หลังจากการเดินทางยาวนานในตอนกลางวัน มันก็ถึงเวลากลางคืนอีกครั้ง คราวนี้ฉินมู่ไม่ได้เสาะหาซากโบราณเพื่อพักผ่อนระหว่างทาง ในทางกลับกัน เขาให้หีบแบกกิเลนมังกรไปในค่ำคืน ส่วนเขาเดินในความมืดตามหลังพวกนั้น
เขาเห็นสิ่งประหลาดมากมายในระหว่างราตรี ด้วยการปรากฏตัวของความมืด เมืองต่างๆ มากมายและสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็พลันปรากฏขึ้นมา มันมีสงครามศึกใหญ่อันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นระหว่างการติดตามผู้ใหญ่บ้านเข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ
ทุกครั้งที่เขาเข้าไปใกล้แสงจากหีบ เขาก็จะไม่สามารถมองเห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ในความมืด แสงเทวะของหีบพาเขากลับเข้าไปในโลกดั้งเดิมของเขา
ที่น่าแปลกก็คือ เขาไม่รู้สึกถึงม่านคุ้มกันระหว่างโลกเลยสักนิด
นี่เป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้
โลกสองโลกใดๆ ก็จะมีม่านคุ้มกันระหว่างโลกเสมอ ทำให้การเดินทางข้ามไปมาจะทำให้ผู้เดินทางต้องทานทนรับการบีบเค้นระหว่างสองโลก ยิ่งผู้เดินทางแข็งแกร่งมากแค่ไหน การบีบเค้นนั้นก็จะรุนแรงมากเท่านั้น
กระนั้นระหว่างแดนมืดและโลกจริงกลับไม่มีท่านคุ้มกันระหว่างกัน อันพิลึกเหลือเกิน
ฉินมู่เดินเข้าไปในแสงของหีบ และขึ้นไปนั่งบนนั้นเพื่อจมไปสู่ภวังค์คิด พักหนึ่ง ดวงตาของเขาก็ลุกวาบ และเขาแย้มยิ้ม ข้ารู้จักผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ดังนั้นเรียกเขามาสักหน่อยก็น่าจะดีไหม
ด้วยความตื่นเต้น เขาให้หีบหยุดเดินทาง เขากระโดดลงไปและนำเอาแท่นสังเวยกระดูกขาวออกมาจากถุงเต๋าตี้ บนแท่นสังเวย เขาวางเทวรูปมารเทวะสี่เศียรแปดกรลงไป
ฉินมู่นำเอาพู่กันผงชาดออกมาและวาดอักษรรูนต่างๆ นานาบนเทวรูปมารเทวะ จากนั้นเขาก็ใช้ปราณชีวิตของตนกระตุ้นการทำงานอักษรรูนเพื่อร่ายเวทมนตร์ ขับเคลื่อนอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อน
ผ่านไปสักพัก เวทมนตร์ของเขาก็สิ้นสุด แต่เทวะรูปมารเทวะไม่กระดุกกระดิก
มันทำให้ฉินมู่สงสัย เขาร่ายเวทมนตร์อีกครั้ง แต่เทวรูปมารเทวะก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยา
“พี่ใหญ่ตู้เถียน น้องชายอัญเชิญท่านมาด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง ถวายเนื้อและอาหารโอชารสมากมาย ขอพี่ใหญ่โปรดเมตตาข้าและมาปรากฏตัว” ฉินมู่ภาวนาต่อ “หากว่าพี่ใหญ่ตู้เถียนไม่มา น้องชายผู้นี้จะสวดภาวนาวันละร้อยหนจนกว่าพี่ใหญ่จะยอมจุติมา พี่ใหญ่…”
“หุบปาก! ใครคือพี่ใหญ่เจ้าหา”
เทวรูปมารเทวะพลันลืมตาขึ้นมาบนใบหน้าหนึ่ง ลูกตาของมันกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งตู้เถียนพบว่าเขาไม่ได้ถูกล่อลวงเข้ามาในกับดักเขาจึงส่งเส้นกระแสสำนึกรู้เส้นหนึ่งลงมา ใบหน้าอีกสามหน้าพลันลืมตาตื่น และเขาอ้าปากเปล่งวาจา
“ข้าไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเจ้า ดังนั้นอย่ามาพูดจาตีสนิทแบบนี้ พวกเราไม่คุ้นเคยกันสักนิด! หากว่าเจ้าภาวนาถึงข้าวันละร้อยหน ข้าได้รำคาญจนคลั่งตายแน่! จ้าวลัทธิฉิน เจ้าอัญเชิญข้ามามีธุระอะไร”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม “ข้ามีสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ” เขาอธิบายสิ่งที่เขาพบเห็นในความมืดและถาม “ทำไมเมื่อโลกสองโลกซ้อนทับกันถึงไม่มีม่านคุ้มกันระหว่างโลกหรือแรงต่อต้านเมื่อผ่านไปมาระหว่างมิติทั้งสอง”
เทวรูปมารเทวะไม้ลุกขึ้นยืนจากแท่นสังเวยและดึงเอากระดูกขาวแท่งหนึ่งออกมากินราวกับว่ามันคือแท่งลูกกวาด “ข้าคิดว่าเจ้าอัญเชิญข้ามาด้วยมีแผนร้ายเสียอีก ที่แท้ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ”
ฉินมู่คารวะด้วยพีธีรีตองของศิษย์และถาม “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่ตู้เถียนจะไขความกระจ่างให้ข้าได้หรือไม่”
ราชามารตู้เถียนรู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ “อย่าสุภาพมาก! เมื่อเจ้าทำตัวสุภาพขนาดนี้ ข้าอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเจ้ากำลังจะก่อเรื่องให้กับข้าหรือเปล่า! ที่เจ้าพูดนั้นจริงๆ แล้วเกี่ยวข้องกับพลังงานในโลกมิติ อันคงที่ตายตัวตลอดเวลา การเกิด การฝึกวิทยายุทธ และการตายของคนคนหนึ่งไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของพลังงานในโลก มันคือกฎพื้นฐานที่สุด!”
ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว “การเกิด การฝึกวิทยายุทธและการตายของคนผู้หนึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพลังงาน ต่อให้พวกเขาบรรลุเป็นเทพ มาร กลายเป็นผู้อมตะไม่มีวันตายอย่างนั้นหรือ”
“แม้ว่าจะมีผู้บรรลุเป็นเทพหรือมาร มันก็ไม่เปลี่ยนพลังงานคงที่ในโลกใบนั้น มันไม่ทำให้พลังงานในโลกมากขึ้นหรือลดลง” ราชามารตู้เถียนกล่าว “พลังงานในโลกคงที่และการเปลี่ยนแปลงของมันจำกัดเมื่อบุคคลผู้หนึ่งเดินทางไปยังโลกอื่นจากโลกนี้ โลกนี้ก็จะสูญเสียพลังงานของบุคคลหนึ่ง ขณะที่อีกโลกหนึ่งจะได้รับพลังงานของอีกคน นี่ส่งผลให้ต้องเผชิญกับการบีบเค้นสองครั้งจากพลังงานของตน ดังนั้นการเดินทางข้ามโลกจึงยากเย็นและจำต้องใช้การเซ่นสังเวยเลือด”
ฉินมู่พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างพลันมีเหตุมีผล “หลักการของการสังเวยเลือดคือบูชายัญสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ไปยังโลกอื่น กลายเป็นพลังงานของโลกอื่น!”
ราชามารตู้เถียนผงกหัว “ในขณะเดียวกัน มารและเทพผู้ได้รับเครื่องสังเวยก็จะเป็นเครื่องสังเวยอีกอย่าง ที่จุติลงไปยังโลกใหม่จากโลกมิติของตน ทดแทนพลังงานที่สูญเสียไปจากการเซ่นสังเวยเป็นผลให้รักษาสมดุลของพลังงานระหว่างสองโลก ยกตัวอย่างเช่น แท่นสังเวยของเจ้านี้ พลังงานในกระดูกถูกเจ้าสังเวยไปและส่งไปยังโลกตู้เถียนของข้า และในการแลกเปลี่ยน ข้าก็จุติลงมาในโลกแสนอันตรายร้ายกาจของเจ้า”
ฉินมู่ดวงตาเป็นประกายและกล่าว “ข้าเข้าใจล่ะ และตอนนี้ ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงขีดจำกัดของพลังงานได้”
“การสังเวยเลือดสร้างสะพานที่เชื่อมผ่านระหว่างสองโลก ข้าสามารถขโมยพลังงานได้จำนวนหนึ่งและนำเข้ามันมาผ่านทางสะพาน อันไม่ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยสมดุลพลังงาน” ราชามารตู้เถียนแย้มยิ้ม “ครั้งล่าสุดที่เจ้าอัญเชิญข้า พลังงานสังเวยนั้นน้อยนิด ดังนั้นข้าจึงต้องขับเคลื่อนพลังงานปริมาณมหาศาลเพื่อจุติลงมาในโลกนี้ นั่นเทียบเท่ากับดึงดันบีบเค้นตนเองเข้ามา แต่ทว่า พลังงานที่ใช้ในการบีบเค้นตัวข้าเข้ามานั้นทำให้ข้าต้องต้านทานแรงกดดันจากทั้งสองโลก ดังนั้นพลังงานที่ข้าบีบเค้นเข้ามาจึงจำกัดจำเขี่ย ไม่นานมันก็จะเกินขีดจำกัดของข้า พลังงานที่ลักลอบนำเข้ามานั้นขึ้นกับความสามารถของผู้สังเวย”
หลังจากที่กระจ่างในเรื่องนี้ ฉินมู่ก็ยังคงขมวดคิ้ว “แต่ทว่าในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ ไม่ปรากฏมีม่านคุ้มกันระหว่างโลกเมื่อสองโลกมิติซ้อนทับกัน ท่านจะอธิบายว่าอย่างไร”
ราชามารตู้เถียนหัวเราะในคอ “หากว่าพลังงานที่ถูกบีบเค้นเข้ามามันเกินกว่าขีดจำกัดที่โลกนี้จะต้านทานรับได้ล่ะ”
ฉินมู่สะท้านใจอย่างแรง “ท่านหมายความว่า…”
“การสังเวยเลือดครั้งใหญ่โตมโหฬารอันก่อสร้างสะพานเป็นแสนๆ ให้เทพและมารนับแสนลักลอบเข้ามาและถ่ายเทพลังงานของพวกเขาเข้าไปในโลกนั้น!” ราชามารตู้เถียนยิ้มอย่างชั่วร้าย “มันก็จะฉีกทำลายม่านคุ้มกันของโลกใบนั้น! หลังจากที่ม่านคุ้มกันของโลกหายไป มันก็ไม่มีสิ่งกีดขวางอีกต่อไป และโลกอื่นก็จะสามารถส่งกำลังพลเข้ามาเข่นฆ่าได้โดยไร้อุปสรรค!”
ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ และเขาตัวสั่นเทิ้มสองสามหน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู และเขาก็ร้องออกมา “ท่านหมายถึงว่าโลกในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ คือโลกที่ม่านคุ้มกันถูกฉีกทำลายไปแล้วหรือ”
“มันอาจจะไม่ใช่โลกในความมืดที่ม่านคุ้มกันฉีกทำลาย” ราชามารตู้เถียนกล่าวพลางยิ้มกว้างให้แก่เขา “เจ้าไม่คิดหรือว่า อาจจะเป็นโลกของเจ้าก็ได้ที่ไม่มีม่านคุ้มกันของโลก”
ฉินมู่ส่ายหัว “หากว่าโลกนี้ไม่มีม่านคุ้มกันจริง ท่านก็คงจุติลงมาตั้งนานแล้ว โลกที่ข้าเห็นในความมืดมีรูห้วงอวกาศจำนวนมากที่เปิดขึ้นมาโดยเหล่ามารเทวะเพื่อนำพาไพร่พลของพวกเขาเข้าโจมตี เห็นได้ชัดว่ามันคือโลกที่ม่านคุ้มกันถูกฉีกทำลาย”
ราชามารตู้เถียนนั่งลงบนหีบและอ้าปากหาวพลางแกว่งขาไปมา แล้วจึงกล่าว “ที่เจ้าบรรยายถึงโลกในความมืดอันซ้อนทับกับโลกแสนอันตรายใบนี้ เตือนให้ข้านึกถึงความเป็นไปได้อันน่าสยดสยอง–เซ่นสังเวยโลก!”
รอยยิ้มอันชั่วร้ายเหลือแสนปรากฏบนใบหน้าทั้งสี่ และเทวรูปนี้ก็แทบจะโดดโลดเต้นด้วยความปรีดา “เซ่นสังเวยโลก คือการบูชายัญโลกมิติหนึ่งทั้งใบ ด้วยพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวที่ถล่นลงไปใส่โลกใบอื่น เทพและมารนับล้านๆ ก็จะสามารถจุติลงมาพร้อมๆ กันเพื่อทำลายโลกใบนั้น! นี่คือแผนการอันสุดแสนจะยิ่งใหญ่ตระการ!”
“พวกเขาจะทำลายโลกใบนั้นหรือ” ฉินมู่ถามด้วยความฉงน
เทวรูปมารเทวะไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อหัวของมันหันไป ดวงตาทั้งสี่คู่จ้องจับมาที่เด็กหนุ่ม
ฉินมู่ขนหัวลุกจนสุดเหยียดและร่ำร้อง “ท่านกำลังหมายถึงว่า หลังจากที่มารเทวะนับแสนที่ฉีกทำลายม่านคุ้มกันของโลกมิตินั้นในความมืด วางแผนที่จะบูชายัญโลกใบนั้นเพื่อจุติลงมาที่นี่?”
ศีรษะของราชามารตู้เถียนหมุนไปรอบๆ คอสองสามที เมื่อเขาปรบมือพลางกล่าวชม “ฉลาดมาก! เมื่อแดนโบราณวินาศซ้อนทับกับโลกใบนั้น พวกเขาก็จะบูชายัญโลกใบนั้น พลังงานรวมทั้งหมดจะมหาศาลขนาดที่จะทำให้โลกอันเต็มไปด้วยเหล่ามารสามารถจุติลงมาในแดนโบราณวินาศได้! เมื่อเวลานั้นมาถึง ภาพอันน่าสะพรึงกลัวของการพุ่งชนกันของโลกมิติสองใบก็จะปรากฏ และชีวิตนับล้านๆ ก็จะตายดับ แค่คิดข้าก็ตื่นเต้นสุดๆ แล้วเนี่ย!”
ฉินมู่มีสีหน้าว่างเปล่า เขาพลันส่ายหัวแล้วกล่าว “เป็นไปไม่ได้ นั่นมันเป็นไปไม่ได้! ความมืดได้ดำรงอยู่มานานถึงสองหมื่นปี นี่ไม่ได้แปลว่าการศึกสงครามในโลกนั้นดำเนินไปอย่างยาวนานถึงสองหมื่นปีหรอกหรือ มันจะมีสงครามที่ยาวนานขนาดนั้นได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้!”
ราชามารตู้เถียนกระโดดลงจากหีบและกล่าว “หากว่าข้าเป็นเจ้า ข้าก็คงจะอพยพไปโลกอื่นตั้งนานแล้ว วิญญูชนย่อมไม่ยืนอยู่ใกล้กำแพงใกล้จะพัง เมื่อรังนกแตกทำลาย ก็ไม่มีไข่ในรังที่เหลือดี โลกนี้อันตรายเกินไป ดังนั้นข้าจะกลับไปล่ะ! อีกอย่าง อย่ามากวนข้าบ่อยนัก ข้ากลัวเจ้า!”
ก่อนที่จะกระโจนเข้าไปในความมืดเพื่อให้ดวงวิญญาณเขากลับไปยังโลกตู้เถียน เขาก็ตะโกนออกมา “เมื่อโลกในความมืดถูกทำลาย ก็จะเป็นวันที่โลกของเจ้าเข้าชนกับโลกของมารเทวะเหล่านั้น และนั่นก็จะเป็นวันสิ้นโลกของเจ้าเช่นกัน!”
เขาจึงพุ่งเข้าไปในความมืดและถูกมันรุกรานทันที ฉินมู่รีบวิ่งตามเขาเข้าไป แต่เห็นเพียงรูปสลักไม้ที่แตกหักเป็นชิ้นๆ
เขาขมวดคิ้วและกลับไปยังข้างๆ หีบ พลังงานในแท่นสังเวยกระดูกขาวก็แห้งเหือดไปหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงแตกพัง
คำพูดราชามารตู้ถียนเชื่อได้แน่หรือ เจ้าหมอนั่นดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไรเลย และเขาก็บรรยายบางอย่างที่มันน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น…
ฉินมู่ปลุกปลอบตอนเอง คำพูดของราชามารตู้เถียนน่าสะพรึงกลัวเกินไป อย่างนั้นเขาจะเชื่อได้สักเท่าไร
แต่ทว่า เมื่อเขามาคิดๆ ดูแล้ว กมลสันดานของราชามารตู้เถียนคือการเริงร่าจากภัยพิบัติและลิงโลดดีใจต่อความวินาศสันตะโร เขาหวังให้ทั้งโลกตกในความปั่นป่วนวุ่นวาย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องโกหกฉินมู่
สันตินิรันดร์อ่อนแอเกินไป ฉินมู่ระบายลมหายใจสะท้านและคิดตามลำพัง แต่ทว่าโลกในความมืดได้ต่อสู้กับเผ่ามารมาเป็นเวลาสองหมื่นปีและยังคงยืนหยัดอยู่ได้จนบัดนี้ พวกเขาคงไม่มาพ่ายแพ้เอาตอนนี้ และถูกใช้โลกทั้งใบเป็นเครื่องเซ่นสังเวยหรอกใช่ไหม นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมสันตินิรันดร์จึงยังมีเวลาอีกมากก่อนที่จะต้องไปเผชิญกับโลกมารใบนั้น ดังนั้นไม่ต้องกังวลมากเกินไป…ฮี่ๆๆ ข้าเกือบตกใจจนฉี่ราดจากที่ราชามารตู้เถียนขู่ข้าให้ผวา ความกลัวอันเหลวไหล นี่จะต้องเป็นความกลัวอันเหลวไหลแน่ๆ!
ผ่านไปหลายวัน ในที่สุดฉินมู่ก็เดินทางออกมาจากแดนโบราณวินาศ และกลับไปยังสันตินิรันดร์ เขารีบขึ้นเรือด่วนจากด่านวารีลับเพื่อมุ่งตรงไปยังเมืองหลวง เขาเขียนฎีกาแก่จักรพรรดิและถวายลูกแก้วเต่าดำที่เสียงซีอวี่มอบให้เขาเป็นเครื่องบรรณาการ เขายังเขียนไปถึงเรื่องที่จะกรุยถนนสร้างทางอีกด้วย
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเรียกขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งหมดมาปรึกษาหารือ และราชครูสันตินิรันดร์ก็อยู่ท่ามกลางขุนนางเหล่านั้น ขุนนางมากมายคัดค้านการสร้างถนน แต่ราชครูสันตินิรันดร์โต้เถียงกับพวกเขา ยืนยันที่จะเห็นต่างจากคนส่วนใหญ่ มีก็แต่เมื่อจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่าจะประหารคนที่คัดค้านให้หมด เรื่องการสร้างถนนถึงได้ข้อสรุป
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงมอบหมายเรื่องนี้ให้แก่กระทรวงการงานและให้ราชครูสันตินิรันดร์เป็นผู้ควบคุมจัดการ ฉินมู่มาพบเขาในภายหลังและกล่าว “ทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกนั้นเหมาะกับลัทธิของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง เทวราชช่วยพาผู้อาวุโสและหัวหน้าโถงจำนวนหนึ่งของพวกเราไปเสาะหาผู้มีพรสวรรค์หน่อย”
ราชครูสันตินิรันดร์ฉงน “จ้าวลัทธิฉิน ให้ข้าจัดการเรื่องนี้จะเหมาะสมหรือ”
“เจ้าเป็นหนึ่งในสี่เทวราชแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา ดังนั้นเจ้าย่อมจะต้องเป็นผู้จัดการเรื่องนี้”
เส้นเลือดผุดขึ้นมาที่หน้าผากราชครูสันตินิรันดร์ปุดๆ และเขาก็กล่าวด้วยเสียงทื่อ “แล้วจ้าวลัทธิล่ะ?”
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “ข้าจะไปเยี่ยมเยียนญาติมิตรเพื่อทำธุรกิจและแสวงหาเงินทอง”
………………