ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 505 โจรเฒ่ากระจอก ต้านรับไม่ได้แม้แต่หวดเดียว

ตอนที่ 505 โจรเฒ่ากระจอก ต้านรับไม่ได้แม้แต่หวดเดียว

สีหน้าฉินมู่มืดดำ แต่แผล็บเดียวเขาก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีใบหน้าให้เปลี่ยนเป็นมืดคล้ำ

ประเพณีของลัทธิมารฟ้าดูจะแตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้ ไม่เพียงแต่ไม่มีโทษทัณฑ์สามมีดหกรูสำหรับการลอบสังหารจ้าวลัทธิแล้ว มันยังเป็น ‘คุณธรรม’ ตามประเพณีแบบหนึ่ง จ้าวลัทธิทั้งหลายถือเอาการลอบสังหารจ้าวลัทธิคนก่อนเพื่อชิงตำแหน่งเป็นพฤติการณ์เกียรติยศ!

“ข้าไม่เคยลอบสังหารใคร ข้าถูกปรมาจารย์นักบุญสวรรค์เลือกขึ้นมาเพื่อแต่งตั้งเป็นจ้าวลัทธิ” ฉินมู่กล่าวพลางข่มกลั้นอารมณ์

“อาจารย์! อาจารย์!” จ้าวลัทธิอวี้เหลียนโบกมือไปยังเด็กสาวผู้หนึ่ง “จ้าวลัทธิน้อยอยู่ที่นี่แล้ว และเขาบ้ามากๆ! เขาถึงกับไม่ได้ลอบสังหารจ้าวลัทธิคนก่อน แต่ย่างเท้าขึ้นไปเป็นจ้าวลัทธิเลย!”

เด็กสาวเดินออกมาจากวังของตนเองและมุ่งหน้ามายังพวกเขา นางกล่าวด้วยความแตกตื่น “มีเหตุการณ์แบบนี้ด้วยหรือ เจ้าไม่ได้ยั่วยวนอาจารย์ของตน ทำลายจิตเต๋าของเขา หรือทำให้เขาพ่ายแพ้เจ้าในการต่อสู้หรือ”

ฉินมู่ส่ายหัว “เปล่าเลย ปรมาจารย์นักบุญสวรรค์เป็นผู้ตัดสินใจและส่งต่อตำแหน่งมาให้ข้า”

“ทำลายประเพณีของลัทธินักบุญสวรรค์ข้า!” เด็กสาวนั้นทรงเสน่ห์ ด้วยต่างหูเงินคู่ใหญ่ระยิบระยับอยู่บนหูของนาง แต่สายตาของนางที่มองไปยังฉินมู่มีวี่แววของความเหยียดหยามอยู่เล็กน้อย พลางกล่าว “ต่อสู้ขับเคี่ยวกันด้วยมันสมองกับสองหมัดเป็นประเพณีอันดีงามของลัทธินักบุญสวรรค์พวกเรา และเจ้าถึงกับทอดทิ้งประเพณีนี้! น่าเบื่อจริงๆ! หากว่าเจ้าไม่ท้าทายอาจารย์ ชนรุ่นต่อไปจะแข็งแกร่งเท่ากับรุ่นก่อนได้อย่างไร ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้ามิได้รับมาด้วยวิธีการอันถูกต้อง!”

ฉินมู่อ้าปากค้างและไม่รู้จะพูดอะไร

เด็กสาวผู้นี้น่าจะมาจากตระกูลซี และตามลำดับของอดีตจ้าวลัทธิแล้ว นางน่าจะเป็นจ้าวลัทธิซีเหยียนเว่ย บรรพชนคนหนึ่งของตระกูลท่านยายซี

ตระกูลซีน้อยครั้งนักที่จะเป็นจ้าวลัทธิ แต่ก็ยังมีหนึ่งหรือสอง ซีเหยียนเว่ยเป็นหนึ่งในนั้น

“เดิมทีข้าเป็นธิดาเทพแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แต่แล้วข้าก็ทำให้จ้าวลัทธิฝูอวิ๋นตกหลุมรักข้าอย่างบ้าคลั่ง และบ่อนเซาะจิตเต๋าของเขา จ้าวลัทธิฝูอวิ๋นจึงถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อนและกล่าวว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะต้องแข็งแกรงกว่ามากในมือของข้า ดังนั้นเขาจึงถ่ายทอดปฏิภาณและพลังวัตรให้แก่ข้าทั้งหมด แต่เจ้ากลับพึ่งพาความช่วยเหลือของปรมาจารย์เพื่อได้ตำแหน่งจ้าวลัทธิมา ดังนั้นเจ้านับว่าขึ้นครองลัทธิโดยไม่ชอบด้วยกฎเกณฑ์!”

จ้าวลัทธิจู่หยางยิ้มหยัน “อาจารย์ย่า คนที่ถ่ายทอดตำแหน่งให้เขาก็คืออาจารย์อาเล็กของจ้า ตอนนี้ท่านคงรู้แล้วใช่ไหมว่าการจะถ่ายทอดตำแหน่งให้อาจารย์อาเล็กนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากแค่ไหน อาจารย์อาเล็กได้ทำลายประเพณีอันสืบทอดมาอย่างยาวนานของลัทธินักบุญสวรรค์พวกเราหลังจากที่เขาขึ้นเป็นปรมาจารย์นักบุญสวรรค์! จ้าวลัทธิน้อยผู้นี้มิได้กำจัด แม้แต่ทำให้จ้าวลัทธิคนก่อนบาดเจ็บก็ยังไม่ได้ทำ เขายังมีหน้ามาพบพวกเราอีก!”

ซีเหยียนเว่ยหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย “ข้ารู้สึกว่าเหวินเหยียนน้อยนั่้นค่อนข้างหล่อเหลาและจะต้องทำลายจิตเต๋าของข้า ช่วงชิงตำแหน่งจ้าวลัทธิไปจากข้า ดังนั้นข้าไม่คิดเลยว่าอาจารย์ของเจ้าจะเป็นผู้ลอบสังหารข้าแทน แต่ถึงอย่างไร เหวินเหยียนก็ได้ทำให้หัวใจข้าร้าวรานไปแล้วจากการทำเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรอกหรือ พวกเราสามารถเรียกเขามาสอบถาม…อาจารย์หูจุ้น ท่านเห็นเหวินเหยียนไหม”

ชายที่หล่อเหลาจนชวนลุ่มหลงเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งเห็นเขาเมื่อครู่ เขากำลังถูกโครงกระดูกมหึมาโครงหนึ่งรบกวนให้วุ่นวาย โดยบอกว่ามาจากโลกแห่งคนเป็น มันม้วนพันรอบตัวเขาและคร่ำครวญ ทำให้เขาก็ร่ำไห้โฮไปด้วยไม่น้อย เขาน่าจะไปหลบสั่งน้ำมูกของเขาที่ไหนสักแห่ง นี่คือ…”

“จ้าวลัทธิคนใหม่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา” ซีเหยียนเว่ยกล่าวอย่างไม่กระตือรือร้น “ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเขาได้มาอย่างไม่ถูกต้อง! มันไม่ได้มีการต่อสู้แย่งชิง แต่เป็นการส่งต่อ! น่าอับอายขายหน้าชะมัด!”

“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ น่ะหรือ” จ้าวลัทธิหูจุ้นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาและยิ้มหยัน “แน่ล่ะ แต่ละยุคสมัยนำอัจฉริยะมาสู่แดนอันสูงส่งนี้ แต่ว่าแต่ละรุ่นก็ถดถอยไปจากรุ่นก่อน! บุรุษในปัจจุบันเสื่อมถอยไปอย่างน่าเศร้า แม้แต่ตำแหน่งจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังไม่มีใครต่อสู้แย่งชิงมัน นี่เจ้าจะปกครองจักรวรรดิของตนเองได้มั่นอย่างนั้นหรือ”

ฉินมู่ยังคงอดทน “สหายจ้าวลัทธิทั้งหลาย ข้านั้นได้รับการสนับสนุนโดยหัวหน้าโถงทั้งสามร้อยหกสิบโถง รวมทั้งทูตซ้ายขวาและเทวราชทั้งสี่ นั่นล่ะข้าถึงขึ้นครองตำแหน่งจ้าวลัทธิ ให้พูดกันตามตรงแล้ว ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นในมือของข้า และเหนือล้ำกว่าอดีตไปหลายขุม…”

“คุยโว!” จ้าวลัทธิอีกจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา และชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งก็ยิ้มหยันเมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น “รุ่งเรืองยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น? ข้าได้ยินว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์เป็นผู้ถือกุมอำนาจนำในโลกแห่งคนเป็นในตอนนี้ มันได้ยึดครองทั่วโลกหล้า แล้วอย่างนี้เจ้าจะทำให้ลัทธิรุ่งเรืองยิ่งขึ้นได้อย่างไร หรือเจ้าจะทรยศลัทธิเพื่อแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ ปล่อยให้จักรพรรดิมาเป็นจ้าวลัทธิ”

ฉินมู่ข่มโทสะเอาไว้และแย้มยิ้มไป “นี่คือใคร”

ชายหน้าตาดีผู้นั้นคลี่พัดจีบของเขาและกล่าว “เจ้ายังไม่ได้ไปที่โถงเยว่กวงบนภูเขานักบุญเยือนของข้าอย่างนั้นหรือ ข้าคือจ้าวลัทธิเยว่กวง!”

ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าว “ข้าไม่เคยไปเคารพคารวะไม้ผุพังในโถงทั้งหลายมาก่อน บนภูเขานักบุญเยือน ข้าเพียงแต่เคารพคารวะคนตัดไม้ บรรพจารย์ก่อตั้ง และสามกษัตริย์เท่านั้น จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ในสายตาของข้าก็เป็นเพียงแมลงวันและแมลงหวี่ ไม่คู่ควรแก่ความเคารพของข้า”

“บังอาจ!”

จ้าวลัทธิอีกจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา และฉินมู่กวาดตามองดู ผู้คนทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นหนุ่มหล่อสาวสวย มันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจากโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์

ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนหน้าตาอย่างไร ทุกคนก็ล้วนเป็นกษัตริย์มนุษย์ได้ทั้งสิ้น ในเมื่อพวกเขาไม่สนใจรูปร่างหน้าตา ปล่อยให้เนื้อหนังสังขารของพวกเขาชราไปตามวัย พวกเขาน้อยนักที่จะรักษาความเยาว์เอาไว้

แต่จ้าวลัทธิทั้งหลายแห่งลัทธินักบุญสวรรค์แตกต่างออกไป คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมีเจ็ดนิพนธ์เสกสรร และการฝึกปรือพวกมันจะทำให้ผู้ฝึกสามารถรักษารูปโฉมโนมพรรณของตนเองได้ชั่วนิรันดร์ พวกมันถึงกับสามารถใช้ย้อนหน้าตากลับไปยังสมัยเมื่อหนุ่มแน่นได้อีกด้วย

ฉินมู่มองไปที่เหล่าจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มหญิงสาวที่รุ่มรวยด้วยรูปโฉม แม้แต่ปรมาจารย์เยาว์ก็ดูหนุ่มแน่น และให้ความใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตน

“จ้าวลัทธิน้อยก็คงจะไม่เคารพคารวะข้า เฟิงเชียนกู่ในโถงเชียนกู่เช่นกันใช่หรือไม?” จ้าวลัทธิเชียนกู่เดินออกมาและยิ้มหยัน “ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้าเพียงได้สืบทอดมา และมิได้ช่วงชิงด้วยกำลังของตนเอง ที่มาของเจ้านั้นไม่เหมาะสม แต่เจ้าก็ยังกล้าพูดว่าพวกเราคือแมลงวันแมลงหวี่อันไม่คู่ควรแก่การเคารพ แล้วเจ้ามีอะไรที่คู่ควรแก่การเคารพของพวกเรา”

“ใช่แล้ว เจ้าสืบทอดตำแหน่งมาอย่างผิดกฎเกณฑ์ แล้วเจ้ายังมีหน้ามาเยี่ยมเยือนพวกเราและเข้าพบบรรพชนได้อย่างไร”

“เจ้ายังไม่เคารพกฎเกณฑ์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์และไม่แสดงความเคารพต่อพวกเราเลยด้วยซ้ำ นี่เจ้าหลอกลวงอาจารย์และทำลายบรรพชนตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านี้เชียวหรือ”

“จ้าวลัทธิน้อย…”

นี่ดำเนินต่อไปพักใหญ่

“หุบปาก!” ฉินมู่ตะโกนด้วยความเดือดดาลเมื่อเขารับไม่ไหวอีกต่อไป

รอบข้างกลายเป็นเงียบกริบ

ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและม้วนแขนเสื้อขึ้น กล่าวประกาศด้วยเสียงกึกก้อง “เมื่อข้าสืบทอดตำแหน่ง สาวกทั้งหลายแทบจะพลัดพรายหายถิ่น และเต็มไปด้วยธุระปะปังที่ค้างคาอีกจำนวนมาก นี่คือความเละตุ้มเป๊ะที่จ้าวลัทธิคนก่อนหลี่เทียนซิงทิ้งเอาไว้ให้ข้า หลังจากข้าขึ้นครองตำแหน่ง ข้าก็ปฏิรูปรางวัลและทัณฑ์โทษ จับมือร่วมกันกับสันตินิรันดร์เพื่อขับไล่ลัทธิพุทธและสร้างความเสียหายย่อยยับแก่สำนักเต๋า ทำให้สองแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต้องยอมแพ้ศิโรราบ”

“ข้าเปลี่ยนกฎเกณฑ์ และกรุยมรรคา ขยายคำสั่งสอน ก่อตั้งโถงโรงเรียน ก่อตั้งสถาบันนักบุญสวรรค์ รวบรวมมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสำนักและลัทธิทั้งหมดมา เพื่อชำระชื่อเสียงด่างพร้อยของลัทธิข้า!”

“ข้าได้คิดค้นท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด และก่อตั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นหกทิศ”

“ผู้คนในลัทธิของข้าตอนนี้มีทั่วทุกหัวระแหง ตลอดทั่วหมื่นลี้จากตะวันออกไปตะวันตก สาวกขั้นสูงสุดคือราชครูสันตินิรันดร์ และขั้นต่ำสุดคือสามัญชนและไพร่ทาส ในทุกชนชั้นสังคม ล้วนแต่มีผู้คนของลัทธิข้า!”

“ด้วยวรยุทธของข้าเพียงขั้นเจ็ดดาว ข้าได้ประสบความสำเร็จระดับนี้!” เขามองไปรอบๆ ยังพวกจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ทั้งหลายและยิ้มหยัน “แล้วพวกเจ้าเล่า?”

“ภายใต้น้ำมือพวกเจ้า ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้ตกลงไปในมรรคามาร และถูกเรียกว่าลัทธิมารฟ้า ถูกทุกผู้คนด่าทอและขับไล่ไสส่ง!”

“มรรคาแห่งนักบุญมิใช่ใดอื่นนอกเสียจากการอำนวยประโยชน์ให้แก่กิจวัตรของสามัญชน แต่กระนั้นพวกเจ้ากลับนำมรรคานักบุญอันดีงามไร้ที่ตินี้ไปย่ำยี กระทำชำเราให้มันกลายเป็นมรรคาแห่งมารร้าย กลายไปเป็นลัทธิมาร นักบุญจะต้องสถาปนาคุณธรรม กุศล และความคิดของเขาในข้อเขียนนิพนธ์ แล้วพวกเจ้าได้ทำอะไรบ้าง”

“ข้าเคารพนับถือนักบุญคนตัดไม้เพราะการถ่ายทอดคัมภีร์ของเขาบนอาสนะหิน เพื่อส่งต่อวิชาให้แก่ทุกยุคสมัย”

“ข้าเคารพนับถือบรรพจารย์ก่อตั้งเพราะการขยับขยายปัญญาญาณของนักบุญโบราณ ก่อตั้งลัทธิ และสถาปนาความคิดของเขาเป็นข้อเขียนนิพนธ์”

“ข้านับถือจ้าวลัทธิทั้งสามแห่งโถงสามกษัตริย์ ผู้ซึ่งสียสละตนเองในห้วงเวลาคับขันเพื่อสืบทอดมรดกต่อไป”

“แต่พวกเจ้าเล่า?” ฉินมู่ยิ้มหยัน “กุศลใดที่พวกเจ้าได้สถาปนา คุณธรรมใด ความคิดใด มีแต่ตีความคำสอนผิด ฝึกปรือวิชามาร ทำให้ลัทธินักบุญสวรรค์ต้องแบกรับความอัปยศของลัทธิมาร! พวกเจ้ามีหน้าอะไรไปพบกับบรรพชน กุศลที่พวกเจ้าสถาปนาขึ้นมันใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของข้าหรือเปล่า พวกเจ้าคู่ควรกับคำว่าจ้าวลัทธิไหม คู่ควรกับคำว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ไหม ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบพวกเจ้า ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหลายมีแต่ธรรมดาสามัญ ไม่มีหน้าพอที่จะมาพบข้าด้วยซ้ำ!”

รอบข้างกลายเป็นเงียบงัน

จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์มีจำนวนมากมายกว่ากษัตริย์มนุษย์แห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ตายอย่างน่าอนาถดังนั้นวรยุทธของพวกเขาจึงไม่สูงพอที่จะเข้ามาในยมโลก ดังนั้นจำนวนของจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในยมโลกจึงมีไม่มากนัก

แม้กระนั้น ที่รอบๆ นี้มีจ้าวลัทธิรวมตัวกันอยู่เกือบสามสิบคน และพวกเขาคืออิทธิพลอำนาจใหญ่ในยมโลกอันน้อยคนนักจะกล้าท้าทาย

คำพูดเหยียดยาวของฉินมู่ได้เป่าจิตใจทุกคนกระเจิดกระเจิงไปหมด และสถานการณ์ก็กลายเป็นเย็นยะเยียบ

ทันใดนั้น เสียงของปรมาจารย์เยาว์ก็มาถึงพวกเขา “เกิดอะไรขึ้น ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว! ข้ามาสาย ข้ามาสาย!”

ฉินมู่มองไปและเห็นเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผากของปรมาจารย์เยาว์ เขานั้นเร่งรุดมากับโครงกระดูกมหึมาของกิเลนมังกรที่วิ่งตามเขามาติดๆ

ปรมาจารย์เยาว์รีบเข้ามาและเบียดฝ่าฝูงชน เหงื่อบนหน้าผากของเขายิ่งผุดมากขึ้นเมื่อเขาหัวเราะเบาๆ “จ้าวลัทธิทั้งหลาย ไฉนการพูดคุยสัพเพเหระถึงกลายเป็นการโต้เถียงกันไปได้ นี่คือจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์คนปัจจุบัน ผู้เปี่ยมพรสวรรค์เลิศล้ำโดดเด่นแห่งยุคสมัยที่ถือครองคำสั่งสอนบนก้อนหิน จ้าวลัทธิฉินมาที่นี่เพื่อตามหาข้า ดังนั้นพวกเราไปกันไป ไปๆ ไปนั่งคุยกันที่สถานที่ของข้า ศิษย์ลัทธิมารฟ้ามากมายได้เผาของเซ่นไหว้มาให้ข้า ของดีๆ ทั้งนั้น”

จ้าวลัทธิมารฟ้าที่ล้อมวงอยู่ไม่ขยับเขยื้อน

เหงื่อเย็นเฉียบร่วงลงจากหน้าผากของปรมาจารย์เยาว์ขณะที่เขากระตุกแขนเสื้อของฉินมู่ เขากัดฟันและกล่าว “คำพูดของเจ้าดุเดือดเกินไป ก้มหัวแล้วกล่าวขอโทษบรรพชนเร็วเข้า…”

“ขอโทษงั้นหรือ ไม่จำเป็นหรอก” จ้าวลัทธิจู่หยางหัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ร่างเล็กๆ ของจ้าวลัทธิฉินกลับสามารถระเบิดถ้อยคำอันน่าแตกตื่นเช่นนี้ออกมาได้ดังสนั่นขนาดว่าคนหูหนวกก็ยังต้องได้ยิน พวกเราล้วนแต่ตกตะลึง”

ปรมาจารย์เยาว์สีหน้าแปรเปลี่ยน จ้าวลัทธิจู่หยางดูท่าจะโกรธจัด ยิ่งเขายิ้มแช่มชื่นมากเท่าใด ก็ยิ่งแสดงว่าไฟโทสะของเขาร้อนแรงมากขึ้นเท่านั้น

ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “จ้าวลัทธิจู่หยางคงมีความนัยอะไรที่อยากจะเอ่ย ไฉนเขาจึงไม่พูดออกมาตามตรงเลยล่ะ”

ปรมาจารย์เยาว์กระสับกระส่ายเป็นที่สุด ขณะที่จ้าวลัทธิจู่หยางเพียงแค่ยิ้ม “จ้าวลัทธิแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ควรจะเก่งด้านฝีมือมิใช่แค่ฝีปาก ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้าได้มาโดยมิชอบ แต่ในเมื่อหลี่เทียนซิงตายไปแล้ว ทำไมพวกเราผู้เฒ่ากระดูกผุทั้งหลายถึงไม่มาเป็นตัวแทนเขาเพื่อทดสอบเจ้าดูล่ะ มาลองดูว่าเจ้าจะมีศักดิ์และสิทธิ์พอที่จะเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์หรือไม่!”

ปรมาจารย์เยาว์รีบกระตุกชายเสื้อฉินมู่เพื่อส่งสัญญาณให้เขาปฏิเสธ

“สู้กันในวรยุทธขั้นเดียวกันหรือ อันที่จริงแล้ว ข้าเพิ่งต่อยตีทุกๆ คนในโถงกษัตริย์มนุษย์จนน่วมมาเมื่อครู่” ฉินมู่ผลักมือเขาออกอย่างแผ่วเบาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์เป็นตัวตนระดับสุดยอด และการต่อสู้กับพวกเขานั้นก็เหน็ดเหนื่อย แต่สำหรับสหายอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลาย หากว่าพวกเราจะสู้กันในขั้นวรยุทธเดียวกัน…” เสียงของเขากลายเป็นไร้อารมณ์ “ก็ลุยเข้ามาพร้อมกันให้หมด”

เหงื่อไหลพรากๆ จากหน้าผากของปรมาจารย์เยาว์ราวห่าฝน

สีหน้าของอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว และจ้าวลัทธิอวี้เหลียนก็หัวเราะในคอ “จ้าวลัทธิฉินนี่ช่างกระตือรือร้น แต่จะให้พวกเราทั้งหมดดาหน้าออกไปพร้อมกัน เจ้าไม่ยโสโอหังเกินไปหน่อยหรือ อย่างเช่น ให้ข้าลองทดสอบวิธีการของจ้าวลัทธิฉินก่อนเสียหน่อย”

ฉินมู่สายหัว “เขตขั้นของเจ้าไม่สูงส่งพอ หนึ่งขั้นนั้นเท่ากับหนึ่งชั้นสวรรค์ หนึ่งกรอบคิดเท่ากับหนึ่งด่านภูเขา ข้ายืนอยู่เหนือด่านภูเขาขณะที่มองไปยังพวกเจ้าทั้งหมด เห็นทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างชัด ข้าบอกให้พวกเจ้าลุยเข้ามาพร้อมกันทั้งหมด นั่นก็เพราะเคารพคนแก่เฒ่า หากจ้าวลัทธิอวี้เหลียนคิดจะสู้กับข้าเพียงลำพัง เจ้าไม่ประเมินตัวเองสูงไปหน่อยหรือ”

ปรมาจารย์เยาว์หายใจเฮือก และสูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะกล่าวอย่างเคร่งขรึมสำรวม “จ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พวกท่านจะต้องกระทำตามที่พวกท่านออกปากเอาไว้ ทุกท่านโปรดปิดผนึกสมบัติเทวะชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะ ส่วนว่าพวกท่านจะสู้คนเดียวหรือสู้พร้อมกันทั้งหมด นั่นก็แล้วแต่ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเชิญพวกท่านตามสบาย”

จ้าวลัทธิอวี้เหลียนเป็นคนแรกที่ปิดผนึกสามมหาสมบัติเทวะของเขา และสืบเท้าออกไปข้างหน้า ด้วยเสียงตะโกน วิชามารของเขาแผ่พุ่งออกไป คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตของเขาดำเนินไปตามมรรคามาร และเขานั้นนับว่าเป็นปรมาจารย์แห่งเต๋ามาร เขาได้ตรึกตรองเข้าใจมรรคา วิชา และทักษะเทวะในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจนถึงสุดขีดขั้วแห่งเต๋ามาร ก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็มีเงาภูตผีพร่าพราย!

คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเป็นเพียงแค่นิพนธ์อันไม่ครบสมบูรณ์ เพียงส่วนหนึ่งของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของข้า แต่กระนั้นมันก็ถูกเจ้าขัดเกลาจนกลายเป็นเต๋ามาร

ฉินมู่หรี่ตาและฟาดฝ่ามือออกไป เขานั้นรวดเร็วราวสายฟ้าเมื่อโจมตีใส่เงาภูตเหล่านั้น “พลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา!”

ตูม!

จ้าวลัทธิอวี้เหลียนกระเด็นกลับไป และสร้างรูรูปมนุษย์ที่ผนังโถงจู่หยาง จากนั้นก็มีเสียงครืนครันดังมาจากในโถงอย่างต่อเนื่อง จ้าวลัทธิอวี้เหลียนถูกซัดทะลุกำแพงมากกว่าสิบกำแพง ในท้ายที่สุด ก้อนเมฆรูปดอกเห็ดก็ปรากฏที่ระยะห่างออกไปสิบลี้ มันยากที่จะบอกได้ว่าเขาไปชนกับอะไรตั้งเท่าไรกว่าจะหยุดกระเด็น

ทุกคนยังไม่ทันจะตื่นจากภวังค์ ฉินมู่ก็ขยับและเคลื่อนมาข้างหลังจ้าวลัทธิจู่หยาง ปฏิกิริยาตอบสนองของชายผู้นี้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง และเขากระโจนไปข้างหน้า แปรเปลี่ยนเป็นเงาหนึ่งที่แปะติดลงไปกับพื้น

ฉินมู่กระทืบพื้น และผืนดินก็ปริแยกออก สร้างร่องลึกใหญ่ ร่างแท้จริงของจ้าวลัทธิจู่หยางถูกเขย่ากระเด็นออกมาจากร่างเงา และมีดหนึ่งก็ฟันลงไปตรงหน้าเขา เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด และกายเต่าดำก็ปรากฏ โล่ใหญ่ถูกผ่าออกเป็นสองเสี่ยงเมื่อเผชิญกับมีด และเขาถูกเป่ากระเด็นไปพร้อมกับโล่หักครึ่ง

ฉินมู่พุ่งเข้าไปในกลุ่มของอดีตจ้าวลัทธิและเคลื่อนไหวไปมารอบๆ ราวกับเงาภูตพราย ทุกคนแตกตื่น แต่พวกเขาไม่เสียเวลาอื่น และรีบลงมือโจมตีตอบโต้โดยอาศัยสัมผัสการจู่โจมของเขา

ปัง ปัง ปัง เสียงระเบิดเป็นชุดดังออกมาเมื่อทักษะเทวะของจ้าวลัทธิเยว่กวงโจมตีโดนร่างของเฟิงเชียนกู่ และกระบี่มารของเฟิงเชียนกู่ก็แทงเข้าไปในหน้าอกของซีเหยียนเว่ย ในเสี้ยววินาที ทุกคนโกลาหลไปหมด

ปรมาจารย์เยาว์รีบถอยออกไปเพื่อมิให้โดนลูกหลง เขาจึงพลันเห็นพื้นดินปริร้าวและแตกทำลาย ทั้งโถงจู่หยางหักพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายใต้การโจมตีของทักษะเทวะมากมาย และชิ้นส่วนโถงวังแตกหักก็ปลิวว่อนเต็มฟ้า ทุกคนกระโดดไปมาตามเศษซากอาคาร บางครั้งพวกเขาก็กระโดดขึ้น บางครั้งก็กระโดดลง บางทีพวกเขาก็กลายเป็นเงาของบางต้นเสา และบางทีพวกเขาก็แปลงร่างเป็นสัตว์ปีกไม่ก็สัตว์กระโดด!

“ที่เจ้าใช้คือกระบี่เต๋าของสำนักเต๋า คนทรยศ!” อดีตจ้าวลัทธิคนหนึ่งคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเขาเสียท่าให้กับกระบี่นับร้อย จากนั้นเขาก็ร่วงหัวปักพื้น

“ไอ้เด็กวายร้าย นี่มันวิชาของวัดใหญ่ฟ้าคำราม!”

“นี่มันทักษะเทวะของนครหยกน้อย!”

“เพลงกระบี่นี่มันอะไร”

ปัง ปัง ปัง!

ร่างผู้คนมากมายร่วงลงมา ขณะที่ชิ้นส่วนโถงวังลอยขึ้นไปสูงขึ้นและสูงขึ้น บนกระเบื้องและขื่อสีชาด ฉินมู่และจ้าวลัทธิหูจุ่นพุ่งเฉียดร่างกันและกัน ฉินมู่ใช้เคล็ดลับคำผนึกเพื่อปิดผนึกประสาทสัมผัสทั้งห้าของศัตรู จากนั้นเขาก็หันกลับไปและใช้มือหยินหยางพลิกสวรรค์ ด้วยการยกขึ้นและวาดลงของฝ่ามือเขา เขาก็ทำให้จ้าวลัทธิหูจุ่นร่วงลงไปพร้อมกระอักเลือด

หลังคากระเบื้องเคลือบสีของโถงใหญ่แตกแยกออกจากกันเมื่อจ้าวลัทธิเอี้ยนจีขึ้นมา แต่สิ่งที่ต้อนรับเขาคือทักษะเทวะมหึมาจากฉินมู่ ถ้ำสรวงและทางช้างเผือกห้อยจากสวรรค์หยก!

ดวงดารานับหมื่นนำเอาพลังฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัวลงมาจากฟากฟ้า ทำลายล้างทักษะเทวะของจ้าวลัทธิเอี้ยนจีราวกับว่ามันคือไม้ผุ ฝ่ามือของฉินมู่ฟาดเขาร่วงลงไปอย่างอำมหิตด้วยทางช้างเผือก

ตูม!

ในอากาศ ผนังแตกกำแพงพังทั้งหลายร่วงลงมา และพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่ว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าทั้งหลายร่วงไปที่ใด ตรงนั้นก็จะมีรอยฝ่ามืออันกว้างใหญ่เป็นไร่ๆ

“โจรเฒ่ากระจอก ต้านรับไม่ได้แม้แต่หวดเดียว” ฉินมู่ลงเหยียบกับพื้นดินและปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของเขา เขามองไปที่ปรมาจารย์เยาว์ที่อ้าปากค้างตาถลน และแย้มยิ้ม “ปรมาจารย์ พวกเราไปหาที่สนทนากันเถอะ”

………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท