ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 513 ทฤษฎีและการวิเคราะห์เรื่องเซ่นสังเวย

ตอนที่ 513 ทฤษฎีและการวิเคราะห์เรื่องเซ่นสังเวย

หลังจากการเดินทางยาวนานในตอนกลางวัน มันก็ถึงเวลากลางคืนอีกครั้ง คราวนี้ฉินมู่ไม่ได้เสาะหาซากโบราณเพื่อพักผ่อนระหว่างทาง ในทางกลับกัน เขาให้หีบแบกกิเลนมังกรไปในค่ำคืน ส่วนเขาเดินในความมืดตามหลังพวกนั้น

เขาเห็นสิ่งประหลาดมากมายในระหว่างราตรี ด้วยการปรากฏตัวของความมืด เมืองต่างๆ มากมายและสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็พลันปรากฏขึ้นมา มันมีสงครามศึกใหญ่อันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นระหว่างการติดตามผู้ใหญ่บ้านเข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ

ทุกครั้งที่เขาเข้าไปใกล้แสงจากหีบ เขาก็จะไม่สามารถมองเห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ในความมืด แสงเทวะของหีบพาเขากลับเข้าไปในโลกดั้งเดิมของเขา

ที่น่าแปลกก็คือ เขาไม่รู้สึกถึงม่านคุ้มกันระหว่างโลกเลยสักนิด

นี่เป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้

โลกสองโลกใดๆ ก็จะมีม่านคุ้มกันระหว่างโลกเสมอ ทำให้การเดินทางข้ามไปมาจะทำให้ผู้เดินทางต้องทานทนรับการบีบเค้นระหว่างสองโลก ยิ่งผู้เดินทางแข็งแกร่งมากแค่ไหน การบีบเค้นนั้นก็จะรุนแรงมากเท่านั้น

กระนั้นระหว่างแดนมืดและโลกจริงกลับไม่มีท่านคุ้มกันระหว่างกัน อันพิลึกเหลือเกิน

ฉินมู่เดินเข้าไปในแสงของหีบ และขึ้นไปนั่งบนนั้นเพื่อจมไปสู่ภวังค์คิด พักหนึ่ง ดวงตาของเขาก็ลุกวาบ และเขาแย้มยิ้ม ข้ารู้จักผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ดังนั้นเรียกเขามาสักหน่อยก็น่าจะดีไหม

ด้วยความตื่นเต้น เขาให้หีบหยุดเดินทาง เขากระโดดลงไปและนำเอาแท่นสังเวยกระดูกขาวออกมาจากถุงเต๋าตี้ บนแท่นสังเวย เขาวางเทวรูปมารเทวะสี่เศียรแปดกรลงไป

ฉินมู่นำเอาพู่กันผงชาดออกมาและวาดอักษรรูนต่างๆ นานาบนเทวรูปมารเทวะ จากนั้นเขาก็ใช้ปราณชีวิตของตนกระตุ้นการทำงานอักษรรูนเพื่อร่ายเวทมนตร์ ขับเคลื่อนอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อน

ผ่านไปสักพัก เวทมนตร์ของเขาก็สิ้นสุด แต่เทวะรูปมารเทวะไม่กระดุกกระดิก

มันทำให้ฉินมู่สงสัย เขาร่ายเวทมนตร์อีกครั้ง แต่เทวรูปมารเทวะก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยา

“พี่ใหญ่ตู้เถียน น้องชายอัญเชิญท่านมาด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง ถวายเนื้อและอาหารโอชารสมากมาย ขอพี่ใหญ่โปรดเมตตาข้าและมาปรากฏตัว” ฉินมู่ภาวนาต่อ “หากว่าพี่ใหญ่ตู้เถียนไม่มา น้องชายผู้นี้จะสวดภาวนาวันละร้อยหนจนกว่าพี่ใหญ่จะยอมจุติมา พี่ใหญ่…”

“หุบปาก! ใครคือพี่ใหญ่เจ้าหา”

เทวรูปมารเทวะพลันลืมตาขึ้นมาบนใบหน้าหนึ่ง ลูกตาของมันกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งตู้เถียนพบว่าเขาไม่ได้ถูกล่อลวงเข้ามาในกับดักเขาจึงส่งเส้นกระแสสำนึกรู้เส้นหนึ่งลงมา ใบหน้าอีกสามหน้าพลันลืมตาตื่น และเขาอ้าปากเปล่งวาจา

“ข้าไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเจ้า ดังนั้นอย่ามาพูดจาตีสนิทแบบนี้ พวกเราไม่คุ้นเคยกันสักนิด! หากว่าเจ้าภาวนาถึงข้าวันละร้อยหน ข้าได้รำคาญจนคลั่งตายแน่! จ้าวลัทธิฉิน เจ้าอัญเชิญข้ามามีธุระอะไร”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม “ข้ามีสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ” เขาอธิบายสิ่งที่เขาพบเห็นในความมืดและถาม “ทำไมเมื่อโลกสองโลกซ้อนทับกันถึงไม่มีม่านคุ้มกันระหว่างโลกหรือแรงต่อต้านเมื่อผ่านไปมาระหว่างมิติทั้งสอง”

เทวรูปมารเทวะไม้ลุกขึ้นยืนจากแท่นสังเวยและดึงเอากระดูกขาวแท่งหนึ่งออกมากินราวกับว่ามันคือแท่งลูกกวาด “ข้าคิดว่าเจ้าอัญเชิญข้ามาด้วยมีแผนร้ายเสียอีก ที่แท้ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ”

ฉินมู่คารวะด้วยพีธีรีตองของศิษย์และถาม “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่ตู้เถียนจะไขความกระจ่างให้ข้าได้หรือไม่”

ราชามารตู้เถียนรู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ “อย่าสุภาพมาก! เมื่อเจ้าทำตัวสุภาพขนาดนี้ ข้าอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเจ้ากำลังจะก่อเรื่องให้กับข้าหรือเปล่า! ที่เจ้าพูดนั้นจริงๆ แล้วเกี่ยวข้องกับพลังงานในโลกมิติ อันคงที่ตายตัวตลอดเวลา การเกิด การฝึกวิทยายุทธ และการตายของคนคนหนึ่งไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของพลังงานในโลก มันคือกฎพื้นฐานที่สุด!”

ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว “การเกิด การฝึกวิทยายุทธและการตายของคนผู้หนึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพลังงาน ต่อให้พวกเขาบรรลุเป็นเทพ มาร กลายเป็นผู้อมตะไม่มีวันตายอย่างนั้นหรือ”

“แม้ว่าจะมีผู้บรรลุเป็นเทพหรือมาร มันก็ไม่เปลี่ยนพลังงานคงที่ในโลกใบนั้น มันไม่ทำให้พลังงานในโลกมากขึ้นหรือลดลง” ราชามารตู้เถียนกล่าว “พลังงานในโลกคงที่และการเปลี่ยนแปลงของมันจำกัดเมื่อบุคคลผู้หนึ่งเดินทางไปยังโลกอื่นจากโลกนี้ โลกนี้ก็จะสูญเสียพลังงานของบุคคลหนึ่ง ขณะที่อีกโลกหนึ่งจะได้รับพลังงานของอีกคน นี่ส่งผลให้ต้องเผชิญกับการบีบเค้นสองครั้งจากพลังงานของตน ดังนั้นการเดินทางข้ามโลกจึงยากเย็นและจำต้องใช้การเซ่นสังเวยเลือด”

ฉินมู่พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างพลันมีเหตุมีผล “หลักการของการสังเวยเลือดคือบูชายัญสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ไปยังโลกอื่น กลายเป็นพลังงานของโลกอื่น!”

ราชามารตู้เถียนผงกหัว “ในขณะเดียวกัน มารและเทพผู้ได้รับเครื่องสังเวยก็จะเป็นเครื่องสังเวยอีกอย่าง ที่จุติลงไปยังโลกใหม่จากโลกมิติของตน ทดแทนพลังงานที่สูญเสียไปจากการเซ่นสังเวยเป็นผลให้รักษาสมดุลของพลังงานระหว่างสองโลก ยกตัวอย่างเช่น แท่นสังเวยของเจ้านี้ พลังงานในกระดูกถูกเจ้าสังเวยไปและส่งไปยังโลกตู้เถียนของข้า และในการแลกเปลี่ยน ข้าก็จุติลงมาในโลกแสนอันตรายร้ายกาจของเจ้า”

ฉินมู่ดวงตาเป็นประกายและกล่าว “ข้าเข้าใจล่ะ และตอนนี้ ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงขีดจำกัดของพลังงานได้”

“การสังเวยเลือดสร้างสะพานที่เชื่อมผ่านระหว่างสองโลก ข้าสามารถขโมยพลังงานได้จำนวนหนึ่งและนำเข้ามันมาผ่านทางสะพาน อันไม่ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยสมดุลพลังงาน” ราชามารตู้เถียนแย้มยิ้ม “ครั้งล่าสุดที่เจ้าอัญเชิญข้า พลังงานสังเวยนั้นน้อยนิด ดังนั้นข้าจึงต้องขับเคลื่อนพลังงานปริมาณมหาศาลเพื่อจุติลงมาในโลกนี้ นั่นเทียบเท่ากับดึงดันบีบเค้นตนเองเข้ามา แต่ทว่า พลังงานที่ใช้ในการบีบเค้นตัวข้าเข้ามานั้นทำให้ข้าต้องต้านทานแรงกดดันจากทั้งสองโลก ดังนั้นพลังงานที่ข้าบีบเค้นเข้ามาจึงจำกัดจำเขี่ย ไม่นานมันก็จะเกินขีดจำกัดของข้า พลังงานที่ลักลอบนำเข้ามานั้นขึ้นกับความสามารถของผู้สังเวย”

หลังจากที่กระจ่างในเรื่องนี้ ฉินมู่ก็ยังคงขมวดคิ้ว “แต่ทว่าในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ ไม่ปรากฏมีม่านคุ้มกันระหว่างโลกเมื่อสองโลกมิติซ้อนทับกัน ท่านจะอธิบายว่าอย่างไร”

ราชามารตู้เถียนหัวเราะในคอ “หากว่าพลังงานที่ถูกบีบเค้นเข้ามามันเกินกว่าขีดจำกัดที่โลกนี้จะต้านทานรับได้ล่ะ”

ฉินมู่สะท้านใจอย่างแรง “ท่านหมายความว่า…”

“การสังเวยเลือดครั้งใหญ่โตมโหฬารอันก่อสร้างสะพานเป็นแสนๆ ให้เทพและมารนับแสนลักลอบเข้ามาและถ่ายเทพลังงานของพวกเขาเข้าไปในโลกนั้น!” ราชามารตู้เถียนยิ้มอย่างชั่วร้าย “มันก็จะฉีกทำลายม่านคุ้มกันของโลกใบนั้น! หลังจากที่ม่านคุ้มกันของโลกหายไป มันก็ไม่มีสิ่งกีดขวางอีกต่อไป และโลกอื่นก็จะสามารถส่งกำลังพลเข้ามาเข่นฆ่าได้โดยไร้อุปสรรค!”

ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ และเขาตัวสั่นเทิ้มสองสามหน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู และเขาก็ร้องออกมา “ท่านหมายถึงว่าโลกในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ คือโลกที่ม่านคุ้มกันถูกฉีกทำลายไปแล้วหรือ”

“มันอาจจะไม่ใช่โลกในความมืดที่ม่านคุ้มกันฉีกทำลาย” ราชามารตู้เถียนกล่าวพลางยิ้มกว้างให้แก่เขา “เจ้าไม่คิดหรือว่า อาจจะเป็นโลกของเจ้าก็ได้ที่ไม่มีม่านคุ้มกันของโลก”

ฉินมู่ส่ายหัว “หากว่าโลกนี้ไม่มีม่านคุ้มกันจริง ท่านก็คงจุติลงมาตั้งนานแล้ว โลกที่ข้าเห็นในความมืดมีรูห้วงอวกาศจำนวนมากที่เปิดขึ้นมาโดยเหล่ามารเทวะเพื่อนำพาไพร่พลของพวกเขาเข้าโจมตี เห็นได้ชัดว่ามันคือโลกที่ม่านคุ้มกันถูกฉีกทำลาย”

ราชามารตู้เถียนนั่งลงบนหีบและอ้าปากหาวพลางแกว่งขาไปมา แล้วจึงกล่าว “ที่เจ้าบรรยายถึงโลกในความมืดอันซ้อนทับกับโลกแสนอันตรายใบนี้ เตือนให้ข้านึกถึงความเป็นไปได้อันน่าสยดสยอง–เซ่นสังเวยโลก!”

รอยยิ้มอันชั่วร้ายเหลือแสนปรากฏบนใบหน้าทั้งสี่ และเทวรูปนี้ก็แทบจะโดดโลดเต้นด้วยความปรีดา “เซ่นสังเวยโลก คือการบูชายัญโลกมิติหนึ่งทั้งใบ ด้วยพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวที่ถล่นลงไปใส่โลกใบอื่น เทพและมารนับล้านๆ ก็จะสามารถจุติลงมาพร้อมๆ กันเพื่อทำลายโลกใบนั้น! นี่คือแผนการอันสุดแสนจะยิ่งใหญ่ตระการ!”

“พวกเขาจะทำลายโลกใบนั้นหรือ” ฉินมู่ถามด้วยความฉงน

เทวรูปมารเทวะไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อหัวของมันหันไป ดวงตาทั้งสี่คู่จ้องจับมาที่เด็กหนุ่ม

ฉินมู่ขนหัวลุกจนสุดเหยียดและร่ำร้อง “ท่านกำลังหมายถึงว่า หลังจากที่มารเทวะนับแสนที่ฉีกทำลายม่านคุ้มกันของโลกมิตินั้นในความมืด วางแผนที่จะบูชายัญโลกใบนั้นเพื่อจุติลงมาที่นี่?”

ศีรษะของราชามารตู้เถียนหมุนไปรอบๆ คอสองสามที เมื่อเขาปรบมือพลางกล่าวชม “ฉลาดมาก! เมื่อแดนโบราณวินาศซ้อนทับกับโลกใบนั้น พวกเขาก็จะบูชายัญโลกใบนั้น พลังงานรวมทั้งหมดจะมหาศาลขนาดที่จะทำให้โลกอันเต็มไปด้วยเหล่ามารสามารถจุติลงมาในแดนโบราณวินาศได้! เมื่อเวลานั้นมาถึง ภาพอันน่าสะพรึงกลัวของการพุ่งชนกันของโลกมิติสองใบก็จะปรากฏ และชีวิตนับล้านๆ ก็จะตายดับ แค่คิดข้าก็ตื่นเต้นสุดๆ แล้วเนี่ย!”

ฉินมู่มีสีหน้าว่างเปล่า เขาพลันส่ายหัวแล้วกล่าว “เป็นไปไม่ได้ นั่นมันเป็นไปไม่ได้! ความมืดได้ดำรงอยู่มานานถึงสองหมื่นปี นี่ไม่ได้แปลว่าการศึกสงครามในโลกนั้นดำเนินไปอย่างยาวนานถึงสองหมื่นปีหรอกหรือ มันจะมีสงครามที่ยาวนานขนาดนั้นได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้!”

ราชามารตู้เถียนกระโดดลงจากหีบและกล่าว “หากว่าข้าเป็นเจ้า ข้าก็คงจะอพยพไปโลกอื่นตั้งนานแล้ว วิญญูชนย่อมไม่ยืนอยู่ใกล้กำแพงใกล้จะพัง เมื่อรังนกแตกทำลาย ก็ไม่มีไข่ในรังที่เหลือดี โลกนี้อันตรายเกินไป ดังนั้นข้าจะกลับไปล่ะ! อีกอย่าง อย่ามากวนข้าบ่อยนัก ข้ากลัวเจ้า!”

ก่อนที่จะกระโจนเข้าไปในความมืดเพื่อให้ดวงวิญญาณเขากลับไปยังโลกตู้เถียน เขาก็ตะโกนออกมา “เมื่อโลกในความมืดถูกทำลาย ก็จะเป็นวันที่โลกของเจ้าเข้าชนกับโลกของมารเทวะเหล่านั้น และนั่นก็จะเป็นวันสิ้นโลกของเจ้าเช่นกัน!”

เขาจึงพุ่งเข้าไปในความมืดและถูกมันรุกรานทันที ฉินมู่รีบวิ่งตามเขาเข้าไป แต่เห็นเพียงรูปสลักไม้ที่แตกหักเป็นชิ้นๆ

เขาขมวดคิ้วและกลับไปยังข้างๆ หีบ พลังงานในแท่นสังเวยกระดูกขาวก็แห้งเหือดไปหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงแตกพัง

คำพูดราชามารตู้ถียนเชื่อได้แน่หรือ เจ้าหมอนั่นดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไรเลย และเขาก็บรรยายบางอย่างที่มันน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น…

ฉินมู่ปลุกปลอบตอนเอง คำพูดของราชามารตู้เถียนน่าสะพรึงกลัวเกินไป อย่างนั้นเขาจะเชื่อได้สักเท่าไร

แต่ทว่า เมื่อเขามาคิดๆ ดูแล้ว กมลสันดานของราชามารตู้เถียนคือการเริงร่าจากภัยพิบัติและลิงโลดดีใจต่อความวินาศสันตะโร เขาหวังให้ทั้งโลกตกในความปั่นป่วนวุ่นวาย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องโกหกฉินมู่

สันตินิรันดร์อ่อนแอเกินไป ฉินมู่ระบายลมหายใจสะท้านและคิดตามลำพัง แต่ทว่าโลกในความมืดได้ต่อสู้กับเผ่ามารมาเป็นเวลาสองหมื่นปีและยังคงยืนหยัดอยู่ได้จนบัดนี้ พวกเขาคงไม่มาพ่ายแพ้เอาตอนนี้ และถูกใช้โลกทั้งใบเป็นเครื่องเซ่นสังเวยหรอกใช่ไหม นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมสันตินิรันดร์จึงยังมีเวลาอีกมากก่อนที่จะต้องไปเผชิญกับโลกมารใบนั้น ดังนั้นไม่ต้องกังวลมากเกินไป…ฮี่ๆๆ ข้าเกือบตกใจจนฉี่ราดจากที่ราชามารตู้เถียนขู่ข้าให้ผวา ความกลัวอันเหลวไหล นี่จะต้องเป็นความกลัวอันเหลวไหลแน่ๆ!

ผ่านไปหลายวัน ในที่สุดฉินมู่ก็เดินทางออกมาจากแดนโบราณวินาศ และกลับไปยังสันตินิรันดร์ เขารีบขึ้นเรือด่วนจากด่านวารีลับเพื่อมุ่งตรงไปยังเมืองหลวง เขาเขียนฎีกาแก่จักรพรรดิและถวายลูกแก้วเต่าดำที่เสียงซีอวี่มอบให้เขาเป็นเครื่องบรรณาการ เขายังเขียนไปถึงเรื่องที่จะกรุยถนนสร้างทางอีกด้วย

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเรียกขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งหมดมาปรึกษาหารือ และราชครูสันตินิรันดร์ก็อยู่ท่ามกลางขุนนางเหล่านั้น ขุนนางมากมายคัดค้านการสร้างถนน แต่ราชครูสันตินิรันดร์โต้เถียงกับพวกเขา ยืนยันที่จะเห็นต่างจากคนส่วนใหญ่ มีก็แต่เมื่อจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่าจะประหารคนที่คัดค้านให้หมด เรื่องการสร้างถนนถึงได้ข้อสรุป

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงมอบหมายเรื่องนี้ให้แก่กระทรวงการงานและให้ราชครูสันตินิรันดร์เป็นผู้ควบคุมจัดการ ฉินมู่มาพบเขาในภายหลังและกล่าว “ทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกนั้นเหมาะกับลัทธิของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง เทวราชช่วยพาผู้อาวุโสและหัวหน้าโถงจำนวนหนึ่งของพวกเราไปเสาะหาผู้มีพรสวรรค์หน่อย”

ราชครูสันตินิรันดร์ฉงน “จ้าวลัทธิฉิน ให้ข้าจัดการเรื่องนี้จะเหมาะสมหรือ”

“เจ้าเป็นหนึ่งในสี่เทวราชแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา ดังนั้นเจ้าย่อมจะต้องเป็นผู้จัดการเรื่องนี้”

เส้นเลือดผุดขึ้นมาที่หน้าผากราชครูสันตินิรันดร์ปุดๆ และเขาก็กล่าวด้วยเสียงทื่อ “แล้วจ้าวลัทธิล่ะ?”

ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “ข้าจะไปเยี่ยมเยียนญาติมิตรเพื่อทำธุรกิจและแสวงหาเงินทอง”

………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท