ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 517 มืดบอดด้วยความโลภ

ตอนที่ 517 มืดบอดด้วยความโลภ

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงลุกขึ้นด้วยความเดือดดาล ในสายตาของเขามีประกายวูบวาบ “คืนสุราให้ข้า!”

ซิงอ้านนั่งนิ่งขณะที่มือของเขาจับปากไหสุรา จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยื่นฝ่ามือออกไป แต่มันดูเคลื่อนที่อย่างยากเย็น ในระยะทางเพียงสั้นๆ เขาต้องใช้เวลาถึงครึ่งก้านธูป

ข้างๆ กองไฟ ฉินมู่ ซวีเซิงฮวา และคนอื่นๆ จ้องไปที่ฝ่ามือของพวกเขาอย่างไม่ปริปาก

ฝ่ามือของซิงอ้านมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง และแขนของเขาที่ยกไหสุราอยู่นั้นไม่ไหวติงสักนิด แต่ทว่า แขนของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงที่ยื่นออกมา สั่นเทิ้มเล็กน้อย นิ้วทั้งห้าของเขาสั่นระริกอย่างไม่หยุดนิ่ง แรงกระทบของแต่ละคลื่นกระเพื่อมอันส่งไปยังฉินมู่และคนอื่นๆ นั้นยากจะบรรยาย

ทุกครั้งที่นิ้วทั้งห้าของเขาสั่นไหว ก็เท่ากับการขับเคลื่อนทักษะเทวะหนึ่ง ปราณชีวิตอันเข้มข้นสูงปรากฏให้เห็นรางๆ อันก่อรูปขึ้นมาเป็นมังกรไร้เขาตัวเล็กละเอียดที่อยู่ระหว่างเส้นชีพจรของแขนและฝ่ามือของเขา!

ภายใต้ผิวหนัง มันดูราวกับจะมีมังกรแท้ที่ขดตัวไปมาและรวบรวมพละกำลังเอาไว้ แต่ทว่าพลานุภาพของมันไม่ได้อยู่ในสภาพเกรี้ยวกราดดุดันตลอดเวลา มันมีทั้งเขม็งเกร็งและคลายตัว

ที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงฝึกปรือคือวิชาเก้ามังกรราชันย์อันครั้งหนึ่งเขาเคยถ่ายทอดให้กับฉินมู่ ในภายหลังเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้ตรึกตรองเข้าใจวิชาเก้ามังกรราชันย์อีกรูปแบบ อันเขาก็ได้ถ่ายทอดให้แก่หลิงอวี้จิวผู้ซึ่งส่งมันต่อให้กับบิดาของนางเช่นกัน

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเป็นยอดอัจฉริยะไร้ปานเปรียบ เดิมทีวิชาเก้ามังกรราชันย์ของเขามิได้โดดเด่นสักเท่าไร แต่เขาได้พัฒนามันไปอย่างไม่หยุดยั้ง และยกระดับพลานุภาพของมันจนถึงสุดขีดขั้ว ทำให้ท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นวิชาอันเลิศล้ำเหนือธรรมดา ขนาดที่ว่าสามารถประชันขันแข่งกับสามมหาแดนศักดิ์สิทธิ์

หลังจากได้รับวิชาจากรังมังกรแท้ เขาก็ลบและอุดช่องโหว่ทั้งหมดที่ซ่อนเร้นอยู่ และสมบัติเทวะของเขาก็ได้กลายเป็นแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา ความแข็งแกร่งทนทานของสมบัติเทวะของเขาก็ได้รับความชื่นชมจากซิงอ้านว่าดูเหมือนจะบรรลุถึงเขตขั้นเทวะแล้ว!

มาบัดนี้เมื่อเขาข้ามพ้นสะพานเทวะและย่างกรายเข้าสู่เขตขั้นเทวะ พลังวัตรของเขาก็ยิ่งหนาแน่นกว่าเก่าก่อน

เมื่อฉินมู่และหลิงอวี้จิวเห็นพลานุภาพของมังกรแท้ภายใต้ผิวหนังของเขาที่เขม็งเกร็งและคลายตัวเป็นแบบแผน จิตใจของพวกเขาก็สั่นสะท้าน และเกิดความคิดและความตระหนักรู้ขึ้นมามากมาย

วิชามังกรเก้าราชันย์ที่ฉินมู่ได้ถ่ายทอดแก่หลิงอวี้จิวมิใช่วิชาฝึกปรือมังกรแท้อันครบสมบูรณ์ ก็ในเมื่อเขาไม่สามารถอ่านนิพนธ์เผ่ามังกรในนั้นได้ทั้งหมด หลังจากความช่วยเหลือของพี่ชายน้องสาวตระกูลป๋าย เขาก็เรียนรู้ความหมายของนิพนธ์นั้นมากขึ้นไปอีก และยกระดับวิชาฝึกปรือไปอีกระดับชั้น แต่ทว่าหลังจากที่กลับมายังสันตินิรันดร์ เขาก็ยังไม่มีโอกาสที่จะถ่ายทอดวิชาอันครบสมบูรณ์กว่าเดิมให้หลิงอวี้จิว

การที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสามารถฝึกปรือมาได้จนถึงระดับนี้โดยใช้เพียงวิชาฝึกปรืออันไม่สมบูรณ์ วิชาเก้ามังกรราชันย์นับว่าเหลือเชื่อเกินจะคิดฝัน! เขาได้ฝึกปรือมันราวกับว่ามีมรรคาเต๋าของมันทั้งหมดอยู่ในมือ

แต่ถึงแม้ว่าทักษะเทวะมังกรแท้ของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจะบรรลุเขตขั้นเต๋า ก็ยังยากที่เขาจะเคลื่อนที่ตรงหน้าซิงอ้านอยู่ดี

การเคลื่อนที่ไปแต่ละนิ้ว เป็นความท้าทายต่อเขา แม้ว่าเขาจะซุกงำการเปลี่ยนแปลงของทักษะเทวะทุกชนิดเอาไว้เป็นอย่างดี แต่พวกมันก็ยังคงด้อยกว่าฝ่ามือของซิงอ้านอันมั่นคงดุจขุนเขา

ท้ายที่สุด จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็คว้าถึงปากไหสุรา แต่ซิงอ้านพลันดีดนิ้วใส่ฝ่ามือของเขา

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงดีดนิ้วขึ้นไปเช่นกัน และนิ้วของพวกเขาปะทะกัน สายลมเบาดังมาหวึ่งๆ เคลื่อนไหวไปมาในไหสุราราวกับว่ามันถูกกวนปั่นด้วยการเคลื่อนไหวนิ้วของพวกเขา

ที่ปากไห นิ้วสองนิ้วรวดเร็วดุจเงา ซัดใส่กันไปมาด้วยความเร็วสูง

กร๊อบ

สีหน้าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแปรเปลี่ยนเมื่อนิ้วกลางของเขาหัก

เขากัดฟันข่มความเจ็บและปล่อยฝ่ามือของเขาออกไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาค่อยๆ ถอยและกล่าว “ในเมื่อศิษย์พี่ชมชอบสุรานี้มากขนาดนั้น ข้าก็จะมอบให้แก่ท่าน”

ซิงอ้านวางไหสุราลงไปอย่างไม่สะทกสะท้านและกล่าว “ข้าเมาง่าย และตอนนี้ข้าก็พอแล้ว”

เมื่อเขาวางไหสุราลง พยาธิสุราในท้องฮู่หลิงเอ๋อก็ร้องจ๊อกๆ และนางก็เดินเข้าไปดมกลิ่นสุราฟุดฟิด “ในเมื่อพวกท่านไม่ต้องการดื่ม เช่นนั้นข้าชิมสักหน่อย”

ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงสายลมหวึ่งเบาจากข้างในไหสุรา และก้มมองดู สุราในไหปั่นติ้วๆ อยู่ในนั้นราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนไหวไปมาและต่อสู้กันอยู่

นางก้มหัวเล็กๆ ลงไปใกล้ปากไห หมายจะเพ่งพิศดูอย่างละเอียด แต่ทันใดนั้นก็มีคนคว้าคอเสื้อนางและหิ้วตัวขึ้น

ฉินมู่ดึงนางกลับมา แล้วจับวางลงข้างๆ กองไฟ เขาส่ายหัวและกล่าว “อย่าไปดู มันอันตราย หากว่าเจ้าต้องการสุรา ข้าจะให้อวี้จิวไปเอามาให้เจ้าอีกสามสี่ไห”

“คุณชาย ข้างในไห…”

“มันน่ากลัวสุดๆ” ฉินมู่ลอบเหลือบตามองรอบๆ ก่อนจะพูดเสียงกระซิบ “ตอนนี้มีผู้คนอยู่เยอะแยะเกินไป ข้าจะเจาะไหนี่ให้เจ้าดูทีหลัง มันจะต้องตื่นตาอย่างแน่นอน”

ฮู่หลิงเอ๋อไม่อาจข่มระงับความตื่นเต้นของนางเอาไว้ได้ แต่เอาแต่ชายตาแลมองไหสุรา

ลมข้างในนั้นดังอึงคะนึงมากยิ่งขึ้น อันมีแต่เร้าความสงสัยใคร่รู้ของนางเข้าไปใหญ่ นางเอาแต่แหงนคอคอย แทบจะรอไม่ไหว

กลิ่นหอมจากไหสุราก็ดูราวกับจะหนาแน่นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกลับไปที่งานเลี้ยง และจอมทัพแผนสวรรค์ก็มาหาเขาและถาม “ฝ่าบาท ได้เวลาลงมือหรือยัง”

จักรพรรดิเลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้าก็สัมผัสได้หรือ”

จอมทัพแผนสวรรค์ผงกหัว “บุคคลที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ฝ่าบาทปะทะกับเขาอย่างนั้นหรือ เดี๋ยวข้าจะไปเรียกเจ้านครเว่ยมา”

ในตอนที่เขากล่าวเช่นนั้น เจ้านครเว่ยก็ปรากฏตัวข้างหลังเขาและและเริ่มกล่าวด้วยเสียงเบา “เมื่อฝ่าบาทลงมือ กระหม่อมก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอันผิดธรรมดาจากพื้นดิน ทักษะเทวะของท่านได้เขย่าสายแร่ที่อยู่ข้างใต้ บุคคลนั้นจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแน่นอน ฝ่าบาท…”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงส่ายหัว “ไม่ต้องทำอะไรหรอก บุคคลนั้นคือซิงอ้าน และในช่วงระยะสั้นๆ นี้เขาก็ยังไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่ทว่า…” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “คงจะต้องลำบากขุนนางฉิน ผู้ซึ่งเป็นข้าราชบริพารอันจงรักภักดีอย่างแท้จริง เพื่อที่จะถ่วงซิงอ้านเอาไว้ เขาถึงกับสละตัวเองและเก็บชายผู้นั้นไว้ข้างๆ ตัว ข้าไม่คิดเลยว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าจะองอาจและห้าวหาญขนาดนี้”

เขาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำอีก

“จ้าวลัทธิบอกว่ามีธุรกิจใหญ่งั้นหรือ” ซีอวิ๋นเซี่ยงถามพลางกะพริบตาปริบๆ ไปยังฉินมู่ “พวกเราจะร่ำรวยได้ไหม”

ฮู่หลิงเอ๋อเอาแต่สนอกสนใจไหสุราอันส่งกลิ่นหอมยวนใจนางออกมาตลอดเวลา แต่ทว่าเมื่อนางได้ยินคำว่าจะร่ำรวย หัวของนางไม่ขยับ แต่ทั้งตัวของนางหันขวับ นางจึงค่อยๆ บิดหัวเล็กๆ ของนางกลับมาด้วย “ธุรกิจใหญ่? จะร่ำรวย? คุณชาย ธุรกิจอะไรกันหรือ”

“การเดินทางไปยมโลกกับศิษย์พี่ซิงอ้านในรอบนี้ทำให้ข้าได้สมบัติวิเศษที่เรียกว่าระหว่างเป็นตาย มันสามารถเชื่อมยมโลกเข้ากับโลกแห่งคนเป็นได้”

ฉินมู่ปรายตามองซิงอ้าน สีหน้าของบุรุษที่ดูเยือกเย็นตลอดเวลาพลันแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว ดูท่าว่าเขาคงจะหวนระลึกถึงประสบการณ์แสนอัปยศในยมโลก

ฉินมู่ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าว “ธุรกิจที่ข้าจะทำนั้นอยู่ในโลกแห่งคนเป็น ข้างในยมโลกนั้นมีจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพและมารมากมายซึ่งอาจจะเป็นคนตายก็จริงอยู่ แต่ใช้ชีวิตอย่างอู้ฟู่ในยมโลก เทพและมารบางตนมีความปรารถนาที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม แต่ติดแหง็กอยู่ในยมโลกและไม่อาจผละออกมาได้ เพราะเช่นนั้น พวกเขาส่วนใหญ่จึงยินดีที่จะจ่ายเป็นราคาแพงเพื่อให้ผู้คนในโลกแห่งคนเป็นไปทำธุระตามที่พวกเขาจะใช้สอย”

“ข้าเองมีเรื่องต้องทำหลายอย่าง ดังนั้นข้าจึงไม่มีเวลามากมายนัก นี่จึงเป็นเหตุให้ข้าต้องการใช้สมบัติชิ้นนี้เพื่อเปิดเส้นทางให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ไปรับภารกิจมาจากคนตาย นี่คือการฝึกฝนและเช่นเดียวก็เป็นการบ่มเพาะบำเพ็ญ พวกเขาก็ยังสามารถร่ำรวยจากเรื่องนี้ได้อีกด้วย”

เขาแย้มยิ้มและกล่าวอย่างใจเย็น “เทพและมารแห่งยมโลกยังสามารถถ่ายทอดวิชาและทักษะเทวะให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะผู้ซึ่งสำเร็จความปรารถนาให้แก่พวกเขา หรืออาจจะจ่ายผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นเป็นเหรียญทองคำเพื่อใช้เข้าไปในยมโลก ส่วนสำหรับข้า ข้ากะว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางจากผู้ฝึกวิชาเทวะที่เข้าไปในระหว่างเป็นตาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของข้า”

“วิชาและทักษะเทวะของเทพและมาร?” สีหน้าของทุกๆ คนข้างกองไฟแปรเปลี่ยนไปพร้อมๆ กันทั้งหมด และพวกเขาก็ล้วนแต่ใจสั่นสะท้าน

พึงรู้ว่าคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตคือวิชาฝึกปรือที่สามารถทำให้ผู้ฝึกบรรลุเทพหรือมารได้ และวิชาเช่นนี้คือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิมารฟ้า

กระบี่เต๋าแห่งสำนักเต๋า และพระสูตรมหายานยูไลก็เป็นวิชาฝึกปรืออันสามารถเปลี่ยนผู้ฝึกให้เป็นเทพหรือพุทธเจ้าได้ อันเป็นสาเหตุให้พวกเขากลายเป็นมหาแดนศักดิสิทธิ์

ต่อให้วิชาและทักษะเทวะของเทพและมารในยมโลกจะด้อยกว่าของพวกสามมหาแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็ยังมิใช่เรื่องเล่นๆ อยู่ดี!

“ตั้งแต่เมื่อจ้าวลัทธิฉินได้คิดค้นตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของสะพานเทวะ และเผยแพร่เคล็ดลับสะพานนกกางเขน เคล็ดลับนำทางปริศนา และเคล็ดลับเทพยดาข้ามพ้น สะพานเทวะก็มิใช่อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่สุดในการบรรลุเป็นเทพอีกต่อไป” หลงอวี๋กล่าว

“การไม่มีวิชาฝึกปรือในเขตขั้นเทวะต่างหากที่เป็นอุปสรรคอันแท้จริง! พูดกันตามตรงแล้ว ในช่วงหลายวันนี้ มีผู้อาวุโสเฒ่าหลายต่อหลายคนที่มายังนครหยกน้อยเพื่อเสาะหาวิชาฝึกปรือ แต่พวกเรามีในนครหยกน้อยอย่างมากก็เป็นวิชาฝึกปรือในขั้นสะพานเทวะ ไม่มีวิชาฝึกปรือที่เหนือไปกว่านั้น”

เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนผงกหัวและกล่าว “สำนักเต๋าของเราก็ไม่มีวิชาระดับเทพเจ้าของวิชาฝึกปรือเซียนเถียนบรมปริศนา ถ้อยคำจากจ้าวลัทธิฉิน ทำให้ใจของข้าเคลื่อนไหวเป็นอย่างยิ่ง”

ปัญหาใหญ่ที่สุดของยอดฝีมือในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็คือหลังจากที่กรุยทางอันไม่เคยผ่านไปได้มาก่อนสำเร็จแล้ว พวกเขาก็ไม่มีวิชาใดๆ ที่จะใช้ฝึกปรือต่อ และไม่รู้ว่าจะเดินทางต่อไปอย่างไร

หากว่าฉินมู่สามารถใช้ระหว่างเป็นตาย เพื่อเชื่อมโยงโลกทั้งสองเข้าด้วยกันได้จริง และช่วยให้พวกเขาสามารถได้รับวิชาฝึกปรือของขั้นวรยุทธอันเหนือล้ำขึ้นไป มันก็จะกลายเป็นคุณงามความกุศลอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าเขาจะเรียกเก็บเงินเท่าไร ก็จะคุ้มค่าควรจ่ายอย่างแน่นอน!

แม้แต่ซิงอ้านก็ยังค่อนข้างหวั่นไหว แต่ทว่า เมื่อคิดถึงการที่ยมโลกได้สะกดข่มเขามา เขาก็ได้แต่ละวางความคิด

ผู้เยาว์พวกนี้ หากว่าพวกได้รับวิชาฝึกปรือหลังจากเขตขั้นเทวะมา ก็คงยากที่จะบอกได้ว่าข้าจะเป็นฝ่ายแย่งชิงชิ้นส่วนร่างกายของพวกเขา หรือว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายทำลายดวงวิญญาณของข้าไปแทน

สายตาเขาวูบวาบ ในชั่วจังหวะนั้น จิตคิดฆ่าฟันของเขาก็ตื่นขึ้นมาชั่ววินาทีหนึ่ง แต่ทว่า เขาก็ยังเป็นชนชั้นปรมาจารย์คนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงสยบความคิดเอาไว้ในเวลาไม่นาน

ซีอวิ๋นเซี่ยงและฮู่หลิงเอ๋อหายใจกระฟืดกระฟาด และดวงตาของนางสุกใสเป็นประกาย ความคิดเดียวกันผุดขึ้นในหัวของพวกนาง พวกเรากำลังจะรวยแล้ว! จะร่ำรวยเทียบเท่าจักรวรรดิ! เมื่อจัดตั้งระหว่างเป็นตายสำเร็จ แม้แต่จักรพรรดิก็คงห้ามใจตนเองไม่ให้ไปยมโลกไม่ได้หรอก!

ฮู่หลิงเอ๋อยกหูขนปุยทั้งสองของนางตั้งขึ้นมา และกระดิกมันไปหน้าไปหลังด้วยความตื่นเต้น “คุณชาย พวกเราควรคิดเงินกับจักพรรดิเท่าไร”

ซีอวิ๋นเซี่ยงเองก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เซียนเฒ่าแห่งนครหยกน้อย หลวงจีนแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม นักพรตเฒ่าแห่งสำนักเต๋า พวกนี้ล้วนแต่เป็นแกะอ้วนๆ รอให้พวกเราเชือด!”

หลวงจีนหมิงซิ่น นักพรตหลินเสวียน หวางมู่หรัน และหลิงอวี้จิวหน้าเขียวหน้าดำ ไม่ทันที่พวกเขาจะได้ทักท้วง ซีอวิ๋นเซี่ยงและและฮู่หลิงเอ๋อก็หันไปมองตากัน ก่อนจะตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียว “คุณชาย หากว่าพวกเราเก็บค่าธรรมเนียมจากโลกแห่งคนเป็น แล้วโลกแห่งคนตายล่ะ พวกเราก็สามารถไปเก็บเงินที่นั่นได้นะ!”

“มืดบอดด้วยความโลภ! เจ้าไม่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเลยแม้แต่นิด! ปล่อยรายได้บางส่วนให้คนอื่นเขาบ้าง!” ฉินมู่กล่าวพลางส่ายหัว “ข้าได้มอบการเก็บค่าธรรมเนียมที่นั่นให้แก่เหล่าอดีตกษัตริย์มนุษย์แห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ เงินรายได้เป็นของพวกเขา ดังนั้นพวกเจ้าลืมไปได้เลย”

ซีอวิ๋นเซี่ยงและฮู่หลิงเอ๋อค่อนข้างผิดหวัง หางของฮู่หลิงเอ๋อที่ตั้งขึ้นอยู่เมื่อครู่ก็ตกลู่ แต่ทว่าเมื่อนางคิดว่ากำลังจะร่ำรวยแล้ว หางของนางก็ชี้ตั้งขึ้นมาอีกครั้ง

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว และงานเลี้ยงก็เลิกรา

ฉินมู่รอให้ทุกๆ คนบนภูเขากลับไป ก่อนที่จะดึงฮู่หลิงเอ๋อวิ่งออกไปห่างจากไหสุรา จากนั้นเขาก็โยนก้อนหินใส่มัน

ก้อนหินนั้นหล่นลงไปในไหสุรา แต่ชั่วอึดใจหนึ่งมันก็ยังไม่มีปฏิกิริยา

ฮู่หลิงเอ๋อสงสัยขึ้นมา “คุณชาย หรือว่าท่านเข้าใจผิด”

ฉินมู่ส่ายหน้า และหันไปมองยังซิงอ้านที่อยู่ข้างๆ เขา “ศิษย์พี่ซิงอ้าน ไหนี่…”

“ถูกข้าสะกดข่มเอาไว้” ซิงอ้านกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หากว่าเจ้าหมายจะปลดปล่อยพลังงานในนั้น ข้าก็ทำตามที่เจ้าปรารถนาได้นะ เพียงแต่ว่ามีภูเขาหยกเช่นนี้สักกี่ลูกกันในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิของเจ้า”

“อย่าปล่อยมันออกมา!” ในจังหวะที่ฉินมู่อ้าปากพูดเช่นนั้น ซิงอ้านก็ปลดปล่อยพลังวัตรของเขาและมองไปที่ฉินมู่ด้วยรอยยิ้มประหลาด “ยอดหมอเทวดาฉิน ข้าก็เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันนะ”

ฉินมู่รู้สึกขนหัวทุกเส้นลุกเต็มเหยียดและรีบฉุดฮู่หลิงเอ๋อวิ่งหนีเตลิด “พวกเราอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้แล้ว จักรพรรดิจะต้องตัดหัวข้าแน่ๆ ไปเร็วเข้า เดี๋ยวนี้เลย!”

………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน