ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 515 แบ่งกันกินปลามังกร ดวงดาว[1] เยือนยามค่ำคืน

ตอนที่ 515 แบ่งกันกินปลามังกร ดวงดาว[1] เยือนยามค่ำคืน

“ตำราพิชัยยุทธก็จะต้องเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง!” เจ้านครเว่ยกล่าวอย่างสะทกสะท้อน

จอมทัพแผนสวรรค์และคนอื่นๆ ผงกหัวหงึกๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเขา

ฉินมู่และบัณฑิตนับหมื่น เช่นเดียวกับผู้ฝึกวิชาเทวะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ละเล่นกันและเปิดการเรียกรวมทัพจิตวิญญาณดั้งเดิม พวกเขากำลังสนุกสนานและพบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ความตื่นตระหนกที่มายังเหล่าแม่ทัพทั้งหลายอันนำกองกำลังออกศึกนั้นใหญ่หลวงอย่างยิ่ง

ตั้งแต่เมื่อสมัยโบราณ สถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนแปลงไปในชั่ววินาที การติดต่อสื่อสารระหว่างกองทัพ การส่งกำลังเสริม การส่งเสบียง และคำบัญชาของจักรพรรดิ นั้นล้วนแต่เป็นปัญหาใหญ่ ในอดีต ราชครูสันตินิรันดร์ได้หลอมสร้างเรือเหาะและยวดยาน ทั้งยังสร้างถนนเพื่อให้การสัญจรเป็นไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากการทำให้ผู้คนสามารถไปมาหาสู่กันได้ง่าย ยังทำให้ข่าวสารส่งออกไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเพราะว่าใช้ทั้งทางบกและทางอากาศ ก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างใหญ่

กระนั้นอาณาเขตของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็ยังคงขยายออกไป ระยะเวลาในการส่งข่าวสารจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งก็ยิ่งยาวนานมากขึ้น ระยะเวลาที่กองทัพจะเดินทางไปยังชายแดนก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน

แม้ว่าเตาหลอมยาที่ฉินมู่พัฒนายกระดับจะสามารถเพิ่มความเร็ว แต่จำนวนหินยาที่เผาผลาญไปในการเดินทางเที่ยวเดียวก็มหาศาลนัก

หากว่าเรือเหาะออกบินจากเมืองหลวงและมุ่งหน้าไปยังตำหนักสวรรค์แท้ในแผ่นดินตะวันตก มันก็จะใช้เวลาหลายวัน และหินยาอันถูกเผาผลาญไปก็จะพอๆ กับที่ใช้การศึกขนาดย่อม

หากว่าจะออกศึกใหญ่และเคลื่อนกำลังพลไป พวกเขาก็จะต้องใช้สัตว์พิสดารเป็นพาหนะที่ช่วยให้พลทหารราบเดินทางไปได้ การใช้เรือเหาะเพื่อขนย้ายทหารราบนั้นสิ้นเปลืองเกินไป

แต่ด้วยการมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม พวกเขาก็จะสามารถส่งข่าวสาร และควบคุมการศึกอันอยู่ห่างไปถึงสองร้อยลี้

วิธีการนี้หากอยู่ในมือของแม่ทัพ มันก็จะเป็นสิ่งที่ชี้ชะตาแพ้ชนะในสงคราม!

“ฝ่าบาท อธิการบดีฉินใช้คำว่ามหาสมาคม เขามีจิตคิดกบฏ!” ขุนนางเฒ่าผู้หนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวด้วยเสียงอันดัง “มหาสมาคม มีแต่มหาสมาคมราชสำนักมาตลอด และมหาสมาคมที่ว่านี้ก็คือหมายถึงการเรียกรวมขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊เข้าไปในสภาราชสำนัก อธิการบดีฉินใช้คำว่ามหาสมาคม แสดงถึงหัวใจทะเยอทะยานของเขา! ฝ่าบาทโปรดรับสั่งให้ประหารเขาด้วยเถิด!”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพูดไม่ออก และแม่ทัพทั้งหลายก็ตะคอกด่าขุนนางเฒ่าผู้นี้อย่างเดือดดาล ขุนนางเฒ่าจึงคุกเข่าลงโขกหัวลงกับพื้นด้วยเสียงอันดังเพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี

ผ่านไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็โบกมือและกล่าวอย่างสงบนิ่ง “มหาสมาคมมิได้มีใช้แค่ในสภาราชสำนัก ผู้อาวุโสอวี้เก๋อความรู้อาจจะพร่องไปบ้าง การเข้าประชุมสภาราชสำนักก็อาจจะหมายถึงมหาสมาคมสภา แต่มันก็สามารถใช้ในทางอื่นได้อีก”

“เมื่อในอดีตนั้น ดาบสวรรค์ได้เขียนโคลงกลอนอันเริ่มต้นด้วยถ้อยคำว่า มหาสมาคมกับสหายปลายแม่น้ำเหวย ดาบสวรรค์เป็นวีรชนด้านอักษรและกวี และความรู้ของเขาย่อมเหนือล้ำกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า งานเขียนของเขายังคงเป็นที่นับหน้าถือตาอยู่จนทุกวันนี้ เขามิใช่จักรพรรดิ แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นใครบอกว่าเขามีจิตคิดกบฏเพียงเพราะใช้คำว่ามหาสมาคม”

จักรพรรดิประคองผู้อาวุโสอวี้เก๋อขึ้นและบอกเขาด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ผู้อาวุโสอวี้เก๋อ เจ้าชรามากแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่ประหารเจ้า ข้าอนุญาตให้เจ้ากลับไปบ้านเกิดได้”

ขุนนางคนอื่นๆ ฉงนฉงาย วันนี้ฝ่าบาทดูจะอารมณ์ดี เขาถึงกับไม่ตัดศีรษะอวี้เก๋อ และผู้อาวุโสอวี้เก๋อก็เพียงสูญเสียตำแหน่ง แต่ไม่สูญเสียศีรษะ โชคดีเหลือเกิน!

“ทุกท่าน หยุดพูดกันก่อน เงียบลงเดี๋ยวนี้!” เสียงของฉินมู่ดังกึกก้องมา “ให้ข้ายืนยันดูก่อนว่าพวกเราสามารถสื่อสารผ่านจิตวิญญาณดั้งเดิมได้หรือไม่! พวกเจ้าได้ยินที่ข้าพูดไหม”

ในโถงบรมศึกษา ผู้คนมากมายกล่าวขึ้นมา “ได้ยิน! พวกเราได้ยินท่านพูดชัดเจน!”

“ขับเคลื่อนวิชาของเจ้า และลองดูว่ารู้สึกไม่สบายในจิตวิญญาณดั้งเดิมตรงไหนหรือไม่” เขาออกคำสั่งในเวลานั้น

จิตวิญญาณดั้งเดิมมากมาย ทำสิ่งต่างๆ อย่างอึกทึกวุ่นวายในโถงบรมศึกษา ทันใดนั้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของคนหนึ่งหายวับดังปุ๊บ แต่ก็ปรากฏขึ้นมาใหม่ในไม่กี่อึดใจ อันน่าสยองไม่เบา

และยังมีจิตวิญญาณดั้งเดิมบางพวกที่เลือนหายไปเป็นระยะๆ ขณะที่บางกลุ่มก็ลอยไปมารอบๆ เสียงหัวเราะดังอึงอลในโถงบรมศึกษาอันโกลาหลไปหมด ทุกคนเริ่มปวดหัวจากเสียงระเบ็งเซ็งแซ่

ฉินมู่บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและปรบมือ

“เอาล่ะ แยกย้ายได้!”

ทุกคนดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนกลับไป และหายวับไปจากโถงบรมศึกษา มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่งก็สิ้นสุดไปในอาการเช่นนั้น

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหันกลับไปมองที่ราชอาลักษณ์ข้างหลังเขา “เจ้าได้จดลงไปหรือยัง”

ราชอาลักษณ์ที่ถือม้วนกระดาษหนาลังเล “ฝ่าบาท มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้เป็นเพียงการเล่นสนุกของใต้เท้าฉินและบัณฑิตกลุ่มหนึ่งเท่านั้น รวมแล้วพวกเขาเพียงกล่าวคำพูดไม่กี่ประโยค และส่วนใหญ่ก็เป็นข้อความที่ไม่มีสาระ ข้าน้อยจะต้องจดมันลงไปด้วยหรือ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถอนหายใจและตบปุหนักๆ ลงไปยังม้วนกระดาษที่เขาใช้ในการบันทึกเหตุการณ์สำคัญทั้งหมดในสภาราชสำนัก เขาจึงกล่าวอย่างจริงใจและหนักแน่น “หากว่าอีกพันปีให้หลังชนรุ่นใหม่ของสันตินิรันดร์ค้นหาทั่วบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งหมดและไม่พบบันทึกถึงมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง พวกเขาจะไปถองกระดูกสันหลังของเจ้าและด่าทอเจ้า! ไม่เพียงแต่เจ้าต้องบันทึกมัน เจ้ายังต้องวาดภาพมันเอาไว้ด้วย มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้!”

เหงื่อเย็นเหยียบผุดออกมาจากหน้าผากของอาลักษณ์ เขารีบบันทึกเหตุการณ์มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง และประโยคไม่กี่ประโยคที่ฉินมู่และคนอื่นๆ ได้กล่าวไว้ระหว่างมหาสมาคม เขารู้สึกรันทดใจเป็นอย่างยิ่งขณะที่ทำเช่นนั้น ถ้อยคำพวกนี้มีแต่ไม่มีเนื้อหาสาระ ทำไมชนรุ่นหลังถึงต้องมาด่าทอข้าด้วยกับเรื่องเล็กๆ แค่นี้ แต่ทว่า หากว่าข้าไม่บันทึกพวกมัน ฝ่าบาทก็จะเอาตัวข้าไปตัดหัว!…

สองชั่วโมงผ่านไป และฉินมู่ก็กลับมาจากสถานที่อันห่างไกลหนึ่งพันลี้ บัณฑิตคนอื่นๆ ก็กลับมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเช่นกัน พวกเขาเริ่มคุยกันจอแจทันทีที่มาถึง ทำให้สถานที่นี้คึกคักยิ่งกว่าเดิม ฉินมู่เรียกรวมผู้เชียวชาญด้านพีชคณิตและคิดคำนวณจุดที่ขาดพร่องไปในวิชา อันเห็นได้จากอาการประหลาดๆ ที่เขาได้บันทึกไว้ระหว่างมหาสมาคม

ไม่นานนัก วิชานี้ก็เข้าใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบ และไม่มีสัญญาณของการที่จิตวิญญาณดั้งเดิมกระเด้งกระดอนไปทั่วทุกทิศทาง

ฉินมู่ปีนขึ้นไปบนโถงบรมศึกษาเพื่อแก้ไขรอยประทับอักษรรูนที่ผิดพลาด และหลังจากง่วนอยู่ครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็เดินทางกระจายออกไปอีกครั้งเพื่อทดสอบอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มันไม่มีอาการประหลาดเกิดขึ้นกับจิตวิญญาณดั้งเดิมทั้งหลาย

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงไม่แวบออกไปเลยสักนิด เฝ้ามองกระบวนการทุกอย่างอย่างเงียบเชียบจนกระทั่งราตรีมาถึง เมื่อจักรพรรดิไม่ขยับเขยื้อน ขุนนางน้อยใหญ่ก็ย่อมไม่กล้าผละไปเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงยืนอยู่ที่นั่นทั้งหมด

หลังจากที่ฉินมู่เสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ให้บรรณาลับแห่งเรือนบันทึกสวรรค์มาบันทึกวิชาและรอยประทับอักษรรูนเหล่านี้ ถึงตอนนั้นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงก้าวออกมาและกล่าว “อธิการบดีฉินได้กระทำความดีความชอบครั้งใหญ่ให้ประเทศชาติ ดังนั้นข้าควรจะให้รางวัลเจ้าอย่างไรดี”

ฉินมู่ยืดหลังขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากฝ่าบาทอยากจะให้รางวัลข้า เช่นนั้นก็ให้รางวัลแก่ทุกๆ คนในมหาวิทาลัยจักรวรรดิด้วยมื้อเย็นเถิด วิชานี้ข้าไม่ได้เป็นผู้คิดค้น แต่เกิดขึ้นมาจากการรวบรวมปัญญาญาณของทุกคนที่นี่”

“ตกลง!” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงบัญชา “เชิญต้นห้องทั้งหลายจากครัวหลวง และให้พวกเขานำวัตถุดิบมาด้วยเช่นกัน ข้าต้องการที่จะให้รางวัลแก่บัณฑิตทุกคนที่นี่ รวมทั้งนักพรตและหลวงจีนทั้งหมดในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแห่งนี้ ด้วยอาหารและเครื่องดื่ม! หากว่าขาดกำลังคน ขุนนางทั้งหลาย จงไปเชิญพ่อครัวแม่ครัวในครอบครัวของพวกเจ้ามาด้วยเช่นกัน! ข้าก็จะทานมื้อเย็นที่นี่ รับประทานอาหารร่วมกับพวกเขาด้วย!”

โคมไฟในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิส่องแสงจ้าจนสว่างราวกลางวัน และคนครัวมือดีทั้งหลายในเมืองหลวงก็ถูกเชิญมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแทบหมดเมืองเพื่อประกอบอาหารจานที่พวกเขาเก่งกาจที่สุด วิชาครัวทุกชนิดประเภทถูกช่วงใช้ และสร้างภาพอันละลานตาราวกับว่าทักษะเทวะมากมายถูกปลดปล่อยออกไปประชันกัน

กลิ่นหอมของอาหารปลุกความตะกละในตัวทุกคน และจักรพรรดิก็สั่งให้คนไปนำเอาสุราดีมาจากวังหลวง

“วิชาของเจ้านี้มีชื่อหรือไม่” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหันไปถามในงานเลี้ยง

ฉินมู่ส่ายหัว และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็แย้มยิ้ม “เต๋ากำเนิดหนึ่ง หนึ่งกำเนิดสอง สองกำเนิดสาม และสามกำเนิดสรรพสิ่ง ไฉนพวกเราถึงไม่เรียกว่าวิชานี้ว่า เคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม เสียล่ะ ขุนนางฉินที่รักเจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร”

ไม่ทันที่ฉินมู่จะอ้าปากตอบ กู่ลี่หนวนก็นำคณะขุนนางจำนวนหนึ่งเข้ามาและกล่าวยกย่องความคิดนี้ “ฝ่าบาทช่างเปี่ยมพรสวรรค์ และขุนนางผู้ต่ำต้อยนี้ได้แต่ต้องศิโรราบด้วยความชื่นชม!”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหัวเราะด้วยเสียงอันดัง และปักใจมั่นแน่กับชื่อวิชานี้ จากนั้นเขาก็ถาม “ขุนนางฉินที่รัก พวกอักษรรูนที่เจ้าประทับไว้ในโถงบรมศึกษาคืออะไรหรือ”

“ฝ่าบาท อักษรรูนเหล่านั้นคือตัวเหนี่ยวนำจิตวิญญาณดั้งเดิม ความเร็วของพวกมันเร็วจนเกินไป สามารถเดินทางหมื่นลี้ได้ในพริบตา ด้วยอักษรรูนเหล่านี้ พวกเราก็จะสามารถรวบรวมจิตวิญญาณดั้งเดิมมาไว้ที่สถานที่อันแน่นอนแห่งหนึ่งได้”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงขมวดคิ้ว “อักษรรูนที่สามารถดึงดูดจิตวิญญาณดั้งเดิมได้พวกนี้จะไม่ถูกใช้โดยศัตรูหรอกหรือ หากว่าพวกเขาใช้มันเพื่อเหนี่ยวนำจิตวิญญาณดั้งเดิมของแม่ทัพนายกองของข้า เพื่อจับพวกเขาไปในการเหวี่ยงแหเพียงครั้งเดียว สันตินิรันดร์ของข้าจะไม่ถูกทำลายล้างอย่างง่ายดายหรอกหรือ”

ขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งหลายรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจและต่างก็ผงกหัวด้วยกัน

ซวีเซิงฮวาก้าวเข้ามาและกล่าว “ฝ่าบาท ท่านอาจจะยังไม่ทราบ แต่อักษรรูนที่พวกเราออกแบบนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงสลับไปมาได้ มันมีวิธีการจัดเรียงอักษรรูนที่แตกต่างกันมากมายเพื่อให้มันยังคงสามารถเข้ากันได้กับเคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม มันมีรูปแบบการประกอบจัดเรียงมากกว่าพันล้านรูปแบบ ดังนั้นการจะไขรหัสชุดอักษรรูนที่ซับซ้อนพวกนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน

นักพรตผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาและเหลือบมองฉินมู่ จากนั้นปลุกปลอบตนเองเพื่อจะกล่าว “ฝ่าบาท มีจิ้งจอกตัวหนึ่งกับหมูตัวใหญ่และหีบยักษ์ เข้าไปใกล้ทะเลสาบ พวกเขาจับราชาปลามังกรแดงสองตัวและกำลังย่างมันอยู่ น่าเดือดแค้นอะไรอย่างนี้!”

“เรื่องแบบนี้ฟังคุ้นหูข้าเสียจริง” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปที่ฉินมู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขุนนางฉินที่รัก ของเจ้าหรือ”

ฉินมู่สีหน้าแดงขึ้นมา และเขารีบกล่าว “ฝ่าบาท โปรดให้ข้ารีบรุดไปเพื่อจะได้ลงโทษพวกเขาอย่างหนักหน่วง! เล่นเลอะเทอะอะไรกันแบบนี้!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นและออกไป

เมื่อเขามาที่ทะเลสาบ ฮู่หลิงเอ๋อก็กำลังดุด่าหีบ “เจ้าดูสิ คลื่นที่เจ้าทำมันใหญ่เกินไปจนทำให้นักพรตเฝ้าทะเลสาบรู้ตัว! เจ้าไปรอกินกระดูกปลาทีหลังคนอื่นเลย! มังกรอ้วน ลดไฟลงหน่อย อย่าทำมันไหม้…”

ฉินมู่เดินเข้าไปและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหลือให้ข้าบ้างสักหน่อย”

ฮู่หลิงเอ๋อโห่ร้องยินดี ก่อนจะรีบหรี่เสียงลงอย่างรวดเร็ว “คุณชาย ข้ารู้ว่าท่านชอบกินปลาชนิดนี้ ข้าก็เลยให้มังกรอ้วนไปจับมาเพิ่มอีกสองตัว แต่ทว่า หีบนี่ช่างทำตัวน่าผิดหวัง ระหว่างที่มันกำลังจะซ่อนปลาเข้าไปในท้องของมัน มันก็ถูกนักพรตเฝ้าทะเลสาบจับได้”

ฉินมู่ถูมือไปมาและกล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าอยากจะกินปลาพวกนี้อีกมาตั้งนานแล้ว แต่อายเกินกว่าที่จะลักกิน”

เมื่อปลาสุก ฮู่หลิงเอ๋อก็ควบคุมมีดลมของนางเพื่อเฉือนเนื้อ นางให้กิเลนมังกรส่วนหนึ่ง ฉินมู่อีกส่วน และส่วนสุดท้ายสำหรับตัวเอง หีบใหญ่หมอบอยู่ข้างๆ และรอให้พวกเขากินเสร็จเพื่อจะได้เก็บสะสมก้างปลา

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะก็ดังมา “หอมอะไรอย่างนี้! นี่มันหอมยิ่งกว่าอาหารจากครัวหลวงเสียอีก! จ้าวลัทธิฉินนี่ช่างเป็นผู้ช่ำชองในเต๋าแห่งการกินเสียจริง เหลือให้ข้าด้วย!”

ฉินมู่หันไปมองและเห็นหลวงจีนหนุ่มกับลิงยักษ์อสูร หลวงจีนหนุ่มผู้นั้นมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากหมิงซิ่นที่กำลังน้ำลายสอจากกลิ่นอาหาร

ฮู่หลิงเอ๋อให้เนื้อปลาเขาไปก้อนหนึ่ง และฉินมู่ก็ถามด้วยความฉงนฉงายเมื่อเห็นหมิงซิ่นกินเข้าไปอย่างตะกราม “หลวงจีนก็กินปลาด้วยหรือ”

หมิงซิ่งไม่เสียเวลาเงยหน้า “หลังแยกจากจ้าวลัทธิฉินไปในครั้งนั้น ในสภาวะภัยพิบัติรุมเร้า แม้แต่เปลือกไม้ข้าก็ยังแทะกิน อย่าว่าแต่ปลา ข้าถึงกับจับหนอนมากิน เมื่อข้าอดอยากหนักๆ ข้าก็เฉือนเนื้อตัวเองมากินประทังชีวิต…”

เขาเลิกจีวรขึ้นเผยให้เห็นแผลเป็นบนหน้าอกของเขา เขาจึงยิ้ม “จากนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ตรึกตรองเข้าใจพระสูตรของตนเอง สรรพชีวิตมิได้หมายถึงเพียงแค่มนุษย์และปีศาจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพืชและหนอน แต่ทว่าสรรพชีวิตนั้นเป็นเพียงการเวียนว่ายตายเกิด ข้ากินมัน และหลังจากที่ข้าตาย มันก็กินข้า–ก็เพียงเท่านั้น เมื่อบุคคลต้องดิ้นรนอยู่ในทะเลทุกข์ สิ่งที่คนผู้นั้นแสวงหามิใช่พุทธเจ้าแต่เป็นอีกฟากฝั่งหนึ่งในหัวใจตน และข้าได้มองเห็นฟากฝั่งนั้นแล้ว”

ฉินมู่ผงกหัวต่อคำพูดของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยอดเยี่ยม ตอนนี้กรอบคิดจิตใจของเจ้ากระจ่างแจ้งอย่างอัศจรรย์”

ฮู่หลิงเอ๋อเฉือนเนื้อปลาอีกก้อนให้ลิงยักษ์อสูรผู้ซึ่งส่ายหัว “กินเจ แข็งแกร่ง!”

“เขาไม่ต้องการ แต่ข้าจะรับเอาไว้เอง!” มือหนึ่งยื่นออกมาจากข้างๆ และฉวยเนื้อปลาไป

เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนนั่งลงข้างๆ ลิงยักษ์อสูรและยิ้มกล่าว “ปลานี้หอมเสียยิ่งกว่าสำรับของครัวหลวง!”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “เจ้าเป็นนักพรตในลัทธิเต๋า แต่ก็ยังกินเนื้อด้วยหรือ”

เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนกินปลาเข้าไปคำใหญ่พลางกล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “ขนาดท้องฟ้ายังปลอมเลย ประสาอะไรกับนักพรต”

“เด็กเลี้ยงวัว เจ้ามากินปลาของพ่อข้าอีกแล้วนะ!”

ลมหอมหอบหนึ่งลอยมาแตะจมูกเมื่อหลิงอวี้จิวเบียดผ่านฮู่หลิงเอ๋อผู้ซึ่งอยู่ข้างๆ ฉินมู่และนั่งลงไป นางปัดสองมือไปมา ก่อนจะฉีกเนื้อปลาชิ้นหนึ่งและกัดเคี้ยวมันโดยไม่ไยดีว่ามันจะลวกปาก นางสูดลมหายใจเร่งร้อนเข้าไปหลายเฮือกและเอ่ยชม “อร่อยมาก อร่อยจริงๆ!”

“องค์หญิงจิว รอข้าด้วย!”

ซีอวิ๋นเซี่ยงก็วิ่งเข้ามาและนั่งลงข้างกองไฟ นางอยากจะผลักฮู่หลิงเอ๋อไปข้างๆ เช่นกัน แต่จิ้งจอกน้อยแปลงร่างเป็นเด็กหญิงหกเจ็ดขวบในผลุบเดียว และกอดอกมอง นางนั่งจุ้มปุ๊กระหว่างหญิงสาวทั้งสองและไม่ยอมลุกขึ้นหลีกทางไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ซีอวิ๋นเซี่ยงที่ละอายเกินกว่าจะผลักนางออกไป ก็ได้แต่ปล่อยให้นางนั่งอยู่ตรงนั้น

ทุกๆ คนพูดคุยเฮฮากันพลางแบ่งปันราชาปลามังกรแดง ไม่นานนัก หวางมู่หรัน มู่ชิงไต้ หลงอวี๋ และซวีเซิงฮวาก็หาที่นี่พบ หวางมู่หรันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ราชาปลามังกรแดงตัวใหญ่ขนาดนี้ พวกเจ้ากินกันไม่หมดหรอก ให้พวกข้าช่วยกินจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า!”

ฉินมู่มองไปรอบๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยากนักที่เหล่าผู้นำของพันธมิตรสวรรค์จะมาพบเจอกัน ดังนั้นวันนี้พวกเราอย่าเพิ่งกลับบ้านจนกว่าจะเมากันเถอะ!”

“พันธมิตรสวรรค์คืออะไรหรือ” หลิงอวี้จิวฉงนและรีบถาม “หรือว่ามันคือพันธมิตรเพื่อที่จะล้มล้างบัลลังก์ท่านพ่อของข้า หากว่าใช่ ข้าเข้าด้วย!”

ซวีเซิงฮวา หลินเสวียน และหวางมู่หรันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายดีหรือไม่

ฉินมู่จึงกล่าว “ที่นี่ไม่มีคนนอก ดังนั้นพูดไปตามจริงเถอะ แต่ทว่า เมื่อพวกเราพูดเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้าทั้งหมดก็จะต้องกลายเป็นสมาชิกพันธมิตรสวรรค์ของข้า มีใครที่ไม่ต้องการจะฟังหรือไม่”

กิเลนมังกรรีบลุกขึ้นและงับหีบลากมันออกไปก่อนที่มันจะทันได้เก็บก้างปลา

“ยิ่งรู้น้อยเท่าไร ก็ยิ่งอายุยืนมากเท่านั้น!” มังกรอ้วนสอนหีบ

ทันใดนั้น กองไฟก็กะพริบวูบ และตรงข้ามของฉินมู่ ปรากฏเด็กหนุ่มคนหนึ่งยื่นมือออกมาแกะเนื้อปลาไปหนึ่งก้อน จากนั้นเขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข้าก็อยากจะรู้เกี่ยวกับพันธมิตรสวรรค์เช่นกัน ไม่ทราบว่ายอดหมอเทวดาฉินจะชี้ทางกระจ่างให้แก่ข้าได้หรือไม่”

ฉินมู่เลือดในกายเย็นเยียบ และเขารีบหันไปมองที่ยอดเขาแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ

“ทั้งสภาราชสำนักไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า จักรพรรดิของเจ้ามิได้อ่อนแอ และข้าคะเนว่าเขาคงบ่มเพาะสะพานเทวะของตนแล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “แต่ทว่าก่อนที่พวกเขาจะมาถึง พวกเจ้าก็คงกลายเป็นศพกันหมด ยอดหมอเทวดาฉิน อย่าวู่วาม มาสิ บอกเล่าข้าเรื่องพันธมิตรสวรรค์เสียหน่อย”

………………………..

[1] ดวงดาว หมายถึงคำว่า ซิง ในซิงอ้าน

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท