สีหน้าฉินมู่มืดดำ แต่แผล็บเดียวเขาก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีใบหน้าให้เปลี่ยนเป็นมืดคล้ำ
ประเพณีของลัทธิมารฟ้าดูจะแตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้ ไม่เพียงแต่ไม่มีโทษทัณฑ์สามมีดหกรูสำหรับการลอบสังหารจ้าวลัทธิแล้ว มันยังเป็น ‘คุณธรรม’ ตามประเพณีแบบหนึ่ง จ้าวลัทธิทั้งหลายถือเอาการลอบสังหารจ้าวลัทธิคนก่อนเพื่อชิงตำแหน่งเป็นพฤติการณ์เกียรติยศ!
“ข้าไม่เคยลอบสังหารใคร ข้าถูกปรมาจารย์นักบุญสวรรค์เลือกขึ้นมาเพื่อแต่งตั้งเป็นจ้าวลัทธิ” ฉินมู่กล่าวพลางข่มกลั้นอารมณ์
“อาจารย์! อาจารย์!” จ้าวลัทธิอวี้เหลียนโบกมือไปยังเด็กสาวผู้หนึ่ง “จ้าวลัทธิน้อยอยู่ที่นี่แล้ว และเขาบ้ามากๆ! เขาถึงกับไม่ได้ลอบสังหารจ้าวลัทธิคนก่อน แต่ย่างเท้าขึ้นไปเป็นจ้าวลัทธิเลย!”
เด็กสาวเดินออกมาจากวังของตนเองและมุ่งหน้ามายังพวกเขา นางกล่าวด้วยความแตกตื่น “มีเหตุการณ์แบบนี้ด้วยหรือ เจ้าไม่ได้ยั่วยวนอาจารย์ของตน ทำลายจิตเต๋าของเขา หรือทำให้เขาพ่ายแพ้เจ้าในการต่อสู้หรือ”
ฉินมู่ส่ายหัว “เปล่าเลย ปรมาจารย์นักบุญสวรรค์เป็นผู้ตัดสินใจและส่งต่อตำแหน่งมาให้ข้า”
“ทำลายประเพณีของลัทธินักบุญสวรรค์ข้า!” เด็กสาวนั้นทรงเสน่ห์ ด้วยต่างหูเงินคู่ใหญ่ระยิบระยับอยู่บนหูของนาง แต่สายตาของนางที่มองไปยังฉินมู่มีวี่แววของความเหยียดหยามอยู่เล็กน้อย พลางกล่าว “ต่อสู้ขับเคี่ยวกันด้วยมันสมองกับสองหมัดเป็นประเพณีอันดีงามของลัทธินักบุญสวรรค์พวกเรา และเจ้าถึงกับทอดทิ้งประเพณีนี้! น่าเบื่อจริงๆ! หากว่าเจ้าไม่ท้าทายอาจารย์ ชนรุ่นต่อไปจะแข็งแกร่งเท่ากับรุ่นก่อนได้อย่างไร ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้ามิได้รับมาด้วยวิธีการอันถูกต้อง!”
ฉินมู่อ้าปากค้างและไม่รู้จะพูดอะไร
เด็กสาวผู้นี้น่าจะมาจากตระกูลซี และตามลำดับของอดีตจ้าวลัทธิแล้ว นางน่าจะเป็นจ้าวลัทธิซีเหยียนเว่ย บรรพชนคนหนึ่งของตระกูลท่านยายซี
ตระกูลซีน้อยครั้งนักที่จะเป็นจ้าวลัทธิ แต่ก็ยังมีหนึ่งหรือสอง ซีเหยียนเว่ยเป็นหนึ่งในนั้น
“เดิมทีข้าเป็นธิดาเทพแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แต่แล้วข้าก็ทำให้จ้าวลัทธิฝูอวิ๋นตกหลุมรักข้าอย่างบ้าคลั่ง และบ่อนเซาะจิตเต๋าของเขา จ้าวลัทธิฝูอวิ๋นจึงถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อนและกล่าวว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะต้องแข็งแกรงกว่ามากในมือของข้า ดังนั้นเขาจึงถ่ายทอดปฏิภาณและพลังวัตรให้แก่ข้าทั้งหมด แต่เจ้ากลับพึ่งพาความช่วยเหลือของปรมาจารย์เพื่อได้ตำแหน่งจ้าวลัทธิมา ดังนั้นเจ้านับว่าขึ้นครองลัทธิโดยไม่ชอบด้วยกฎเกณฑ์!”
จ้าวลัทธิจู่หยางยิ้มหยัน “อาจารย์ย่า คนที่ถ่ายทอดตำแหน่งให้เขาก็คืออาจารย์อาเล็กของจ้า ตอนนี้ท่านคงรู้แล้วใช่ไหมว่าการจะถ่ายทอดตำแหน่งให้อาจารย์อาเล็กนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากแค่ไหน อาจารย์อาเล็กได้ทำลายประเพณีอันสืบทอดมาอย่างยาวนานของลัทธินักบุญสวรรค์พวกเราหลังจากที่เขาขึ้นเป็นปรมาจารย์นักบุญสวรรค์! จ้าวลัทธิน้อยผู้นี้มิได้กำจัด แม้แต่ทำให้จ้าวลัทธิคนก่อนบาดเจ็บก็ยังไม่ได้ทำ เขายังมีหน้ามาพบพวกเราอีก!”
ซีเหยียนเว่ยหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย “ข้ารู้สึกว่าเหวินเหยียนน้อยนั่้นค่อนข้างหล่อเหลาและจะต้องทำลายจิตเต๋าของข้า ช่วงชิงตำแหน่งจ้าวลัทธิไปจากข้า ดังนั้นข้าไม่คิดเลยว่าอาจารย์ของเจ้าจะเป็นผู้ลอบสังหารข้าแทน แต่ถึงอย่างไร เหวินเหยียนก็ได้ทำให้หัวใจข้าร้าวรานไปแล้วจากการทำเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรอกหรือ พวกเราสามารถเรียกเขามาสอบถาม…อาจารย์หูจุ้น ท่านเห็นเหวินเหยียนไหม”
ชายที่หล่อเหลาจนชวนลุ่มหลงเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งเห็นเขาเมื่อครู่ เขากำลังถูกโครงกระดูกมหึมาโครงหนึ่งรบกวนให้วุ่นวาย โดยบอกว่ามาจากโลกแห่งคนเป็น มันม้วนพันรอบตัวเขาและคร่ำครวญ ทำให้เขาก็ร่ำไห้โฮไปด้วยไม่น้อย เขาน่าจะไปหลบสั่งน้ำมูกของเขาที่ไหนสักแห่ง นี่คือ…”
“จ้าวลัทธิคนใหม่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา” ซีเหยียนเว่ยกล่าวอย่างไม่กระตือรือร้น “ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเขาได้มาอย่างไม่ถูกต้อง! มันไม่ได้มีการต่อสู้แย่งชิง แต่เป็นการส่งต่อ! น่าอับอายขายหน้าชะมัด!”
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ น่ะหรือ” จ้าวลัทธิหูจุ้นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาและยิ้มหยัน “แน่ล่ะ แต่ละยุคสมัยนำอัจฉริยะมาสู่แดนอันสูงส่งนี้ แต่ว่าแต่ละรุ่นก็ถดถอยไปจากรุ่นก่อน! บุรุษในปัจจุบันเสื่อมถอยไปอย่างน่าเศร้า แม้แต่ตำแหน่งจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังไม่มีใครต่อสู้แย่งชิงมัน นี่เจ้าจะปกครองจักรวรรดิของตนเองได้มั่นอย่างนั้นหรือ”
ฉินมู่ยังคงอดทน “สหายจ้าวลัทธิทั้งหลาย ข้านั้นได้รับการสนับสนุนโดยหัวหน้าโถงทั้งสามร้อยหกสิบโถง รวมทั้งทูตซ้ายขวาและเทวราชทั้งสี่ นั่นล่ะข้าถึงขึ้นครองตำแหน่งจ้าวลัทธิ ให้พูดกันตามตรงแล้ว ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นในมือของข้า และเหนือล้ำกว่าอดีตไปหลายขุม…”
“คุยโว!” จ้าวลัทธิอีกจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา และชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งก็ยิ้มหยันเมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น “รุ่งเรืองยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น? ข้าได้ยินว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์เป็นผู้ถือกุมอำนาจนำในโลกแห่งคนเป็นในตอนนี้ มันได้ยึดครองทั่วโลกหล้า แล้วอย่างนี้เจ้าจะทำให้ลัทธิรุ่งเรืองยิ่งขึ้นได้อย่างไร หรือเจ้าจะทรยศลัทธิเพื่อแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ ปล่อยให้จักรพรรดิมาเป็นจ้าวลัทธิ”
ฉินมู่ข่มโทสะเอาไว้และแย้มยิ้มไป “นี่คือใคร”
ชายหน้าตาดีผู้นั้นคลี่พัดจีบของเขาและกล่าว “เจ้ายังไม่ได้ไปที่โถงเยว่กวงบนภูเขานักบุญเยือนของข้าอย่างนั้นหรือ ข้าคือจ้าวลัทธิเยว่กวง!”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าว “ข้าไม่เคยไปเคารพคารวะไม้ผุพังในโถงทั้งหลายมาก่อน บนภูเขานักบุญเยือน ข้าเพียงแต่เคารพคารวะคนตัดไม้ บรรพจารย์ก่อตั้ง และสามกษัตริย์เท่านั้น จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ในสายตาของข้าก็เป็นเพียงแมลงวันและแมลงหวี่ ไม่คู่ควรแก่ความเคารพของข้า”
“บังอาจ!”
จ้าวลัทธิอีกจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา และฉินมู่กวาดตามองดู ผู้คนทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นหนุ่มหล่อสาวสวย มันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจากโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนหน้าตาอย่างไร ทุกคนก็ล้วนเป็นกษัตริย์มนุษย์ได้ทั้งสิ้น ในเมื่อพวกเขาไม่สนใจรูปร่างหน้าตา ปล่อยให้เนื้อหนังสังขารของพวกเขาชราไปตามวัย พวกเขาน้อยนักที่จะรักษาความเยาว์เอาไว้
แต่จ้าวลัทธิทั้งหลายแห่งลัทธินักบุญสวรรค์แตกต่างออกไป คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมีเจ็ดนิพนธ์เสกสรร และการฝึกปรือพวกมันจะทำให้ผู้ฝึกสามารถรักษารูปโฉมโนมพรรณของตนเองได้ชั่วนิรันดร์ พวกมันถึงกับสามารถใช้ย้อนหน้าตากลับไปยังสมัยเมื่อหนุ่มแน่นได้อีกด้วย
ฉินมู่มองไปที่เหล่าจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มหญิงสาวที่รุ่มรวยด้วยรูปโฉม แม้แต่ปรมาจารย์เยาว์ก็ดูหนุ่มแน่น และให้ความใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตน
“จ้าวลัทธิน้อยก็คงจะไม่เคารพคารวะข้า เฟิงเชียนกู่ในโถงเชียนกู่เช่นกันใช่หรือไม?” จ้าวลัทธิเชียนกู่เดินออกมาและยิ้มหยัน “ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้าเพียงได้สืบทอดมา และมิได้ช่วงชิงด้วยกำลังของตนเอง ที่มาของเจ้านั้นไม่เหมาะสม แต่เจ้าก็ยังกล้าพูดว่าพวกเราคือแมลงวันแมลงหวี่อันไม่คู่ควรแก่การเคารพ แล้วเจ้ามีอะไรที่คู่ควรแก่การเคารพของพวกเรา”
“ใช่แล้ว เจ้าสืบทอดตำแหน่งมาอย่างผิดกฎเกณฑ์ แล้วเจ้ายังมีหน้ามาเยี่ยมเยือนพวกเราและเข้าพบบรรพชนได้อย่างไร”
“เจ้ายังไม่เคารพกฎเกณฑ์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์และไม่แสดงความเคารพต่อพวกเราเลยด้วยซ้ำ นี่เจ้าหลอกลวงอาจารย์และทำลายบรรพชนตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านี้เชียวหรือ”
“จ้าวลัทธิน้อย…”
นี่ดำเนินต่อไปพักใหญ่
“หุบปาก!” ฉินมู่ตะโกนด้วยความเดือดดาลเมื่อเขารับไม่ไหวอีกต่อไป
รอบข้างกลายเป็นเงียบกริบ
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและม้วนแขนเสื้อขึ้น กล่าวประกาศด้วยเสียงกึกก้อง “เมื่อข้าสืบทอดตำแหน่ง สาวกทั้งหลายแทบจะพลัดพรายหายถิ่น และเต็มไปด้วยธุระปะปังที่ค้างคาอีกจำนวนมาก นี่คือความเละตุ้มเป๊ะที่จ้าวลัทธิคนก่อนหลี่เทียนซิงทิ้งเอาไว้ให้ข้า หลังจากข้าขึ้นครองตำแหน่ง ข้าก็ปฏิรูปรางวัลและทัณฑ์โทษ จับมือร่วมกันกับสันตินิรันดร์เพื่อขับไล่ลัทธิพุทธและสร้างความเสียหายย่อยยับแก่สำนักเต๋า ทำให้สองแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต้องยอมแพ้ศิโรราบ”
“ข้าเปลี่ยนกฎเกณฑ์ และกรุยมรรคา ขยายคำสั่งสอน ก่อตั้งโถงโรงเรียน ก่อตั้งสถาบันนักบุญสวรรค์ รวบรวมมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสำนักและลัทธิทั้งหมดมา เพื่อชำระชื่อเสียงด่างพร้อยของลัทธิข้า!”
“ข้าได้คิดค้นท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด และก่อตั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นหกทิศ”
“ผู้คนในลัทธิของข้าตอนนี้มีทั่วทุกหัวระแหง ตลอดทั่วหมื่นลี้จากตะวันออกไปตะวันตก สาวกขั้นสูงสุดคือราชครูสันตินิรันดร์ และขั้นต่ำสุดคือสามัญชนและไพร่ทาส ในทุกชนชั้นสังคม ล้วนแต่มีผู้คนของลัทธิข้า!”
“ด้วยวรยุทธของข้าเพียงขั้นเจ็ดดาว ข้าได้ประสบความสำเร็จระดับนี้!” เขามองไปรอบๆ ยังพวกจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ทั้งหลายและยิ้มหยัน “แล้วพวกเจ้าเล่า?”
“ภายใต้น้ำมือพวกเจ้า ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้ตกลงไปในมรรคามาร และถูกเรียกว่าลัทธิมารฟ้า ถูกทุกผู้คนด่าทอและขับไล่ไสส่ง!”
“มรรคาแห่งนักบุญมิใช่ใดอื่นนอกเสียจากการอำนวยประโยชน์ให้แก่กิจวัตรของสามัญชน แต่กระนั้นพวกเจ้ากลับนำมรรคานักบุญอันดีงามไร้ที่ตินี้ไปย่ำยี กระทำชำเราให้มันกลายเป็นมรรคาแห่งมารร้าย กลายไปเป็นลัทธิมาร นักบุญจะต้องสถาปนาคุณธรรม กุศล และความคิดของเขาในข้อเขียนนิพนธ์ แล้วพวกเจ้าได้ทำอะไรบ้าง”
“ข้าเคารพนับถือนักบุญคนตัดไม้เพราะการถ่ายทอดคัมภีร์ของเขาบนอาสนะหิน เพื่อส่งต่อวิชาให้แก่ทุกยุคสมัย”
“ข้าเคารพนับถือบรรพจารย์ก่อตั้งเพราะการขยับขยายปัญญาญาณของนักบุญโบราณ ก่อตั้งลัทธิ และสถาปนาความคิดของเขาเป็นข้อเขียนนิพนธ์”
“ข้านับถือจ้าวลัทธิทั้งสามแห่งโถงสามกษัตริย์ ผู้ซึ่งสียสละตนเองในห้วงเวลาคับขันเพื่อสืบทอดมรดกต่อไป”
“แต่พวกเจ้าเล่า?” ฉินมู่ยิ้มหยัน “กุศลใดที่พวกเจ้าได้สถาปนา คุณธรรมใด ความคิดใด มีแต่ตีความคำสอนผิด ฝึกปรือวิชามาร ทำให้ลัทธินักบุญสวรรค์ต้องแบกรับความอัปยศของลัทธิมาร! พวกเจ้ามีหน้าอะไรไปพบกับบรรพชน กุศลที่พวกเจ้าสถาปนาขึ้นมันใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของข้าหรือเปล่า พวกเจ้าคู่ควรกับคำว่าจ้าวลัทธิไหม คู่ควรกับคำว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ไหม ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบพวกเจ้า ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหลายมีแต่ธรรมดาสามัญ ไม่มีหน้าพอที่จะมาพบข้าด้วยซ้ำ!”
รอบข้างกลายเป็นเงียบงัน
จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์มีจำนวนมากมายกว่ากษัตริย์มนุษย์แห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ตายอย่างน่าอนาถดังนั้นวรยุทธของพวกเขาจึงไม่สูงพอที่จะเข้ามาในยมโลก ดังนั้นจำนวนของจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในยมโลกจึงมีไม่มากนัก
แม้กระนั้น ที่รอบๆ นี้มีจ้าวลัทธิรวมตัวกันอยู่เกือบสามสิบคน และพวกเขาคืออิทธิพลอำนาจใหญ่ในยมโลกอันน้อยคนนักจะกล้าท้าทาย
คำพูดเหยียดยาวของฉินมู่ได้เป่าจิตใจทุกคนกระเจิดกระเจิงไปหมด และสถานการณ์ก็กลายเป็นเย็นยะเยียบ
ทันใดนั้น เสียงของปรมาจารย์เยาว์ก็มาถึงพวกเขา “เกิดอะไรขึ้น ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว! ข้ามาสาย ข้ามาสาย!”
ฉินมู่มองไปและเห็นเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผากของปรมาจารย์เยาว์ เขานั้นเร่งรุดมากับโครงกระดูกมหึมาของกิเลนมังกรที่วิ่งตามเขามาติดๆ
ปรมาจารย์เยาว์รีบเข้ามาและเบียดฝ่าฝูงชน เหงื่อบนหน้าผากของเขายิ่งผุดมากขึ้นเมื่อเขาหัวเราะเบาๆ “จ้าวลัทธิทั้งหลาย ไฉนการพูดคุยสัพเพเหระถึงกลายเป็นการโต้เถียงกันไปได้ นี่คือจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์คนปัจจุบัน ผู้เปี่ยมพรสวรรค์เลิศล้ำโดดเด่นแห่งยุคสมัยที่ถือครองคำสั่งสอนบนก้อนหิน จ้าวลัทธิฉินมาที่นี่เพื่อตามหาข้า ดังนั้นพวกเราไปกันไป ไปๆ ไปนั่งคุยกันที่สถานที่ของข้า ศิษย์ลัทธิมารฟ้ามากมายได้เผาของเซ่นไหว้มาให้ข้า ของดีๆ ทั้งนั้น”
จ้าวลัทธิมารฟ้าที่ล้อมวงอยู่ไม่ขยับเขยื้อน
เหงื่อเย็นเฉียบร่วงลงจากหน้าผากของปรมาจารย์เยาว์ขณะที่เขากระตุกแขนเสื้อของฉินมู่ เขากัดฟันและกล่าว “คำพูดของเจ้าดุเดือดเกินไป ก้มหัวแล้วกล่าวขอโทษบรรพชนเร็วเข้า…”
“ขอโทษงั้นหรือ ไม่จำเป็นหรอก” จ้าวลัทธิจู่หยางหัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ร่างเล็กๆ ของจ้าวลัทธิฉินกลับสามารถระเบิดถ้อยคำอันน่าแตกตื่นเช่นนี้ออกมาได้ดังสนั่นขนาดว่าคนหูหนวกก็ยังต้องได้ยิน พวกเราล้วนแต่ตกตะลึง”
ปรมาจารย์เยาว์สีหน้าแปรเปลี่ยน จ้าวลัทธิจู่หยางดูท่าจะโกรธจัด ยิ่งเขายิ้มแช่มชื่นมากเท่าใด ก็ยิ่งแสดงว่าไฟโทสะของเขาร้อนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “จ้าวลัทธิจู่หยางคงมีความนัยอะไรที่อยากจะเอ่ย ไฉนเขาจึงไม่พูดออกมาตามตรงเลยล่ะ”
ปรมาจารย์เยาว์กระสับกระส่ายเป็นที่สุด ขณะที่จ้าวลัทธิจู่หยางเพียงแค่ยิ้ม “จ้าวลัทธิแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ควรจะเก่งด้านฝีมือมิใช่แค่ฝีปาก ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้าได้มาโดยมิชอบ แต่ในเมื่อหลี่เทียนซิงตายไปแล้ว ทำไมพวกเราผู้เฒ่ากระดูกผุทั้งหลายถึงไม่มาเป็นตัวแทนเขาเพื่อทดสอบเจ้าดูล่ะ มาลองดูว่าเจ้าจะมีศักดิ์และสิทธิ์พอที่จะเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์หรือไม่!”
ปรมาจารย์เยาว์รีบกระตุกชายเสื้อฉินมู่เพื่อส่งสัญญาณให้เขาปฏิเสธ
“สู้กันในวรยุทธขั้นเดียวกันหรือ อันที่จริงแล้ว ข้าเพิ่งต่อยตีทุกๆ คนในโถงกษัตริย์มนุษย์จนน่วมมาเมื่อครู่” ฉินมู่ผลักมือเขาออกอย่างแผ่วเบาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์เป็นตัวตนระดับสุดยอด และการต่อสู้กับพวกเขานั้นก็เหน็ดเหนื่อย แต่สำหรับสหายอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลาย หากว่าพวกเราจะสู้กันในขั้นวรยุทธเดียวกัน…” เสียงของเขากลายเป็นไร้อารมณ์ “ก็ลุยเข้ามาพร้อมกันให้หมด”
เหงื่อไหลพรากๆ จากหน้าผากของปรมาจารย์เยาว์ราวห่าฝน
สีหน้าของอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว และจ้าวลัทธิอวี้เหลียนก็หัวเราะในคอ “จ้าวลัทธิฉินนี่ช่างกระตือรือร้น แต่จะให้พวกเราทั้งหมดดาหน้าออกไปพร้อมกัน เจ้าไม่ยโสโอหังเกินไปหน่อยหรือ อย่างเช่น ให้ข้าลองทดสอบวิธีการของจ้าวลัทธิฉินก่อนเสียหน่อย”
ฉินมู่สายหัว “เขตขั้นของเจ้าไม่สูงส่งพอ หนึ่งขั้นนั้นเท่ากับหนึ่งชั้นสวรรค์ หนึ่งกรอบคิดเท่ากับหนึ่งด่านภูเขา ข้ายืนอยู่เหนือด่านภูเขาขณะที่มองไปยังพวกเจ้าทั้งหมด เห็นทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างชัด ข้าบอกให้พวกเจ้าลุยเข้ามาพร้อมกันทั้งหมด นั่นก็เพราะเคารพคนแก่เฒ่า หากจ้าวลัทธิอวี้เหลียนคิดจะสู้กับข้าเพียงลำพัง เจ้าไม่ประเมินตัวเองสูงไปหน่อยหรือ”
ปรมาจารย์เยาว์หายใจเฮือก และสูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะกล่าวอย่างเคร่งขรึมสำรวม “จ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พวกท่านจะต้องกระทำตามที่พวกท่านออกปากเอาไว้ ทุกท่านโปรดปิดผนึกสมบัติเทวะชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะ ส่วนว่าพวกท่านจะสู้คนเดียวหรือสู้พร้อมกันทั้งหมด นั่นก็แล้วแต่ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเชิญพวกท่านตามสบาย”
จ้าวลัทธิอวี้เหลียนเป็นคนแรกที่ปิดผนึกสามมหาสมบัติเทวะของเขา และสืบเท้าออกไปข้างหน้า ด้วยเสียงตะโกน วิชามารของเขาแผ่พุ่งออกไป คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตของเขาดำเนินไปตามมรรคามาร และเขานั้นนับว่าเป็นปรมาจารย์แห่งเต๋ามาร เขาได้ตรึกตรองเข้าใจมรรคา วิชา และทักษะเทวะในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจนถึงสุดขีดขั้วแห่งเต๋ามาร ก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็มีเงาภูตผีพร่าพราย!
คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเป็นเพียงแค่นิพนธ์อันไม่ครบสมบูรณ์ เพียงส่วนหนึ่งของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของข้า แต่กระนั้นมันก็ถูกเจ้าขัดเกลาจนกลายเป็นเต๋ามาร
ฉินมู่หรี่ตาและฟาดฝ่ามือออกไป เขานั้นรวดเร็วราวสายฟ้าเมื่อโจมตีใส่เงาภูตเหล่านั้น “พลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา!”
ตูม!
จ้าวลัทธิอวี้เหลียนกระเด็นกลับไป และสร้างรูรูปมนุษย์ที่ผนังโถงจู่หยาง จากนั้นก็มีเสียงครืนครันดังมาจากในโถงอย่างต่อเนื่อง จ้าวลัทธิอวี้เหลียนถูกซัดทะลุกำแพงมากกว่าสิบกำแพง ในท้ายที่สุด ก้อนเมฆรูปดอกเห็ดก็ปรากฏที่ระยะห่างออกไปสิบลี้ มันยากที่จะบอกได้ว่าเขาไปชนกับอะไรตั้งเท่าไรกว่าจะหยุดกระเด็น
ทุกคนยังไม่ทันจะตื่นจากภวังค์ ฉินมู่ก็ขยับและเคลื่อนมาข้างหลังจ้าวลัทธิจู่หยาง ปฏิกิริยาตอบสนองของชายผู้นี้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง และเขากระโจนไปข้างหน้า แปรเปลี่ยนเป็นเงาหนึ่งที่แปะติดลงไปกับพื้น
ฉินมู่กระทืบพื้น และผืนดินก็ปริแยกออก สร้างร่องลึกใหญ่ ร่างแท้จริงของจ้าวลัทธิจู่หยางถูกเขย่ากระเด็นออกมาจากร่างเงา และมีดหนึ่งก็ฟันลงไปตรงหน้าเขา เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด และกายเต่าดำก็ปรากฏ โล่ใหญ่ถูกผ่าออกเป็นสองเสี่ยงเมื่อเผชิญกับมีด และเขาถูกเป่ากระเด็นไปพร้อมกับโล่หักครึ่ง
ฉินมู่พุ่งเข้าไปในกลุ่มของอดีตจ้าวลัทธิและเคลื่อนไหวไปมารอบๆ ราวกับเงาภูตพราย ทุกคนแตกตื่น แต่พวกเขาไม่เสียเวลาอื่น และรีบลงมือโจมตีตอบโต้โดยอาศัยสัมผัสการจู่โจมของเขา
ปัง ปัง ปัง เสียงระเบิดเป็นชุดดังออกมาเมื่อทักษะเทวะของจ้าวลัทธิเยว่กวงโจมตีโดนร่างของเฟิงเชียนกู่ และกระบี่มารของเฟิงเชียนกู่ก็แทงเข้าไปในหน้าอกของซีเหยียนเว่ย ในเสี้ยววินาที ทุกคนโกลาหลไปหมด
ปรมาจารย์เยาว์รีบถอยออกไปเพื่อมิให้โดนลูกหลง เขาจึงพลันเห็นพื้นดินปริร้าวและแตกทำลาย ทั้งโถงจู่หยางหักพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายใต้การโจมตีของทักษะเทวะมากมาย และชิ้นส่วนโถงวังแตกหักก็ปลิวว่อนเต็มฟ้า ทุกคนกระโดดไปมาตามเศษซากอาคาร บางครั้งพวกเขาก็กระโดดขึ้น บางครั้งก็กระโดดลง บางทีพวกเขาก็กลายเป็นเงาของบางต้นเสา และบางทีพวกเขาก็แปลงร่างเป็นสัตว์ปีกไม่ก็สัตว์กระโดด!
“ที่เจ้าใช้คือกระบี่เต๋าของสำนักเต๋า คนทรยศ!” อดีตจ้าวลัทธิคนหนึ่งคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเขาเสียท่าให้กับกระบี่นับร้อย จากนั้นเขาก็ร่วงหัวปักพื้น
“ไอ้เด็กวายร้าย นี่มันวิชาของวัดใหญ่ฟ้าคำราม!”
“นี่มันทักษะเทวะของนครหยกน้อย!”
“เพลงกระบี่นี่มันอะไร”
ปัง ปัง ปัง!
ร่างผู้คนมากมายร่วงลงมา ขณะที่ชิ้นส่วนโถงวังลอยขึ้นไปสูงขึ้นและสูงขึ้น บนกระเบื้องและขื่อสีชาด ฉินมู่และจ้าวลัทธิหูจุ่นพุ่งเฉียดร่างกันและกัน ฉินมู่ใช้เคล็ดลับคำผนึกเพื่อปิดผนึกประสาทสัมผัสทั้งห้าของศัตรู จากนั้นเขาก็หันกลับไปและใช้มือหยินหยางพลิกสวรรค์ ด้วยการยกขึ้นและวาดลงของฝ่ามือเขา เขาก็ทำให้จ้าวลัทธิหูจุ่นร่วงลงไปพร้อมกระอักเลือด
หลังคากระเบื้องเคลือบสีของโถงใหญ่แตกแยกออกจากกันเมื่อจ้าวลัทธิเอี้ยนจีขึ้นมา แต่สิ่งที่ต้อนรับเขาคือทักษะเทวะมหึมาจากฉินมู่ ถ้ำสรวงและทางช้างเผือกห้อยจากสวรรค์หยก!
ดวงดารานับหมื่นนำเอาพลังฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัวลงมาจากฟากฟ้า ทำลายล้างทักษะเทวะของจ้าวลัทธิเอี้ยนจีราวกับว่ามันคือไม้ผุ ฝ่ามือของฉินมู่ฟาดเขาร่วงลงไปอย่างอำมหิตด้วยทางช้างเผือก
ตูม!
ในอากาศ ผนังแตกกำแพงพังทั้งหลายร่วงลงมา และพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่ว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าทั้งหลายร่วงไปที่ใด ตรงนั้นก็จะมีรอยฝ่ามืออันกว้างใหญ่เป็นไร่ๆ
“โจรเฒ่ากระจอก ต้านรับไม่ได้แม้แต่หวดเดียว” ฉินมู่ลงเหยียบกับพื้นดินและปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของเขา เขามองไปที่ปรมาจารย์เยาว์ที่อ้าปากค้างตาถลน และแย้มยิ้ม “ปรมาจารย์ พวกเราไปหาที่สนทนากันเถอะ”
………………