กษัตริย์มนุษย์คนอื่นมีสีหน้าประหลาด และพวกเขาก็เงียบกริบ
ถัวอวี่นั้นนับว่าเป็นผู้ที่เชื่อถือได้มากที่สุดในบรรดาพวกเขา และความสำเร็จของเขาในพีชคณิตเป็นที่รู้กันว่าไร้เทียมทานในโลกหล้า แต่กระนั้นเมื่อใช้ต่อต้านกายาจ้าวแดนดินฉิน ก็เกิดความผิดพลาดขึ้นมา แม้ด้วยระดับความสำเร็จเชิงพีชคณิตเช่นเขา
เมื่อเผชิญกับ ‘กายาจ้าวแดนดิน’ อย่างฉินมู่ ความผิดพลาดใดๆ ก็จะนำมาซึ่งความอับอายขายขี้หน้า!
เพื่อกันเอาไว้ก่อน พวกเขาจึงไม่เชื่อการคำนวณของกษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่เอาไว้จะดีกว่า
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่โมโห และกระโดดลงไปจากสะพาน “พวกเจ้าไม่เชื่อใจข้างั้นหรือ ข้ายังจะคำนวณผิดอีกหรือ ข้าจะลงไปและตีไอ้เด็กนี่ให้ขาหัก เพื่อให้พวกเจ้าทุกคนได้เห็น!”
“พลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา!”
…
บนสะพาน บรรพชนสองกล่าวอย่างใจเย็น “ดูสิ ข้าบอกแล้วว่าการคำนวณของเขาผิดพลาด ใช่ไหมล่ะ ตอนนี้เขาลอยน้ำมา หากว่าพวกเราเชื่อเขา ที่ลอยอยู่ในแม่น้ำคงเป็นพวกเรา”
บรรพชนสามและอดีตกษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ มีความรู้สึกทำนองเดียวกัน กษัตริย์มนุษย์ชิงหนิงโผล่หัวออกมาและเริงร่ากับความโชคร้ายของผู้อื่น “อาจารย์ ทีนี้ท่านคำนวณผิดตรงไหนล่ะ”
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่หมดอาลัยตายอยากและกล่าวด้วยสีหน้าชืดชา “จิตวิญญาณดั้งเดิม ข้าคำนวณจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาผิดพลาด มันแข็งแกร่งเกินกว่าการคาดคะเนของข้า…แต่ข้ารู้สึกว่าตอนนี้ข้ามองเขาทะลุปรุโปร่งแล้ว!”
เขากระโดดขึ้นมาจากน้ำ และเหยียบยืนบนสะพานด้วยตัวเปียโชกไปหมด เขามีรอยยิ้มลิงโลด “คราวนี้การคำนวณของข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจะต้องบอกพวกเจ้าถึงจุดอ่อนของเขาได้อย่างแน่แท้! เชื่อข้าครั้งเดียวนี้ก็พอ!”
อดีตกษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ อ้าปากหาว ขณะที่กษัตริย์มนุษย์ชิงหนิงสายตาวูบวาบ “ในเมื่ออาจารย์มองทะลุถึงจุดอ่อนของเขาแล้ว อาจารย์สามารถลงไปอีกรอบและเอาชนะเจ้าเด็กตัวเหม็นนั่นให้ได้ พวกเราจะโห่ร้องให้กำลังใจอาจารย์เอง!”
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่นำอาวุธวิญญาณลูกคิดของเขาออกมา และใช้มันฟาดหัวกษัตริย์มนุษย์ชิงหนิง “เจ้าเป็นศิษย์ นอกจากไม่สนับสนุนอาจารย์ เจ้ายังสมน้ำหน้าข้าอีก! ข้าสอนอะไรเจ้าไป หา? ข้าสอนเจ้ามรรคาเต๋าแห่งการคิดคำนวณ แต่เจ้าก็ไปเรียนดนตรี! ลงไป แล้วไปอัดเขาจนน่วมให้ข้า!”
ชิงหนิงหันหน้าไปมองที่กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนที่กำลังลิงโลดยินดี และเตะเขาลงไปจากสะพาน “ข้าสอนดนตรีเจ้า แต่เจ้าก็ไปฝึกปรือเวทมนตร์ถ้อยคำ? ลงไป แล้วไปอัดเขาจนน่วมให้ข้า!”
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนเห็นฉินมู่พุ่งเข้ามา และรีบโบกไม้โบกมือพลางส่ายหัวทันที “กษัตริย์มนุษย์ฉินนี้เป็นกายาจ้าวแดนดินอย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ต้องสู้กันแล้ว”
ฉินมู่หยุดทันทีและแย้มยิ้ม “ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องต่อยตีนัก ข้าเพียงแต่รู้สึกว่ามรรคา วิชา และทักษะเทวะของบรรพจารย์และอาจารย์ปู่ทั้งหลายยังสามารถพัฒนายกระดับไปได้อีก แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งอยู่แล้วก็ตาม หากว่าพวกท่านสามารถพัฒนาพลานุภาพของพวกมันต่อไปได้ พวกท่านก็จะเหนือล้ำกว่าตัวตนเดิมของตนเอง โดยเฉพาะเวทมนตร์ถ้อยคำของบรรพจารย์ข่งเสียนนั้นเหนือธรรมดาอย่างถึงที่สุด มันเป็นทักษะเทวะที่มหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น!”
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนปีติยินดีและไม่อาจระงับความดีใจของตนเอาไว้ได้ “เจ้าก็คิดว่าทักษะเทวะข้าเหนือธรรมดาหรือ”
ฉินมู่ผงกหัว และสองมือเขาขยับไประหว่างที่เดินบนแม่น้ำ เขาทำท่วงท่าผนึกและกล่าว “เมื่อข้าเห็นบรรพจารย์ท่านโจมตีบรรพจารย์ชิงหนิง ท่านใช้กระบวนท่านี้เพื่อปิดผนึกบรรพจารย์ชิงหนิงไปตรงๆ ข้าสงสัยว่า นั่นคือทักษะเทวะอะไร”
“นี่คือเคล็ดลับคำผนึก!”
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนตื่นเต้นจนหยุดไม่อยู่เมื่อเขาพูดคุยเกี่ยวกับทักษะเทวะของตนเอง เขาสอนฉินมู่ด้วยตนเองถึงวิธีการขับเคลื่อนปราณชีวิตสำหรับเคล็ดลับคำผนึกและว่าเขาควรเปล่งเสียงอย่างไร “หัวใจสำคัญของเวทมนตร์ถ้อยคำอยู่ที่ทักษะเทวะคลื่นเสียงและทักษะเทวะยันต์ ผสานกับท่าร่าง ท่าย่างเท้า และวิชาฝึกปรือเข้าเป็นหนึ่ง จากนั้นก็เสริมพยุหะของอักษรรูนปราณชีวิต เมื่อครบถ้วนเท่านั้นเจ้าถึงจะสามารถขับเคลื่อนมันได้! ดูนี่!”
เขาใช้ปราณชีวิต และเท้าของเขาเคลื่อนเป็นวงกลมสองวงขณะที่มือของเขาขัดกากบาทกัน ด้วยปราณชีวิตแผ่พุ่งออกไป เขาตะโกน “ผนึก!”
ด้วยการตะโกนของเขา ปราณชีวิตเขาก่อรูปเป็นคำว่าผนึกภายใต้เท้าของเขาราวกับหมึก และทัศนวิสัยของฉินมู่พลันกลายเป็นสีดำ เขาไม่อาจได้ยินเสียงใดๆ–ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาถูกปิดกั้นไว้โดยสิ้นเชิง แม้แต่ปราณชีวิตของตนเขาก็ไม่อาจสัมผัสได้
ในพริบตาถัดมา ความรู้สึกที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกปิดผนึกก็หายไป
“สุดยอดทักษะเทวะ!”
ฉินมู่ตื่นเต้นอย่างสุดๆ และปรึกษาขอคำชี้แนะจากกษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนอีกครั้ง พักหนึ่งหลังจากนั้น เขาก็ลองดูด้วยตนเอง ขับเคลื่อนเคล็ดลับคำผนึก “ผนึก!”
คำว่าผนึกใหญ่มหึมาพลันปรากฏบนแม่น้ำข้างใต้เท้าเขา!
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนตกตะลึง เขาเรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ เขาเรียนยอดวิชาทั้งชีวิตของข้าได้ด้วยการลองครั้งแรกเลย หรือว่าโลกนี้จะมีกายาจ้าวแดนดินจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องกุขึ้นมาของเจ้าซูน้อยหรอกหรือ
เขานั้นยังคงไม่มั่นใจ หลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านเข้ามาในยมโลก เขาก็ทำราวกับว่าการโกหกฉินมู่เรื่องกายาจ้าวแดนดิน คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เขาภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และไม่ปิดบังจากอดีตกษัตริย์มนุษย์คนใดๆ
อาจจะกล่าวได้ว่า กษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดทุกคน ยกเว้นก็แต่ฉินมู่ รู้ว่ากายาจ้าวแดนดินเป็นเรื่องโกหก มีก็แต่เด็กหนุ่มผู้นี้ที่ไม่รู้อยู่คนเดียว
แต่กระนั้น กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ กลับรู้สึกว่า ฉินมู่อาจจะเป็นกายาจ้าวแดนดินจริงๆ
“ให้ข้าสอนเจ้าอีกอัน เคล็ดลับคำพลัง”
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนสายตาวูบวาบ และเขาถ่ายทอดเคล็ดลับคำพลังให้แก่ฉินมู่ เด็กหนุ่มเรียนสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นอีกครั้ง และเมื่อเขาขับเคลื่อนมัน คำว่า ‘พลัง’ อันก่อขึ้นมาจากอักษรรูนก็ปรากฏข้างหลังเขา ด้วยการส่งเสริมของจังหวะดนตรีในคำว่า ‘พลัง’ พลานุภาพของอักษรรูนก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา และพละกำลังของกายเนื้อของเขาก็ทวีคูณขึ้นไปหลายเท่า!
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนตกตะลึงจนพูดไม่ออก เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ถ้อยคำสำเร็จในระยะเวลาสั้นเท่านี้ เมื่อเขารังสรรค์ทักษะเทวะนี้ขึ้นมา เขาก็ย่างเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว เขาได้ติดตามฝึกวิชากับกษัตริย์มนุษย์ชิงหนิง และมีความสำเร็จอันน่าแตกตื่นในดนตรีการ แต่ต้องการจะฉีกเป็นอิสระออกมา เขาจึงได้ศึกษาค้นคว้าเป็นอย่างหนัก และประสบความสำเร็จอันสูงส่งในอักษรวิจิตร อักษรรูน พยุหะ วิชาตัวเบา ท่าเท้า และเพลงหมัดด้วยเช่นกัน
เขาได้ใช้เวลาหลายสิบปีในชีวิตเพื่อหลอมรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเรียนรู้ และตอนนั้นเขาถึงสามารถสร้างสรรค์สุดยอดทักษะ เวทมนตร์ถ้อยคำ ออกมาได้ สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์มนุษย์ และรับช่วงต่อลัญจกร สำนักทั้งหลายในยุทธภพต่างก็เคารพนับถือเขา
การที่ฉินมู่สามารถเรียนรู้เวทมนตร์ถ้อยคำของเขาด้วยเวลาสั้นๆ นี่มิได้แปลว่าเขาก็มีความสำเร็จอันสูงส่งในอักษรวิจิตร อักษรรูน พยุหะ วิชาตัวเบา ท่าเท้า และเพลงหมัดด้วยหรอกหรือ
แม้ว่าเขาจะมีความสำเร็จสูงส่งในศาสตร์สาขาเหล่านี้ แต่การเรียนรู้สุดยอดวิชาที่เขาได้ใช้เวลาหลายสิบปีในการหลอมรวมมันขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ ก็น่าแตกตื่นสะท้านขวัญอยู่ดี!
จากนั้นฉินมู่ก็เรียนเคล็ดลับคำตรึงที่จะแผ่พุ่งออกมาจากฝ่ามือ คำว่าตรึงปรากฏตรงหน้าของเขา และมันก็สำเร็จโดยง่ายดายเหมือนกับคำอื่นๆ
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนยิ่งแตกตื่นมากขึ้นทุกที
ทันใดนั้น บรรพชนสามก็พูดออกมา “ฉินน้อย มาเรียนกระบวนท่านี้จากข้าดูสิ!”
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนได้สติขึ้นมาจากความแตกตื่นและมองไปรอบๆ ถึงตอนนี้เขาจึงเพิ่งสำเหนียกว่ากษัตริย์มนุษย์มากมายได้ลงมาจากสะพานสักพักหนึ่งแล้ว และรวมตัวมุงรอบๆ พวกเขา แม้แต่หลันโพ่ อี้ซาน ฉีคัง และคนอื่นๆ ที่ลอยน้ำไปก็ปรากฏตัวด้วย พวกเขาล้วนแต่จ้องมองไปยังฉินมู่ด้วยสายตาประหลาด
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนฉงนและขยับหลบไปข้างๆ
บรรพชนสามยกฝ่ามือขึ้นมาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กระบวนท่าของข้านี้เรียกว่า มือหยินหยางพลิกสวรรค์ ฝ่ามือคือหยินและหลังมือคือหยาง ซ้ายและขวาสามารถเสริมส่งซึ่งกันและกัน หรือเจ้าก็ยังสามารถใช้หยินคู่หรือหยางคู่ พลิกสรวงสวรรค์ด้วยหยินและหยาง”
เขาอธิบายเส้นทางโคจรของวิชาฝึกปรือของเขา และด้วยการพลิกมือ หยางพิสุทธิ์ก็พวยพุ่งออกมาราวสายฟ้า สร้างเสียงระเบิดปังๆ เป็นชุดบนแม่น้ำ อันระเบิดต่อเนื่องกันถึงร้อยครั้ง ตลอดทั่วสิบลี้ พลังฝ่ามือหยางพิสุทธิ์ปะทุออกมา และคลื่นก็ถูกซัดให้โถมสูงหลายสิบวา
ฝ่ามือของบรรพชนสามพลิก และไม่ทันที่น้ำในแม่น้ำจะร่วงลงมา มันก็พลันจับตัวแข็ง และแปรเปลี่ยนเป็นปฏิมากรรมน้ำแข็งอันสุกสกาว
“ลองดู” บรรพชนสามกล่าวแก่ฉินมู่ และก้าวถอยออกไป
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะสืบเท้าไปข้างหน้าโดยพลัน เมื่อเขาพลิกคว่ำมือเป็นหยาง เสียงระเบิดเป็นชุดๆ ก็ดังขึ้นมาบนแม่น้ำ แผ่ไปไกลตลอดสิบลี้ ถัดไป เมื่อเขาหงายฝ่ามือเป็นหยิน พลังฝ่ามือก็พวยพุ่งออกมา น้ำในแม่น้ำถูกแช่แข็งอยู่กลางอากาศ
บรรพชนสามเลิกคิ้วสูงแต่ไม่กล่าวอะไร
“เจ้าเด็กฉิน เรียนท่านี้จากข้า!” บรรพชนห้าเดินไปหาเขาและกล่าว “กระบวนท่านี้ของข้าเรียกว่าระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนี และมันเป็นการหลอมรวมวิชาอสุนีบาตเข้ากับเพลงหมัด!”
เขาต่อยออกไป ทันใดนั้น เสียงระฆังก็ดังกึกก้อง และอสุนีบาตก็ม้วนพันรอบๆ ร่างเขา ก่อขึ้นมาเป็นระฆังโปร่งแสงที่ดังเหง่งหง่างอยู่ในอากาศ
บรรพชนห้าเคลื่อนไหวไปอย่างคล่องแคล่ว หมัดและขาของเขาโจมตีตรงเป้าและรวบรัด การโจมตีของเขาเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าหมัดใดหรือลูกเตะใดก็สามารถทำให้ระฆังสั่นสะเทือน และระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีรอบกายเขาก็ขยายใหญ่เป็นบางครั้งและหดเล็กลงเป็นบางครา มันสั่นส่งเสียงอย่างต่อเนื่อง พลานุภาพของมันแผ่พุ่งออกมาบางครั้งก็เป็นเสียงเหง่ง บางทีก็เป็นเสียงหง่าง มันมีบรรยากาศอันเปี่ยมไปด้วยศิลปะและมนตร์เสน่ห์ในแบบหนึ่ง
เขาถ่ายทอดระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีให้ฉินมู่ผู้เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเองอย่างไม่ได้ศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพลันยกมือของเขาขึ้นสูง สายฟ้าเข้ามาห่อหุ้มเขาจากข้างบน และแต่ละหมัดแต่ละลูกเตะของเขาก็มีพลานุภาพอันยิ่งใหญ่และหนักหน่วงเกินจะหยั่ง เสียงเหง่งหง่างของระฆังดังกึกก้องไปมาอย่างไร้สิ้นสุด เมื่อระฆังยกสวรรค์ห้าอสนีสั่นสะเทือนอย่างไม่รู้จบ พลานุภาพที่ไหลผ่านกำปั้นและขาของเขาจู่โจมออกไปทั่วทิศทาง
“เหมือนไม่มีผิด!” บรรพชนห้าหรี่ตาและระบายลมหายใจขาดห้วง
“มาสิ เรียนกระบวนข้าจากข้าหน่อย!” กษัตริย์มนุษย์อี้ซานก้าวออกไปและกล่าว “ทักษะเทวะของข้าเข้าคู่กับวิชาฝึกปรือ เส้นทางโคจรปราณชีวิตที่แตกต่างออกไป สามารถแปรเปลี่ยนทักษะเทวดา ดังนั้นเมื่อมันแผ่พุ่งออกไป มันก็จะมีพลานุภาพอันน่าแตกตื่น กระบวนท่าของข้านี้เรียกว่า ถ้ำสรวงและทางช้างเผือกห้อยจากสวรรค์หยก!”
…
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฉินมู่ก็ได้เรียนทักษะเทวะไปหนึ่งหรือสองกระบวนท่าจากกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดสามสิบสี่คน เขาสามารถเรียนรู้มันสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น และขับเคลื่อนมันออกมาได้เหมือนของต้นฉบับ ในวรยุทธขั้นเดียวกันแล้ว พลานุภาพที่เขาเปล่งออกมาไม่แพ้ต้นฉบับเลยแม้แต่น้อย
บรรพชนสองมีสีหน้าเครียดขรึม เขามองไปที่บรรชพสาม บรรพชนสี่ และพวกเขาทั้งหลายก็ลอบพยักหน้าให้แก่กัน
“กษัตริย์มนุษย์ฉิน ไปเดินเล่นรอบๆ เมืองเถอะ” บรรพชนสองกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินจากซูน้อยว่าเจ้านั้นก็เป็นจ้าวลัทธิแห่งลัทธิมารฟ้าด้วยเช่นกัน ยากนักที่เจ้าจะมีโอกาสมาที่นี่ ดังนั้นทำไมเจ้าไม่ไปพบกับจ้าวลัทธิในอดีตของลัทธิมารฟ้าเสียหน่อยเล่า”
ฉินมู่ปีติยินดี “ข้าก็กะจะทำเช่นนั้น!”
บรรพชนสองเก็บระหว่างเป็นตายกลับไป แม่น้ำมหึมา สะพานสายยาว และเรือสำราญก็ไหลกลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขา และฉินมู่พลันแปรเปลี่ยนจากร่างกายอันมีเลือดและเนื้อกลายเป็นโครงกระดูกที่สวมใส่เสื้อผ้า เขาไต่ถามเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งอันพวกจ้าวลัทธิในอดีตของลัทธิมารฟ้าพักอาศัยอยู่ แล้วกล่าวขอตัวจากกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมด จากนั้นเขาถึงกลับไปที่เมืองและเดินจากไป
บรรพชนสองและอดีตกษัตริย์มนุษย์ที่เหลือทั้งหมดกลับไปยังโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง และมองไปยังกันและกันอย่างหนักอึ้ง ก่อนที่จะหลุบตาลงต่ำ
“มันมีกายมนุษย์ธรรมดาแบบนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เชื่อหรอก!” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังระบายลมหายใจขาดห้วง และส่ายหัว “ข้าไม่มีทางเชื่อ ต่อให้กระทืบข้าให้ตายก็ตาม!”
“ข้าก็ไม่เชื่อ” กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่เผยสีหน้าไม่เชื่อถือและกล่าว “พวกเราล้วนแต่ดื้อรั้นเหมือนกับลา และไม่ยินดีที่จะเรียนวิชาจากอาจารย์ของตน หมายแต่จะกรุยมรรคาเต๋าของตนเองไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมาก็คือ โถงกษัตริย์มนุษย์ของเราจึงไม่เคยมีสุดยอดวิชาที่สืบทอดต่อๆ กันไปอย่างที่เขาทำกัน เพราะใครๆ ต่างก็อย่างจะสร้างสรรค์ของตัวเองขึ้นมา! วิชาฝึกปรือที่แตกต่าง ทักษะเทวะที่แตกต่าง ดังนั้นหากว่ามีใครหมายจะเรียนวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพวกเรา นั้นมันจะแปลกเอาจริงๆ!”
“แต่เขาสามารถเรียนรู้พวกมันทั้งหมดได้ ซ้ำยังในเวลาไม่นานอีกด้วย ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเราอยู่บนแม่น้ำ เขาได้เรียนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราสอนเขา และสามารถใช้มันได้ตามใจปรารถนาราวกับว่าเขาฝึกวิชาเหล่านั้นอย่างพากเพียรมาเป็นร้อยปี”
บรรพชนสองถอนหายใจและกล่าว “ข้าสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นกายาจ้าวแดนดินจริงๆ ซูน้อยอาจจะบังเอิญระบุถูก เด็กน้อยที่เขาประเมินต่ำไปตั้งแต่ยังเล็ก กลับเป็นกายาจ้าวแดนดินเพียงหนึ่งเดียวในโลกหล้า”
ทุกคนล้วนแต่สงสัย และกษัตริย์มนุษย์ฉีคังก็กล่าว “ท่านคิดว่า ไอ้เด็กตัวเหม็นแซ่ซูเล่นตลกกับพวกเราหรือเปล่า เขาน่าจะรู้ว่าเด็กแซ่ฉินมันเป็นกายาจ้าวแดนดิน แต่จงใจพูดว่าเขาโกหกเขา ขณะที่อันที่จริงแล้ว เขากำลังโกหกพวกเราเพื่อทำให้พวกเราอับอาบขายหน้า”
“มีความเป็นไปได้นี้อยู่!” กษัตริย์มนุษย์อี้ซานตบเข่าฉาดและตะโกนออกมา “นั่นมันแนวเจ้าเลย ไอ้เด็กผี! เขาเป็นศิษย์ของเจ้า ดังนั้นเขาต้องเหมือนกับเจ้า โกหกผู้คนโดยไม่กะพริบตา!”
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานกำหมัดเสียงกรอบแกรบและยิ้มหยัน “ไอ้เด็กนี่มันไปตามหาบรรพชนแรก เมื่อเขากลับมา คอยดูสิว่าข้าจะสั่งสอนมันอย่างไร!”
“เป็นว่าพวกเราจะสั่งสอนมันอย่างไรต่างหาก!” ทุกคนยิ้มหยันพร้อมๆ กัน
ในตอนนั้นเอง ในอาณาเขตเร้นลับในส่วนลึกของแดนโบราณวินาศ มีแสงเลือนลางอยู่ในความมืด ผู้ใหญ่บ้านล่องลอยผ่านซากโบราณ มายังโลกอันมหัศจรรย์อีกแห่งหนึ่ง หลังจากเดินไปสักพัก เขาก็คลี่ยิ้มออกมา
ตรงหน้าของเขามีหมู่สิ่งก่อสร้างโบราณที่มีความสง่างามอันวิจิตและน่าสนใจของแดนอื่น อันยุคสมัยนี้ไม่มีอยู่
เขาค้นหาอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดก็พบกับบุคคลที่เขาตามหา
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลักศิลาจารึกข้างราชวัง กำลังอ่านข้อความที่จดจารอยู่บนนั้น
“บรรพชนแรกกำลังทำอะไรหรือ” ผู้ใหญ่บ้านถามด้วยความใคร่รู้
“นี่คือซากโบราณแห่งสุดท้ายของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เมื่อสภาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถูกทำลายล้าง ผู้รอดชีวิตที่หลงเหลือก็หนีตายมาที่นี่ และก่อตั้งแดนหลบภัยแห่งจักรพรรดิสูงส่งขึ้นมาใหม่ สถานที่นี้คล้ายคลึงกับหมู่บ้านไร้กังวลของพวกเขา แต่มันก็ถูกกวาดล้างไปในภายหลัง ข้ากำลังมองหาประวัติศาสตร์ของพวกเขา” บรรพชนแรกไม่หันกลับมามอง “บันทึกที่พวกเขาทิ้งไว้นั้นน้อยเกินไป แต่ข้าพบนี่”
ผู้ใหญ่บ้านอึ้งไปเล็กน้อย พลางมองไปยังแท่งจารึกหิน “บันทึกอะไรเอาไว้หรือ”
“ตำนานแห่งกายาจ้าวแดนดินจากเมื่อสี่หมื่นปีก่อน!”
………………..