ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 506 ครูบาศักดิ์สิทธิ์

ตอนที่ 506 ครูบาศักดิ์สิทธิ์

โถงเหวินเหยียนเป็นสถานที่ของปรมาจารย์ยาว์ และมันซอมซ่อกว่าโถงของจ้าวลัทธิทั้งหลายมากนัก นี่คงเป็นเพราะว่าปรมาจารย์ไม่เคยเป็นจ้าวลัทธิมาก่อน และศักดิ์ฐานะของเขานั้นต่ำกว่าจ้าวลัทธิทั้งหลายเป็นอย่างมาก

แต่ทว่าในสายตาของฉินมู่แล้ว มันก็เพราะปรมาจารย์ไม่เคยได้เป็นจ้าวลัทธิเช่นกัน ที่ทำให้เขาวางหลายๆ อย่างลงได้ และสำเร็จในสิ่งที่จ้าวลัทธิเหล่านั้นไม่เคยกระทำ

ปรมาจารย์เยาว์และราชครูสันตินิรันดร์เป็นอาจารย์และศิษย์อยู่ครึ่งตัว เมื่อราชครูสันตินิรันดร์มาเยือนเขา เขาก็ริเริ่มเสนอให้ราชครูได้ชมดูคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ทั้งยังบอกเขาถึงหลักการใหญ่ของมรรคาแห่งนักบุญ จากนั้นเขาก็เขียนจดหมายด้วยตนเองเพื่อแนะนำชายหนุ่มผู้นี้ไปยังสำนักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคำราม

ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของราชครูสันตินิรันดร์เกี่ยวข้องกับเขาเป็นอย่างมากเช่นกัน

หลังจากนั้นเมื่อสันตินิรันดร์เริ่มการปฏิรูป เขาก็ยังคงเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เยาว์ แม้แต่การก่อตั้งสถาปนามหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็เกี่ยวพันกับเขาอย่างลึกล้ำ

เขานั้นเป็นอธิการบดีคนแรกแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และเมื่อราชครูสันตินิรันดร์ผลักดันการปฏิรูปต่อไป ก็มักจะมาขอความคิดเห็นจากเขา

ในการปฏิรูปของสันตินิรันดร์มียักษ์ใหญ่ที่สำคัญอยู่สามคน สองยักษ์ใหญ่คือ ราชครูและจักรพรรดิ อยู่ในที่เปิดเผย ขณะที่ปรมาจารย์เยาว์คือยักษ์ใหญ่คนที่สามอันซ่อนอยู่ข้างหลังฉาก

เพียงแค่ความสำเร็จพวกนี้ ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ก็มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่มีความสำเร็จทัดเทียมกับปรมาจารย์เยาว์ได้

และกระนั้นก็เพราะว่าเขามิใช่จ้าวลัทธิ เขาจึงไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีเท่ากับจ้าวลัทธิ ทำให้ฉินมู่รู้สึกรันทดใจแทนเขา

“เจ้ายังไม่เปลี่ยนอารมณ์ร้อนของเจ้าอีก”

ปรมาจารย์เยาว์นำฉินมู่เข้าไปในโถง ขณะที่กระดูกมหึมาและเกล็ดของกิเลนมังกรถูไถตัวเขาไปมาตลอด ถึงขนาดที่ว่าเสื้อผ้าของปรมาจารย์เยาว์ขาดวิ่นและขาของเขาก็แดงเถือก

กระนั้นเขาก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกล่าวกับฉินมู่ “แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดถูกเจ้าอัดจนน่วม! เจ้าคิดว่าพวกเขาถือศีลกินเจกันหรืออย่างไร พวกเขาคือผู้มีอิทธิพลในยมโลก! หลังจากที่เจ้าแก่ตายลงมา เจ้าจะอยู่อย่างไรในยมโลก…”

“ปรมาจารย์…” ฉินมู่พลันกอดเขาแน่น ขณะที่เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย เขาไม่ปล่อยอีกฝ่ายหลุดไปแม้ว่าจะกอดไว้เนิ่นนาน “ข้าคิดถึงท่าน”

โครงกระดูกเด็กหนุ่มหมายที่จะปาดป้ายน้ำตา แต่มันไม่มีน้ำตาให้ปาด เขาสำลักสะอื้นและกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าท่านไปสกัดขัดขวางเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้าในแดนโบราณวินาศ และเพียงแต่ได้ยินจากซีอวิ๋นเซี่ยงในภายหลัง ผู้อาวุโสคุมกฎนำเถ้ากระดูกของท่านกลับมา แต่ข้าไม่มีโอกาสได้พบท่านเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นข้าจึงมาเจอท่านที่นี่ในตอนนี้! ข้าปิดบังจากมังกรอ้วนเอาไว้ตลอด ไม่กล้าบอกเขา แต่ข้าทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…”

ปรมาจารย์เยาว์ตะลึงงัน เขาตบหลังเด็กหนุ่มเบาๆ และถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ข้าเพียงแต่ไปมีชีวิตอยู่ที่อื่นเท่านั้น ดูสิ ข้ายังมีเลือดและเนื้อ ในสายตาของข้า พวกเจ้าต่างหากที่เป็นคนตาย หรือข้าต้องตีอกชกหัวร้องไห้รำพันเช่นกันล่ะ นี่ นี่ จ้าวลัทธิฉินออกจะดุร้ายตอนที่ด่าทอและทุบตีบรรพชนทั้งหลาย แต่ทำไมตอนนี้เจ้าทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ…พอแล้ว กิเลนมังกร ขาข้าโดนเจ้าถูจนเลือดไหลแล้ว! เจ้ายังถูไถข้าไม่พอหรืออย่างไร”

กิเลนมังกรหมายจะแลบลิ้นออกมาเพื่อช่วยเขาเลียบาดแผล แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่มีลิ้น เขาจึงถอยไปอย่างอิดออด แต่สักพักหนึ่ง เขาก็อดใจไม่ไหว เข้าไปถูไถขาของปรมาจารย์เยาว์อีกครั้ง

ปรมาจารย์เยาว์อึ้งกิมกี่ เขาไม่ได้พบกิเลนมังกรมาเป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่อพบกันทีแรก พวกเขาก็กอดคอกันร้องไห้อย่างมากด้วยเพราะความสนิทกันมาก่อน แต่เมื่อมังกรอ้วนนี่ถูขาเขาไม่หยุด เขาก็เริ่มจะรำคาญ และอยากเสียยิ่งกว่าอะไรที่จะโยนเจ้านี่ทิ้งไปไกลๆ

“ข้าอยากจะพบกับนักบุญคนตัดไม้ผู้ถ่ายทอดคำสอนของเขาบนก้อนหิน อีกทั้งบรรพจารย์ก่อตั้ง เช่นเดียวกับกษัตริย์ทั้งสาม” ฉินมู่กล่าว “ปรมาจารย์ พวกเขาอยู่ในยมโลกด้วยไหม”

“เจ้าไม่มีทางได้เห็นสามกษัตริย์อีกต่อไป ดวงวิญญาณของพวกเขาแตกสลายไปแล้ว” ปรมาจารย์เยาว์กล่าวด้วยความเศร้า “พวกเขาตายในการศึก แต่ก็ยังรีดเร้นตนเองให้ถ่ายทอดคำสั่งสอนบนก้อนหินไปยังจ้าวลัทธิคนถัดไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถป้องกันดวงวิญญาณของตนเองและเข้ามาในยมโลกได้ ข้าคิดว่าข้าน่าจะได้พบบรรพจารย์ก่อตั้งที่นี่เช่นกัน แต่ข้าไม่เคยเห็นเขา นักบุญคนตัดไม้ก็ไม่อยู่ที่นี่เช่นกัน”

ฉินมู่ตกตะลึง นอกจากยมโลกแล้ว มีที่ไหนอีกที่นักบุญคนตัดไม้และบรรพจารย์ก่อตั้งจะไป

รูปสลักหินของร่างเนื้อนักบุญคนตัดไม้ยังคงยืนอยู่ในนครหยกน้อย มองตรงไปยังแดนโบราณวินาศ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาออกไปจากร่างและเดินทางไปยังสถานที่อื่น หลังจากที่บรรพจารย์ก่อตั้งได้ก่อตั้งลัทธิของเขาและสถาปนาความคิดลงในข้อเขียนนิพนธ์ เขายังมิได้สถาปนากุศล ดังนั้นเขาจึงยังไม่สำเร็จเป็นนักบุญ เขาก็น่าจะยังไม่บรรลุเป็นเทพเจ้าเช่นกัน ดังนั้นเขาก็น่าจะตายไปจากความชรา แต่ตอนนี้เขาหายไปที่ไหนกันนะ

ปรมาจารย์เยาว์ลังเลและกล่าว “เจ้าทุบตีอดีตจ้าวลัทธิ…”

“ปรมาจารย์ ข้าเป็นจ้าวลัทธิ พวกเขาก็เป็นจ้าวลัทธิ เช่นนั้นทำไมข้าต้องลดตัวต่ำกว่าพวกเขาด้วยล่ะ ข้ายังเป็นกษัตริย์มนุษย์อีกด้วย ดังนั้นศักดิ์ฐานะของข้ายิ่งเหนือกว่าพวกเขา หากว่าท่านต้องการให้ข้าพูดพินอบพิเทาพวกเขา ข้าทำไม่ได้หรอก” ฉินมู่กล่าว

“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่มีอาวุโสต่ำสูง และผู้ที่ค้นพบสัจจะควรจะเป็นครูบา แม้ว่าพวกเขาจะเป็นอดีตเจ้าลัทธิ พวกเขาก็มีความหัวแข็งในแบบต่างๆ กันไป หากว่าข้าไม่ทุบตีพวกเขาให้น่วม พวกเขาก็คงจะเอาแต่พูดว่าตำแหน่งจ้าวลัทธิของข้าได้มาอย่างไม่เหมาะสม หลังจากทุบตีพวกเขา ถึงจะค่อยหุบปาก ยิ่งไปกว่านั้น ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในมือของพวกเขาไม่มีความสำเร็จใดๆ และมรรคาเต๋าก็กลายเป็นแปดเปื้อนต่ำช้า ดังนั้นพวกเขาสมควรแล้วที่จะถูกทุบตี”

ปรมาจารย์เยาว์ถอนหายใจแล้วถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “เจ้าไม่มีกายเนื้อ แล้วเจ้าใช้พลังวัตรของเจ้าได้อย่างไร”

“ข้าเคยมาที่นี่กับผู้ใหญ่บ้านหนึ่งครั้ง และในตอนนั้นที่ข้าตระหนักว่า การที่ข้าเปลี่ยนแปลงเป็นโครงกระดูกนั้นเป็นเพียงภาพมายา กายเนื้อของข้าที่หายไป และการที่พวกท่านฟื้นคืนชีพ นั้นก็เป็นภาพมายาเช่นกัน เนตรเทวะของท่านปู่บอดทำให้ข้าสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่งในยมโลก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าก็สามารถใช้พลังวัตรและทักษะเทวะในยมโลกได้ ข้าสามารถสัมผัสถึงกายเนื้อของตนได้ ปรมาจารย์ ท่านคงไม่รู้เรื่องนี้ แต่สายตาของข้า…”

ความเศร้าโศกอันไร้ประมาณโถมท่วมหัวใจของเขา และเขาไม่พูดต่อ

เบื้องหน้าเนตรเทวะของเขา ปรมาจารย์ผู้ดูเหมือนจะมีชีวิตมีลมหายใจเป็นเพียงแค่โครงกระดูก

เมื่อฉินมู่ก้าวเข้ามาในยมโลก นั่นคือทั้งหมดที่เขาเห็น

ผู้คนอันเดินขวักไขว่ไปมาในเมืองแห่งยมโลกอันคับคั่ง ล้วนแต่เป็นโครงกระดูกและภูตผี มีก็แต่เขาเท่านั้นที่เดินทางผ่านเมืองด้วยกายเลือดเนื้อ นั้นเป็นวิญญาณอันโดดเดี่ยว แยกขาด และลำพัง

แม้เมื่อเขาสนทนาอย่างคึกคักกับอดีตกษัตริย์มนุษย์ในโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง เขาก็เพียงแค่ได้สนทนากับโครงกระดูกหลายสิบโครง

มีแต่ก็ในอาณาเขตของระหว่างเป็นตาย ที่เขาจะได้เห็นอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดมีเลือดเนื้อเดิม

นั่นคือภาพที่ฉินมู่เห็นเมื่อเขาใช้เนตรเทวะอันเฒ่าบอดถ่ายทอดให้แก่เขา

สายตาของเขาแตกต่างไปจากสายตาของพวกผีทั้งหลายในยมโลก

ในแดนเป็นของคนตาย ความเป็นและความตายพลิกผัน แต่ปรมาจารย์ อดีตกษัตริย์มนุษย์ และอดีตจ้าวลัทธิ ก็ยังคงเป็นคนตายอยู่ดี

ฉินมู่ไม่กล่าวทั้งหมดนี่ เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้ม “ปรมาจารย์ ท่าน ราชครู และจักรพรรดิ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการปฏิรูป บัดนี้เมื่อท่านมาอยู่เสียที่นี่ แล้วการปฏิรูปจะเดินต่อไปได้อย่างไร”

ปรมาจารย์เดินไปข้างๆ เขาเพื่อป้องกันไม่ให้กิเลนมังกรมาเดินวนพันรอบๆ ตัวเขาอีกครั้ง เขาแย้มยิ้มและกล่าว “เส้นทางแห่งการปฏิรูปได้เริ่มต้นแล้ว และจะไม่จบสิ้น สิ่งที่ราชครูได้ปฏิรูปนั้นคือประเพณี สันดานทาส และการต่อสู้ระหว่างสำนัก เพื่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกหล้าไม่ต้องมาต่อสู้เพื่อสำนักของตนอีกต่อไป และเผาผลาญพลังงานของพวกเขาเพื่อความว่างเปล่า นี่ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงกรอบคิดของสำนักแต่ละสำนัก เพื่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะทำงานเพื่อผู้คนและรับใช้พวกเขา นี่คือความคิดและโครงการอันยิ่งใหญ่”

เขามายังสวนข้างหลังโถงเหวินเหยียนและส่งกรรไกรหนึ่งเล่มให้กับฉินมู่ เขาเองก็มีกรรไกรเล่มหนึ่งเหมือนกัน และตัดแต่งกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาอย่างพิถีพิถัน “สิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิรูปคือการเปลี่ยนความเคยชินแย่ๆ ในหัวใจของผู้คน ผลักเทวรูปข้างในพวกเขาให้ล้ม การทำลายเทพเจ้าในหัวใจผู้คนนั้นมิใช่สิ่งที่ผู้ฝึกวิชาเทวะจะต้องกระทำ แต่เป็นสิ่งที่ทั้งโลกหล้าต้องร่วมแรงกระทำ หากว่าใครสามารถทำลายเทพและพุทธในหัวใจตนได้ นั่นก็จะเป็นการสั่งสมความรุ่งเรืองให้แก่โลก”

ฉินมู่ช่วยตัดแต่งต้นไม้ และเปลี่ยนกอดอกไม้กอหนึ่งให้กลายเป็นแม่ไก่มังกรที่โล้นเลี่ยนไร้ขน เมื่อปรมาจารย์เยาว์กล่าวจบ เขาก็หยุดใคร่ครวญถ้อยคำของเขาก่อนจะพยักหน้า “ผู้คนในโลกหล้าสวดภาวนาต่อเทพเจ้าและพุทธองค์เพื่อขอลม ขอฝน และการเก็บเกี่ยวที่อุดม เพื่อให้ครอบครัวของพวกเขารุ่งเรืองและมีลูกหลานมากมาย หากว่าผู้ฝึกวิชาเทวะสามารถทำให้คำภาวนาของพวกเขาเป็นจริงได้ มันก็ย่อมจะช่วยทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจพวกเขาอย่างแน่นอน”

ปรมาจารย์เยาว์มองไปยังไม้ใบและไม้ดอกที่เขาตัดแต่งจนยุ่งเหยิงไปหมด และละสายตาออกไปครู่หนึ่ง “ข้าได้กล่าวเช่นนี้กับราชครูมาก่อน นั่นก็คือการทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจ อย่างแรกเขาต้องปฏิรูปเศรษฐกิจ มันจะช่วยยกระดับผลผลิตของจักรวรรดิและส่งเสริมผู้คน เมื่อเศรษฐกิจถูกเปิดออก ความรู้ของผู้คนก็จะเปิดหงายเช่นกัน พูดให้เรียบง่ายแล้ว เมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะใช้ทักษะเทวะของพวกเขาเพื่อช่วยชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิต ชาวนาก็จะจ่ายเงินทองให้เขา และด้วยเงินที่ได้รับมา เขาก็จะใช้มันซื้ออาหารและทรัพยากรสำหรับการฝึกวิทยายุทธ”

“เงินนี้ก็จะไหลกลับไปถึงมือผู้คน พวกเขาก็จะต้องจ่ายภาษีให้กับจักรวรรดิ เพื่อให้จักรวรรดิมั่งคั่งขึ้น เมื่อจักรวรรดิมั่งคั่ง มันก็จะสามารถเปิดการคมนาคมและการชลประทานได้มากมาย อันเพื่อความสะดวกและเพื่อประโยชน์แก่ผู้คนทั่วไป ดังนั้นเมื่อจักรวรรดิมั่งคั่ง ผู้คนก็มั่งคั่ง เมื่อผู้คนมั่งคั่ง ทรัพยากรก็ดกดื่น ผู้ฝึกวิชาเทวะก็จะสามารถซื้อหาทรัพยากรได้ทุกชนิดทุกแบบ และวรยุทธของพวกเขาก็จะรุดหน้าไปกว่าเก่าก่อน ผู้คนจะกลายเป็นแข็งแกร่ง และจักรวรรดิก็จะกลายเป็นแข็งแกร่ง”

ฉินมู่กำลังดื่มดำ แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อเขาหันกลับไปมอง เขาก็เห็นจ้าวลัทธิจู่หยาง จ้าวลัทธิอวี้เหลียน จ้าวลัทธิซีเหยียนเว่ย และคนอื่นๆ เข้ามาในโถงเหวินเหยียนด้วยจิตสังหารอันคุกรุ่น

อดีตจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ทั้งหลายมิได้ลงมือ แต่กลับหยุดเท้าและเงี่ยหูรับฟัง

“สามัญชนได้กลายเป็นทาสของตระกูลใหญ่มากอิทธิพลมาเนิ่นนาน และบัดนี้พวกเขาก็มีนิสัยสันดานของความเป็นทาส เมื่อเจ้าคุกเข่าลงครั้งหนึ่ง ก็ยากที่จะลุกขึ้นมาอีก ตอนนี้ราชครูกำลังทำให้ผู้คนลุกขึ้นยืน แต่นี่ต้องอาศัยเวลา กระนั้น การปฏิรูปก็กำลังเคลื่อนไปอย่างแช่มช้า ผู้คนเดี๋ยวนี้ไม่คุกเข่าให้กับผู้ฝึกวิชาเทวะอีกต่อไปแล้ว”

ความคิดของปรมาจารย์เยาว์เต็มไปด้วยการปฏิรูป และเขาไม่สำเหนียกของการมาเยือนของอาคันตุกะ เขาหวนรำลึกถึงอดีต “ข้าเคยเห็นสถานการณ์ก่อนการปฏิรูป ในตอนนั้น สำนักและลัทธิทั้งหลายมีมากมาย และชาวนาทั้งหลายก็ถูกโบยตีด้วยชีวิต พวกเขาจะต้องคุกเข่าและเรียกค่ายสำนักเหล่านั้นว่านายผู้เฒ่า บรรณาการพวกเขาด้วยเนื้อและธัญญาหาร เพื่อเปลี่ยนแปลงสันดานทาสเช่นนี้ ราชครูและข้าใช้เวลาราวๆ สองร้อยปี เมื่อผู้คนลุกขึ้นได้ ก็ยากที่พวกเขาจะคุกเข่าลงไปใหม่เช่นกัน”

ฉินมู่จดจำได้ถึงภาพเหตุการณ์ที่ผู้คนมากมายคุกเข่าลงตรงหน้ารูปสลักหินที่ผุดโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน “พวกเขายังคงคุกเข่าให้กับเทวรูป”

ปรมาจารย์เยาว์มีสีหน้าประหลาด “ราชครูกล่าวว่าการทุบทำลายเทพเจ้าในวิหารนั้นง่ายกว่าการทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจ แต่สำหรับข้า การทุบทำลายเทพเจ้าในวิหารก็ไม่ง่ายเช่นกัน ข้าเคยทำการทดลองเล็กๆ หนหนึ่งเพื่อทดสอบหัวใจของผู้คน ข้าสร้างวิหารเล็กๆ เอาไว้ที่นอกเมืองหลวง และเปิดสติปัญญาของหมาขี้เรื้อนสกปรกหนึ่งตัว จากนั้นให้มันนั่งอยู่บนวิหาร เจ้าเดาออกหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ”

เขาถอนหายใจและกล่าว “ภายในไม่กี่วัน วิหารหมาขี้เรื้อนก็เต็มไปด้วยธูปเทียนบูชา และยังมีผู้เฒ่าผู้แก่จำนวนมากมายถวายเครื่องเซ่น กล่องบริจาคข้างหน้าหมาขี้เรื้อนก็เต็มไปด้วยเงินทอง หากว่าเจ้าวางคางคกไว้ในวิหาร มิใช่หมาขี้เรื้อน ผู้คนก็ยังคงใส่เงินทองให้มันจนเต็มปรี่และนำธูปเทียนมาจุดเซ่นไหว้”

ฉินมู่หัวเราะ แต่ไม่เท่าไรเขาก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป

“นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมเราต้องเปิดเศรษฐกิจ และทำให้ผู้คนฉลาดขึ้น เมื่อนั้นพวกเราถึงจะสามารถทุบทำลายเทพเจ้าในวิหารและเทพเจ้าในหัวใจ” ปรมาจารย์เยาว์กล่าว “และเพื่อทำให้ผู้คนฉลาดขึ้น พวกเราก็ต้องการพวกเจ้าให้ดำเนินการปฏิรูปต่อ และเพิ่มพูนจำนวนของผู้ฝึกวิชาเทวะ ให้พวกเขากลายเป็นดาษดื่นมากยิ่งขึ้นและบรรลุเป็นเทพเจ้า”

“เมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะที่บรรลุเป็นเทพเจ้ายังคงรับใช้ผู้คนธรรมดาสามัญ ผู้คนทั้งหลายก็จะไม่สวดภาวนาต่อเทพเจ้าในวิหารอีกต่อไป ด้วยสติปัญญาใหม่ ก็จะมีแต่เพิ่มจำนวนผู้ฝึกวิชาเทวะขึ้นไปอีก”

จากนั้นเขาก็กล่าวเสริม “เปิดเศรษฐกิจ ทำให้ผู้คนฉลาดขึ้นนั้นล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งในมรรคาแห่งการปฏิรูป สิ่งที่พวกเจ้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้ดีแล้ว ทักษะเทวะจะต้องใช้เพื่อประโยชน์ของผู้คน แต่ยังต้องอาศัยเวลาสักหน่อยเพื่อให้ผู้คนบ่มเพาะสติปัญญาและไม่คุกเข่าให้กับเทพเจ้าในวิหารอีกต่อไป การเดินทางนี้เหนื่อยยาก และอันดับแรกมันก็จะไปแตะต้องผลประโยชน์สำนักต่างๆ ก่อนที่จะไปแตะต้องผลประโยชน์ของเทพสูงส่ง”

“เหนือฟ้าเป็นแค่สุนัขรับใช้ของเทพสูงส่งทั้งหลาย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ภยันตรายอันร้ายกาจกว่านี้จะซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลัง” เขาตัดแต่งกิ่งอันชี้โด่เด่และกล่าว “การปฏิรูปของราชครูได้เพิ่มท่วงท่ากระบี่เข้าไปอีกสามท่วงท่า และเริ่มการเปลี่ยนแปลงของมรรคาและวิชาในฟ้าและดิน เจ้าเผยแพร่วิชาฝึกปรือในการบรรลุเป็นเทพเจ้าออกไปด้วยการเชื่อมต่อสะพานเทวะ ได้ผลักดันการปฏิรูปไปอีกก้าว”

“ซีอวิ๋นเซี่ยงได้จุดธูปและภาวนาถึงข้า บอกข้าว่าเจ้าและองค์หญิงอวี้จิวได้ก่อตั้งวิชาในการปลุกจิตวิญญาณดั้งเดิมขั้นหกทิศ ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ร่วมกันสานต่อบนรากฐานนี้และสรรค์สร้างวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะมากมาย นั่นก็ล้วนแต่เป็นเรื่องอันดีงาม”

เขายืนหลังตรง “ด้วยมรรคา วิชา และทักษะเทวะที่รุดหน้าไปทุกวี่วัน ก็จะยิ่งมีเทพเจ้าในจักรวรรดิสันตินิรันดร์มากขึ้นทุกที ในเวลาไม่นาน เทพเจ้าในวิหารก็จะถูกทุบทำลาย และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น พวกเราก็คงไม่ห่างไกลจากการทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจ!”

ฉินมู่จิตไหวสะท้าน และเขาโยนกรรไกรลง จากนั้นโค้งคารวะจนแทบจรดพื้น “ปรมาจารย์ ท่านเป็นครูบาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้า!”

ปรมาจารย์เยาว์ก็รีบโยนกรรไกของเขาทิ้งและพยุงตัวเขาขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเรา ดังนั้นเจ้าจะมาเรียกข้าว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ลุกขึ้นเร็วเข้า!”

ในตอนนั้นเอง อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดในบริเวณโดยรอบก็โค้งคารวะแทบจรดดินและกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “ครูบาศักดิ์สิทธิ์!”

ปรมาจารย์เยาว์ถึงเพิ่งสังเกตเห็นพวกเขา และตอนนี้ก็ตะลึงงัน

“ครูบาศักดิ์สิทธิ์คือนักบุญผู้เป็นครูสั่งสอน จ้าวลัทธิในอดีตทั้งหลายไม่คู่ควรจะถูกเรียกว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ มีก็แต่ท่านที่สมควรแก่คำเรียกหานี้และคู่ควรแก่ความเคารพของอดีตจ้าวลัทธิทั้งหมด!”

ปรมาจารย์เยาว์ว้าวุ้น อารมณ์หลากหลายเอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจของเขา เขาข่มน้ำตาที่หลั่งไหลอาบหน้ามิได้

เขานั้นไม่เคยเป็นจ้าวลัทธิมาก่อน และมักจะถูกกีดกันออกนอกวงอำนาจในลัทธินักบุญสวรรค์ เขานั้นเพียงแต่เข้ามาแบกรับภาระของลัทธินักบุญสวรรค์ในสภาวะคับขันเท่านั้น

นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาไม่เคยคิดฝันว่า เขาจะได้เป็นเหมือนกับนักบุญคนตัดไม้ ได้รับความเคารพนับถือจากอดีตจ้าวลัทธิทั้งหมด!

ผู้เดียวอันคู่ควรแก่ความเคารพของอดีตจ้าวลัทธิทั้งหมด มีก็แต่นักบุญคนตัดไม้ผู้ถ่ายทอดคำสั่งสอนบนก้อนหิน

……………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท