ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 521 กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก

ตอนที่ 521 กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก

ตรงหน้านั้นคือเงาร่างที่สูงและแข็งแกร่ง ฉินมู่เดินขึ้นไปบนขั้นบันไดของโถงศักดิ์สิทธิ์อันมีหีบส่งเสียงก๊อกแก๊กตามหลังเขามา ฉินมู่ยกมือห้าม และหีบก็หยุดอยู่ข้างนอก มันหดขาทั้งสี่กลับไปและตั้งวางอยู่กับพื้น

หีบส่งเสียงเอี๊ยดเมื่อฝาข้างบนของมันเปิดขึ้นมา ในช่องเปิดนั้น กิเลนมังกรมองไปรอบๆ และเห็นหลุมศพอยู่ทุกหนทุกแห่ง เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจปีนไต่ออกมาอย่างลำบากยากเย็น เขาเดินย่องๆ หมอบๆ จนพุงเรี่ยพื้นขณะที่เดินตามฉินมู่ด้วยหางอันลู่หลุบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นตกลากพื้น เขาไม่กล้าส่งเสียงเลยสักนิด

ทันใดนั้น กิเลนมังกรก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เหยียบลงมาบนหางของมันและหวีดร้องเสียงแหลม ขนและเกล็ดทั้งตัวเขาชี้ชันขึ้น

ฉินมู่หันกลับไปดูและเห็นกิเลนมังกรใช้อุ้งเท้าหน้าทั้งสองยัดเข้าไปในปากตนเอง นั่นแหละเขาถึงหยุดตนเองไม่ให้ส่งเสียงได้

เมื่อเขาหันกลับไป ก็เห็นหีบที่เดินเขย่งย่องตามมาข้างหลัง เป็นสิ่งนี้นี่เองที่เหยียบโดนหางของเขาและทำให้เขาตกใจจนแทบฉี่ราด

ฉินมู่เริ่มปวดหัวตึ้บและอยากจะตะโกนไล่ไอ้เจ้าสองตัวนี้ให้ออกไปไกลๆ แต่เขารู้สึกว่าทำเช่นนั้นก็ไม่สมกับบรรยากาศอันเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ เขาจึงได้แต่ปลอบขวัญตนเองและปล่อยให้พวกเขาตามตนมา “หากว่าพวกเจ้าทั้งสองเล่นอะไรเลอะเทอะอีกละก็ ข้าจะเปลี่ยนเจ้าตัวหนึ่งให้เป็นไม้ฟืน ส่วนอีกตัวข้าจะเอาไปย่างเป็นมื้อเย็น!”

เมื่อเขาเข้ามาถึงข้างหลังเงาร่างนั้น เขาถึงตระหนักว่าตนเองเตี้ยกว่าคนผู้นั้นไม่เท่าไร เขาซึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มเตี้ยกว่าคนผู้นั้นเพียงหนึ่งนิ้ว

แต่ทว่า ความประทับใจที่เงาร่างนี้ส่งมายังเขาคือเป็นบุคคลอันสูงตระหง่าน มันเป็นผลกระทบจากรัศมีและท่วงทีของคนผู้นี้อันมีต่อหัวใจของเขา เงาร่างนี้เป็นของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกอันเคยเป็นรูปสลักหินที่ฉินมู่พบเห็นในนครหยกน้อย

“เจ้าคงจะเป็นกษัตริย์มนุษย์รุ่นที่สามสิบหกสินะ?”

บรรพชนแรกเบือนหน้ากลับมามองไปที่เขา เขาเป็นชายที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัยราวๆ สามสิบ เขามีหนวดเคราเต็มไปหมด และดูบึกบึนกำยำ แผ่รัศมีกลิ่นอายของความพึ่งพิงได้

“ข้าคือรุ่นที่สามสิบเจ็ด” ฉินมู่แก้เขาให้ถูกต้อง “ผู้ใหญ่บ้านเป็นอาจารย์ของข้าและเป็นผู้ที่รับข้าเข้ามา แต่นี่ก็ยังคงเป็นครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่”

เขามองไปข้างหน้าและตะลึงไปเล็กน้อย เขาเพิ่งตระหนักว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกำลังมองอะไรอยู่

มันคือชั้นหนังสือเป็นแถวๆ ที่มีหนังสืออยู่มากมายนับไม่ถ้วน โถงกษัตริย์มนุษย์ใหญ่โตโอ่โถง แต่มันไม่มีหยกและทองประดับเหมือนดังที่ฉินมู่คาดหมายเอาไว้ มันไม่มีเทวรูปอันสูงเยี่ยมยืนยงหรือสิ่งหรูหราใดเลยสักนิด มีก็แต่ชั้นหนังสือหลายต่อหลายชั้น

เขาเดินเข้าไปและหยิบหนังสือ ถ้อยคำที่เขียนไว้บนนั้นไม่คุ้นเคย แต่กลับมีเจตจำนงกระบี่ที่เขาคุ้นเคยแฝงอยู่ในนั้น

มันคือหนังสือที่ผู้ใหญ่บ้านเขียน

ข้างในนั้น เขากล่าวถึงวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเทพดาวเฉียวแห่งเหนือฟ้า เขาได้เขียนจุดอ่อนมากมายของวิชาและทักษะเหล่านั้นเพื่อศึกษาช่องโหว่

ฉินมู่คืนหนังสือกลับไปที่ชั้น และหยิบเอาอีกเล่ม บนนั้นเขียนไว้ถึงจุดอ่อนและจุดแข็งมากมายของวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเทพครองแดนหยก เขาพลิกดูหนังสือเล่มอื่นๆ และส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการบอกเล่าประสบการณ์การเผชิญหน้ากับวิชาและทักษะของทวยเทพแห่งเหนือฟ้า

ฉินมู่ยังค้นเจอภาพกระบี่อีกด้วย อันมีม้วนกระดาษจำนวนมากมายก่ายกองที่บันทึกว่าผู้ใหญ่บ้านฝึกปรือภาพกระบี่ของเขาอย่างไร มรรคาเต๋าและอารมณ์ของแต่ละเพลงกระบี่ถูกบันทึกเอาไว้ในนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาตระเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้แก่ทายาทรุ่นหลัง

เด็กหนุ่มมายังชั้นหนังสือที่สองอันถ้อยคำเต็มไปด้วยบรรยากาศยิ่งใหญ่ไพศาล มันมีแรงขับดันราวกับภูเขาไฟระเบิด ดังนั้นหนังสือที่นั่นน่าจะเป็นงานเขียนของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง

งานเขียนของเขาส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับวิชาของเทพแห่งเหนือฟ้า เช่นเดียวกับวิธีเผชิญหน้ากับพวกนั้นที่เขาคิดคำนวณ นอกจากนั้น ที่เหลือก็เป็นวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง

แต่ทว่า เขาได้เอ่ยไว้ในนั้นว่า ใครก็ตามที่คิดจะฝึกวิชาของเขาล้วนแต่โง่เขลาเบาปัญญา เขานั้นไม่เคยเอาชนะเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้าได้เลย ดังนั้นการฝึกปรือวิชาของเขาก็มีแต่จะทำให้ตกลงไปในหนทางเดียวกับเขา ในถ้อยคำเหล่านั้นมีวี่แววของความผิดหวัง

มิน่าล่ะ กษัตริย์มนุษย์ทุกๆ คนถึงไม่ฝึกปรือวิชาของอาจารย์ตน แต่กลับยืนกรานที่จะคิดค้นวิชาใหม่ๆ ฉินมู่พลันเข้าใจความรู้สึกของอดีตกษัตริย์มนุษย์

พวกเขาล้วนแต่เป็นความล้มเหลว และไม่ต้องการให้ศิษย์ของตนเดินซ้ำรอยเดิม สาเหตุที่พวกเขาทิ้งวิชาของพวกตนเองไว้ก็คงเพราะว่าพวกมันคือความพากเพียรชั่วชีวิตของพวกเขา พวกเขาอยากที่จะมีผู้สืบทอด แต่ก็ไม่อาจเป็นศิษย์ของตนได้

นี่อาจจะเป็นความเสียใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา

“หนังสือเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิธีการปราบปรามเหนือฟ้า” กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเดินเข้ามาและลูบไล้หนังสือบนชั้นวาง “พวกเขามองเหนือฟ้าเป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ที่สุด และใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อล้มล้างพวกนั้น แต่ทว่า น่าเวทนานักที่พวกเขาทั้งหมดล้มเหลว เจ้าสามารถอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาสักระยะหนึ่ง มันจะช่วยให้เจ้าเสาะหามรรคาเต๋าของตนพบ”

ฉินมู่ส่ายหัว “เทพแห่งเหนือฟ้าตายกันเกือบหมดแล้ว และเทพครองแดนทั้งสี่ก็สิ้นชื่อ ตอนนี้เหนือฟ้ามิใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป หนังสือบนชั้นหนังสือพวกนี้ไม่มีประโยชน์มากมายแล้ว เป้าหมายของข้ามิใช่ทวยเทพแห่งเหนือฟ้า หรือการเข้าไปยึดครองสถานที่นั้น”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปที่เขาด้วยความตกตะลึง “เป้าหมายของเจ้าคืออะไร”

ฉินมู่มองตรงไปยังบรรพชนและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เป้าหมายของข้าคือการฉีกทึ้งท้องฟ้าจอมปลอม เพื่อปฏิวัติโลกอันไม่ยุติธรรม เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าจากการปฏิรูป เพื่อสรรค์สร้างยุคสมัยอันรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ที่มิได้เป็นของจักรพรรดิก่อตั้ง!” สายตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นบ้าบิ่นและถามกลับไปด้วยเสียงอันดัง “บรรพชนแรก นี่ก็เป็นเป้าหมายของท่านด้วยเช่นกัน ใช่ไหม”

“เปล่า” สายตาของบรรพชนแรกมืดมัวลง และเขาส่ายหัว “อุดมคติของข้ามิได้ทะเยอทะยานเท่ากับเจ้า ข้านั้นถูกกัดเซาะโดยกาลเวลาและศัตรูมากมาย เจ้านั้นยังเยาว์และมีแรงขับดัน ส่วนข้านั้นเป็นตาแก่ที่ท้อถอยหมดกำลังใจ วันใดวันหนึ่งเจ้าก็จะถูกศัตรูของเจ้าบ่อนเซาะให้ท้อรันทดเช่นกัน”

“เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าก็จะมาที่โถงกษัตริย์มนุษย์และทิ้งหนังสือของเจ้าเอาไว้เหมือนกับกษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ เจ้าจะเขียนบันทึกความล้มเหลวของเจ้า และหวังว่าทายาทของเจ้าจะกระทำในสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้”

เสียงของเขาเย็นชาขึ้นและโหดร้ายขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในทุกๆ คำพูด “เจ้าคือความล้มเหลว เหมือนกับพวกเขา เจ้าจะสร้างกระท่อมหญ้าฟางอย่างเงียบงันและนั่งอยู่ในนั้นด้วยความหวังทั้งหมดที่สูญสิ้น เจ้าจะไม่อยากให้มีใครเดินซ้ำรอยของเจ้า แต่ความรับผิดชอบของกษัตริย์มนุษย์จะทำให้เจ้าไร้ทางเลือกอื่นนอกเสียจากไปเสาะหาทายาท ในกระท่อมฟาง เจ้าจะปาดป้ายน้ำตาย้อนเสียใจ เจ้าจะเกลียดอาจารย์ที่เจ้าเคารพ และเจ้าจะสลักป้ายหินหลุมศพของตัวเจ้าเองอันจะบันทึกความล้มเหลวของเจ้าเอาไว้”

เขายิ้มหยันและกล่าว “เจ้าจะรู้สึกว่าไม่ควรค่าแก่การมีหลุมศพ ไม่มีหน้าสู้บรรพบุรุษ จากนั้นเจ้าก็จะหายใจเฮือกสุดท้าย และกลายเป็นเหมือนกับโครงกระดูกโครงอื่นๆ ในกระท่อมฟาง!”

ฉินมู่จ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู ภาพลักษณ์อันห้าวหาญและทรงปัญญาของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกพลันย่อยยับลงไปในหัวใจของเขา!

“เจ้ายังอยากจะเป็นกษัตริย์มนุษย์อีกหรือ ให้ข้าบอกความจริงอันโหดร้ายกับเจ้า โลกนี้ไม่มีกษัตริย์มนุษย์เลยสักคน!” เสียงของเขาเย็นชาจนถึงที่สุด “เมื่อครั้งนั้น เมื่อข้าช่วยชีวิตคนของข้าจากมหาภัยพิบัติ ข้าก็ได้รู้แล้วว่าข้าคือความล้มเหลว! ข้าช่วยพวกเขาก็เพราะว่าข้าอ่อนแอ และข้าไม่อาจทนดูผู้คนธรรมดาตกตายเบื้องหน้าข้าได้ แต่ทว่า นั่นทำให้ข้าเป็นทหารหนีทัพ!”

เขาหัวเราะร่าและชี้ไปยังหลุมศพมากมายในหมอกข้างนอกโถงกษัตริย์มนุษย์ “ข้าคือทหารหนีศึก เมื่อหลบหนีไป ทุกอย่างที่ข้าคิดก็มีแต่ว่าจะออกไปจากนรกนี่ได้อย่างไร! ดังนั้นข้าจึงหลบหนี! ข้าไม่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา แต่วิ่งหนีมาตามลำพัง! ข้าได้คิดเรื่องนี้เป็นล้านๆ ครั้ง หากว่าข้ายังอยู่กับพวกเขาในตอนนั้นล่ะ? มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น ก็คือข้าก็จะกลายเป็นซากศพอันเย็นชืดเหมือนกับพวกเขา!”

เขาหัวเราะเหมือนคนเสียสติ “ใช่แล้ว พวกเขาตาย ส่วนข้ายังมีชีวิตอยู่และกลายเป็นกษัตริย์มนุษย์ในหัวใจของผู้คนทั้งโลกหล้า! ผู้คนเคารพนับถือข้าเพราะว่าข้าพาพวกเขามายังสถานที่ที่จะมีชีวิตต่อไปได้ แต่แล้วอย่างไร ข้าเพียงเปลี่ยนเขาเป็นผู้ถูกคุมขัง แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังปลอมในกรงใหญ่มหึมานี้ คุกอันไม่มีทางหลบรอด! ทุกคนเป็นเพียงแค่นักโทษในคุกแห่งนี้! ข้าไม่ได้นำพวกเขาออกไป แต่กลับส่งพวกเขาเข้าไปในคุกของเทพเจ้า!”

“กษัตริย์มนุษย์? ฮ่าๆ กษัตริย์มนุษย์! มันไม่มีกษัตริย์มนุษย์ที่ว่าอยู่ในโลกนี้!”

ผมของเขาถูกเป่ากระเจิงขึ้นไปบนข้างบนจากความเกรี้ยวกราด และเขาสืบเท้าไปข้างหน้า เมื่อเขาเข้าใกล้ฉินมู่ รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวก็บีบให้เด็กหนุ่มถอยกรูดๆ ไปอย่างต่อเนื่อง “โยนความฝันอันน่าขำของเจ้าทิ้งไปเสีย และปล่อยภาระลงจากบ่าของเจ้า เจ้าไม่ใช่กษัตริย์มนุษย์ ตั้งแต่ต้นจนจบ กษัตริย์มนุษย์เป็นเพียงเรื่องลวงโลก เป็นเพียงฆาตกรที่ส่งผู้คนในโลกหล้าเข้าไปในกรงขังของเทพเจ้า!”

รัศมีของเขาทำให้ฉินมู่หายใจไม่ออก เขาไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ใช้ปราณชีวิตของตนสู้กลับไป

“เช่นนั้นท่านกลับมาทำไม” หน้าอกของฉินมู่ถูกกดเข้าไปจนแทบราบ และเขาสูดลมหายใจอย่างกระเสือกกระสน แต่กระนั้นก็ยังตะโกนออกไป “แล้วทำไมท่านถึงกลับมาตั้งป้ายหินหลุมศพให้กับผู้คนที่ตายไปในการศึก ทำไมท่านถึงกลบฝังพวกเขา ทำไมท่านถึงวางอาวุธที่พวกเขาใช้เอาไว้ใต้หินหลุมศพ”

รัศมีของบรรพชนแรกพลันสงบลง และเขาก้มหัวลงไป “ข้ากลับไป กลับไปยังสนามรบเพื่อกลบฝังพวกเขา เพราะว่าข้ามีความสำนึกผิดในใจ ข้ารู้ว่าข้าไม่คู่ควรแก่การเป็นกษัตริย์มนุษย์ ดังนั้นข้าจึงมาเพื่อไถ่บาป”

ฉินมู่พบว่ายากที่จะเชื่อ “นี่ท่านไม่มีสักเสี้ยวความหวังในหัวใจเลยหรือ”

บรรพชนแรกสีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่ คนหนุ่ม จงวางความฝันในหัวใจของเจ้าเสีย เรื่องกษัตริย์มนุษย์เหลวไหลนี่ควรจะจบลงไปได้ตั้งนานแล้ว”

ฉินมู่ก้มหน้าลง แต่หลังจากครู่หนึ่ง เขาก็เงยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มเจิดจ้าแบบที่เด็กโข่งอย่างเขามีประดับหน้าอยู่เสมอ “ท่านล้มเหลว พวกเขาล้มเหลว แต่ข้าไม่เคยล้มเหลวมาก่อน ในเมื่อท่านเป็นกษัตริย์มนุษย์ไม่ได้ ข้าก็จะเป็นเอง”

บรรพชนแรกยิ้มหยันแก่เขา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “เจ้าคิดแบบไหนถึงนึกว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้”

“ข้าแซ่ฉิน และบรรพบุรุษของข้าคือจักรพรรดิก่อตั้ง ข้ามีสายเลือดของตระกูลฉินแห่งหมู่บ้านไร้กังวล และข้าก็ยังเป็นกายาจ้าวแดนดิน! มันมีปัญหาตรงไหน” ฉินมู่ถามด้วยเสียงตะโกน

บรรพชนแรกเอียงคอ สีหน้าเย้ยหยันก็ยังอยู่ตรงนั้น “เจ้ามีตำแหน่งฐานะเยอะเหลือเกิน และก็มีเกียรติยศศักดิ์ศรีในหัวใจมากจนเกินไป แล้วจะอย่างไรต่อให้เจ้าเป็นสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้ง เขาเองก็พ่ายแพ้และไม่เผยโฉมหน้าออกมาเป็นเวลาสองหมื่นปี แล้วกายาจ้าวแดนดินหนึ่งคนจะทำอะไรได้ ข้าได้ยินเกี่ยวกับตำนานของมัน แต่ข้าไม่เคยได้ยินถึงผลงานความสำเร็จของมัน เจ้ามันก็แค่เด็กชายผู้โง่เขลา เป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม…ให้ข้าทำลายมายาภาพของเจ้า!”

เขาสะบัดแขนเสื้อและโจมตีทันที

ด้วยความตระหนก ฉินมู่รีบป้องกัน แต่ทว่าเขาพบว่าพลานุภาพในการโจมตีนั้นมิได้รุนแรง ดังนั้นเขาจึงตะลึงไปอย่างช่วยไม่ได้

พลานุภาพของบรรพชนแรกแผ่พุ่งไป และคลื่นกระเพื่อมของทักษะเทวะก็เหวี่ยงหนังสือบนชั้นกระเด็นไปบนอากาศ

“อย่าทำลายหนังสือพวกนี้!” ฉินมู่ตะโกนไปยังเขาอย่างเดือดดาล และซัดหมัดออกไป ข้างหลังเขา พุทธรูปใหญ่ปรากฏ และสรวงสวรรค์สิบสี่ชั้นอันมีเทวดาและพุทธเจ้าต่างๆ ห้อมล้อมเขา แปรเปลี่ยนเป็นรังสีแสงสิบสี่รังสี

“วิชาแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม ลูกไม้กระจอก” บรรพชนแรกทำลายมันอย่างง่ายดาย และต่อยฉินมู่เข้าที่หน้าอกพลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เพียงแค่นี้ เจ้าก็ปกป้องตัวเองไม่ได้แล้วอย่าว่าแต่ปกป้องหนังสือ”

ฉินมู่ถูกซัดกระเด็น ร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงา เกาะวูบไปกับพื้น บรรพชนแรกเคาะพื้นด้วยเท้าของเขา และเขย่าฉินมู่ออกมา ด้วยปราณชีวิตของเขาเป็นกระบี่ เขาก็แทงไปยังหว่างคิ้วของฉินมู่

“มีกำลังฝีมือต่ำต้อยแค่นี้ อนาคตข้างหน้าของเจ้าก็มีแต่ความตาย!” บรรพชนแรกยิ้มหยัน “เจ้าเองก็เป็นความล้มเหลว”

ฉินมู่พิโรธเดือดดาล และรวบรวมปราณของเขาเป็นกระบี่ เมื่อเขาชี้นิ้วไป กระบี่ปราณชีวิตก็ปะทะและส่งเสียงหึ่ง การปะทะกันนั้นดังออกมาอย่างไม่รู้จบ และหนังสือที่ร่วงลงมาเรื่อยๆ ก็ถูกฉีกให้ขาดวิ่นด้วยปราณกระบี่

ฉินมู่จ้องไปที่เศษหนังสือด้วยความเกลียดชังอันเผาผลาญอยู่ในดวงตาของเขา “อย่าทำลายเลือด เหงื่อ และน้ำตาของพวกเขา!”

“ก็มาหยุดข้าสิ” บรรพชนแรกหัวเราะในคอ “หากว่าเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ เจ้าก็เป็นแค่กองขยะกองหนึ่ง!”

……………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท