ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 499 จ้าวลัทธิฉินนักทรมานหัวใจ

ตอนที่ 499 จ้าวลัทธิฉินนักทรมานหัวใจ

ในกระจกสามชีวิตเวลาไหลกลับ ย้อนไปเรื่อยถึงคืนวันที่ดึกดำบรรพ์มากขึ้น จากนั้น อีกโลกหนึ่งก็ปรากฏ เทพหมอผีขุยกับเทพและมารจำนวนนับไม่ถ้วน ได้รับบัญชาให้จุติลงไปยังแดนต่ำใต้เพื่อก่อศึกกับสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง!

เมื่อเห็นภาพนั้น แม้แต่ท้าวยมราชก็ระงับความพลุ่งพล่านไว้ไม่ได้ และผุดลุกขึ้นเข้าไปมองกระจกสามชีวิตใกล้ๆ เขาอยากจะเห็นว่าใครเป็นผู้ออกคำสั่งให้ทำลายล้างสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง!

ความทรงจำของเทพหมอผีขุยถูกแสดงมุมมองของเขา มันเป็นสิ่งที่ดวงตาของเขาเห็นมา ทัศนวิสัยของเขากว้าง และมันเผยให้เห็นทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ไพศาลของสภาสวรรค์ที่แท้จริง มารและเทพจำนวนนับไม่ถ้วน กล่าวสัตย์สาบานตรงหน้ากองทัพของพวกเขาเพื่อร่วมการยกทัพจับศึก หมายที่จะทำลายล้างสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง

ภาพเช่นนี้ทำให้จิตใจพลุ่งพล่าน แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความกลัว!

เพราะถึงอย่างไร ที่นั่น แม้แต่ตัวตนระดับเทพหมอผีขุยก็เป็นเพียงแค่ไพร่พลอันไม่สลักสำคัญท่ามกลางเทพและมารมากมายแห่งสภาสวรรค์แท้!

ภาพในกระจกค่อยๆ ยกมุมสูงขึ้นเมื่อเทพหมอผีขุยลอยขึ้นไป มองเหล่าเทพเที่ยงแท้ทั้งหลายจากที่สูง ร่างมหึมาของตัวตนอันน่าเกรงขามมีขนาดไร้ประมาณ เทพเจ้ามากมายห้อมล้อมร่างนั้นราวกับดาราราย

เทพหมอผีขุยมองไปที่ตัวการใหญ่ ที่ว่ากันว่าเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งสภาสวรรค์

ท้าวยมราชไม่อาจข่มระงับความตื่นเต้นของเขาเมื่อเทพหมอผีขุยพุ่งสายตาไปยังใบหน้าอันน่าเกรงขามอย่างไร้ทัดเทียม แต่กระจกพลันบิดเบี้ยว!

เทพหมอผีขุยกลายเป็นแข็งทื่อว่างเปล่า ราวกับว่าความทรงจำของเขาถูกลบล้างไปโดยพลานุภาพมิอาจบรรยายได้!

ท้าวยมราชตกตะลึงและกดมือของเขาลงไปบนกระจก!

“เคล็ดลับกำเนิดแสง!”

บนกระจก ภาพนั้นกลับมาเสถียร แต่ในพริบตาถัดมา ดวงตามหึมาก็ปรากฏข้างในนั้น กระจกดูราวกับสามารถดูดกลืนแสงทั้งหมดได้ ทำให้ความทรงจำทั้งหมดของเทพหมอผีขุยถูกลบล้าง

ท้าวยมราชตะโกน ผ้าคลุมแห่งความมืดยาวเหยียดของเขาหมุนวน และแสงกระบี่พุ่งออกมาจากในนั้น ตัดฟันเข้าไปข้างในกระจก

ในกระจกสามชีวิต กาลเวลาไหลกลับต่อไป เผยประสบการณ์ในอดีตสมัยแรกๆ ของเทพหมอผีขุย แต่ตอนนั้น ทุกความทรงจำที่เกี่ยวกับสภาสวรรค์แท้ก็ถูกลบหายไปสิ้น ราวกับว่าไม่เคยมีมันมาก่อน!

“มีตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีดขั้วที่สัมผัสได้ถึงการที่เราหยิบยืมความทรงจำของเทพหมอผีขุยมองดูเขา ดังนั้นเขาจึงลบความทรงจำของเทพหมอผีขุยที่เกี่ยวกับเขา” เสียงของเขาทั้งเน้นหนักและกึกก้อง เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “การที่เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเทพหมอผีขุยกำลังหวนระลึกถึงเขา และส่งพลังวัตรของตนเองข้ามกาลอวกาศมา เขานั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่อาจเปรียบปาน!”

ในท้องพระโรงราชาฉิน เทพภูตผีเหล่านี้ตัวสั่นเทิ้ม สามารถสัมผัสได้เพียงแค่มีคนระลึกถึงเขา และสามารถลบล้างความทรงจำได้ด้วยอย่างนั้นหรือ

ทักษะเทวะแบบนี้มันเกินความคิดฝันไปแล้ว!

ฉินมู่เองก็ตกตะลึง กระจกสามชีวิตสามารถแสดงชีวิตของคนผู้หนึ่งได้ทั้งชีวิต และมันก็เกินจินตนาการไปแล้ว ราวกับเรื่องนิยายเพ้อฝัน แต่กระนั้นก็ยังมีใครบางคนที่สามารถหยั่งสัมผัสคนอื่นที่พยายามจะมองดูเขาผ่านวิธีนี้ และสามารถลบล้างความทรงจำของผู้ที่เคยพบเห็นเขาได้ ทักษะวิชาเช่นนี้ มันน่าหวาดกลัวเกินกว่าจะจินตนาการไปถึง!

ในเมื่อพวกเขาได้พยายามที่จะสอดแนมเข้าไปในสภาสวรรค์แท้ หรือว่าคนที่ลบความทรงจำของเทพหมอผีขุยจะเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งสภาสวรรค์แท้กันนะ ฉินมู่ลอบสงสัยในใจ

เศษซากความทรงจำของเทพหมอผีขุยปรากฏในกระจกสามชีวิต เขาเพิ่งกลับมาจากแดนใต้พิภพอันเขาได้เรียนรู้เวทมนตร์และทักษะเทวะจากที่นั่น เทพภูตผีมากมายอยู่กับเขาเพื่อสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างอย่างละเอียด บ้างก็ถือพู่กันและหมึก บันทึกทักษะเทวะ มรรคา และวิชาที่เทพหมอผีขุยได้ร่ำเรียนมาในแดนใต้พิภพ

ในความทรงจำของเทพหมอผีขุย สภาสวรรค์ได้ส่งผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายอันมีพรสวรรค์เลิศล้ำไม่ธรรมดาเข้าไปศึกษาเรียนรู้ในแดนใต้พิภพ หลังจากนั้น ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดก็มีความสำเร็จอันเหนือธรรมดา

นี่แสดงว่าสภาสวรรค์มีสายสัมพันธ์ชิดใกล้กับแดนใต้พิภพ

ฉินมู่หัวใจสั่นสะท้าน และเขาก็อยากที่จะไปเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งแดนใต้พิภพด้วยเช่นกัน

สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเลิศล้ำ เขาเคยได้เรียนเพียงนำทางวิญญาณของสำนักเก้าภูตผี แต่มันเป็นวิชาอันไม่สมบูรณ์ กระนั้นมันก็ยังเลิศล้ำเหนือธรรมดา สามารถเพรียกขานดวงวิญญาณของนักปรุงยา ท่านยายซี และคนอื่นๆ กลับมาได้!

เมื่อเทพหมอผีขุยสักการะผู้อื่นจนถึงตาย ที่เขาพึ่งพิงก็คือมรรคา วิชา และทักษะเทวะของแดนใต้พิภพ

หากว่าฉินมู่สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น มิเท่ากับว่าเขาจะมีวิธีการต่อสู้ที่ทรงพลังอีกวิธีหนึ่งหรอกหรือ

แต่ทว่า เทพภูตผีมากมายได้ยืนห้อมล้อมกระจกสามชีวิตจนฝ่าเข้าไปไม่ได้ เขานั้นยังเป็น ‘อาชญากร’ ดังนั้นจึงไม่อาจเบียดเสียดผ่านพวกเขาไปได้

ทันใดนั้น ท้าวยมราชก็มองมาที่เขา และสายตาภายใต้ผ้าคลุมดำก็วูบวาบ

ด้วยความแตกตื่น ฉินมู่ลองถามหยั่ง “ท้าวยมราช อายุขัยของข้าก็ยังไม่ทันสิ้นสุดเช่นกัน…”

“เรื่องที่เจ้าได้ทำลงไปนั้นใหญ่หลวงนัก ดังนั้นอย่าคิดจะหนี! เจ้าร่ายเวทมนตร์ของแดนใต้พิภพ และแย่งชิงผู้คนของข้าไปจำนวนหนึ่ง ฝ่าฝืนกฎยมโลกของข้า กรรมชั่วของเจ้านั้นร้ายแรงยิ่งกว่าซิงอ้าน และเจ้ายังคิดว่าจะรอดไปได้หรือ ท้าวยมราช จะจัดการเขาอย่างไรดี” เทพฉือซิ่วถาม

“ฝ่าฝืนกฎของยมโลก แม้แต่องค์ชายก็ต้องรับโทษเท่าสามัญชน ดังนั้นเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน การไขมรรคา วิชา และทักษะเทวะของเทพหมอผีขุยต้องอาศัยเวลาสักหน่อย ดังนั้นเอาตัวเขาไปที่อื่นก่อน แล้วข้าจะลงโทษเขาด้วยตนเอง!”

เทพฉือซิ่วตื่นตระหนก ท้าวยมราชจะลงโทษเขาด้วยตนเองงั้นหรือ

พึงรู้ว่า แม้แต่ซิงอ้านและเทพหมอผีขุยก็ยังไม่ต้องถูกท้าวยมราชลงโทษด้วยตนเองเลย!

แม้ว่าฉินมู่จะทำเรื่องใหญ่ แต่ว่าเรื่องนี้จะใหญ่ก็ได้หรือจะเล็กก็ได้ กฎเกณฑ์ในยมโลกนั้นแตกต่างจากแดนใต้พิภพ พวกเขาไม่เข้าไปยุ่งกับธุระกงการของโลกแห่งคนเป็น

สำหรับคนเป็นๆ แล้ว ยมโลกก็เหมือนกับแดนใต้พิภพ พวกเขาทั้งคู่ล้วนแต่เป็นโลกแห่งคนตาย หากว่าโลกแห่งคนตายเข้าไปขัดจังหวะโลกแห่งคนเป็น ก็คงเกิดผลพวงอันมิอาจคาดเดา

นี่เป็นสามัญสำนึก

แดนยมโลกไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกคนเป็น และแดนใต้พิภพก็เช่นกัน

และมันก็เป็นเหตุผลหลักที่ว่าทำไมเทพหมอผีขุยกล่าวว่า พวกเขาทำอะไรเขาไม่ได้หรอก ท้าวยมราชไม่อาจลงโทษจิตวิญญาณดั้งเดิมของบุคคลที่อายุขัยอันถูกลิขิตเอาไว้ยังไม่สิ้นสุดไป

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินมู่ก็ยังเป็นกษัตริย์มนุษย์อีกด้วย ดังนั้นเทพฉือซิ่วจึงคิดว่าท้าวยมราชจะรักษาหน้าให้กับกษัตริย์มนุษย์รุ่นก่อนๆ เสียหน่อย ยกเขาขึ้นมาสูงแล้วค่อยวางลงเบาๆ จบเรื่องราวด้วยการติเตียนพอหอมปากหอมคอ

แต่จากที่เห็นแล้ว ดูเหมือนว่าเขาพร้อมจะตัดหัวฉินมู่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู!

“ตามข้ามา” เทพฉือซิ่วพาฉินมู่ออกไป เมื่อพวกเขาอยู่นอกโถงวัง เขาก็กล่าวอย่างแผ่วเบา “เมื่อพบกับท้าวยมราชใหม่อีกหน ก็แค่ขออภัยเขาเสีย ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าหรอก ในเมื่อเจ้ามีใครบางคนหนุนหลัง”

ฉินมู่ค่อยวางใจและครุ่นคิด หน้าของผู้ใหญ่บ้านค่อนข้างใหญ่โตเลยทีเดียว จะว่าไปแล้ว เขาก็เพิ่งตายไปได้ไม่นาน แต่ก็กลายเป็นผีใหญ่ผีโตที่นี่แล้วหรือ

ข้างนอกโถง ซิงอ้านนั้นเหมือนกับลูกบอลใหญ่ที่เต็มไปหัวและชิ้นส่วนร่างกายอื่นๆ พวกมันกลิ้งไปรอบๆ ด่าทอ และต่อสู้กัน เขานั้นถูกทรมานจนน่าสังเวชจากแขนขาบนร่างกายของตนเอง

ทันใดนั้น ซิงอ้านก็เห็นฉินมู่ถูกพาตัวออกมาจากท้องพระโรงราชาฉิน เขายิ้มหยันและกล่าว “หมอเทวดาฉิน ดูท่าสิ่งที่เจ้ากระทำคงจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่าอาชญากรรมของข้า ข้านั้นถูกปล่อยตัวมาแล้ว แต่เจ้ายังถูกคุมตัวอยู่ เจ้าทำกรรมชั่วมากเกินไป ดังนั้นก็สมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้!”

ฉินมู่หยุดเท้าและถาม “ซิงอ้าน อายุขัยของเจ้าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่”

ซิงอ้านอึ้งไปเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้มหยัน “ข้าคือเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นอายุขัยของข้าจึงไม่มีวันสิ้นสุด! จะมีลิขิตจุดจบอายุขัยที่ไหนกัน”

ฉินมู่ส่ายหัว “ที่ข้าถามคือ อายุขัยที่เจ้ายังคงมีในร่างกายแต่เดิมของเจ้า ในยมโลก เจ้าเหลืออายุขัยเพียงเท่ากับร่างกายเดิมของตนเอง หากว่าอายุขัยของเจ้าสิ้นสุด เจ้าก็จะถูกนับว่าตายไปแล้ว”

ซิงอ้านสะท้านใจอย่างรุนแรง

เทพฉือซิ่วกระพือปีกและกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เมื่ออายุขัยสิ้นสุดลง ก็จะเป็นขวบปีแห่งความตาย อายุขัยนั้นเป็นของร่างเนื้อของเจ้า ส่วนขวบปีแห่งความตายนั้นเป็นดวงวิญญาณเจ้า ไม่ต้องห่วง เมื่ออายุขัยของเจ้าสิ้นสุดลง เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ชั่วนิรันดร์”

ซิงอ้านหวาดผวา เขาพยายามตะเกียกตะกายจะออกไปจากยมโลก แต่ผู้คนที่ตายภายใต้เงื้อมมือเขาจะยอมปล่อยเขาไปได้อย่างไร

ซิงอ้านไม่สามารถขยับไปแม้แต่ก้าว แต่กลับถูกลากตรงไปยังเมืองโดยความอาฆาตแค้นของคนตาย

“ท้าวยมราช เจ้าไม่ใช่คนรักษาคำพูด!” ซิงอ้านกล่าวอย่างดุดัน “เจ้าหมายจะกักตัวข้าไว้ที่นี่ และเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของข้า!”

“เขาปล่อยเจ้าไปแล้ว เพียงแต่เจ้าไม่สามารถจากไปได้เอง” ฉินมู่ส่ายหัวแล้วกล่าว “ศิษย์พี่ซิงอ้าน เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของท้าวยมราชอีกหรือ หากว่าเจ้าต้องการเดินออกไปจากยมโลก มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นก็คือการละทิ้งชิ้นส่วนของบุคคลอื่นไปเสีย โดยใช้เฉพาะร่างกายของเจ้าเองเท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถเดินออกไปได้ มิเช่นนั้น เจ้าก็จะแก่ตายอยู่ที่นี่!”

ซิงอ้านหัวใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

จะให้เขาละทิ้งชิ้นส่วนร่างกายของบุคคลอื่นๆ นั้นไม่ต่างอะไรกับการปฏิเสธสิ่งที่เขาไล่แสวงหามาทั้งชีวิต มันจะทำให้อุดมคติและความพากเพียรของเขาที่จะทำให้กายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนแข็งแกร่งเทียบเท่าเทพเจ้าเที่ยงแท้กลายเป็นไร้ประโยชน์!

“เจ้ายินดีที่จะตายด้วยความชราอยู่ที่นี่ หรือว่าเจ้าจะเสี่ยงชีวิตดูสักตั้ง” ฉินมู่ถาม “ตั้งแต่เมื่อเจ้าตระหนักว่า เจ้าไม่มีความหวังที่จะบรรลุเป็นเทพได้ เจ้าก็สูญเสียจิตหาญสู้ใช่หรือไม่ จากนั้นเป็นต้นมา เจ้าก็มิใช่อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีอีกต่อไป แต่เป็นเพียงแค่แมลงน้อยๆ ที่น่าเวทนา หมายแต่จะชิงชิ้นส่วนร่างกายผู้อื่นเพื่อเอามายกระดับตนเอง แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าทุกสิ่งที่ทำมันเปล่าดายหลังจากที่เจ้าตายไป! ความอุตสาหะของเจ้า หลังจากที่เจ้ามาที่นี่ เป็นเพียงแค่สิ่งที่เจ้าได้แต่มองเห็น แต่ไม่อาจสัมผัสได้ มันไร้คุณค่าและเป็นได้เพียงแค่อุปสรรคขัดขวาง สิ่งที่มิใช่ของเจ้า จะอย่างไรมันก็ไม่มีวันเป็นของเจ้า!”

จิตเต๋าของซิงอ้านสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แม้เมื่อจ้าวลัทธิหลี่เทียนซิงได้ใช้จิตเต๋าของเขาโจมตีจิตเต๋าของซิงอ้าน ซิงอ้านก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ทว่าในตอนนี้ เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของฉินมู่ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นในจิตเต๋าของเขา!

สิ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นของเขา กลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่ของเขาในท้ายที่สุด–นี่คือการฟาดหวดที่รุนแรงที่สุดต่อเขา!

“มรรคาแห่งเทพเจ้า ข้าได้ปูลาดมันไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว” ฉินมู่ยืนตรงหน้าเขาในร่างโครงกระดูก อันดูไม่สลักสำคัญ แต่ทว่าเขามีท่วงทีอันทำให้ซิงอ้านต้องเงยคอตั้งเพื่อมองดูเขา เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หากว่าเจ้าละทิ้งชิ้นส่วนร่างกายที่มิได้เป็นของเจ้า และนำร่างกายของเจ้ากลับคืนมา เจ้าก็จะยังคงสามารถบรรลุเป็นเทพเจ้าได้ และสร้างมรรคาเดินของตนเอง หีบ ในท้องของเจ้ายังมีชิ้นส่วนอวัยวะไหนอีกไหมที่ยังไม่กลายเป็นมนุษย์”

เต๋าตี้ข้างหลังเขาปิดปากแน่น แต่กิเลนมังกรง้างปากมันขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เขายื่นหัวเข้าไปมองในพุงของเต๋าตี้และกล่าว “จ้าวลัทธิ ยังมีชิ้นส่วนร่างกายอยู่อีกจำนวนหนึ่งจริงๆ!”

“ชิ้นส่วนร่างกายทั้งหมดได้กลายเป็นมนุษย์ในแดนยมโลก ยกเว้นชิ้นส่วนของเจ้า เจ้ายังไม่ตาย” ฉินมู่กล่าว “หีบ คายมันออกมาแล้วคืนให้แก่เขา ให้เขาเดินออกไปด้วยแขนขาของตนเอง”

เต๋าตี้จะยอมทำแบบนั้นได้อย่างไร

เสียงอู้อี้ของกิเลนมังกรดังมาจากท้องเต๋าตี้ “จ้าวลัทธิ ข้าถูกกินเข้าไปอีกแล้ว!”

ฉินมู่โมโหเดือด ทั้งต่อยและเตะเต๋าตี้ “คายเขาออกมานะ คายเขาออกมาเดี๋ยวนี้!”

เต๋าตี้ไม่สะดุ้งสะเทือน แต่อีกครู่หนึ่ง มันก็คายกิเลนมังกรและชิ้นส่วนร่างกายเหล่านั้นออกมาอย่างอิดเอื้อน

กิเลนมังกรรีบวิ่งไปซ่อนข้างหลังฉินมู่ทันที หีบได้ทำให้เขาสะพรึงกลัวจนขวัญบิน

ฉินมู่โยนชิ้นส่วนร่างกายเหล่านั้นใส่หน้าซิงอ้านและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ปล่อยพวกเขาไป เอาร่างกายของเจ้ากลับคืน และเจ้าจะรอดชีวิต มิเช่นนั้น เจ้าจะตาย มังกรอ้วน หีบ ไปกันเถอะ ปล่อยให้เขาคิดเอง”

ซิงอ้านนิ่งเงียบ แขนขาหลายสิบของเขาเริ่มทุบตีเขาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง พยายามที่จะฉีกทึ้งเขาเป็นชิ้นๆ และลากเขาไปตาย แต่กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดี

จะปฏิเสธความอุตสาหะตลอดชั่วชีวิตของเขาและยอมรับว่าเขาทำผิดไป–เขาก็ยังทำไม่ได้

กระนั้นเขาก็ยังรู้เกี่ยวกับการทรมานหัวใจผู้คนแทนที่จะตัดเฉือนร่างกายของพวกเขา แม้ว่าวรยุทธและกำลังฝีมือของฉินมู่จะห่างไกลจากเขามาก แต่เขาก็ได้เอาชนะซิงอ้านในการต่อสู้ของจิตเต๋า ฉินมู่ได้บดขยี้จิตเต๋าของเขาโดยสิ้นเชิง และเขาก็ไม่อาจสู้กลับไปได้อีกต่อไป!

“จ้าวลัทธิ ซิงอ้านจะยอมละทิ้งชิ้นส่วนอวัยวะเทวะเหล่านั้นหรือเปล่า” กิเลนมังกรถามเมื่อเขาเหลียวหลังกลับไปมอง

ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “นั่นก็ต้องขึ้นกับความกล้าหาญของเขาแล้ว หากว่าเขากลับไปยังร่างเนื้อเดิม เขาก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่กี่ปี และก็ยากที่จะกล่าวได้ว่าเขาจะสามารถบรรลุเป็นเทพเจ้าได้สำเร็จในระหว่างช่วงเวลาเพียงเท่านั้นหรือไม่ แต่หากว่าเขาไม่เปลี่ยนกลับไปเขาก็จะตายด้วยความชราอยู่ที่นี่ ข้าเองก็ไม่รู้–”

ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะกึกก้องก็ดังกังวานมา “ฉือซิ่ว ข้าได้ข่าวว่าศิษย์หลานของข้าถูกเจ้าจับตัวมาใช่ไหม”

……………………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท