ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 512 เด็กสาวในความมืด

ตอนที่ 512 เด็กสาวในความมืด

ฉินมู่หดหัวกลับไปและมองดูรอบๆ หากว่าเขาไม่ได้ละเมิดกฎแดนโบราณวินาศและถูกสัตว์พิสดารพวกนั้นขับออกมา เขาก็คงมิได้บุกเข้ามาในความมืดหรอก

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาสามารถย่างกรายเข้าไปในความมืดได้ด้วยตนเอง มันแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการพึ่งพิงการพิทักษ์คุ้มกันของรูปสลักหินหรือหีบ

เขารู้สึกว่าเขาคล่องแคล่วอยู่ในความมืดราวกับปลาอยู่ในน้ำ มันเหมือนกับว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของความมืด

ในดวงตาของเขา มันมิได้เป็นสีดำสนิทอีกต่อไป แต่คล้ายกับหมอก

นี่ไม่ใช่ความมืดจริงๆ แต่เป็นสสารแบบหนึ่ง

ฉินมู่ตกตะลึง เขานั้นคอยแต่สงสัยเรื่อยมาเกี่ยวกับความมืดในแดนโบราณวินาศ แต่วรยุทธของเขานั้นต่ำเกินกว่าที่จะเข้าไปในความมืด กระนั้นต่อให้มีพลังอำนาจสูงล้ำพอที่จะบุกเข้าไปในความมืดได้ เขาก็แน่ใจว่าเขาคงไม่อาจพบแง่อัศจรรย์ของความมืดได้ เพราะว่ายอดยุทธฝีมือแกร่งอย่างผู้ใหญ่บ้านหรือซิงอ้านจะใช้พลานุภาพของตนเองขับไล่ความมืดให้ออกห่างไปไม่ให้กล้ำกรายมาถึงตัว

การขับไล่ความมืดออกห่างทำให้พวกเขายากที่จะค้นพบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมัน

แต่ทว่า ฉินมู่ได้รวมเป็นส่วนหนึ่งกับความมืด ดังนั้นจึงง่ายที่เขาจะค้นพบมัน

ครั้งหนึ่งผู้ใหญ่บ้านเคยคาดคะเนว่าความมืดแห่งแดนโบราณวินาศมิใช่ความมืดที่แท้จริง ในทางกลับกัน มันคือโลกมิติอื่นที่ซ้อนทับกับแดนโบราณวินาศ และเขาตั้งชื่อมันว่าแดนมืด

ในภายหลังผู้ใหญ่บ้านจึงพบว่า ไม่ได้มีแดนมืดเพียงแดนเดียวในแดนโบราณวินาศ แต่มีหลายแดน

เขาก็ยังเรียกยมโลกว่าแดนมืดด้วย

แต่ทว่า เมื่อความเข้าใจของฉินมู่ที่มีต่อยมโลกเพิ่มพูนขึ้น เขาก็ค้นพบความลับอีกอย่าง ยมโลกอาจจะเรียกได้ว่าแดนมืด แต่มันเป็นแค่มุมหนึ่งเท่านั้น อันเป็นส่วนหนึ่งของแดนใต้พิภพ

สถานที่นั้นคือหนึ่งในแดนมืดอันซ้อนทับกับแดนโบราณวินาศ

แดนใต้พิภพและยมโลกเคลื่อนที่และเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นพวกมันจึงมิได้ครอบคลุมไปตลอดทั่วแดนโบราณวินาศ อันที่ครอบคลุมทั้งดินแดน น่าจะเป็นแดนมืดอีกแห่งหนึ่ง

เมื่อฉินมู่ก้าวเข้าไปในความมืด เขาค้นพบข้อเท็จจริงอีกข้อแห่งแดนโบราณวินาศ–ความมืดคือสสารประหลาดชนิดหนึ่ง

เมื่อข้าเข้าไปในโลกอื่นผ่านหน้าผาขาด และตระหนักว่ากลางวันและกลางคืนของโลกใบนั้นสลับตรงกันข้ามกับแดนโบราณวินาศ ข้าก็มีข้อคาดเดาอันเหลือเชื่อ

ฉินมู่สายตาวูบไหว เขาจำได้ถึงสิ่งที่เขาเห็นและคาดคะเนในทะเลทรายสีทอง

โลกมิตินั้นคือมหาซากโบราณแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง อันเป็นสถานที่ที่เขาเข้าไปเพื่อหลบหลีกซิงอ้าน ที่นั่นก็มีทิวาและราตรี และพวกมันก็สลับตรงกันข้ามกับทิวาราตรีในแดนโบราณวินาศ

เพราะอย่างนั้น ฉินมู่จึงเดาว่าความมืดไหลบ่ามาจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เมื่อดวงอาทิตย์ตก ความมืดก็ไหลออกมาจากรอยแยกและไปยังมหาซากโบราณแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง จากมหาซากโบราณแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เมื่อมหาซากโบราณจักรพรรดิสูงส่งเริ่มต้นวันใหม่ มหาซากโบราณจักรพรรดิก่อตั้งก็กลายเป็นกลางคืน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นที่แดนโบราณวินาศ ความมืดก็ไหลบ่ากลับไปยังมหาซากโบราณจักรพรรดิสูงส่ง

สองมหาซากโบราณได้ก่อรูปเป็นนาฬิกาทราย และความมืดคือทรายที่อยู่ข้างใน ไหลสลับฝั่งไปมา

นี่คือข้อสันนิษฐานของฉินมู่

แต่ทว่าในตอนนั้นเขากำลังหนีเอาชีวิตรอดจากซิงอ้าน ทั้งยังมีผานกงสั่วอยู่ใกล้ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยข้อสันนิษฐานนี้แก่ใครๆ

เมื่ออยู่ในความมืดตอนนี้ เขาค้นพบว่ามันคือสสารประหลาด อันช่วยยืนยันการคาดเดาของเขา

หากว่าไปอุดรอยแยกบนผนังหน้าผาอันเหยียดยาวจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ เราจะสามารถปิดผนึกความมืดเอาไว้ในมหาซากโบราณจักรพรรดิสูงส่งได้หรือไม่ จากนั้นเป็นต้นไป ก็จะไม่มีการรุกรานของความมืดในยามค่ำคืนหรือเปล่า

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ พบว่าเหตุผลนี้ก็ฟังดูน่าจะเป็นจริง แต่ทว่า เขาไม่รู้ว่าจะกระทำสำเร็จหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น หน้าผาขาดใหญ่มหึมาและมีรอยแยกมากมาย ดังนั้นมันก็คงจะเชื่อมต่อกับโลกมากกว่าหนึ่งโลก การจะไปอุดปิดรอยแยกพวกนั้นก็ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง

อุดเอาไว้มิใช่ทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา ทางที่ดีที่สุดคือการพยายามทำความเข้าใจความมืดที่สามารถกลืนกินผู้คนพวกนี้ให้มากที่สุดต่างหาก

ฉินมู่ศึกษาสสารมืดอันราวกับหมอกอย่างละเอียดลออ ฝุ่นดำนี้มีรูปร่าง แต่มันไม่มีเนื้อกายภาพในเมื่อมันสามารถร่วงผ่านผิวหนังของเขาได้

สสารประหลาด!

ฉินมู่ตกตะลึง เขาขับเคลื่อนเส้นสายปราณชีวิตหนึ่งเส้น และใช้มันเพื่อตรึงสสารสีดำจำนวนหนึ่งเอาไว้กับที่ ฝ่ามือของเขาวาดผ่านมันไปโดยไม่รู้สึกถึงแรงต้าน เขาก็ไม่รู้สึกว่าได้แตะโดนสิ่งใดเช่นกัน

นี่มันสสารอะไรกันแน่ มันมีคุณสมบัติอะไรกัน

ขณะที่ฉินมู่กำลังครุ่นคิด เสียงกระวนกระวายของกิเลนมังกรก็ดังมาจากในซากโบราณ “จ้าวลัทธิ ท่านยังมีชีวิตอยู่ไหม”

เสียงนั้นเหมือนกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล ราวกับว่ามันส่งผ่านกำแพงหนา “ไม่ต้องห่วง ข้ายังอยู่ดี แล้วเดี๋ยวข้าให้อาหารเจ้าตอนเช้า” ฉินมู่ร้องกลับไป

“ได้เลย” กิเลนมังกรรับคำในคอ จากนั้นก็โต้แย้ง “ข้าไม่ได้กังวลเรื่องอาหาร แต่กังวลความปลอดภัยของจ้าวลัทธิต่างหาก แต่ในเมื่อจ้าวลัทธิสบายดี เช่นนั้นข้าก็จะได้นอนหลับ จ้าวลัทธิ เมื่อท่านเล่นเสร็จแล้วก็กลับมานะ พรุ่งนี้ยังต้องรอนแรมอีกยาวไกล”

ฉินมู่ศึกษาบริเวณรอบๆ อีกสักพัก แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าสสารมืดพวกนี้คืออะไร ในตอนนั้นเอง ขณะที่เขากำลังจะกลับไป เขาก็เห็นสัตว์ประหลาด

เสียงกระซิบดังมาจากรอบข้างเขา มันมีสัตว์ประหลาดมากมายซุ่มซ่อนอยู่ในความมืด เงาของก้อนหินและในป่าจ้องมองมายังเขาอย่างเงียบเชียบ เสียงแกรกกรากแว่วมาเป็นระยะๆ เมื่อเงาดำเคลื่อนไหวไปรอบๆ ราวกับภูตผี กระโดดจากกองความมืดหนึ่งไปยังอีกกองหนึ่งด้วยความเร็วสูง ฉินมู่พบว่ายากที่จะมองเห็นการเคลื่อนไหวของพวกมัน ต่อให้เขาใช้เนตรเทวะของตนก็ตาม

ทันใดนั้น เขาก็เห็นเงาจริงๆ เงาหนึ่งเดินดุ่มมาท่ามกลางความมืด

รูปร่างนั้นดูเหมือนจะอยู่ระหว่างความว่างเปล่าและความเป็นจริง และมันไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่เป็นมนุษย์!

นั่นคือเงาของมนุษย์!

ทำไมถึงมีผู้คนอยู่ในความมืด

ฉินมู่สะท้านใจอย่างแรง และเขารีบวิ่งพุ่งเข้าไป นอกจากเขาแล้ว บุคคลอื่นที่สามารถเดินไปในความมืดได้ก็คือตัวตนอันมีกำลังฝีมือเทียบเท่าเทพเจ้า อย่างเช่น ผู้ใหญ่บ้าน ซิงอ้าน หรืออาจจะเป็นของบางสิ่งที่สามารถปลดปล่อยแสงเทวะออกมา เช่นหีบของซิงอ้านอันทำมาจากกระดูกและผืนหนังเทวะของเต๋าตี้

เมื่อพวกเขาเข้าไปในความมืด พวกเขาก็จะเปล่งแสงเทวะออกมาและขับไล่ความมืดให้ถอยห่าง

แต่เงาในความมืดนี้มิได้ขับไล่ความมืดออกไป พวกมันเหมือนกับฉินมู่ หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับมัน และที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้น เงาพวกนี้ดูเหมือนจะก่อขึ้นมาจากความมืด!

ฉินมู่วิ่งตามเงานั้นไป อันดูเหมือนกับว่าก็กำลังสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเขาเช่นกัน มันหยุดเดินและดูเหมือนจะรอให้เขามาใกล้

ฉินมู่พุ่งเข้าไปและเพ่งพิศดูเงามืดตรงหน้าเขาอย่างสนอกสนใจ มันมีเปียถักสองข้างห้อยออกมาจากไหล่ ขณะที่มันก็กำลังเพ่งพิศเขาเช่นกัน

ตรงหน้าเขาคือเด็กสาวคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเห็นแค่เงาร่างของนาง เขาก็คาดเดาได้ว่านางยังเยาว์อยู่

นางยื่นฝ่ามือออกมา ราวกับทดลองจะแตะเขาดู และฉินมู่ก็ยื่นมือออกไปเช่นกัน หากแต่ว่า ฝ่ามือของพวกเขาผ่านทะลุของแต่ละฝ่ายราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น

เด็กสาวในเงาดูจะตื่นตะลึงและกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ทว่าถ้อยคำของนางเป็นเพียงเสียงกระซิบไม่ได้ศัพท์ที่แว่วมาใกล้ๆ หูฉินมู่

แปลกจริง! ฉินมู่ฉงนและเกาหัวแกรกๆ

“เจ้าได้ยินที่ข้าพูดไหม”

เด็กสาวผู้นั้นดูจะไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร เสียงของพวกเขาถูกบิดเบี้ยวไปด้วยพลานุภาพอันแปลกประหลาด ทันใดนั้น เด็กสาวก็นั่งยองๆ ลง เปียของนางกระดอนขึ้นมาจากการเคลื่อนไหว นางยื่นมือออกมาและเขียนอะไรบางอย่างบนพื้น

ฉินมู่ก้มลงมา แต่เขาเห็นเพียงแต่แสงสีดำที่ไหลรินอยู่ข้างล่าง ไม่มีอะไรปรากฏขีดเขียนอยู่บนพื้น

เขาเองก็เขียนประโยคหนึ่ง แต่สาวในเงาส่ายหัวของนาง แสดงสัญญาณว่านางก็มองไม่เห็นสิ่งที่เขาเขียนเช่นกัน

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของฉินมู่ เขาดึงกระบี่ออกมา ร่ายรำกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ แต่เด็กสาวก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง แสดงว่านางไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไร

ฉินมู่นึกอะไรไม่ออกอีก

ทันใดนั้น เด็กสาวเงาดำก็วิ่งไปข้างหน้า และหยุดหลังจากวิ่งไปได้สองสามก้าวเพื่อกวักมือเรียกเขา

ฉินมู่ตามนางไป และทั้งสองคนก็วิ่งไปสักพักหนึ่ง ผ่านไปครู่ เด็กสาวเงาดำก็หยุด แต่ฉินมู่หยุดไม่อยู่และพุ่งทะลุผ่านตัวนางไป การเคลื่อนไหวของเขาผลักเขาไปยังหน้าผาชะโงกอันสูงกว่าหมื่นห้าพันวา

เด็กสาวพยายามจะจับมือเขา แต่นางจับมือเขาไว้ไม่ได้ โชคดีที่ว่า ฉินมู่ตั้งตัวทันและไม่ไถลตกจากหน้าผา

เด็กสาวชี้ไปข้างหน้า และหัวใจของฉินมู่สั่นสะท้านอย่างรุนแรงจากภาพที่เห็น ข้างใต้เงื้อมผานั้นคือเมืองอันยิ่งใหญ่อลังการ อันให้ความรู้สึกต่างดินแดนแก่เขา ฉินมู่ไม่เคยเห็นสิ่งก่อสร้างอันกว้างใหญ่ไพศาลและตระการตาขนาดนี้มาก่อนในแดนโบราณวินาศ!

แปลกมาก เมืองนี้ไม่มีอยู่ในแดนโบราณวินาศ หรือว่ามันจะเป็นแดนมืดที่ซ้อนทับกับแดนโบราณวินาศจริงๆ

ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย หากว่าสสารมือสามารถไหลไปมาระหว่างซากโบราณแห่งจักรพรรดิสูงส่งและซากโบราณแห่งจักรพรรดิก่อตั้งได้ หรือว่าแดนมืดนี้ก็อาจจะมีอยู่ในซากโบราณแห่งจักรพรรดิสูงส่งเช่นกัน

เขาจะสามารถขัดขวางโลกทั้งโลกเอาไว้ด้วยการอุดปิดรอยแยกในหน้าผาขาดได้หรือ

ความมืดแห่งแดนโบราณวินาศซับซ้อนยิ่งกว่าที่ข้าคิดมากนัก ข้าเกรงว่า คงไม่สามารถอุดกั้นมันเอาไว้ได้…

ขณะที่เขาคิดเช่นนั้น สาวเงาก็กระโดดลงไปจากหน้าผา นางวิ่งตะบึงในแนวตั้งลงจากอากาศราวกับว่านางกำลังเดินบนพื้นราบ พลางเคลื่อนที่ลงไปยังเมืองข้างล่าง

ฉินมู่ก็กระโดดไปราวเหินบินและตามติดรอยเท้านางไป สักพักหนึ่ง ทั้งคู่ก็มาถึงเมืองใหญ่ และฉินมู่มองไปรอบๆ สถานที่รอบตัวเขานั้นรุ่งเรืองเป็นอย่างนิ่ง มีผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ ทว่าในสายตาเขา พวกเขาเหล่านั้นเหมือนกับก้อนเงา

หากว่าเปลี่ยนพวกเขาเป็นมนุษย์ปกติ นี่ก็คงจะเป็นเมืองอันรุ่งโรจน์อันสุดขีด

เขายังเห็นเทพและมารในความมืด อันยืนอยู่บนสิ่งก่อสร้างสูงและมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง

ฉินมู่ตกตะลึง เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป

เขาเคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน

ในเมืองร้อยมั่งคั่งจากเมื่อสี่หมื่นปีก่อน เทพและมารก็ยืนอยู่บนป้อมปราการมองระวังภัยไปรอบๆ เช่นนี้ แต่ทว่า เทพและมารในห้วงเวลานั้นเฝ้าระวังภัยจากความมืดนอกเมือง!

ถ้าเช่นนั้น เมืองในความมืดนี้กำลังระวังป้องกันอะไร

เด็กสาวเงานำฉินมู่เดินไปรอบๆ เมือง และเงาดำทุกเงาบนถนนก็เหลียวมองดูพวกเขา ในสายตาของคนพวกนั้น รูปลักษณ์ของฉินมู่คงจะประหลาดพิลึกมาก ในเมื่อพวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองตามหลังเขาอย่างเนิ่นนาน

ทั้งสองคนผ่านตรอกซอกซอยมากมาย ก่อนที่จะมาถึงคฤหาสน์อันก่อสร้างด้วยรูปทรงอันเหนือธรรมดา ที่นั่น มีเงาร่างสูงตระหง่านค่อยๆ ลุกขึ้นและกางแขนทั้งสี่ออกมาเพื่อปกป้องสิ่งปลูกสร้าง การมาถึงของฉินมู่ดูเหมือนจะทำให้เทพเจ้าแตกตื่นและลุกขึ้นมาปกป้องสถานที่แห่งนี้

เด็กสาวเงากระโดดขึ้นไปบนฝ่ามือเทพตนนั้น นางกระโดดไปมารอบๆ ราวกับว่ากำลังเหินบินจนกระทั่งนางขึ้นมาถึงบ่าของเทพเจ้าและกล่าวบางอย่างกับเขา

เทพเจ้านั้นก้มหัวลงมาและเพ่งพิศดูฉินมู่ เขาอ้าปากเปล่งวาจา แต่คำพูดของเขาเป็นเพียงเสียงระงมไม่ได้ศัพท์ เขาไม่เข้าใจความหมายเลยสักคำ

ผ่านไปสักพัก เทพเจ้าก็ลดฝ่ามือลงมา และบุ้ยใบ้ให้ฉินมู่ขึ้นไปยืนบนนั้น ฉินมู่ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเขาก้าวขึ้นไป เขากลับเหยียบไม่โดนอะไรเลย เขาเกือบจะร่วงตกเมื่อพยายามทำเช่นนั้น เขาจึงรีบขับเคลื่อนทักษะเทวะเพื่อลอยขึ้นไปเหนือฝ่ามือ

เทพนี้ตื่นตระหนก และเขายกมืออีกข้างขึ้นมาลองจิ้มฉินมู่ดู นิ้วของเขาผ่านทะลุร่างราวกับว่ามีแต่ความว่างเปล่า

เทพเงามืดเกาหัวแกรก ไม่รู้ว่านี่คือปรากฏการณ์อะไร

นี่แปลกเกินไปแล้ว ฉินมู่สะท้านใจอย่างแรง ขนาดเทพเจ้าผู้มากฤทธิ์ก็ยังไม่อาจแตะต้องโดนข้า!

ทันใดนั้น ทั้งเมืองก็พลันปั่นป่วนอึงอล และเทพมืดก็วางเด็กสาวเงาลงไป เขารีบเหาะขึ้นบนท้องฟ้า และพุ่งทะยานไปยังประตูเมือง

ฉินมู่รีบตามเด็กสาวเงาไปยังที่สูง ห้วงอวกาศข้างนอกเมืองสั่นสะเทือน เมื่อพลันมีหลุมดำปรากฏขึ้นมา เทพและมารอันหน้าตาน่าสยองปีนไต่ออกมาจากในนั้น นำพาไพร่พลจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้ามายังนครอันยิ่งใหญ่ไพศาล

การศึกขนาดมหึมาปะทุขึ้น

ไม่นานนัก เมืองก็ถูกรุกราน และมารจำนวนนับไม่ถ้วนไหลบ่าผ่านถนนต่างๆ อันทุกๆ คนก็ต่อสู้

ฉินมู่ตามเด็กสาวเงาไปซ่อน ขณะเมืองตกอยู่ในความโกลาหล ทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณพวยพุ่งออกไปด้วยพลานุภาพอันระเบิดกระจายไปทั่ว บ้านเรือนและราชวังมากมายพังย่อยยับ

มันเป็นราตรีอันยาวนานจนกระทั่งเสียงไก่ขันแว่วผ่านอากาศ หัวใจของฉินมู่สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรงในห้วงเวลานั้น ความมืดไหลบ่าไปพร้อมกับเมือง มารเทวะก็ถอยกลับไปอย่างบ้าคลั่งพร้อมๆ กับสัตว์ประหลาดทั้งหลาย หายเข้าในรูห้วงมิติอันสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย

ร่างของฉินมู่โงนเงนไปมาจากมวลมืดที่เคลื่อนไป เขากำลังจะคว้าจับเด็กสาวเงาข้างๆ เขาแต่นางก็หายวับไปพร้อมๆ กับมหานคร!

แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาและให้แสงสว่างแก่บริเวณโดยรอบ ฉินมู่มองไปและเห็นขุนเขาสูงตระหง่านและหน้าผาชัน อันปราศจากวี่แววของเมืองใหญ่ที่ดำรงอยู่ในสถานที่แห่งนี้

“จ้าวลัทธิ! จ้าวลัทธิ!”

กิเลนมังกรร้องมาจากที่ไกลๆ ฉินมู่มองตรงไปยังที่มาของเสียงและเห็นซากโบราณอันพวกเขาเข้าพำนักเมื่อวานนี้ กิเลนมังกรคาบอ่างของเขามาพลางวิ่งตะบึงมาวางอ่างลงตรงหน้า เขากระดิกหางไปมาและกล่าวกลั้วหัวเราะ “จ้าวลัทธิ ได้เวลาอาหารแล้ว ท่านก็รู้ว่านี่เริ่มจะสายล่ะ…”

ฉินมู่มองไปรอบๆ รู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เป็นเพียงความฝัน

แดนโบราณวินาศช่างประหลาดพิสดาร เมื่อคืนนี้ข้าได้เข้าไปในโลกอื่นจริงๆ น่ะหรือ

…………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท