ตรงหน้านั้นคือเงาร่างที่สูงและแข็งแกร่ง ฉินมู่เดินขึ้นไปบนขั้นบันไดของโถงศักดิ์สิทธิ์อันมีหีบส่งเสียงก๊อกแก๊กตามหลังเขามา ฉินมู่ยกมือห้าม และหีบก็หยุดอยู่ข้างนอก มันหดขาทั้งสี่กลับไปและตั้งวางอยู่กับพื้น
หีบส่งเสียงเอี๊ยดเมื่อฝาข้างบนของมันเปิดขึ้นมา ในช่องเปิดนั้น กิเลนมังกรมองไปรอบๆ และเห็นหลุมศพอยู่ทุกหนทุกแห่ง เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจปีนไต่ออกมาอย่างลำบากยากเย็น เขาเดินย่องๆ หมอบๆ จนพุงเรี่ยพื้นขณะที่เดินตามฉินมู่ด้วยหางอันลู่หลุบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นตกลากพื้น เขาไม่กล้าส่งเสียงเลยสักนิด
ทันใดนั้น กิเลนมังกรก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เหยียบลงมาบนหางของมันและหวีดร้องเสียงแหลม ขนและเกล็ดทั้งตัวเขาชี้ชันขึ้น
ฉินมู่หันกลับไปดูและเห็นกิเลนมังกรใช้อุ้งเท้าหน้าทั้งสองยัดเข้าไปในปากตนเอง นั่นแหละเขาถึงหยุดตนเองไม่ให้ส่งเสียงได้
เมื่อเขาหันกลับไป ก็เห็นหีบที่เดินเขย่งย่องตามมาข้างหลัง เป็นสิ่งนี้นี่เองที่เหยียบโดนหางของเขาและทำให้เขาตกใจจนแทบฉี่ราด
ฉินมู่เริ่มปวดหัวตึ้บและอยากจะตะโกนไล่ไอ้เจ้าสองตัวนี้ให้ออกไปไกลๆ แต่เขารู้สึกว่าทำเช่นนั้นก็ไม่สมกับบรรยากาศอันเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ เขาจึงได้แต่ปลอบขวัญตนเองและปล่อยให้พวกเขาตามตนมา “หากว่าพวกเจ้าทั้งสองเล่นอะไรเลอะเทอะอีกละก็ ข้าจะเปลี่ยนเจ้าตัวหนึ่งให้เป็นไม้ฟืน ส่วนอีกตัวข้าจะเอาไปย่างเป็นมื้อเย็น!”
เมื่อเขาเข้ามาถึงข้างหลังเงาร่างนั้น เขาถึงตระหนักว่าตนเองเตี้ยกว่าคนผู้นั้นไม่เท่าไร เขาซึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มเตี้ยกว่าคนผู้นั้นเพียงหนึ่งนิ้ว
แต่ทว่า ความประทับใจที่เงาร่างนี้ส่งมายังเขาคือเป็นบุคคลอันสูงตระหง่าน มันเป็นผลกระทบจากรัศมีและท่วงทีของคนผู้นี้อันมีต่อหัวใจของเขา เงาร่างนี้เป็นของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกอันเคยเป็นรูปสลักหินที่ฉินมู่พบเห็นในนครหยกน้อย
“เจ้าคงจะเป็นกษัตริย์มนุษย์รุ่นที่สามสิบหกสินะ?”
บรรพชนแรกเบือนหน้ากลับมามองไปที่เขา เขาเป็นชายที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัยราวๆ สามสิบ เขามีหนวดเคราเต็มไปหมด และดูบึกบึนกำยำ แผ่รัศมีกลิ่นอายของความพึ่งพิงได้
“ข้าคือรุ่นที่สามสิบเจ็ด” ฉินมู่แก้เขาให้ถูกต้อง “ผู้ใหญ่บ้านเป็นอาจารย์ของข้าและเป็นผู้ที่รับข้าเข้ามา แต่นี่ก็ยังคงเป็นครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่”
เขามองไปข้างหน้าและตะลึงไปเล็กน้อย เขาเพิ่งตระหนักว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกำลังมองอะไรอยู่
มันคือชั้นหนังสือเป็นแถวๆ ที่มีหนังสืออยู่มากมายนับไม่ถ้วน โถงกษัตริย์มนุษย์ใหญ่โตโอ่โถง แต่มันไม่มีหยกและทองประดับเหมือนดังที่ฉินมู่คาดหมายเอาไว้ มันไม่มีเทวรูปอันสูงเยี่ยมยืนยงหรือสิ่งหรูหราใดเลยสักนิด มีก็แต่ชั้นหนังสือหลายต่อหลายชั้น
เขาเดินเข้าไปและหยิบหนังสือ ถ้อยคำที่เขียนไว้บนนั้นไม่คุ้นเคย แต่กลับมีเจตจำนงกระบี่ที่เขาคุ้นเคยแฝงอยู่ในนั้น
มันคือหนังสือที่ผู้ใหญ่บ้านเขียน
ข้างในนั้น เขากล่าวถึงวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเทพดาวเฉียวแห่งเหนือฟ้า เขาได้เขียนจุดอ่อนมากมายของวิชาและทักษะเหล่านั้นเพื่อศึกษาช่องโหว่
ฉินมู่คืนหนังสือกลับไปที่ชั้น และหยิบเอาอีกเล่ม บนนั้นเขียนไว้ถึงจุดอ่อนและจุดแข็งมากมายของวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเทพครองแดนหยก เขาพลิกดูหนังสือเล่มอื่นๆ และส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการบอกเล่าประสบการณ์การเผชิญหน้ากับวิชาและทักษะของทวยเทพแห่งเหนือฟ้า
ฉินมู่ยังค้นเจอภาพกระบี่อีกด้วย อันมีม้วนกระดาษจำนวนมากมายก่ายกองที่บันทึกว่าผู้ใหญ่บ้านฝึกปรือภาพกระบี่ของเขาอย่างไร มรรคาเต๋าและอารมณ์ของแต่ละเพลงกระบี่ถูกบันทึกเอาไว้ในนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาตระเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้แก่ทายาทรุ่นหลัง
เด็กหนุ่มมายังชั้นหนังสือที่สองอันถ้อยคำเต็มไปด้วยบรรยากาศยิ่งใหญ่ไพศาล มันมีแรงขับดันราวกับภูเขาไฟระเบิด ดังนั้นหนังสือที่นั่นน่าจะเป็นงานเขียนของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง
งานเขียนของเขาส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับวิชาของเทพแห่งเหนือฟ้า เช่นเดียวกับวิธีเผชิญหน้ากับพวกนั้นที่เขาคิดคำนวณ นอกจากนั้น ที่เหลือก็เป็นวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง
แต่ทว่า เขาได้เอ่ยไว้ในนั้นว่า ใครก็ตามที่คิดจะฝึกวิชาของเขาล้วนแต่โง่เขลาเบาปัญญา เขานั้นไม่เคยเอาชนะเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้าได้เลย ดังนั้นการฝึกปรือวิชาของเขาก็มีแต่จะทำให้ตกลงไปในหนทางเดียวกับเขา ในถ้อยคำเหล่านั้นมีวี่แววของความผิดหวัง
มิน่าล่ะ กษัตริย์มนุษย์ทุกๆ คนถึงไม่ฝึกปรือวิชาของอาจารย์ตน แต่กลับยืนกรานที่จะคิดค้นวิชาใหม่ๆ ฉินมู่พลันเข้าใจความรู้สึกของอดีตกษัตริย์มนุษย์
พวกเขาล้วนแต่เป็นความล้มเหลว และไม่ต้องการให้ศิษย์ของตนเดินซ้ำรอยเดิม สาเหตุที่พวกเขาทิ้งวิชาของพวกตนเองไว้ก็คงเพราะว่าพวกมันคือความพากเพียรชั่วชีวิตของพวกเขา พวกเขาอยากที่จะมีผู้สืบทอด แต่ก็ไม่อาจเป็นศิษย์ของตนได้
นี่อาจจะเป็นความเสียใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา
“หนังสือเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิธีการปราบปรามเหนือฟ้า” กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเดินเข้ามาและลูบไล้หนังสือบนชั้นวาง “พวกเขามองเหนือฟ้าเป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ที่สุด และใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อล้มล้างพวกนั้น แต่ทว่า น่าเวทนานักที่พวกเขาทั้งหมดล้มเหลว เจ้าสามารถอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาสักระยะหนึ่ง มันจะช่วยให้เจ้าเสาะหามรรคาเต๋าของตนพบ”
ฉินมู่ส่ายหัว “เทพแห่งเหนือฟ้าตายกันเกือบหมดแล้ว และเทพครองแดนทั้งสี่ก็สิ้นชื่อ ตอนนี้เหนือฟ้ามิใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป หนังสือบนชั้นหนังสือพวกนี้ไม่มีประโยชน์มากมายแล้ว เป้าหมายของข้ามิใช่ทวยเทพแห่งเหนือฟ้า หรือการเข้าไปยึดครองสถานที่นั้น”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปที่เขาด้วยความตกตะลึง “เป้าหมายของเจ้าคืออะไร”
ฉินมู่มองตรงไปยังบรรพชนและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เป้าหมายของข้าคือการฉีกทึ้งท้องฟ้าจอมปลอม เพื่อปฏิวัติโลกอันไม่ยุติธรรม เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าจากการปฏิรูป เพื่อสรรค์สร้างยุคสมัยอันรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ที่มิได้เป็นของจักรพรรดิก่อตั้ง!” สายตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นบ้าบิ่นและถามกลับไปด้วยเสียงอันดัง “บรรพชนแรก นี่ก็เป็นเป้าหมายของท่านด้วยเช่นกัน ใช่ไหม”
“เปล่า” สายตาของบรรพชนแรกมืดมัวลง และเขาส่ายหัว “อุดมคติของข้ามิได้ทะเยอทะยานเท่ากับเจ้า ข้านั้นถูกกัดเซาะโดยกาลเวลาและศัตรูมากมาย เจ้านั้นยังเยาว์และมีแรงขับดัน ส่วนข้านั้นเป็นตาแก่ที่ท้อถอยหมดกำลังใจ วันใดวันหนึ่งเจ้าก็จะถูกศัตรูของเจ้าบ่อนเซาะให้ท้อรันทดเช่นกัน”
“เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าก็จะมาที่โถงกษัตริย์มนุษย์และทิ้งหนังสือของเจ้าเอาไว้เหมือนกับกษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ เจ้าจะเขียนบันทึกความล้มเหลวของเจ้า และหวังว่าทายาทของเจ้าจะกระทำในสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้”
เสียงของเขาเย็นชาขึ้นและโหดร้ายขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในทุกๆ คำพูด “เจ้าคือความล้มเหลว เหมือนกับพวกเขา เจ้าจะสร้างกระท่อมหญ้าฟางอย่างเงียบงันและนั่งอยู่ในนั้นด้วยความหวังทั้งหมดที่สูญสิ้น เจ้าจะไม่อยากให้มีใครเดินซ้ำรอยของเจ้า แต่ความรับผิดชอบของกษัตริย์มนุษย์จะทำให้เจ้าไร้ทางเลือกอื่นนอกเสียจากไปเสาะหาทายาท ในกระท่อมฟาง เจ้าจะปาดป้ายน้ำตาย้อนเสียใจ เจ้าจะเกลียดอาจารย์ที่เจ้าเคารพ และเจ้าจะสลักป้ายหินหลุมศพของตัวเจ้าเองอันจะบันทึกความล้มเหลวของเจ้าเอาไว้”
เขายิ้มหยันและกล่าว “เจ้าจะรู้สึกว่าไม่ควรค่าแก่การมีหลุมศพ ไม่มีหน้าสู้บรรพบุรุษ จากนั้นเจ้าก็จะหายใจเฮือกสุดท้าย และกลายเป็นเหมือนกับโครงกระดูกโครงอื่นๆ ในกระท่อมฟาง!”
ฉินมู่จ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู ภาพลักษณ์อันห้าวหาญและทรงปัญญาของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกพลันย่อยยับลงไปในหัวใจของเขา!
“เจ้ายังอยากจะเป็นกษัตริย์มนุษย์อีกหรือ ให้ข้าบอกความจริงอันโหดร้ายกับเจ้า โลกนี้ไม่มีกษัตริย์มนุษย์เลยสักคน!” เสียงของเขาเย็นชาจนถึงที่สุด “เมื่อครั้งนั้น เมื่อข้าช่วยชีวิตคนของข้าจากมหาภัยพิบัติ ข้าก็ได้รู้แล้วว่าข้าคือความล้มเหลว! ข้าช่วยพวกเขาก็เพราะว่าข้าอ่อนแอ และข้าไม่อาจทนดูผู้คนธรรมดาตกตายเบื้องหน้าข้าได้ แต่ทว่า นั่นทำให้ข้าเป็นทหารหนีทัพ!”
เขาหัวเราะร่าและชี้ไปยังหลุมศพมากมายในหมอกข้างนอกโถงกษัตริย์มนุษย์ “ข้าคือทหารหนีศึก เมื่อหลบหนีไป ทุกอย่างที่ข้าคิดก็มีแต่ว่าจะออกไปจากนรกนี่ได้อย่างไร! ดังนั้นข้าจึงหลบหนี! ข้าไม่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา แต่วิ่งหนีมาตามลำพัง! ข้าได้คิดเรื่องนี้เป็นล้านๆ ครั้ง หากว่าข้ายังอยู่กับพวกเขาในตอนนั้นล่ะ? มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น ก็คือข้าก็จะกลายเป็นซากศพอันเย็นชืดเหมือนกับพวกเขา!”
เขาหัวเราะเหมือนคนเสียสติ “ใช่แล้ว พวกเขาตาย ส่วนข้ายังมีชีวิตอยู่และกลายเป็นกษัตริย์มนุษย์ในหัวใจของผู้คนทั้งโลกหล้า! ผู้คนเคารพนับถือข้าเพราะว่าข้าพาพวกเขามายังสถานที่ที่จะมีชีวิตต่อไปได้ แต่แล้วอย่างไร ข้าเพียงเปลี่ยนเขาเป็นผู้ถูกคุมขัง แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังปลอมในกรงใหญ่มหึมานี้ คุกอันไม่มีทางหลบรอด! ทุกคนเป็นเพียงแค่นักโทษในคุกแห่งนี้! ข้าไม่ได้นำพวกเขาออกไป แต่กลับส่งพวกเขาเข้าไปในคุกของเทพเจ้า!”
“กษัตริย์มนุษย์? ฮ่าๆ กษัตริย์มนุษย์! มันไม่มีกษัตริย์มนุษย์ที่ว่าอยู่ในโลกนี้!”
ผมของเขาถูกเป่ากระเจิงขึ้นไปบนข้างบนจากความเกรี้ยวกราด และเขาสืบเท้าไปข้างหน้า เมื่อเขาเข้าใกล้ฉินมู่ รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวก็บีบให้เด็กหนุ่มถอยกรูดๆ ไปอย่างต่อเนื่อง “โยนความฝันอันน่าขำของเจ้าทิ้งไปเสีย และปล่อยภาระลงจากบ่าของเจ้า เจ้าไม่ใช่กษัตริย์มนุษย์ ตั้งแต่ต้นจนจบ กษัตริย์มนุษย์เป็นเพียงเรื่องลวงโลก เป็นเพียงฆาตกรที่ส่งผู้คนในโลกหล้าเข้าไปในกรงขังของเทพเจ้า!”
รัศมีของเขาทำให้ฉินมู่หายใจไม่ออก เขาไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ใช้ปราณชีวิตของตนสู้กลับไป
“เช่นนั้นท่านกลับมาทำไม” หน้าอกของฉินมู่ถูกกดเข้าไปจนแทบราบ และเขาสูดลมหายใจอย่างกระเสือกกระสน แต่กระนั้นก็ยังตะโกนออกไป “แล้วทำไมท่านถึงกลับมาตั้งป้ายหินหลุมศพให้กับผู้คนที่ตายไปในการศึก ทำไมท่านถึงกลบฝังพวกเขา ทำไมท่านถึงวางอาวุธที่พวกเขาใช้เอาไว้ใต้หินหลุมศพ”
รัศมีของบรรพชนแรกพลันสงบลง และเขาก้มหัวลงไป “ข้ากลับไป กลับไปยังสนามรบเพื่อกลบฝังพวกเขา เพราะว่าข้ามีความสำนึกผิดในใจ ข้ารู้ว่าข้าไม่คู่ควรแก่การเป็นกษัตริย์มนุษย์ ดังนั้นข้าจึงมาเพื่อไถ่บาป”
ฉินมู่พบว่ายากที่จะเชื่อ “นี่ท่านไม่มีสักเสี้ยวความหวังในหัวใจเลยหรือ”
บรรพชนแรกสีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่ คนหนุ่ม จงวางความฝันในหัวใจของเจ้าเสีย เรื่องกษัตริย์มนุษย์เหลวไหลนี่ควรจะจบลงไปได้ตั้งนานแล้ว”
ฉินมู่ก้มหน้าลง แต่หลังจากครู่หนึ่ง เขาก็เงยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มเจิดจ้าแบบที่เด็กโข่งอย่างเขามีประดับหน้าอยู่เสมอ “ท่านล้มเหลว พวกเขาล้มเหลว แต่ข้าไม่เคยล้มเหลวมาก่อน ในเมื่อท่านเป็นกษัตริย์มนุษย์ไม่ได้ ข้าก็จะเป็นเอง”
บรรพชนแรกยิ้มหยันแก่เขา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “เจ้าคิดแบบไหนถึงนึกว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้”
“ข้าแซ่ฉิน และบรรพบุรุษของข้าคือจักรพรรดิก่อตั้ง ข้ามีสายเลือดของตระกูลฉินแห่งหมู่บ้านไร้กังวล และข้าก็ยังเป็นกายาจ้าวแดนดิน! มันมีปัญหาตรงไหน” ฉินมู่ถามด้วยเสียงตะโกน
บรรพชนแรกเอียงคอ สีหน้าเย้ยหยันก็ยังอยู่ตรงนั้น “เจ้ามีตำแหน่งฐานะเยอะเหลือเกิน และก็มีเกียรติยศศักดิ์ศรีในหัวใจมากจนเกินไป แล้วจะอย่างไรต่อให้เจ้าเป็นสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้ง เขาเองก็พ่ายแพ้และไม่เผยโฉมหน้าออกมาเป็นเวลาสองหมื่นปี แล้วกายาจ้าวแดนดินหนึ่งคนจะทำอะไรได้ ข้าได้ยินเกี่ยวกับตำนานของมัน แต่ข้าไม่เคยได้ยินถึงผลงานความสำเร็จของมัน เจ้ามันก็แค่เด็กชายผู้โง่เขลา เป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม…ให้ข้าทำลายมายาภาพของเจ้า!”
เขาสะบัดแขนเสื้อและโจมตีทันที
ด้วยความตระหนก ฉินมู่รีบป้องกัน แต่ทว่าเขาพบว่าพลานุภาพในการโจมตีนั้นมิได้รุนแรง ดังนั้นเขาจึงตะลึงไปอย่างช่วยไม่ได้
พลานุภาพของบรรพชนแรกแผ่พุ่งไป และคลื่นกระเพื่อมของทักษะเทวะก็เหวี่ยงหนังสือบนชั้นกระเด็นไปบนอากาศ
“อย่าทำลายหนังสือพวกนี้!” ฉินมู่ตะโกนไปยังเขาอย่างเดือดดาล และซัดหมัดออกไป ข้างหลังเขา พุทธรูปใหญ่ปรากฏ และสรวงสวรรค์สิบสี่ชั้นอันมีเทวดาและพุทธเจ้าต่างๆ ห้อมล้อมเขา แปรเปลี่ยนเป็นรังสีแสงสิบสี่รังสี
“วิชาแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม ลูกไม้กระจอก” บรรพชนแรกทำลายมันอย่างง่ายดาย และต่อยฉินมู่เข้าที่หน้าอกพลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เพียงแค่นี้ เจ้าก็ปกป้องตัวเองไม่ได้แล้วอย่าว่าแต่ปกป้องหนังสือ”
ฉินมู่ถูกซัดกระเด็น ร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงา เกาะวูบไปกับพื้น บรรพชนแรกเคาะพื้นด้วยเท้าของเขา และเขย่าฉินมู่ออกมา ด้วยปราณชีวิตของเขาเป็นกระบี่ เขาก็แทงไปยังหว่างคิ้วของฉินมู่
“มีกำลังฝีมือต่ำต้อยแค่นี้ อนาคตข้างหน้าของเจ้าก็มีแต่ความตาย!” บรรพชนแรกยิ้มหยัน “เจ้าเองก็เป็นความล้มเหลว”
ฉินมู่พิโรธเดือดดาล และรวบรวมปราณของเขาเป็นกระบี่ เมื่อเขาชี้นิ้วไป กระบี่ปราณชีวิตก็ปะทะและส่งเสียงหึ่ง การปะทะกันนั้นดังออกมาอย่างไม่รู้จบ และหนังสือที่ร่วงลงมาเรื่อยๆ ก็ถูกฉีกให้ขาดวิ่นด้วยปราณกระบี่
ฉินมู่จ้องไปที่เศษหนังสือด้วยความเกลียดชังอันเผาผลาญอยู่ในดวงตาของเขา “อย่าทำลายเลือด เหงื่อ และน้ำตาของพวกเขา!”
“ก็มาหยุดข้าสิ” บรรพชนแรกหัวเราะในคอ “หากว่าเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ เจ้าก็เป็นแค่กองขยะกองหนึ่ง!”
……………….