขามิอาจตอแยได้”

กิเลนมังกรลิงโลดทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขาและรีบถามต่อ “ขอเรียนถามให้พี่ชายท่านนี้ชี้ทางให้ข้าที”

ในโถงห้าหยาง ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายเหมือนกับฝูงโจรที่เข้าไปในหมู่บ้าน ไม่เกรงใจเจ้าของบ้านเลยแม้แต่น้อย ขนาดว่าพวกเขายังไม่ทันจะนั่ง กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ก็เรียกผีน้อยจำนวนหนึ่งมาและสั่งความพวกเขา “กษัตริย์มนุษย์ฉินจากโลกแห่งคนเป็นอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นรีบไปเตรียมอาหารดีๆ มารับรองเขา!”

หนึ่งในผีน้อยหน้าเขียวรวบรวมความกล้ากล่าวออกไป “นายผู้เฒ่า คนเป็นๆไม่สามารถทานอาหารของยมโลกได้ ดูสิ กษัตริย์มนุษย์ฉินเป็นโครงกระดูกที่ไม่มีเลือด เนื้อ และเครื่องใน เขากินไม่ได้หรอก”

“พูดมาก! แน่ล่ะว่าเขาไม่ใช่คนที่จะกิน และพวกเราต่างหากที่จะกิน! ข้าเป็นศิษย์ของบรรพชนแรก และข้าจะกินอาหารที่นี่ไม่ได้งั้นหรือ รีบไปจัดเตรียมมา เร็วๆ!” กษัตริย์มนุษย์รุ่นที่สองตะโกน

ผีน้อยหน้าเขียวที่มีเขี้ยวจำนวนมากวิ่งพล่านไปหมดเพื่อจัดเตรียมอาหาร ฉินมู่มองสำรวจดูพวกเขาและฉงนฉงาย พวกนี้ดูคล้ายคลึงกับเทพภูตผีในท้องพระโรงราชาฉิน สิ่งมีชีวิตที่มิได้มาจากโลกของคนเป็น หรือว่าพวกเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตจากแดนใต้พิภพ

“ช่วงหลายปีมานี้ไม่มีใครส่งของเซ่นไหว้มาให้พวกเราเลย ดังนั้นพวกเราจึงหิวโหยจนแทบจะเป็นเปรตอยู่แล้ว! ตั้งเก้าอี้!”

บรรพชนสองใช้วิชามุทราของเขา และทันใดนั้นก็มีดอกบัวเบ่งบานขึ้นมาในโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง พวกมันงอกสูงขึ้นและสูงขึ้น ยกร่างพวกเขาขึ้นไป

ผีน้อยมากมายทำอาหารเสร็จและแบกพวกมันมา อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายไม่มัวมารักษาท่าทีและกินดื่มอย่างตะกละตะกราม กวาดทุกอย่างจนเรียบวุธ ถึงจะค่อยพอใจสบายท้อง

ฉินมู่จ้องไปยังภาพที่เห็นด้วยดวงตาเบิกกว้าง อดีตกษัตริย์มนุษย์เหล่านี้เหมือนกับอดอาหารมาเป็นร้อยๆ ปี ไหนเลยจะมีความโอ่อ่าผยองหลงเหลืออยู่

อาหารตรงหน้าเขาไม่ถูกแตะต้องเพราะว่าเขาเป็นแค่โครงกระดูกและไม่อาจกินอะไรได้

“หากกษัตริย์มนุษย์ฉินไม่ลงมา ข้าก็คงยังไม่ได้กินอาหารเต็มมื้อ อาจารย์ของเจ้าคงชังข้ามาก ดังนั้นเขาจึงไม่ไปปัดกวาดสุสาน ทำให้ข้าต้องอดอาหารมาหลายร้อยปี”

กษัตริย์มนุษย์ฉีคังถอนหายใจและมองไปที่ฉินมู่ “ผีน้อยแซ่ซูชมเจ้าเลิศลอยไปถึงสวรรค์ บอกว่าศิษย์ของเขาบรรเจิดและมีอนาคตไกลยิ่งกว่าศิษย์ของข้า มาดูสิว่าศิษย์ของเขาดีกว่าศิษย์ของข้าจริงหรือเปล่า”

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ ไม่ใช่ว่าศิษย์ของอาจารย์ปู่ฉีคังก็คือผู้ใหญ่บ้านหรอกหรือ

กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นทันที พวกเขากล่าว “กติกาเดิม มาสู้กันก่อน!”

ฉินมู่ลุกขึ้นและโค้งคารวะไปรอบๆ ทิศทาง “อาจารย์ปู่ บรรพชน ข้านั้นอยู่เพียงขั้นเจ็ดดาว ข้าคิดว่าพวกเราล้มเลิกเรื่องต่อสู้ดีหรือไม่”

ฉีคังแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่รังแกเจ้าหรอก แน่นอนว่า พวกเราจะต่อสู้กับเจ้าในวรยุทธขั้นเดียวกัน พวกเราก็จะไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บด้วย ในเมื่อพวกเราเพียงแต่อยากเห็นการฝึกปรือของเจ้าและชี้แนะวิชาฝีมือเท่านั้น”

ฉินมู่มีสีหน้าลำบากใจ “ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องประลองกันหรอก ข้าไม่อยากรังแกอาจารย์ปู่และบรรพจารย์ทั้งหลาย ทำให้พวกท่านบาดเจ็บคงจะไม่ดีแน่ๆ พูดกันตามตรงแล้ว วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพวกท่านล้าหลังตกยุคไปเกือบหมดแล้ว…”

รอบข้างเงียบกริบ

“ข้าพลันรู้สึกอยากอัดไอ้ผีน้อยนี้ให้น่วมแล้วล่ะ…” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังพึมพำเบาๆ

………………………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท