ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 509 ความสยองอันร้ายกาจ

ตอนที่ 509 ความสยองอันร้ายกาจ

แม้แต่ท้าวยมราชฟังแล้วก็ยังต้องตื่นตระหนก เขาพลันหันไปมองยังฉินมู่ และผ้าคลุมดำของเขากระพือไหวเป็นลูกคลื่นราวกับว่ามันถูกกระแสลมเป่า “แดนใต้พิภพ? เจ้าไม่ได้เกิดในหมู่บ้านไร้กังวล แต่เกิดในแดนใต้พิภพ?”

ฉินมู่ยังคงมองไม่เห็นใบหน้าใต้ผ้าคลุมและได้แต่ผงกหัว “บิดามารดาของข้าได้มุ่งหน้ามายังแดนโบราณวินาศจากหมู่บ้านไร้กังวล แต่ว่าพวกเขาถูกซุ่มโจมตีระหว่างทาง พวกเขาสูญเสียอย่างหนัก และผู้ที่โชคดีรอดออกมาได้ก็หลบหนีเข้าไปในแดนใต้พิภพ ข้าถือกำเนิดที่นั่น”

เขาได้ค้นพบชาติกำเนิดของตนในหุบเขาภูตผี และจากร่องรอยกาลเวลาในเรือเหาะนั้น มารดาของเขายังอุ้มท้องเขาอยู่ เรือสมบัติได้ผจญกับการโจมตีของเทพและมาร ร่วงตกลงมายังก้นบึ้งของหุบเขาภูตผี ปักคาเข้าไปในผนึกระหว่างสองโลก

เพื่อหลบหนีพวกมารนอกโลก มารดาของเขาได้นำผู้คนจากเรือไปเสาะหาที่ลี้ภัยในแดนใต้พิภพ ฉินมู่น่าจะถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาถูกนำมายังแดนโบราณวินาศได้อย่างไรหลังจากที่เกิดมาแล้ว ทั้งยังลอยน้ำมาตามแม่น้ำหย่งจนถึงหมู่บ้านพิการชรา

ท่านยายซีได้ยินเสียงร้องของทารก และเก็บเขาขึ้นมา นำไปยังหมู่บ้าน

เขาเกิดในแดนใต้พิภพ อย่างไม่มีข้อสงสัย

“เจ้าเกิดในแดนใต้พิภพ…” น้ำเสียงของท้าวยมราชมีความผิดหวังอยู่หลายส่วน “ข้าคิดว่าจะเป็นนกนางแอ่นตัวเก่าที่ย้อนคืนกลับมาเพื่อนำพวกเราเข้าเผชิญศึก สิ้นสุดในสิ่งที่ยังไม่เสร็จสิ้น ไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะได้เห็นนกนางแอ่นตัวใหม่ ซึ่งก็พอได้เหมือนกัน แต่ในท้ายที่สุด นี่ก็ไม่ใช่นกนางแอ่นตัวใหม่ เป็นเพียงลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง ฮี่ๆ จักรพรรดิก่อตั้ง ท่านนั้นช่างไร้กังวลอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวล ลืมไปเรียบร้อยแล้วว่าท่านยังมีผู้คนมากมายรออยู่ในโลกแห่งนี้ให้ท่านหวนกลับมาอีกครั้ง!”

น้ำเสียงของเขามีโทสะเล็กน้อย “หมู่บ้านไร้กังวลไม่ใช่หมู่บ้านอันอ่อนเยาว์ หรือหมู่บ้านที่มิอาจเคลื่อนย้าย มันคือสถานที่ที่ให้ท่านตั้งตัวย้อนกลับมาสู้ใหม่ มิใช่สถานที่ให้ท่านจมเข้าไปในความหลงลืมไร้คิด! ในแดนโบราณวินาศ ยังคงมีเทพและมารจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยังคงรอท่านอย่างไม่ปริปากบ่นให้ย้อนกลับมา พวกเขารอให้ท่านชูธงศึกและเข้าสู้ต่อ!”

ผ้าคลุมเขายังคงกระพือสะบัด มีก็แต่ตอนที่หัวใจของเขาพลุ่งพล่านหรือเมื่อจิตฮึดสู้ของเขาเห่อเหิมขึ้นมา นั่นแหละผ้าคลุมของเขาจึงจะสะท้านไหวอย่างรุนแรง

ทันใดนั้น รัศมีของเขาก็อ่อนราลงไป และเขาก็กลายเป็นหดหู่ลง “ข้าไม่เชื่อว่าจักรพรรดิคนหนึ่งที่ก่อตั้งยุคสมัยทั้งยุคสมัยจะยินยอมรับความพ่ายแพ้และกลายเป็นเงียบงัน กระนั้น ข้าก็ได้รอมาเป็นเวลาสองหมื่นปีแล้ว และรูปสลักหินของแดนโบราณวินาศอีกทั้งภูตผีในยมโลก ต่างก็รอมาเป็นเวลาสองหมื่นปี ทำไมท่านถึงยังไม่กลับมา…”

ฉินมู่มองไปที่เขาอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร

ท้าวยมราชได้คาดหวังการมาเยือนของอาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล และคาดหวังข่าวคราวของจักรพรรดิก่อตั้งมาตลอดเวลาสองหมื่นปี

กระนั้นที่เขาได้พบเจอก็เป็นเพียงฉินมู่ บุคคลซึ่งเกิดในแดนใต้พิภพ ถึงแม้ว่าจะมีสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้งก็ตาม

ฉินมู่มิใช่บุคคลที่เขารออยู่ หากว่าเป็นฉินหานเจิน อย่างน้อยก็จะยังพอช่วยปลุกกำลังใจให้เขาและนำข่าวคราวจากหมู่บ้านไร้กังวลมา

ทว่าฉินมู่ผู้ซึ่งถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ ไม่รู้อะไรเลยสักนิดเกี่ยวกับหมู่บ้านไร้กังวล

ศักดิ์ฐานะของทายาทจักรพรรดิก่อตั้งไม่เพียงพอที่จะปลอบขวัญกำลังใจแก่ทหารผู้จงรักภักดีซึ่งรอคอยมาสองหมื่นปี

ผ่านไปนานอยู่ ลมหายใจของท้าวยมราชก็กลับมาเป็นปกติ ดวงตาใต้ผ้าคลุมดำเปลี่ยนมามองยังฉินมู่และกล่าว “เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ และมันก็เหมือนกับแดนยมโลก–ทั้งสองแดนล้วนแต่เป็นโลกแห่งคนตาย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกแห่งคนตาย ให้ข้าดูสักหน่อยว่ามีอะไรผิดปกติในตัวเจ้าหรือไม่”

ฉินมู่จ้องด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่เข้าใจความหมายของเขา

ทันใดนั้น ท้าวยมราชก็เดินวนไปรอบๆ ตัวเขาและพูดด้วยเสียงอันเคร่งขรึม “มีผู้คนอยู่ในแดนใต้พิภพน้อยนิด แต่สัตว์ประหลาดทั้งหลายสามารถถือกำเนิดในแดนใต้พิภพได้ พวกมันเป็นการรวมกันเข้าระหว่างดวงจิตดวงวิญญาณและสันดานมารในแดนใต้พิภพ เจ้าได้เห็นสัตว์ประหลาดข้างใต้สะพานแห่งความจนปัญญาแล้วสินะ พวกมันมาจากแดนใต้พิภพ เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพนั้นแตกต่างจากวิธีการถือกำเนิดของสัตว์ประหลาดอันก่อขึ้นมาจากความอาฆาตแค้นแห่งฟ้าและดินกับสันดานมาร เจ้าเกิดออกมาจากครรภ์ แต่เจ้าอาจจะแปดเปื้อนสันดานมารแห่งแดนใต้พิภพ”

“แปดเปื้อนสันดานมารแห่งแดนใต้พิภพ?” ฉินมู่ถามหยั่ง “ท่านหมายถึง?”

เขานั้นตะลึงไปเล็กน้อย ครั้งหนึ่งมารเทวะตนหนึ่งเคยกล่าวว่าฉินมู่นั้นก็เป็นมารเหมือนกับเขา หากว่ามารเทวะไม่ได้โกหก และอันที่จริงแล้วเขามีสันดานมารอยู่ในตัวล่ะ?

และเขามีมันมาตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาดูโลก?

ท้าวยมราชไม่พูดอะไรต่อ ในทางกลับกัน เขาเลิกผ้าคลุมสีดำออกและเผยใบหน้าข้างใต้นั้น

ไม่ทันที่ฉินมู่จะได้เห็นใบหน้า ดวงตาทั้งสองก็ราวกับวังน้ำวนหมุนที่ดูดกลืนจิตรู้ของเขาเข้าไปข้างใน

“ไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแต่สำรวจดวงวิญญาณของเจ้าเพื่อดูว่ามันแตกต่างจากมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาในโลกปกติหรือไม่”

ฉินมู่รู้สึกว่าโลกของเขาหมุนติ้วราวกับว่าถูกจับไปไว้ตรงกลางระหว่างดวงตาทั้งสอง พวกมันเป็นสีแดงฉานราวโลหิตและใหญ่โตอย่างพิลึกพิสดาร แก้วตาคู่นั้นมองไปที่เขาจากทางซ้ายและขวาระหว่างที่เขาปั่นหมุนไปอย่างไม่หยุดยั้ง ร่วงลงไปไม่ถึงก้นบึ้ง!

เขารู้สึกราวกับว่ากำลังร่วงลงไปในความมืดอันไร้สิ้นสุด อันมีความรู้สึกถ่วงจมที่ไม่รู้จบ

เมื่อท้าวยมราชเอ่ยวาจา เสียงของเขาก็ดูจะห่างไกลลิบลับจากฉินมู่ ไกลเสียยิ่งกว่าสวรรค์เก้าอันสูงส่ง “ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพมาก่อน และข้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีมนุษย์เกิดขึ้นมาในแดนใต้พิภพ แต่ทว่า ข้าสามารถคาดเดาได้ว่า ตอนที่เจ้าเกิด บางอย่างที่น่าสยดสยองอย่างสุดขีดขั้วได้ปะทุขึ้นมา”

“สันดานมารและดวงวิญญาณอันร่อนเร่ไปทั่วแดนใต้พิภพก็คงจะพยายามเข้าไปในร่างกายของเจ้า มารดาของเจ้าน่าจะสามารถต่อสู้ป้องกันดวงวิญญาณร่อนเร่ในแดนใต้พิภพได้ แต่นางอาจจะไม่สามารถกีดกันสันดานมารออกไป ข้าอยากจะดูว่าแดนใต้พิภพได้ทำอะไรกับเจ้า…”

ฉินมู่พยายามที่จะตั้งจิตให้มั่นคง และจี้หยกที่คอของเขาก็พลันลอยขึ้นมา เกิดแสงและเสียงหึ่งฮัมเมื่อมันสาดส่องออกไปข้างหน้าราวกับว่ากำลังป้องกันเขาไว้จากดวงตาโลหิตของท้าวยมราช

ดวงตาโลหิตทั้งสองขยายใหญ่ขึ้น และแสงจากจี้หยกก็ยิ่งเจิดจ้าขึ้น กระนั้นในท้ายที่สุด เนตรโลหิตทั้งสองของท้าวยมราชก็สะกดข่มแสงจากจี้หยก

ฉินมู่พยายามจะดิ้นรน แต่เขารีดเร้นพละกำลังออกมาไม่ได้เลยสักนิด เขาได้แค่ปล่อยให้ดวงตาสีเลือดคู่นี้อันดูราวกับฝันร้ายน่าสยองยังคงจ้องลึกเข้ามาเค้นหาความลับและสะกดข่มเขาเอาไว้

เขารู้สึกว่ากายเนื้อของเขาไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ ราวกับว่ามันแยกออกไปจากดวงวิญญาณ

ราวกับเขากำลังจมน้ำและไม่อาจหายใจได้อีกต่อไป ดวงวิญญาณของเขาค่อยๆ ลอยออกมาจากร่างเนื้อ

ในจังหวะนั้นเอง ฉินมู่ก็พลันหยุดหมุนติ้ว และเสียงกระซิบกระซาบก็ดังมาจากรอบข้าง ราวกับว่ามีมารร้ายนับไม่ถ้วนที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดอันไร้ขอบเขต กำลังกระซิบไปมาด้วยเสียงแผ่วเบา

เสียงกระซิบเหล่านั้นใกล้เข้ามา ยิ่งดังขึ้นและดังขึ้น อึงอลขึ้นและอึงอลขึ้น สุดท้ายแล้วพวกมันก็กลายเป็นเสียงนับไม่ถ้วนที่โหมถล่มเขาด้วยถ้อยคำแตกต่างกันในภาษาต่างๆ มากมาย ทำให้เขาปวดหัวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ มันดังอึงอลถึงขนาดที่ว่าความคิดและสำนึกรู้ของเขากลายเป็นกระจัดกระจายและสะเปะสะปะ!

ในที่สุดแล้ว สรรพสำเนียงทั้งหลายก็ซ้อนทับกันและหลอมรวมเป็นเสียงเดียว!

มันคือภาษามารแห่งแดนใต้พิภพ!

“หุบปาก!” ฉินมู่ตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด แต่สิ่งที่ออกจากปากของเขามิใช่ภาษามนุษย์ มันเป็นภาษามารแดนใต้พิภพ

ทันใดนั้น พลังงานน่าสะพรึงกลัวก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างกายของเขา และมันพลันเคลื่อนไหวได้ เขายังคงลอยอยู่ที่ระหว่างดวงตาโลหิตทั้งสอง ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว ข้างหลังเขาคือความมืดอันไร้ขอบเขต แต่ปรากฏรอยแยกปริออกมาระหว่างความมืดนั้น!

มันเปิดออก และเสียงกระซิบกระซาบก็ดังระงมอีกครา รอยแยกนั้นขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น จนกระทั่งแสงสว่างไหลออกมา ด้วยเสียงหึ่งฮัม ลูกตาดวงมโหฬารก็ปรากฏข้างหลังเขาและกลอกไปซ้ายขวา

ดวงตานั้นเผยแก้วตาประหลาดอันดูเหมือนมีแก้วตาสามอันเบียดอัดเข้าหากัน พวกมันยังหมุนติ้วพลางเปลี่ยนทิศทางไปมา!

แสงมารสาดส่องจากดวงตาราวกับว่ามีปีกผีเสื้อสีดำที่แผ่สยายออกจากทั้งสองข้าง มันทั้งสวยงามและน่าหลงใหล กระนั้นก็พิลึกกึกกืออย่างถึงที่สุด

“หุบปาก!” ฉินมู่กอดหัวของเขาเอาไว้พลางตะโกนออกไปอย่างโมโหร้าย “อย่าส่งเสียงหนวกหู!”

ตึงงง!

ห้วงมิติรอบๆ สั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกับกระจกที่แตกร้าว

ท้าวยมราชตกตะลึงกับพลานุภาพในเสียงคำรามนั้น และได้แต่จ้องไปด้วยสายตาว่างเปล่ายังดวงตาอันน่าลุ่มหลงหลอกหลอนข้างหลัง เขาพึมพำ “เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ และได้รับผลกระทบจากสันดานมารของแดนใต้พิภพจริงๆ มันอยู่ข้างในร่างกายของเจ้า แต่มันถูกจี้หยกนี้สยบเอาไว้ บัดนี้เมื่อข้าสะกดข่มจี้หยก ข้าก็ได้ปลดปล่อยสันดานมารของเจ้าออกมา…”

“เลิกพล่ามเสียที!”

ภาษามารแดนใต้พิภพจากปากของฉินมู่ไหลออกมาอย่างลื่นคล่องแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเมื่อเสียงของเขาดังออกไป ห้วงอวกาศรอบๆ ข้างก็แตกสลาย กาลและอวกาศอันสร้างขึ้นมาจากเนตรโลหิตของท้าวยมราชพังทลายลงไป

ข้างหลังเขา รอยแยกอีกรอยปรากฏขึ้นมา เมื่อดวงตาอีกดวงกำลังจะเปิดออก

ท้าวยมราชขนหัวลุกเต็มเหยียด ราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ร้ายมหึมาอันน่าสยดสยอง ซึ่งกำลังจะลืมตาตื่น

“สันดานมารร้ายกาจอะไรแบบนี้! ข้าปล่อยเจ้าออกมาไม่ได้เด็ดขาด!”

เขาลงมือทันที และดวงตาโลหิตทั้งสองก็ถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ผ้าคลุมของเขาสะบัดกระพือและเข้าคลี่คลุมฟ้าและดิน ห่อหุ้มทั้งท้องพระโรงราชาฉินเอาไว้ เขาขับเคลื่อนพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อสะกดข่มสันดานมารในร่างของฉินมู่

เสียงอันเต็มไปด้วยสันดานมารดังออกมาจากท้องพระโรงราชาฉินด้วยภาษาแดนใต้พิภพอันคล่องแคล่ว “เป็นแค่ผีตัวเล็กๆ แต่เจ้ากล้าจะสะกดข่มข้า?”

ตูม!

ท้องพระโรงราชาฉินสะท้านไหวอย่างรุนแรง และเสียงเปรี้ยงปร้างอีกระลอกดังออกมา ท้องพระโรงราชาฉินสะท้านสะเทือนอีกหลายครั้ง และเสาทั้งหลายโดยรอบก็ไหวเอนไปซ้ายและขวา หลังคาโถงวังพลันฉีกแยก และทั้งโถงวังก็สั่นเทิ้มราวกับว่ามันพร้อมจะพังย่อยยับลงไปได้ทุกขณะ

ไม่นานนัก ท้องพระโรงก็กลับมาสงบอีกครั้ง

ฉินมู่ลืมตาขึ้นมาและมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง ตรงหน้าเขา เสาใหญ่มากมายแตกหักราวกับว่ามันถูกกรงเล็บคมกล้ากรีดตัดจนขาดครึ่ง มันยังมีอีกหลายเสาที่บิดงอไปราวกับว่าถูกฟาดทุบ

ไฟแท้หยางพิสุทธิ์จำนวนหนึ่งไหลเข้ามาข้างในจากรอยแยกของท้องพระโรงราชาฉิน แผดเผาเนื้อไม้ด้วยลิ้นเพลิงของมัน

ดูราวกับว่าที่นี่เพิ่งผ่านศึกสงครามเมื่อมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากหลังคา ผงคลีกลุ่มใหญ่และอิฐหินร่วงลงมาเป็นระยะ

“เกิดอะไรขึ้น” ฉินมู่งงสนิท

“เจ้าไม่รู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น” เสียงของท้าวยมราชดังมาจากในความมืด

ฉินมู่รีบมองไปยังทิศทางเสียง และเห็นท้าวยมราชถูกฝังเข้าไปในใจกลางเสาอันบิดงอ ราวกับว่าเขาถูกอัดกระแทกด้วยพลานุภาพอันร้ายกาจน่ากลัว

ฉินมู่อ้าปากค้างและรีบเดินเข้าไปหมายจะช่วยเขา แต่ท้าวยมราชโบกมือไล่และดิ้นรนออกมาจากเสาด้วยตนเอง “เจ้าไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น”

ฉินมู่ส่ายหัว เขานั้นไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เขาจำได้ก็แต่ตอนที่ดวงตาของท้าวยมราชมองมาที่เขาขณะที่เขาจมลงไปในนั้นเรื่อยๆ

“ก็ดีเหมือนกันที่เจ้าไม่รู้ จงเก็บจี้หยกหมู่บ้านไร้กังวลนี้ไว้กับตัวตลอดเวลา เจ้าถอดมันออกไม่ได้เด็ดขาด จำเอาไว้เลยว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถอดมันออกไปไม่ได้โดยเด็ดขาด” ท้าวยมราชระบายลมหายใจสะท้านออกมาและกล่าวอย่างเยือกเย็น “จี้หยกนี้เป็นสิ่งของที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้า หากว่าเจ้าทำมันหาย สิ่งน่าสยดสยองจะเกิดขึ้น”

ฉินมู่เก็บจี้หยกกลับเข้าไปใต้เสื้อของเขาและถาม “ข้าเอาจี้หยกให้คนอื่นดูได้ไหม”

ท้าวยมราชตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง และเขากล่าวอย่างเฉียบขาด “อย่าทำจะดีกว่า!”

ฉินมู่จึงยิ้มกล่าว “แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอาจี้หยกให้คนอื่นดูมาตั้งหลายครั้งนะ”

ท้าวยมราชระบายลมหายใจสะท้านอีกรอบ “นั่นคือโชคของพวกเขา และพวกเขาควรยินดีที่ยังรอดชีวิตมาได้ เจ้าไปได้แล้ว ฉือซิ่ว ส่งเขาออกไป!”

เทพฉือซิ่วชะโงกหัวเข้ามาข้างใน มองไปรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อเขาเห็นสภาพอันยับเยินของท้องพระโรงราชาฉิน เขาก็หดคอกลับไปและกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน ตามข้ามา”

ฉินมู่มีความกังขา เขารีบเดินออกไปจากท้องพระโรงราชาฉินและถามเทพฉือซิ่วด้วยเสียงเบา “เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ข้าไม่รู้” เทพฉือซิ่วส่ายหัวและกล่าว “ดูเหมือนจะมีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวบางตัวตนเข้าโจมตีท้องพระโรงราชาฉิน อย่าพูด เจ้ามีกลิ่นของมนุษย์…”

“อีกอย่าง!” เสียงของท้าวยมราชดังมาจากข้างหลัง “เจ้าสามารถเดินเข้าไปในความมืดของแดนโบราณวินาศ และมันจะไม่ทำอันตรายเจ้าเลยแม้แต่น้อย หากว่ามีโอกาส เจ้าก็ควรลองไปเยือนแดนใต้พิภพดูสักหน”

ฉินมู่ตะลึง และหันกลับไปร้องออกมา “ข้าสามารถเข้าไปในความมืดของแดนโบราณวินาศ?”

ไม่ทันที่ท้าวยมราชจะได้ตอบกลับ เสียงครืนครันบาดหูก็ดังมาจากข้างหลังพวกเขา และท้องพระโรงราชาฉินก็ถล่มลงทับจ้าวผู้ครองแห่งแดนยมโลก!

…………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน