“ตำราพิชัยยุทธก็จะต้องเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง!” เจ้านครเว่ยกล่าวอย่างสะทกสะท้อน
จอมทัพแผนสวรรค์และคนอื่นๆ ผงกหัวหงึกๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเขา
ฉินมู่และบัณฑิตนับหมื่น เช่นเดียวกับผู้ฝึกวิชาเทวะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ละเล่นกันและเปิดการเรียกรวมทัพจิตวิญญาณดั้งเดิม พวกเขากำลังสนุกสนานและพบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ความตื่นตระหนกที่มายังเหล่าแม่ทัพทั้งหลายอันนำกองกำลังออกศึกนั้นใหญ่หลวงอย่างยิ่ง
ตั้งแต่เมื่อสมัยโบราณ สถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนแปลงไปในชั่ววินาที การติดต่อสื่อสารระหว่างกองทัพ การส่งกำลังเสริม การส่งเสบียง และคำบัญชาของจักรพรรดิ นั้นล้วนแต่เป็นปัญหาใหญ่ ในอดีต ราชครูสันตินิรันดร์ได้หลอมสร้างเรือเหาะและยวดยาน ทั้งยังสร้างถนนเพื่อให้การสัญจรเป็นไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากการทำให้ผู้คนสามารถไปมาหาสู่กันได้ง่าย ยังทำให้ข่าวสารส่งออกไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเพราะว่าใช้ทั้งทางบกและทางอากาศ ก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างใหญ่
กระนั้นอาณาเขตของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็ยังคงขยายออกไป ระยะเวลาในการส่งข่าวสารจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งก็ยิ่งยาวนานมากขึ้น ระยะเวลาที่กองทัพจะเดินทางไปยังชายแดนก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
แม้ว่าเตาหลอมยาที่ฉินมู่พัฒนายกระดับจะสามารถเพิ่มความเร็ว แต่จำนวนหินยาที่เผาผลาญไปในการเดินทางเที่ยวเดียวก็มหาศาลนัก
หากว่าเรือเหาะออกบินจากเมืองหลวงและมุ่งหน้าไปยังตำหนักสวรรค์แท้ในแผ่นดินตะวันตก มันก็จะใช้เวลาหลายวัน และหินยาอันถูกเผาผลาญไปก็จะพอๆ กับที่ใช้การศึกขนาดย่อม
หากว่าจะออกศึกใหญ่และเคลื่อนกำลังพลไป พวกเขาก็จะต้องใช้สัตว์พิสดารเป็นพาหนะที่ช่วยให้พลทหารราบเดินทางไปได้ การใช้เรือเหาะเพื่อขนย้ายทหารราบนั้นสิ้นเปลืองเกินไป
แต่ด้วยการมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม พวกเขาก็จะสามารถส่งข่าวสาร และควบคุมการศึกอันอยู่ห่างไปถึงสองร้อยลี้
วิธีการนี้หากอยู่ในมือของแม่ทัพ มันก็จะเป็นสิ่งที่ชี้ชะตาแพ้ชนะในสงคราม!
“ฝ่าบาท อธิการบดีฉินใช้คำว่ามหาสมาคม เขามีจิตคิดกบฏ!” ขุนนางเฒ่าผู้หนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวด้วยเสียงอันดัง “มหาสมาคม มีแต่มหาสมาคมราชสำนักมาตลอด และมหาสมาคมที่ว่านี้ก็คือหมายถึงการเรียกรวมขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊เข้าไปในสภาราชสำนัก อธิการบดีฉินใช้คำว่ามหาสมาคม แสดงถึงหัวใจทะเยอทะยานของเขา! ฝ่าบาทโปรดรับสั่งให้ประหารเขาด้วยเถิด!”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพูดไม่ออก และแม่ทัพทั้งหลายก็ตะคอกด่าขุนนางเฒ่าผู้นี้อย่างเดือดดาล ขุนนางเฒ่าจึงคุกเข่าลงโขกหัวลงกับพื้นด้วยเสียงอันดังเพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี
ผ่านไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็โบกมือและกล่าวอย่างสงบนิ่ง “มหาสมาคมมิได้มีใช้แค่ในสภาราชสำนัก ผู้อาวุโสอวี้เก๋อความรู้อาจจะพร่องไปบ้าง การเข้าประชุมสภาราชสำนักก็อาจจะหมายถึงมหาสมาคมสภา แต่มันก็สามารถใช้ในทางอื่นได้อีก”
“เมื่อในอดีตนั้น ดาบสวรรค์ได้เขียนโคลงกลอนอันเริ่มต้นด้วยถ้อยคำว่า มหาสมาคมกับสหายปลายแม่น้ำเหวย ดาบสวรรค์เป็นวีรชนด้านอักษรและกวี และความรู้ของเขาย่อมเหนือล้ำกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า งานเขียนของเขายังคงเป็นที่นับหน้าถือตาอยู่จนทุกวันนี้ เขามิใช่จักรพรรดิ แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นใครบอกว่าเขามีจิตคิดกบฏเพียงเพราะใช้คำว่ามหาสมาคม”
จักรพรรดิประคองผู้อาวุโสอวี้เก๋อขึ้นและบอกเขาด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ผู้อาวุโสอวี้เก๋อ เจ้าชรามากแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่ประหารเจ้า ข้าอนุญาตให้เจ้ากลับไปบ้านเกิดได้”
ขุนนางคนอื่นๆ ฉงนฉงาย วันนี้ฝ่าบาทดูจะอารมณ์ดี เขาถึงกับไม่ตัดศีรษะอวี้เก๋อ และผู้อาวุโสอวี้เก๋อก็เพียงสูญเสียตำแหน่ง แต่ไม่สูญเสียศีรษะ โชคดีเหลือเกิน!
“ทุกท่าน หยุดพูดกันก่อน เงียบลงเดี๋ยวนี้!” เสียงของฉินมู่ดังกึกก้องมา “ให้ข้ายืนยันดูก่อนว่าพวกเราสามารถสื่อสารผ่านจิตวิญญาณดั้งเดิมได้หรือไม่! พวกเจ้าได้ยินที่ข้าพูดไหม”
ในโถงบรมศึกษา ผู้คนมากมายกล่าวขึ้นมา “ได้ยิน! พวกเราได้ยินท่านพูดชัดเจน!”
“ขับเคลื่อนวิชาของเจ้า และลองดูว่ารู้สึกไม่สบายในจิตวิญญาณดั้งเดิมตรงไหนหรือไม่” เขาออกคำสั่งในเวลานั้น
จิตวิญญาณดั้งเดิมมากมาย ทำสิ่งต่างๆ อย่างอึกทึกวุ่นวายในโถงบรมศึกษา ทันใดนั้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของคนหนึ่งหายวับดังปุ๊บ แต่ก็ปรากฏขึ้นมาใหม่ในไม่กี่อึดใจ อันน่าสยองไม่เบา
และยังมีจิตวิญญาณดั้งเดิมบางพวกที่เลือนหายไปเป็นระยะๆ ขณะที่บางกลุ่มก็ลอยไปมารอบๆ เสียงหัวเราะดังอึงอลในโถงบรมศึกษาอันโกลาหลไปหมด ทุกคนเริ่มปวดหัวจากเสียงระเบ็งเซ็งแซ่
ฉินมู่บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและปรบมือ
“เอาล่ะ แยกย้ายได้!”
ทุกคนดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนกลับไป และหายวับไปจากโถงบรมศึกษา มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่งก็สิ้นสุดไปในอาการเช่นนั้น
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหันกลับไปมองที่ราชอาลักษณ์ข้างหลังเขา “เจ้าได้จดลงไปหรือยัง”
ราชอาลักษณ์ที่ถือม้วนกระดาษหนาลังเล “ฝ่าบาท มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้เป็นเพียงการเล่นสนุกของใต้เท้าฉินและบัณฑิตกลุ่มหนึ่งเท่านั้น รวมแล้วพวกเขาเพียงกล่าวคำพูดไม่กี่ประโยค และส่วนใหญ่ก็เป็นข้อความที่ไม่มีสาระ ข้าน้อยจะต้องจดมันลงไปด้วยหรือ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถอนหายใจและตบปุหนักๆ ลงไปยังม้วนกระดาษที่เขาใช้ในการบันทึกเหตุการณ์สำคัญทั้งหมดในสภาราชสำนัก เขาจึงกล่าวอย่างจริงใจและหนักแน่น “หากว่าอีกพันปีให้หลังชนรุ่นใหม่ของสันตินิรันดร์ค้นหาทั่วบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งหมดและไม่พบบันทึกถึงมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง พวกเขาจะไปถองกระดูกสันหลังของเจ้าและด่าทอเจ้า! ไม่เพียงแต่เจ้าต้องบันทึกมัน เจ้ายังต้องวาดภาพมันเอาไว้ด้วย มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้!”
เหงื่อเย็นเหยียบผุดออกมาจากหน้าผากของอาลักษณ์ เขารีบบันทึกเหตุการณ์มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง และประโยคไม่กี่ประโยคที่ฉินมู่และคนอื่นๆ ได้กล่าวไว้ระหว่างมหาสมาคม เขารู้สึกรันทดใจเป็นอย่างยิ่งขณะที่ทำเช่นนั้น ถ้อยคำพวกนี้มีแต่ไม่มีเนื้อหาสาระ ทำไมชนรุ่นหลังถึงต้องมาด่าทอข้าด้วยกับเรื่องเล็กๆ แค่นี้ แต่ทว่า หากว่าข้าไม่บันทึกพวกมัน ฝ่าบาทก็จะเอาตัวข้าไปตัดหัว!…
สองชั่วโมงผ่านไป และฉินมู่ก็กลับมาจากสถานที่อันห่างไกลหนึ่งพันลี้ บัณฑิตคนอื่นๆ ก็กลับมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเช่นกัน พวกเขาเริ่มคุยกันจอแจทันทีที่มาถึง ทำให้สถานที่นี้คึกคักยิ่งกว่าเดิม ฉินมู่เรียกรวมผู้เชียวชาญด้านพีชคณิตและคิดคำนวณจุดที่ขาดพร่องไปในวิชา อันเห็นได้จากอาการประหลาดๆ ที่เขาได้บันทึกไว้ระหว่างมหาสมาคม
ไม่นานนัก วิชานี้ก็เข้าใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบ และไม่มีสัญญาณของการที่จิตวิญญาณดั้งเดิมกระเด้งกระดอนไปทั่วทุกทิศทาง
ฉินมู่ปีนขึ้นไปบนโถงบรมศึกษาเพื่อแก้ไขรอยประทับอักษรรูนที่ผิดพลาด และหลังจากง่วนอยู่ครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็เดินทางกระจายออกไปอีกครั้งเพื่อทดสอบอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มันไม่มีอาการประหลาดเกิดขึ้นกับจิตวิญญาณดั้งเดิมทั้งหลาย
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงไม่แวบออกไปเลยสักนิด เฝ้ามองกระบวนการทุกอย่างอย่างเงียบเชียบจนกระทั่งราตรีมาถึง เมื่อจักรพรรดิไม่ขยับเขยื้อน ขุนนางน้อยใหญ่ก็ย่อมไม่กล้าผละไปเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงยืนอยู่ที่นั่นทั้งหมด
หลังจากที่ฉินมู่เสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ให้บรรณาลับแห่งเรือนบันทึกสวรรค์มาบันทึกวิชาและรอยประทับอักษรรูนเหล่านี้ ถึงตอนนั้นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงก้าวออกมาและกล่าว “อธิการบดีฉินได้กระทำความดีความชอบครั้งใหญ่ให้ประเทศชาติ ดังนั้นข้าควรจะให้รางวัลเจ้าอย่างไรดี”
ฉินมู่ยืดหลังขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากฝ่าบาทอยากจะให้รางวัลข้า เช่นนั้นก็ให้รางวัลแก่ทุกๆ คนในมหาวิทาลัยจักรวรรดิด้วยมื้อเย็นเถิด วิชานี้ข้าไม่ได้เป็นผู้คิดค้น แต่เกิดขึ้นมาจากการรวบรวมปัญญาญาณของทุกคนที่นี่”
“ตกลง!” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงบัญชา “เชิญต้นห้องทั้งหลายจากครัวหลวง และให้พวกเขานำวัตถุดิบมาด้วยเช่นกัน ข้าต้องการที่จะให้รางวัลแก่บัณฑิตทุกคนที่นี่ รวมทั้งนักพรตและหลวงจีนทั้งหมดในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแห่งนี้ ด้วยอาหารและเครื่องดื่ม! หากว่าขาดกำลังคน ขุนนางทั้งหลาย จงไปเชิญพ่อครัวแม่ครัวในครอบครัวของพวกเจ้ามาด้วยเช่นกัน! ข้าก็จะทานมื้อเย็นที่นี่ รับประทานอาหารร่วมกับพวกเขาด้วย!”
โคมไฟในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิส่องแสงจ้าจนสว่างราวกลางวัน และคนครัวมือดีทั้งหลายในเมืองหลวงก็ถูกเชิญมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแทบหมดเมืองเพื่อประกอบอาหารจานที่พวกเขาเก่งกาจที่สุด วิชาครัวทุกชนิดประเภทถูกช่วงใช้ และสร้างภาพอันละลานตาราวกับว่าทักษะเทวะมากมายถูกปลดปล่อยออกไปประชันกัน
กลิ่นหอมของอาหารปลุกความตะกละในตัวทุกคน และจักรพรรดิก็สั่งให้คนไปนำเอาสุราดีมาจากวังหลวง
“วิชาของเจ้านี้มีชื่อหรือไม่” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหันไปถามในงานเลี้ยง
ฉินมู่ส่ายหัว และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็แย้มยิ้ม “เต๋ากำเนิดหนึ่ง หนึ่งกำเนิดสอง สองกำเนิดสาม และสามกำเนิดสรรพสิ่ง ไฉนพวกเราถึงไม่เรียกว่าวิชานี้ว่า เคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม เสียล่ะ ขุนนางฉินที่รักเจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร”
ไม่ทันที่ฉินมู่จะอ้าปากตอบ กู่ลี่หนวนก็นำคณะขุนนางจำนวนหนึ่งเข้ามาและกล่าวยกย่องความคิดนี้ “ฝ่าบาทช่างเปี่ยมพรสวรรค์ และขุนนางผู้ต่ำต้อยนี้ได้แต่ต้องศิโรราบด้วยความชื่นชม!”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหัวเราะด้วยเสียงอันดัง และปักใจมั่นแน่กับชื่อวิชานี้ จากนั้นเขาก็ถาม “ขุนนางฉินที่รัก พวกอักษรรูนที่เจ้าประทับไว้ในโถงบรมศึกษาคืออะไรหรือ”
“ฝ่าบาท อักษรรูนเหล่านั้นคือตัวเหนี่ยวนำจิตวิญญาณดั้งเดิม ความเร็วของพวกมันเร็วจนเกินไป สามารถเดินทางหมื่นลี้ได้ในพริบตา ด้วยอักษรรูนเหล่านี้ พวกเราก็จะสามารถรวบรวมจิตวิญญาณดั้งเดิมมาไว้ที่สถานที่อันแน่นอนแห่งหนึ่งได้”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงขมวดคิ้ว “อักษรรูนที่สามารถดึงดูดจิตวิญญาณดั้งเดิมได้พวกนี้จะไม่ถูกใช้โดยศัตรูหรอกหรือ หากว่าพวกเขาใช้มันเพื่อเหนี่ยวนำจิตวิญญาณดั้งเดิมของแม่ทัพนายกองของข้า เพื่อจับพวกเขาไปในการเหวี่ยงแหเพียงครั้งเดียว สันตินิรันดร์ของข้าจะไม่ถูกทำลายล้างอย่างง่ายดายหรอกหรือ”
ขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งหลายรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจและต่างก็ผงกหัวด้วยกัน
ซวีเซิงฮวาก้าวเข้ามาและกล่าว “ฝ่าบาท ท่านอาจจะยังไม่ทราบ แต่อักษรรูนที่พวกเราออกแบบนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงสลับไปมาได้ มันมีวิธีการจัดเรียงอักษรรูนที่แตกต่างกันมากมายเพื่อให้มันยังคงสามารถเข้ากันได้กับเคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม มันมีรูปแบบการประกอบจัดเรียงมากกว่าพันล้านรูปแบบ ดังนั้นการจะไขรหัสชุดอักษรรูนที่ซับซ้อนพวกนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน
นักพรตผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาและเหลือบมองฉินมู่ จากนั้นปลุกปลอบตนเองเพื่อจะกล่าว “ฝ่าบาท มีจิ้งจอกตัวหนึ่งกับหมูตัวใหญ่และหีบยักษ์ เข้าไปใกล้ทะเลสาบ พวกเขาจับราชาปลามังกรแดงสองตัวและกำลังย่างมันอยู่ น่าเดือดแค้นอะไรอย่างนี้!”
“เรื่องแบบนี้ฟังคุ้นหูข้าเสียจริง” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปที่ฉินมู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขุนนางฉินที่รัก ของเจ้าหรือ”
ฉินมู่สีหน้าแดงขึ้นมา และเขารีบกล่าว “ฝ่าบาท โปรดให้ข้ารีบรุดไปเพื่อจะได้ลงโทษพวกเขาอย่างหนักหน่วง! เล่นเลอะเทอะอะไรกันแบบนี้!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นและออกไป
เมื่อเขามาที่ทะเลสาบ ฮู่หลิงเอ๋อก็กำลังดุด่าหีบ “เจ้าดูสิ คลื่นที่เจ้าทำมันใหญ่เกินไปจนทำให้นักพรตเฝ้าทะเลสาบรู้ตัว! เจ้าไปรอกินกระดูกปลาทีหลังคนอื่นเลย! มังกรอ้วน ลดไฟลงหน่อย อย่าทำมันไหม้…”
ฉินมู่เดินเข้าไปและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหลือให้ข้าบ้างสักหน่อย”
ฮู่หลิงเอ๋อโห่ร้องยินดี ก่อนจะรีบหรี่เสียงลงอย่างรวดเร็ว “คุณชาย ข้ารู้ว่าท่านชอบกินปลาชนิดนี้ ข้าก็เลยให้มังกรอ้วนไปจับมาเพิ่มอีกสองตัว แต่ทว่า หีบนี่ช่างทำตัวน่าผิดหวัง ระหว่างที่มันกำลังจะซ่อนปลาเข้าไปในท้องของมัน มันก็ถูกนักพรตเฝ้าทะเลสาบจับได้”
ฉินมู่ถูมือไปมาและกล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าอยากจะกินปลาพวกนี้อีกมาตั้งนานแล้ว แต่อายเกินกว่าที่จะลักกิน”
เมื่อปลาสุก ฮู่หลิงเอ๋อก็ควบคุมมีดลมของนางเพื่อเฉือนเนื้อ นางให้กิเลนมังกรส่วนหนึ่ง ฉินมู่อีกส่วน และส่วนสุดท้ายสำหรับตัวเอง หีบใหญ่หมอบอยู่ข้างๆ และรอให้พวกเขากินเสร็จเพื่อจะได้เก็บสะสมก้างปลา
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะก็ดังมา “หอมอะไรอย่างนี้! นี่มันหอมยิ่งกว่าอาหารจากครัวหลวงเสียอีก! จ้าวลัทธิฉินนี่ช่างเป็นผู้ช่ำชองในเต๋าแห่งการกินเสียจริง เหลือให้ข้าด้วย!”
ฉินมู่หันไปมองและเห็นหลวงจีนหนุ่มกับลิงยักษ์อสูร หลวงจีนหนุ่มผู้นั้นมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากหมิงซิ่นที่กำลังน้ำลายสอจากกลิ่นอาหาร
ฮู่หลิงเอ๋อให้เนื้อปลาเขาไปก้อนหนึ่ง และฉินมู่ก็ถามด้วยความฉงนฉงายเมื่อเห็นหมิงซิ่นกินเข้าไปอย่างตะกราม “หลวงจีนก็กินปลาด้วยหรือ”
หมิงซิ่งไม่เสียเวลาเงยหน้า “หลังแยกจากจ้าวลัทธิฉินไปในครั้งนั้น ในสภาวะภัยพิบัติรุมเร้า แม้แต่เปลือกไม้ข้าก็ยังแทะกิน อย่าว่าแต่ปลา ข้าถึงกับจับหนอนมากิน เมื่อข้าอดอยากหนักๆ ข้าก็เฉือนเนื้อตัวเองมากินประทังชีวิต…”
เขาเลิกจีวรขึ้นเผยให้เห็นแผลเป็นบนหน้าอกของเขา เขาจึงยิ้ม “จากนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ตรึกตรองเข้าใจพระสูตรของตนเอง สรรพชีวิตมิได้หมายถึงเพียงแค่มนุษย์และปีศาจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพืชและหนอน แต่ทว่าสรรพชีวิตนั้นเป็นเพียงการเวียนว่ายตายเกิด ข้ากินมัน และหลังจากที่ข้าตาย มันก็กินข้า–ก็เพียงเท่านั้น เมื่อบุคคลต้องดิ้นรนอยู่ในทะเลทุกข์ สิ่งที่คนผู้นั้นแสวงหามิใช่พุทธเจ้าแต่เป็นอีกฟากฝั่งหนึ่งในหัวใจตน และข้าได้มองเห็นฟากฝั่งนั้นแล้ว”
ฉินมู่ผงกหัวต่อคำพูดของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยอดเยี่ยม ตอนนี้กรอบคิดจิตใจของเจ้ากระจ่างแจ้งอย่างอัศจรรย์”
ฮู่หลิงเอ๋อเฉือนเนื้อปลาอีกก้อนให้ลิงยักษ์อสูรผู้ซึ่งส่ายหัว “กินเจ แข็งแกร่ง!”
“เขาไม่ต้องการ แต่ข้าจะรับเอาไว้เอง!” มือหนึ่งยื่นออกมาจากข้างๆ และฉวยเนื้อปลาไป
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนนั่งลงข้างๆ ลิงยักษ์อสูรและยิ้มกล่าว “ปลานี้หอมเสียยิ่งกว่าสำรับของครัวหลวง!”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “เจ้าเป็นนักพรตในลัทธิเต๋า แต่ก็ยังกินเนื้อด้วยหรือ”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนกินปลาเข้าไปคำใหญ่พลางกล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “ขนาดท้องฟ้ายังปลอมเลย ประสาอะไรกับนักพรต”
“เด็กเลี้ยงวัว เจ้ามากินปลาของพ่อข้าอีกแล้วนะ!”
ลมหอมหอบหนึ่งลอยมาแตะจมูกเมื่อหลิงอวี้จิวเบียดผ่านฮู่หลิงเอ๋อผู้ซึ่งอยู่ข้างๆ ฉินมู่และนั่งลงไป นางปัดสองมือไปมา ก่อนจะฉีกเนื้อปลาชิ้นหนึ่งและกัดเคี้ยวมันโดยไม่ไยดีว่ามันจะลวกปาก นางสูดลมหายใจเร่งร้อนเข้าไปหลายเฮือกและเอ่ยชม “อร่อยมาก อร่อยจริงๆ!”
“องค์หญิงจิว รอข้าด้วย!”
ซีอวิ๋นเซี่ยงก็วิ่งเข้ามาและนั่งลงข้างกองไฟ นางอยากจะผลักฮู่หลิงเอ๋อไปข้างๆ เช่นกัน แต่จิ้งจอกน้อยแปลงร่างเป็นเด็กหญิงหกเจ็ดขวบในผลุบเดียว และกอดอกมอง นางนั่งจุ้มปุ๊กระหว่างหญิงสาวทั้งสองและไม่ยอมลุกขึ้นหลีกทางไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ซีอวิ๋นเซี่ยงที่ละอายเกินกว่าจะผลักนางออกไป ก็ได้แต่ปล่อยให้นางนั่งอยู่ตรงนั้น
ทุกๆ คนพูดคุยเฮฮากันพลางแบ่งปันราชาปลามังกรแดง ไม่นานนัก หวางมู่หรัน มู่ชิงไต้ หลงอวี๋ และซวีเซิงฮวาก็หาที่นี่พบ หวางมู่หรันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ราชาปลามังกรแดงตัวใหญ่ขนาดนี้ พวกเจ้ากินกันไม่หมดหรอก ให้พวกข้าช่วยกินจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า!”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยากนักที่เหล่าผู้นำของพันธมิตรสวรรค์จะมาพบเจอกัน ดังนั้นวันนี้พวกเราอย่าเพิ่งกลับบ้านจนกว่าจะเมากันเถอะ!”
“พันธมิตรสวรรค์คืออะไรหรือ” หลิงอวี้จิวฉงนและรีบถาม “หรือว่ามันคือพันธมิตรเพื่อที่จะล้มล้างบัลลังก์ท่านพ่อของข้า หากว่าใช่ ข้าเข้าด้วย!”
ซวีเซิงฮวา หลินเสวียน และหวางมู่หรันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายดีหรือไม่
ฉินมู่จึงกล่าว “ที่นี่ไม่มีคนนอก ดังนั้นพูดไปตามจริงเถอะ แต่ทว่า เมื่อพวกเราพูดเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้าทั้งหมดก็จะต้องกลายเป็นสมาชิกพันธมิตรสวรรค์ของข้า มีใครที่ไม่ต้องการจะฟังหรือไม่”
กิเลนมังกรรีบลุกขึ้นและงับหีบลากมันออกไปก่อนที่มันจะทันได้เก็บก้างปลา
“ยิ่งรู้น้อยเท่าไร ก็ยิ่งอายุยืนมากเท่านั้น!” มังกรอ้วนสอนหีบ
ทันใดนั้น กองไฟก็กะพริบวูบ และตรงข้ามของฉินมู่ ปรากฏเด็กหนุ่มคนหนึ่งยื่นมือออกมาแกะเนื้อปลาไปหนึ่งก้อน จากนั้นเขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข้าก็อยากจะรู้เกี่ยวกับพันธมิตรสวรรค์เช่นกัน ไม่ทราบว่ายอดหมอเทวดาฉินจะชี้ทางกระจ่างให้แก่ข้าได้หรือไม่”
ฉินมู่เลือดในกายเย็นเยียบ และเขารีบหันไปมองที่ยอดเขาแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ
“ทั้งสภาราชสำนักไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า จักรพรรดิของเจ้ามิได้อ่อนแอ และข้าคะเนว่าเขาคงบ่มเพาะสะพานเทวะของตนแล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “แต่ทว่าก่อนที่พวกเขาจะมาถึง พวกเจ้าก็คงกลายเป็นศพกันหมด ยอดหมอเทวดาฉิน อย่าวู่วาม มาสิ บอกเล่าข้าเรื่องพันธมิตรสวรรค์เสียหน่อย”
………………………..
[1] ดวงดาว หมายถึงคำว่า ซิง ในซิงอ้าน