ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 523 ให้อภัย

ตอนที่ 523 ให้อภัย

ฉินมู่ลงเหยียบพื้นพร้อมกับโคลนอันกระเด็นพุ่งไปรอบๆ ตัวเขา ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด และหยาดหยดของมันก็เข้าไปผสมกับโคลนเหล่านั้น เส้นผมของเขาลุกโพลงปลิวไปมาจากความพิโรธเมื่อเขาก้าวไปยังกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกผู้ซึ่งเพิ่งลุกขึ้นมายืน

“เจ้ามันก็แค่ทหารหนีทัพของสมรภูมินี้ เจ้าไม่มีสิทธิที่จะดูถูกเหยียดหยามใคร!” ฉินมู่ร้องคำรามและพุ่งเข้าใส่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก

แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะสาหัส แต่รัศมีของเขาก็ดูจะดุร้ายยิ่งกว่าเก่า และพลานุภาพในกระบวนท่าของเขาก็ยิ่งน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ

โทสะอัดแน่นเต็มอกเขา เมื่อบรรพชนแรกกำลังจะทำลายโครงกระดูกของบรรพชนสอง เขาก็รู้สึกว่ากับว่าเลือดในอกทั้งหมดจะระเบิดออกมา จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาหลอมรวมเข้ากับกายเนื้อจากจุดที่มันยืนอยู่บนแท่นวิญญาณใจกลางสมบัติเทวะของเขา ขณะที่จิตวิญญาณดั้งเดิมใช้ศีรษะค้ำยันฟ้า และเท้าเหยียบหยัดอยู่บนดิน เขาก็ท่วมท้นไปด้วยไอหมอกแห่งหกทิศอันไหล่บ่ามาจากทุกทิศทาง

ปราณชีวิตของฉินมู่หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอันได้หลอมรวมเข้ากับกายเนื้อไปแล้ว และปราณชีวิตก็พุ่งแผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย

ทันใดนั้น เขาก็ตรึกตรองเข้าใจประเด็นสำคัญที่สุดของการที่จิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อของบรรพชนแรกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

การโคจรวิชานั้นอาศัยเวลา ทักษะเทวะจึงจะสามารถแผ่พุ่งพลานุภาพออกไปได้ ความแตกต่างนั้นอยู่แค่ว่า ระยะเวลาดังกล่าวจะยาวสั้นแค่ไหน อันนำไปสู่พลานุภาพอันแข็งแกร่งและอ่อนแอ

ด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิมตั้งมั่นอยู่ในสมบัติเทวะทั้งหลาย ปราณชีวิตก็จะเข้ามาในร่างกายเขาผ่านทางสมบัติเทวะทั้งหลายโดยตรง ประหยัดเวลาที่ต้องใช้ในการโคจรปราณชีวิต

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง และไม่เพียงแค่เพราะว่าทุกส่วนในร่างกายของเขาบรรลุเขตขั้นเทวะ แต่ด้วยการใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมผสานเข้ากับร่างเนื้อ

ในจังหวะนั้น ดาวห้าดวงในสมบัติเทวะห้าธาตุของฉินมู่ก็สอดคล้องกับอวัยวะทั้งห้า หัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไตอันคือไฟ ไม้ ดิน ทอง และน้ำตามลำดับ เทพครองดาวทั้งห้าเคลื่อนที่เข้าไปในหัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไตของเขา แต่ละอวัยวะในอวัยวะทั้งห้าของเขามีเทพเจ้าสถิตอยู่ในนั้น!

หัวใจของเขานั้นคือสถานที่ที่เทพครองดาวอังคารหัววัวเคลื่อนที่เข้าไป

ตับเป็นสถานที่ที่เทพครองดาวพฤหัสบดีหัวนกเข้าไปครองตำแหน่ง ม้ามคือสถานที่ที่เทพครองดาวเสาร์หัวคนร่างงูเลื้อยเข้าไป ปอดคือที่ซึ่งเทพครองดาวศุกร์หัวเสือเข้าไปนั่ง และไตนั้นคือที่ซึ่งเทพครองดาวพุธผู้มีเกศาสีแดงและร่างงูเข้าไปอยู่

ห้าธาตุและกายเนื้อส่งเสริมซึ่งกันและกัน และพละกำลังของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย อันทำให้เขามีพละกำลังพอที่จะซัดบรรพชนแรกซึ่งกำลังจะทำลายโครงกระดูกของบรรพชนสองกระเด็นไปได้ในหมัดเดียว!

“ใช่ พวกเขาแพ้ พวกเขาพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช!”

ฝ่ามือของฝ่ามือปะทะกัน และพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่พุ่ง หมอกขาวในบริเวณรอบๆ เกิดเสียงหวีดเฉือน เมื่อฝ่ามือทั้งสองปะทะกันและก่อเป็นคลื่นอากาศ

พลังฝ่ามือราวกับมีดอันคมกล้าไร้ใดเปรียบอันเฉือนตัดหมอกเป็นสองฟากยาวไกลถึงร้อยห้าสิบวา

“พวกเขาได้ทำมัน แต่เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์พวกเขา”

ฉินมู่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว และปราณชีวิตทั้งหมดของเขาก็แผ่พุ่งไป เส้นเอ็นของเขาขยับอย่างดุเดือดใต้ผิวหนังและผลักปะทะกับบรรพชนแรก ปัง ปัง ปัง ปัง ภายใต้เท้าของพวกเขา พื้นดินระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมันมีพื้นที่โล่งว่างรอบตัวพวกเขารัศมีร้อยห้าสิบวา อันไร้ซึ่งมวลหมอก

ถึงอย่างไร มันก็คือพลังอันกดอัดจากการซัดฝ่ามืออันรุนแรงของฉินมู่ หมอกทั้งหลายจึงไปรวบอัดกันข้างหลังมัน ซึ่งก็คือข้างหลังบรรพชนแรกในตอนนี้

“นอกจากก่อตั้งโถงกษัตริย์มนุษย์ เจ้าได้ทำอะไรอีก” ฉินมู่ถาม และภูเขาไฟก็ระเบิดมาข้างหลังเขา อัคคีพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกมันมาจากเพลงหมัดของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังอันรวบรวมเพลิงหฤทัยมาเป็นพลังการระเบิด

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พละกำลังในฝ่ามือของฉินมู่พลันเพิ่มพูนไปหลายเท่าตัว และซัดเขากระเด็นไป

“เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกำลังอยู่บนอากาศ และพลันเห็นฉินมู่เงื้อขาข้างหนึ่งขึ้นมา ร่างของเขาตวัดเตะเป็นวงกลมขณะที่ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธวิญญาณทุกชนิดเข้าไปถล่มเป้าหมาย!

มันคือเวทมนตร์ขัดเกลาอาวุธวิญญาณของกษัตริย์มนุษย์หลันโพ่!

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกวาดแขนเสื้อขึ้นและทำลายอาวุธวิญญาณทั้งหมด แต่ไม่ทันที่เขาจะร่วงลงถึงพื้น เขาก็เห็นฉินมู่ยกนิ้วขึ้นมาทางเขา ภูเขามากมายพลันโผล่ขึ้นมาและโถมทับใส่เขาทั้งหมด

“เชื่อมกำแพงแตะขุนเขาน้ำเงิน!”

“หากว่าพวกเขาด้อยกว่าเจ้า ก็สอนพวกเขาสิ! เจ้าสามารถสอนพวกเขาได้!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหักฝ่ากระบวนท่านี้ด้วยกำลังเถื่อน แต่เขายังไม่ทันตั้งตัว ระฆังยักษ์ก็พุ่งเข้ามาใส่เขา ฉินมู่มาตรงหน้าเขาและโจมตีใส่ระฆัง หมัดและลูกเตะของเขาซัดลงไปบนผนังระฆัง

ระฆังสั่นสะท้าน และพลานุภาพของมันก็ร้ายกาจดุดันมากขึ้นทุกที บางครั้งมันก็เอียง บางครั้งมันก็คว่ำ บางครั้งก็หงาย และบางครั้งปากระฆังก็จ่อตรงไปยังบรรพชนแรก

ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีของบรรพชนห้า!

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกถอยไปอย่างต่อเนื่องขณะที่ฉินมู่พูดใส่เขาอย่างเดือดดาลผ่านเสียงเหง่งหง่างของระฆัง “บรรพชนสองตายอย่างไร จากความชรา!”

ตูม!

ฝีเท้าของกษัตริย์บรรพชนแรกเริ่มพลาดจังหวะ

“บรรพชนสามตายอย่างไร จากความชรา!”

“บรรพชนสี่ตายอย่างไร จากความชรา!”

“พรสวรรค์และปฏิภาณของกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดด้อยกว่าเจ้าหรือ หากว่าเจ้าทำไม่ได้ เจ้าก็ควรถ่ายทอดวิชาในการบรรลุเทพให้พวกเขากระทำมันสิ! ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้พวกเขาตายจากความชรา”

ฉินมู่ขับเคลื่อนทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์ทั้งสามสิบสี่คนที่เขาได้ร่ำเรียนมาในยมโลก กษัตริย์มนุษย์ทั้งสามสิบสี่ได้ทดสอบพรสวรรค์และปฏิภาณของเขาด้วยทักษะเทวะพวกนี้ แต่ว่าพวกเขามิได้ถ่ายทอดวิชาเต็มๆ หวังให้เขาไปยังโถงกษัตริย์มนุษย์เพื่อรับสืบทอดวิชาคำสอนของพวกเขาที่ครบสมบูรณ์

พวกเขาสอนฉินมู่แต่เพียงคร่าวๆ และมิได้คาดหวังว่าเขาจะเรียนอะไรไปได้มากมายนัก แต่กระนั้นทักษะเทวะของพวกเขาในมือของฉินมู่ก็เปล่งอานุภาพอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ ทำให้บรรพชนแรกต้องถอยกรูดๆ

“เจ้ามีวิชาสำหรับฝึกให้บรรลุเทพอยู่ชัดๆ ดังนั้นเจ้าก็ควรจะสอนพวกเขา! ทำไมเจ้าไม่สอนพวกเขา”

“พวกเขาได้อะไรไปจากเจ้าบ้าง นอกจากลัญจกรผุพังนี่! นอกจากภาระและความรับผิดชอบ พวกเขาไม่ได้อะไรเลย!”

“พวกเขาไม่ได้เรียนรู้วิชาและทักษะเทวะของเจ้า แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังช่วยเจ้าแบกรับภาระที่เจ้ายกเองไม่ไหว ดิ้นรนและต่อสู้กับศัตรูที่เจ้าหวาดกลัว! กระนั้นเจ้าก็ยังมาทำลายความพากเพียรชั่วชีวิตของพวกเขา และยังหวังที่จะทำลายซากสังขารอีก! พวกเขาละอายเกินกว่าจะสู้หน้าเจ้าหลังจากที่พวกเขาตายไป ละอายที่ไม่อาจประสบความสำเร็จ!”

“กระนั้นเจ้าก็ยังอยากจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเหลือเอาไว้! เจ้ามีหน้าอะไรไปเรียกพวกเขาว่าไร้ประโยชน์ เรียกพวกเขาว่าไร้ความสามารถ”

ฉินมู่ปลดปล่อยกระบวนท่าสุดท้ายของเขา แต่บรรพชนแรกพลันยื่นมือออกมาคว้าหมัดของเขาเอาไว้และเหวี่ยงเขาขึ้นไปก่อนที่จะจับเขาฟาดลงกับพื้นอย่างหฤโหด

ฉินมู่กระโดดขึ้นมา และบรรพชนแรกก็โจมตีตอบโต้ด้วยเพลงหมัด วิชาตัวเบา เพลงกระบี่ และวิชาพยุหะ แต่ละอย่างนั้นมหัศจรรย์อย่างเหลือแสน เขาทำลายฝ่ากระบวนท่านของฉินมู่ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย และซัดฉินมู่จนต้องตกไปเป็นฝ่ายป้องกันอีกครั้ง

เขานั้นแข็งแกร่งอย่างไร้ใดเปรียบ และการล่าถอยของเขาเมื่อครู่นี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงการถอยเพื่อหลอกล่อให้ฉินมู่อ่อนแรงลง บัดนี้เขาหมายจะทำลายอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง บดขยี้ความมั่นใจและร่างกายไปพร้อมๆ กัน!

ประสบการณ์การต่อสู้ของเขามีมากจนเหลือล้น และกายเนื้อของเขาก็อยู่ในสภาพอันสมบูรณ์แบบที่สุดตลอดเวลา การควบคุมปราณชีวิตของเขาก็บรรลุถึงเขตขั้นอันเกินจินตนาการ ฉินมู่ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึก และโถมดิ่งตัวเองเข้าไปในการปลดปล่อยทักษะเทวะ ขณะที่บรรพชนแรกสามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้อย่างไร้ที่ติ และไม่เสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ในการปลดปล่อยอารมณ์

ปัง ปัง ปัง

ฉินมู่ถูกซัดด้วยหมัด ลูกเตะ และทักษะเทวะจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเทียบกับร่างกายของเทพเที่ยงแท้เยาว์ที่บรรพชนแรกมีแล้ว เขาก็ยังบอบบางเกินไป

กายามังกรแท้จ้าวแดนดินของเขาไม่อาจขับเคลื่อนได้อีกต่อไป และนิ้วของบรรพชนแรกที่จี้มาถึงหว่างคิ้วของเขาก็ได้ทำลายมัน

ฉินมู่ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปสูงลิ่วก่อนที่จะร่วงลงมาเหมือนกระสอบข้าวผุๆ ตรงหน้ากระท่อมฟางซอมซ่อของบรรพชนสอง

เขาพยายามดิ้นรนจะลุกขึ้น แต่ไม่อาจลุกขึ้นได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอันเย็นเยียบ เขามายังข้างๆ ฉินมู่และกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าพูดมากมายขนาดนี้ แล้วมันมีประโยชน์หรือ หากว่าเจ้าทำได้ ก็เอาชนะข้าสิ ไม่อย่างนั้น เจ้าก็ไม่มีทางแบกรับตำแหน่งกษัตริย์มนุษย์เอาไว้ได้ เมื่อเจ้ารับมันเอาไว้ ศัตรูที่เจ้าจะต้องเผชิญจะยิ่งแข็งแกร่งและเหี้ยมโหดยิ่งกว่าข้าอีกหลายเท่า!”

ฉินมู่จ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้างขณะที่อีกฝ่ายเดินไปยังกระท่อมฟางของบรรพชนสองและหิ้วโครงกระดูกนั้นขึ้นมา

“อย่า…” ฉินมู่คลานไปข้างหน้าอย่างยากลำบากจนกระทั่งเขาคว้าข้อเท้าของบรรพชนแรกเอาไว้ ด้วยเสียงเจือสะอื้น เขาวิงวอน “ข้าขอร้องเจ้า!”

แกรกๆ

โครงกระดูกของบรรพชนสองแหลกละเอียดและร่วงลงไปบนพื้น

บรรพชนแรกยกเท้าขึ้นและกระทืบหลังเขาไปสองที จากนั้นกล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ เจ้าก็ไม่มีวันเอาชนะพวกเขาได้ นี่คือครั้งแรกที่เจ้ามีโอกาสเผชิญหน้ากับข้า ดังนั้นเจ้ายังมีโอกาสอีกสามสิบสี่ครั้ง”

ฉินมู่ทัศนวิสัยรางเลือนขณะที่แก้มของเขาเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหิ้วตัวเขาขึ้นและโยนเขาขึ้นไปบนหีบ เขากล่าวอย่างเย็นเยียบ “ทุกครั้งที่เจ้าพ่ายแพ้ข้า ข้าก็จะทำลายโครงกระดูกของกษัตริย์มนุษย์คนหนึ่ง หากว่าเจ้ายังคงแพ้ต่อไปเรื่อยๆ โครงกระดูกของพวกล้มเหลวนี่ก็จะสาบสูญหมดสิ้น ไปซะ!”

กิเลนมังกรอ้าปากคำรามใส่เขา แต่ปากของเขายังคงถูกปิดผนึกอยู่ เขาไม่อาจส่งเสียงใดๆ ได้

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปที่เขา และกิเลนมังกรก็ก้มหน้าลง เขาพาหีบอันมีฉินมู่กองอยู่บนหลังกลับไปในทางที่พวกเขาจากมา

“ข้าจะฆ่าเจ้า!” เสียงของฉินมู่ดังมาจากข้างบนหีบ “ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกร่างสั่นเทิ้ม แต่เขาไม่หันกลับไป กิเลนมังกรพาหีบและฉินมู่ออกไปจากเศษซากโบราณแห่งสภาสวรรค์นี้

“ข้าขอโทษ…”

ตึง

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกคุกเข่าลงไปตรงหน้ากระท่อมฟางของบรรพชนสองจนฝุ่นธุลีลอยขึ้นมา “ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำลายซากสังขารของเจ้า ข้าขอโทษ…”

“ข้าให้อภัยท่านไปแล้ว”

ผีตนหนึ่งผุดขึ้นมาจากซากกระดูก มันมีรูปเงารางเลือนของบรรพชนสองที่ส่งยิ้มไปให้ “ข้าได้ให้อภัยท่านมาตั้งนานแล้ว ข้ารู้ความคิดของท่าน ท่านอยากจะให้เขาเติบโตขึ้นเร็วกว่านี้เพราะว่าเขาคือกายาจ้าวแดนดิน ใช่ไหม เขาสามารถแบกรับภาระที่พวกเราไม่สามารถทำได้ ใช่ไหม ข้าได้อภัยท่านแล้ว ดังนั้นกลับมาที่ยมโลกเถอะ พวกเขาก็จะให้อภัยท่านด้วยเช่นกัน…”

ในกระท่อมฟางอันเก่าพัง โครงกระดูกทั้งหลายเงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกที่คุกเข่าอยู่อย่างเงียบงัน

“พวกเราล้วนแต่ให้อภัยท่าน…”

พวกเขามองไปยังบรรพบุรุษของตน กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมิได้ถ่ายทอดวิชาฝึกปรือในการบรรลุเป็นเทพให้แก่พวกเขา แต่เขาได้ถ่ายทอดจิตวิญญาณหนึ่งอันยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด จิตวิญญาณอันไม่มีวันตายและไม่ยอมพ่ายแพ้

“ข้าไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกคุกเข่าอยู่ที่พื้น และร่างกายของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรูปสลักหินเมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาจากไปในที่ไกลแสนไกล

หีบส่งเสียงก๊อกแก๊กขณะที่วิ่งไป แบกฉินมู่ผ่านภูเขามากมาย ตรงหน้ามันนั้น กิเลนมังกรมองไปข้างหน้าอย่างระวังระไว เผื่อว่าสัตว์พิสดารในแดนเถื่อนจะโจมตีพวกเขา

สองวันถัดมา พวกเขามาถึงเมืองเขตมังกร ซีอวิ๋นเซี่ยงและฮู่หลิงเอ๋อรีบมารับฉินมู่ไปรักษาพยาบาล ผ่านไปสามสี่วัน เขาก็ฟื้นฟูกลับมาและเยียวยาตนเองจนกลับมาแข็งแรง

“ข้าจะฆ่าเขา” ดวงตาฉินมู่ชืดชาขณะที่เขานั่งอยู่บนหัวเสามังกรในเมือง “ข้าจะต้องฆ่าเขาแน่นอน ข้าไม่มีวันยกโทษให้เขา…” เขาบอกฮู่หลิงเอ๋อที่พาเขาขึ้นมาที่นี่

นางมองไปยังฉินมู่ที่ท้อถอยไร้ชีวิตชีวาในช่วงหลายวันมานี้ นางไม่รู้ว่าจะปลอบโยนเขาได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงพาเขามายังสถานที่นี้อันพวกเขาได้ละเล่นด้วยกันในครั้งกระโน้น ด้วยหมายที่จะปัดเป่าเมฆดำในหัวใจเขาออกไปไม่มากก็น้อย

“ท่านพ่อเรียกตัวข้ากลับไป เขาบอกว่าจะส่งข้าไปยังแผ่นดินตะวันตก” หลิงอวี้จิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “แม้ว่าแผ่นดินตะวันตกจะสวามิภักดิ์ต่อพวกเรา แต่ก็ไม่มีอิทธิพลอำนาจของสภาราชสำนักอยู่ที่นั่น เจ้าอยากจะตามข้าไปเดินท่องเที่ยวในแผ่นดินตะวันตกไหม อย่ามัวแต่คิดเรื่องนี้อยู่ตามลำพังเลย มันน่ากลัวนะ…บอกเล่าข้าออกมาสิ เผื่อข้าจะมีความคิดดีๆ!”

ฉินมู่มองไปที่นางด้วยสีหน้าอันแข็งทื่อ ดวงตาของเขาปราศจากชีวิตชีวา หนวดหร็อมแหร็มของเขาที่เขาชอบจะทึ้งถอนออกมาตอนนี้ได้กลายเป็นตอใหญ่ๆ มากมายหลังจากที่ไม่ได้แตะพวกมันมาหลายวัน เขาถามอย่างชืดชา “ข้าจะเอาชนะเทพเที่ยงแท้ได้อย่างไร”

หลิงอวี้จิวอึ้งไป

ฉินมู่เอนตัวลง “ไปแผ่นดินตะวันตกเถอะ จักรพรรดิบอกเจ้าให้ไปที่แผ่นดินตะวันตกและรัชทายาทอวี้ชู้ไปที่แดนเหนือที่เพิ่งยึดครองมาได้ ดังนั้นหากว่าเจ้าปกครองแผ่นดินตะวันตกได้ดีกว่าเขา เจ้าก็จะได้รับตำแหน่งรัชทายาทมาแทน หากว่าเจ้าต้องการ ข้าช่วยเจ้าได้ ข้ามีผู้คนอยู่ในแผ่นดินตะวันตก แต่ข้าไปกับเจ้าด้วยไม่ได้ ข้าต้องคิดอะไรบางอย่างให้ตก”

หลิงอวี้จิวเอนกายลงข้างๆ เขาและใช้มือของนางหนุนหัวต่างหมอนพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่า “เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่พวกเรานอนแผ่อยู่ที่นี่ด้วยกัน ทุกๆ อย่างช่างไร้กังวล ข้าชอบเจ้า เจ้าก็ชอบข้า เช่นนั้นทำไมหลังจากที่พวกเราเติบโตขึ้นมา จู่ๆ ก็มีความกังวลมากมาย ข้าคิดถึงช่วงเวลานั้นเหลือเกิน…”

“นั้นอาจจะเพราะว่าพวกเราโตขึ้น” ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงเบาหลังจากที่หลับตาลงไป

หลิงอวี้จิวพลิกตัวและมองเขาจากด้านข้าง นางดึงเส้นหนวดยาวของเขาออกมาเส้นหนึ่งและถาม “เจ้ายังเป็นเจ้าคนเดิมหรือเปล่า”

ฉินมู่ตกตะลึง “ซิงอ้านกล่าวว่าร่างกายของบุคคลหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงในทุกๆ เจ็ดปี นี่ก็ผ่านมาได้สามสี่ปีแล้ว ข้าคงจะเหลือตัวข้าคนเดิมอีกแค่ครึ่งตัว”

หลิงอวี้จิวตัวสั่นเทิ้มและดึงเอาหนวดของเขาออกมาอีกสองเส้นอย่างโหดร้ายพลางกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “เจ้าหลอกข้าให้กลัวอีกแล้ว! เจ้าไม่มีทางเป็นซิงอ้าน!” นางเอียงหัวของนางพลางครุ่นคิด “หากว่าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าไปแผ่นดินตะวันตก ข้าอยู่กับเจ้าก็ได้นะ”

“เจ้าอยากไปไหม” ฉินมู่ถาม

“ข้าอยาก!” หลิงอวี้จิวลุกขึ้นยืนและมองลงไปยังภูเขาและแม่น้ำแห่งแดนโบราณวินาศจากที่สูงพลางกล่าวด้วยจิตใจอันฮึกเหิม “ข้าอยากที่จะเป็นจักรพรรดิหญิงและเอาชนะพ่อของข้าได้! ข้าอยากจะทำให้เขารู้ว่าข้าดีกว่าและแข็งแกร่งกว่าบุตรชายของเขาทั้งหมด!”

ประกายแสงวูบวาบพุ่งไปมาในดวงตาของฉินมู่ เขารู้สึกถึงแรงบันดาลใจที่เอ่อล้นมาท่วมเขาหลังจากได้ประจักษ์วาทะอันหาญกล้าของนาง และชีวิตชีวาก็คืนกลับเข้ามาในร่างเขา ราวกับว่าเขาได้ฟื้นคืนชีพ

……………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน