ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 518 การสอบสวนของซิงอ้าน

ตอนที่ 518 การสอบสวนของซิงอ้าน

มันมีบันทึกอาลักษณ์จากฤดูเหมันต์ของปีที่สิบเจ็ดจากรอบหกสิบปี มันบรรยายถึงเหตุการณ์ที่ภูเขาหยกแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิทรุดจมลงไปยี่สิบแปดวาเมื่อมีเพลงไฟสีแดงฉานพวยพุ่งออกมาจากหลุมยุบที่ใจกลางอันมีรัศมีแปดร้อยลี้ อันเป็นภาพที่ตระการตาอย่างประหลาด

แต่ทว่า อาลักษณ์มิได้บันทึกสาเหตุของปรากฏการณ์ เขาเพียงแต่ใช้ถ้อยคำอ้อมค้อมอันมีความหมายลึกซึ้งกล่าวถึงอธิการบดีฉินแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์ที่ได้ละเลยการสอนของเขาและถูกจักรพรรดิลงโทษให้งดเบี้ยหวัดเงินเดือนเป็นเวลาสองปี ตำแหน่งขุนนางของเขาก็ถูกลดระดับจากชั้นสี่มายังชั้นห้าขั้นต่ำ

จากปากคำของผู้คนในวังหลวง มันเป็นเวลาเช้าตรู่ของวันนั้นเมื่อจักรพรรดิตื่นตระหนกจากเสียงระเบิดดังกึกก้อง เขารีบเหาะขึ้นไปเพื่อมองดูและเห็นว่าจุดที่เกิดระเบิดคือทะเลสาบมังกรหยก ปลามังกรมากมายนับไม่ถ้วนถูกกระแทกและลอยอยู่เต็มผิวทะเลสาบ ทะเลสาบมังกรหยกเองก็ขยายกว้างกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังลึกขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

จักรพรรดิโลดเต้นด้วยความเดือดดาล

จากรายงาน มีบาดแผลอยู่ที่มือของจักรพรรดิ ขณะที่เขาร้องโวยวายจะตัดหัวใครบางคน

ในเวลานั้น จักรพรรดิแบกมีดและเดินพล่านไปทั่วภูเขา แต่เขาหาตัวใครบางคนที่ว่านั่นไม่พบ เขาไปสะดุดเจอกิเลนมังกรและหีบ เขายืนป้องกันอยู่ข้างๆ ทั้งสองตัวนั้นอยู่ถึงบ่าย แต่ก็ยังไม่เห็นเงาร่างผู้คนคนนั้น เขาจึงยอมเลิกในที่สุด

ข่าวลือว่า บุคคลผู้นั้นได้หลบหนีไปเป็นพันๆ ลี้ตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาบ่าย กิเลนมังกรซึ่งเพิ่งตื่นก็ขี่หีบไปเป็นเวลาสองวันสองคืนถึงตามทัน

และยังมีข่าวลืออื่นอีกว่า จักรพรรดิได้ไปยังค่ายทหารและป้วนเปี้ยนแถวๆ ปืนใหญ่เทวะยิงตะวันอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนที่จะถอนหายใจในท้ายที่สุด “ความดีความชอบของเขาก็ยังมากกว่าเรื่องที่เขาก่อ ดังนั้นโทษเขายังไม่ถึงตาย ข้าควรเพียงแค่ลดตำแหน่งเขา และงดเบี้ยหวัดเงินเดือน” หลังจากนั้น เขาก็เก็บดาบใหญ่ และจากไป

แน่นอนว่า เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นคำร่ำลือ และไม่มีทางพิสูจน์ได้ อาลักษณ์แห่งสภาราชสำนักไม่มีทางจดบันทึกข่าวลืออันไม่มีหลักฐานยืนยัน

หลังจากนั้นมากกว่าสิบวัน ฉินมู่ตั้งระหว่างเป็นตายในเมืองเขตมังกรแห่งแดนโบราณวินาศ แม่น้ำสายยาวทอดผ่านท้องฟ้า เมืองเขตมังกรได้กลายเป็นสถานที่อันเชื่อมต่อกับยมโลก และมันก็คึกคักคับคั่งเป็นระยะเวลาหนึ่ง

แต่เดิมเมืองเขตมังกรเป็นทรัพย์สมบัติของแซ่ฉิน และร้านรวงส่วนใหญ่ก็เป็นของลัทธินักบุญสวรรค์ สันตินิรันดร์จะขนส่งสินค้ามาที่นี่เพื่อขายให้กับแดนโบราณวินาศ และสินค้าของแดนโบราณวินาศก็จะถูกส่งผ่านที่นี่ไปยังสันตินิรันดร์

เมืองนี้เป็นสถานีแรกก่อนที่จะเข้าไปในแดนโบราณวินาศ ดังนั้นผู้ฝึกวิชาเทวะจึงมักจะเลือกที่นี่เพื่อลงหลักปักฐาน หลังจากที่ฉินมู่มาถึง จำนวนผู้ฝึกวิชาเทวะในเมืองเขตมังกรก็ยิ่งเพิ่มพูน และราคาสิ่งต่างๆ ก็ถีบทะยานสูงปรี๊ด ซีอวิ๋นเซี่ยงและฮู่หลิงเอ๋อลิงโลดดีใจจนยิ้มกว้างถึงใบหู

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีเสนาบดีกระทรวงงบประมาณมาที่แดนโบราณวินาศหมายจะเก็บภาษี และถูกฉินมู่โจมตีด้วยฝีปากจนย่อยยับอัปราชัย เขาจึงกลับไปร้องเรียนต่อจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงผู้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร่ำไห้ “แดนโบราณวินาศไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสันตินิรันดร์ ดังนั้นเขาไม่สังหารเจ้าตอนที่เจ้าไปเก็บภาษีก็นับว่าไว้หน้าข้าอย่างมากแล้ว ตามกฎกติกาของแดนโบราณวินาศ เจ้าควรถูกตัดหัว อย่าไปตอแยเลย แดนโบราณวินาศไม่ใช่แผ่นดินของพวกเรา”

“ฝ่าบาท อธิการบดีฉินหาเงินได้ดุเดือดจนเกินไป และเศรษฐกิจในเมืองเขตมังกรก็เป็นธุรกิจใหญ่มหึมา!” เสนาบดีกระทรวงงบประมาณประท้วง “ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทยังต้องสร้างถนนอันเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินตะวันตกและสันตินิรันดร์ และมันจะต้องผ่านเมืองเขตมังกร! ถนนสองเส้นที่อธิการบดีฉินวางแบบแปลนเอาไว้จะต้องผ่านที่นั่น!”

“เมืองเขตมังกรจะต้องกลายเป็นเมืองที่สำคัญทางยุทธศาสตร์อันดับหนึ่งในแดนโบราณวินาศ และความมั่งคั่งของมันก็จะเลิศล้ำในโลกหล้า! กระหม่อมคิดว่าอธิการบดีจะต้องมีเจตนาอันเห็นแก่ตัวอย่างแน่นอน หยิบยืมเงินทองของสภาราชสำนักเพื่อกรุยถนนสร้างหนทางให้แก่บ้านเกิดของเขา!”

ด้วยความรู้สึกจนปัญญา จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างมีความนัยลึกซึ้ง “แผ่นดินตะวันตกเป็นเขาที่ไปยึดครองมา ช่วยประหยัดเงินทองและเสบียงที่จะต้องใช้ในการยาตราทัพ เขายังช่วยรักษาชีวิตทหารจำนวนนับไม่ถ้วนจากการตกตายในสงครามอีกด้วย”

“แต่ถึงอย่างไร ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดที่ไปยังเมืองเขตมังกรก็ล้วนแต่เป็นพสกนิกรแห่งสันตินิรันดร์ของพวกเรา และหากว่าพวกเขาใช้จ่ายเงินทองที่นั่นโดยไม่อาจถูกเก็บภาษีได้ สถานที่นั้นก็จะเป็นประเทศภายในประเทศ และความมั่งคั่งของสันตินิรันดร์พวกเราก็จะไหลรั่วออกไปอย่างแน่แท้! หากว่านี่ยังดำเนินต่อไป มันจะน่ากลัวสักแค่ไหน สันตินิรันดร์ของพวกเราจะไม่มีเงินทองไว้ใช้สอย!” เสนาบดีผู้นั้นกล่าว

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “นักพรตเหยียนเฟิง เจ้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพีชคณิตแห่งลัทธิเต๋า ทำไมเรื่องนี้เจ้าถึงไม่เข้าใจ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยิ้มให้แก่เขา “ผู้ฝึกวิชาเทวะที่ไปยังเมืองเขตมังกรใช้เหรียญสมบูรณ์พูนสุขของสันตินิรันดร์ข้า หากว่าพวกเขาต้องการใช้จ่ายเงิน พวกเขาก็ยังต้องไปหาเงินมาจากในสันตินิรันดร์ข้า ดังนั้นมันก็ย่อมจะย้อนกลับมา”

เสนาบดีกระทรวงงบประมาณขมวดคิ้ว “แต่หากว่าเหรียญสมบูรณ์พูนสุขเข้าไปวนเวียนในแดนโบราณวินาศและไม่กลับมายังสันตินิรันดร์ล่ะ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแย้มยิ้ม “หากว่าเหรียญสมบูรณ์พูนสุขสามารถเข้าไปแทนที่ทองคำ แร่เงิน และสมบัติที่ใช้จ่ายในแวดวงของแดนโบราณวินาศ นั่นก็จะยิ่งดีวิเศษ! คิดดูสิ คือสภาราชสำนักมิใช่หรือที่เป็นผู้ผลิตเหรียญ ด้วยวิธีนี้ มิใช่ว่าแดนโบราณวินาศจะตกอยู่ในควบคุมของสภาราชสำนักหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าสภาราชสำนักเอาแต่พูดถึงความมั่งคั่งที่มีอยู่ในแดนโบราณวินาศมาตลอดหรอกหรือ”

“เมื่อเหรียญสมบูรณ์พูนสุขเข้าทดแทนทองคำและเงิน สภาราชสำนักก็จะสามารถใช้เหรียญสมบูรณ์พูนสุขซื้อเหมืองและแม่น้ำ ด้วยเหรียญสมบูรณ์พูนสุขกระจายไปทุกหนทุกแห่ง การรวมแดนโบราณวินาศให้เป็นปึกแผ่นก็อยู่ไม่ไกล!”

เสนาบดีกระทรวงงบประมาณจนด้วยคำพูด

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงโยนฎีกาของเขาออกไปและยืนขึ้นมองออกไปข้างนอกด้วยสายตาลึกล้ำ “โดยมิต้องใช้กำลังทหาร ใช้เพียงแค่เหรียญสมบูรณ์พูนสุขเพื่อได้มาซึ่งแผ่นดินอันมั่งคั่งอย่างแดนโบราณวินาศ กำไรดีๆ แบบนี้เรายังจะไปหาจากที่ไหนได้อีก เจ้านั้นยังคิดทื่อๆ เถรตรงเกินไป คิดว่าการที่เงินทองหลั่งไหลเข้าไปในแดนโบราณวินาศเป็นเรื่องแย่ เจ้าไม่รู้วิธีการใช้เงินตราเพื่อรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น อันเป็นการรุกรานที่เปี่ยมศิลปะที่สุด”

“เพื่อปกครองประเทศ ผู้ปกครองมิอาจกังวลเพียงแค่การได้เสียเล็กๆ น้อยๆ แต่จะต้องมองออกไปไกลๆ หลายสิบปีและหลายร้อยปีในอนาคต เมื่ออธิการบดีต้องการแสวงหาเงินทอง มันเป็นเงินเพียงแค่ไม่กี่เหรียญ เมื่อข้าต้องการแสวงหาเงินทอง มันเป็นภูเขาและแม่น้ำ เป็นการที่ไม่มีโลหิตติดกระบี่ของไพร่พล เป็นการช่วยเหลือไพร่ฟ้า และเป็นการรวบรวมเศรษฐกิจให้เป็นปึกแผ่น!”

เสนาบดีกระทรวงงบประมาณจึงยอมศิโรราบ “ถ้อยคำของฝ่าบาทสามารถใช้สั่งสอนไปถึงอนุชนรุ่นหลัง”

ในเมืองเขตมังกร ฉินมู่มองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะที่แออัดจอแจไปทั่วหัวมุมถนน และพ่อค้ามากมายที่ไปๆ มาๆ ไม่หยุดหย่อน ผู้คนแห่งสันตินิรันดร์เหล่านี้ได้ทำให้เมืองเขตมังกรมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายเท่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“หากว่าราชครูสามารถนำผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกมากรุยถนนและเปิดเส้นทางระหว่างแผ่นดินตะวันตกกับสันตินิรันดร์ ผู้คนในแดนโบราณวินาศก็จะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากแค้นอีกต่อไป”

ฉินมู่คิดคำนวณ เวลาผ่านไปเกือบจะหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่เมื่อราชครูสันตินิรันดร์ได้นำผู้คนจากโถงวิศวกรรมไปยังแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นพวกเขาน่าจะได้พลิกทะเลทรายให้กลายเป็นทุ่งขจีไปแล้ว

โดยใช้ลูกแก้วมังกรเขียวแห่งแผ่นดินตะวันตก พวกเขาก็สามารถสำเร็จสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้น พวกเขาก็จะต้องสร้างธารน้ำโดยการชักนำน้ำมาจากหิมะบนภูเขา เข้าไปในทะเลทรายเพื่อให้พืชพรรณอันดกดื่นยังชีวิตอยู่ได้และงอกงามต่อไป

หากว่าโถงวิศวกรรมสามารถเจาะอุโมงค์เข้าไปในภูเขาไปยังทิศใต้ของทะเลทราย พวกเขาก็จะสามารถชักนำไอน้ำเหนือทะเลใต้มายังฟากเหนือ ด้วยวิธีนั้น ทะเลทรายก็จะไม่ขาดแคลนน้ำ และก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาฝนและหิมะมาจากที่ไหน

ภายในเวลาไม่กี่ปี ทะเลทรายเพลิงโหมก็จะเหลือแค่ชื่อ

หลังจากที่ถนนถูกถางเปิด แผ่นดินตะวันตก แดนโบราณวินาศ และสันตินิรันดร์ก็จะเชื่อมต่อกันด้วยถนนอันราบเรียบไร้สิ่งกีดขวาง พ่อค้าก็จะเดินทางผ่านเมืองใหญ่น้อยในแดนโบราณวินาศ และผู้คนในแดนโบราณวินาศก็จะมั่งมีขึ้นมาเช่นกัน

“หมอเทวดาฉิน ข้าได้ยินว่าเจ้าคือคนจากแดนโบราณวินาศ” ซิงอ้านที่ยืนข้างหลังเขาขัดจังหวะความคิด “เจ้าเป็นบุคคลแห่งแดนโบราณวินาศ แต่ก็ยังชักนำอิทธิพลอำนาจของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้ามาที่นี่ เจ้าคือคนบาป”

“ในแดนโบราณวินาศไม่มีประเทศ ข้าจะเป็นคนบาปได้อย่างไร” ฉินมู่ฉงนฉงาย “ผู้คนในแดนโบราณวินาศใช้สอยทรัพยากรที่นี่เป็นอย่างดีโดยปราศจากเจ้าเหนือหัว ต่อให้จักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้ามา ผู้คนจากที่นี่ก็ยังคงเป็นผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศอยู่ดี อาคันตุกะไม่อาจมาเป็นเจ้าบ้านได้ ก็ในเมื่อพวกเขาต้องทำตามกฎกติกาของแดนโบราณวินาศ นั่นคือหนทางเดียวที่จะมีชีวิตรอดที่นี่ ไม่ใช่การปฏิบัติตามกฎของจักรพรรดิ”

ซิงอ้านส่ายหัว “ข้ามิได้ปฏิสัมพันธ์กับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมากมาย แต่ก็ยังพอเห็นว่าเขามีความสามารถและแผนการอันเยี่ยมยอด เขาจะรวบรวมแดนโบราณวินาศให้เป็นปึกแผ่นในอนาคต เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะต้องเสียใจ”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “หากว่าจักรพรรดิบังอาจลงมือกับแดนโบราณวินาศ เขาก็จะนั่งบนบัลลังก์ได้ไม่นาน เจ้าก็รู้ว่าแดนโบราณวินาศนั้นน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน รูปสลักหินเหล่านี้…” เขากล่าวพลางชี้ไปยังวิหารทั้งหลายในเมืองเขตมังกร

“พวกเขากำลังรอเสียงเพรียกขานให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เมื่อพวกเขาฟื้นขึ้นมา โลกก็จะพลิกคว่ำ สันตินิรันดร์ไม่มีวันได้เป็นเจ้าของแดนดินแห่งนี้ ในเมื่อมันเป็นของผู้อื่น”

สายตาของเขาวูบวาบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งขับไล่เสนาบดีกระทรวงงบประมาณกลับไป และจักรพรรดิก็ยังคงไม่มาหาเรื่องข้า ดังนั้นข้าจึงมองเห็นแผนการของเขาได้แจ่มชัด เพียงแต่ว่าความคิดและแผนการของเขาเป็นสิ่งที่เปล่าดายไร้ประโยชน์ หากว่าจักรพรรดินี้สามารถเหนือล้ำไปกว่าจักรพรรดิก่อตั้งได้ แผนของเขาก็อาจจะกลายเป็นจริง ไม่เช่นนั้นมันก็เป็นไปได้เพียงแค่มายาภาพ ข้ากำลังจะไปปัดกวาดหลุมศพ ศิษย์พี่ซิงอ้านจะไปด้วยหรือไม่”

ซิงอ้านปรายตามองหีบที่งอกเงยขาออกมา จากนั้นก็เบือนสายตาไป “ข้าจะตามไปทุกๆ ที่ที่เจ้าไป ข้าจะผละไปก็ต่อเมื่อค้นพบตัวบุคคลที่ข้าตามหาเท่านั้น”

ฉินมู่ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นข้าค่อยไปปัดกวาดสุสานหลังจากที่ท่านจัดการธุระเสร็จแล้ว”

โถงกษัตริย์มนุษย์นั้นเป็นความลับที่มีแต่อดีตกษัตริย์มนุษย์เท่านั้นจะล่วงรู้ได้ เมื่อมีซิงอ้านอยู่ข้างๆ เขาย่อมมิอาจมุ่งหน้าไปยังโถงกษัตริย์มนุษย์ มิเช่นนั้นตำแหน่งที่ตั้งของมันก็จะถูกเปิดโปง และชักนำเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็น

อีกอย่าง ใครจะรู้ว่าซิงอ้านอาจจะนึกคึกขุดเอาศพของอดีตกษัตริย์มนุษย์ขึ้นมาสะสม?

อีกสิบกว่าวันให้หลัง สภาราชสำนัก ลัทธินักบุญสวรรค์ สำนักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคำราม และกลุ่มอำนาจอื่นๆ ก็ได้รวบรวมข้อมูลของบุคคลที่ถือกำเนิดในเวลาที่ซิงอ้านระบุมา มีผู้คนมากมายถึงสามหมื่น

ขุนนางที่มาส่งข้อมูลข่าวสารกล่าว “ข้อมูลจากทุ่งหญ้า ที่ราบน้ำแข็ง และแผ่นดินตะวันตก ยังรวบรวมไม่แล้วเสร็จดี”

ซิงอ้านมองไปที่ม้วนกระดาษกว่าสามหมื่นและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงน้ำหนักอันกดทับลงมาบนบ่า ผ่านไปสักพัก เขากล่าว “บุคคลที่ข้าตามหาเป็นบุรุษ ดังนั้นแยกผู้หญิงออกจากผู้ชาย”

ขุนนางนั้นรีบออกคำสั่งแก่ผู้ใต้บัญชา และเมื่อทุกอย่างถูกคัดแยกเรียบร้อย เขาก็กล่าว “มีบุรุษทั้งหมดหนึ่งหมื่นเจ็ดพันคน และมีเพียงแปดพันคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนใหญ่แล้วตายในการต่อสู้และภัยพิบัติ”

ผ่านไปสักพัก ซิงอ้านกล่าว “คัดแยกพวกที่ไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาเทวะออกไป”

ขุนนางออกคำสั่งอีกครั้ง และใช้ขุนนางทั้งหลายแห่งกระทรวงงบประมาณจัดจำแนกข้อมูลอีกครา ผ่านไปสักพัก เขาก็รายงาน “มีผู้ฝึกวิชาเทวะสี่ร้อยคนที่ยังเหลืออยู่”

ซิงอ้านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ตรวจสอบดูว่าตอนที่ผู้คนสี่ร้อยคนนี้ถือกำเนิด มีปรากฏการณ์ผิดธรรมดาหรือไม่ ข้ากำลังมองหาผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีจี้หยก”

ขุนนางนั้นจึงสั่งให้ตรวจสอบชายทั้งสี่ร้อยคน

ฉินมู่เฝ้ามองกระบวนการด้วยความสงสัยที่ทวีขึ้นมาในหัวใจ ทุกครั้งที่ซิงอ้านออกคำสั่ง เขาลังเลราวกับว่าไม่ใช่เขาที่กำลังออกคำสั่งนั้น เหมือนกับว่าเขากำลังรับฟังคำพูดของคนอื่นอีกทอด

จริงสิ เขากระโดดลงไปจากสะพานแห่งความจนปัญญาและจมลงไปในแดนใต้พิภพ อันยิ่งอันตรายร้ายกาจกว่ายมโลก สัตว์ประหลาดที่ท่วมท้นไปด้วยความอาฆาตแค้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่งที่นั่น แล้วอย่างนั้น เขากลับมาได้อย่างไร หรือว่า…

ประกายตาของเขาวูบไหว และประตูน้อมสวรรค์พลันปรากฏข้างหลังเขา เมื่อมันก่อตัวขึ้นมา ฉินมู่ก็จำแลงเป็นเทพเจ้าหัวคนร่างงู และดวงตาตั้งขวางก็เปิดขึ้นมาที่ใจกลางหว่างคิ้ว

ซิงอ้านสังเกตพบทันที และหันกลับมาเผชิญหน้าเขา ดวงตาของเขาเข้มข้นไปด้วยแสงเทวะ อันกีดขวางสายตาของฉินมู่ เขาจึงกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หมอเทวดาฉิน บางสิ่งบางอย่างเจ้าไม่รู้จะดีกว่า”

ฉินมู่หัวเราะและสลายเทวาจำแลงเทพครองดาวเสาร์ แต่ข้างใน เขาแตกตื่นอย่างหนัก เมื่อเขามองไปยังซิงอ้านขณะที่ชายผู้นี้เผลอไผล เขาก็ได้เห็นดวงตาอันน่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสนซ่อนอยู่ในสมบัติเทวะเป็นตายของอีกฝ่าย!

ในตอนนั้น ดวงตาอันน่าสะพรึงกลัวก็สังเกตเห็นเขา และกำลังจะมองมายังเขา แต่ทว่า มันถูกซิงอ้านขัดจังหวะเอาไว้พอดี!

ขุนนางจึงมากล่าวรายงาน “พวกเราไม่พบผู้ฝึกวิชาเทวะคนที่ไหนที่สวมใส่จี้หยกมาตั้งแต่กำเนิด เพราะถึงอย่างไร การเกิดมาโดยคาบหยกไว้ในปากนั้นเป็นเรื่องในตำนาน”

“คนผู้นั้นมิได้เกิดมาโดยคาบหยกไว้ในปาก” ซิงอ้านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนนำรูปภาพออกมา “จี้หยกของเขาใช้เพื่อสะกดข่มสันดานมารของเขา นี่คือภาพของจี้หยก ในเมื่อเจ้าไม่อาจค้นพบผู้ฝึกวิชาเทวะที่เกิดมาในเวลาอันระบุเอาไว้ เช่นนั้นก็จงแขวนภาพจี้หยกนี้เอาไว้ทุกๆ เมือง และเสาะหาตำแหน่งของมัน! หมอเทวดาฉิน ให้คนของเจ้าไปคัดลอกภาพนี้มาหนึ่งพันฉบับ!”

ฉินมู่รับภาพวาดมา และสายตาของเขาตกต้องลงไปยังภาพของจี้หยก

ซิงอ้านเห็นเขามองไปที่มันอย่างละเอียดจึงถาม “หมอเทวดาฉินเคยเห็นจี้หยกเช่นนี้มาก่อนหรือ”

ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน”

ซิงอ้านสายตาวูบวาบ และเขาก็นำกระจกออกมา “ข้าลืมถามเลย แต่หมอเทวดาฉินอายุเท่าไรแล้วปีนี้”

…………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน