Chapter
เนื่องจากเจ้าหญิงกุหลาบแสงจันทร์เอลลี่ดานาสได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้กองทัพกำลังจะสูญเสียแม่ทัพของพวกเขาไป ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะล่าถอย
ซึ่งมันช่างน่าเสียดายจริงๆเพราะกองทัพฝ่ายมนุษย์เองก็สาหัสเหมือนกันนอกจากแม่ทัพอย่างคาร์โนสจะได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว นักบวชแสงที่มีความสำคัญกับกองทัพเป็นอย่างมากก็ยังสูญเสียพลังของตัวเองไปอีก ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ทางกองทัพไม่สามารถไล่ตามศัตรูของพวกเขาไปได้
ทั้งสองฝ่ายเสมอกันอีกครั้ง
กองทัพแห่งการทำลายถอยทัพเข้ามาจนถึงป่าทมิฬนอกจากพวกนักรบที่ถูกสั่งให้ไปยืนคุ้มกันประจำตำแหน่ง หมอดาร์กเอลฟ์และนักบวชแห่งการทำลายต่างก็มารวมตัวกันที่เต็นท์แม่ทัพเพื่อให้ความช่วยเหลือเจ้าหญิงเอลลี่
แฮ่กๆ
เสียงลมหายใจอันแหบแห้งดังไปทั่วเต็นท์เหมือนกับถุงลมแตกจากนั้นนักชวชโมลิน่าก็ถามขึ้น “องค์หญิง? องค์หญิง, ได้ยินข้าไหม?”
3วินาทีต่อมา ก็มีเสียงที่อ่อนแอดังขึ้น “ข้ายังไม่ตาย แต่ใกล้แล้วหล่ะ รีบรักษาข้าซะ”
สำหรับคนธรรมดาการที่หัวใจโดนทะลวงไปแล้วนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากตายไปแล้ว แต่ยูจินเป็นนักเวทย์ระดับตำนาน สำหรับนักเวทย์ ร่างกายภาพนั้นเป็นเพียงแค่เปลือกนอก มันอาจจะรู้สึกน่าสมเพชเล็กน้อยถ้าเปลือกนอกแตก แต่พวกเขาก็ยังไม่ตาย
ภายในเต็นท์ยูจินนอนอย่างอ่อนแรงอยู่บนพรมหนังหมี เสื้อผ้าของเธอถูกถอดออก เผยให้เห็นรูเลือดขนาดใหญ่ที่หน้าอกซ้ายของเธอ ภายในรูนั้น จะเห็นหัวใจที่แหลกละเอียดอยู่ เส้นเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวสีขาวซีดรอบๆหลุมกลายเปลี่ยนเป็นสีดำ พวกมันเต็มไปด้วยออร่าต่อสู้ที่น่ากลัวและดูผิดธรรมชาติ ถ้าสังเกตดูดีๆ เส้นเลือดพวกนี้จะดูเหมือนกับตาข่ายแห่งความตายที่จับยูจินเอาไว้เลย
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือความมืดกำลังแพร่กระจายด้วยความเร็วที่สูงมากยูจินเป็นนักเวทย์เลเวล 14 แต่ว่าเธอกำลังใช้พลังทั้งหมดในการยื้อชีวิตของตัวเองเอาไว้จากอาการบาดเจ็บ เธอไม่สามารถป้องกันออร่าต่อสู้ของนักฆ่าได้
ถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกร่างเนื้อของเธอก็คงจะตายไปแล้ว อันที่จริง เธอกำลังดูร่างกายของตัวเองค่อยๆตายลงอย่างช้าๆ
วิญญาณของยูจินนั้นทรงพลังและเธอก็คุ้นเคยกับร่างกายภาพมากๆ แต่ว่ากระบวนการนี้ก็เหมือนกับการทรมานอยู่ดี
หมอดาร์กเอลฟ์รู้สึกสิ้นหวังในตอนที่เจอกับบาดแผลที่รุนแรงขนาดนี้หลังจากให้ยากับยูจิน พวกเขาก็ทำได้แค่มองโมลิน่า ในฐานะที่เป็นนักบุญของเทพแห่งการทำลาย มีแค่เธอเท่านั้นที่มีความสามารถช่วยเจ้าหญิงของพวกเขาได้
สีหน้าของโมลิน่าแปลกไปเธอมองดูบาดแผล เหมือนกับว่ากำลังศึกษามัน หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็พูด “ข้าน่าจะรักษาได้อยู่นะ แต่ต้องไม่มีคนอยู่รบกวนข้า”
“ทุกคนออกไปซะ”ยูจินสั่ง
หลังจากนั้นไม่นานในเต็นท์ก็เหลือแค่ยูจินกับโมลิน่า โมลิน่าร่ายเวทย์บาเรียป้องกันเสียงแต่ว่าไม่ได้รีบทำการรักษาต่อ “องค์หญิง พูดตามตรงเลยนะ ท่านบาดเจ็บสาหัสมาก และข้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถรักษาท่านได้ ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำได้ภายในค่ายนี้ แต่ว่าทำไมข้าต้องทำหล่ะ?”
ยูจินตัวแข็งทื่อเธอจ้องไปที่โมลิน่าและเห็นรอยยิ้มอ่อนๆของเธอ โมลิน่ามองมาที่ยูจินอย่างนิ่งเฉยและมันก็แปรเปลี่ยนเป็นการดูถูกอย่างกระทันหัน
ใช่ตอนนี้เธอเป็นเจ้าหญิงดาร์กเอลฟ์ดาร์กเอลฟ์นั้นเป็นชนเผ่าอ่อนแอ ที่พวกเขาสามารถเป็นผู้นำได้ก็เพราะมีเธออยู่ แต่ถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอหล่ะ ในฐานะนากา โมลิน่าจะต้องได้รับอำนาจของตัวเองกลับมาอย่างแน่นอน
ตอนนี้เธอมีอยู่ 2 ทางเลือก คือยอมจำนนต่อโมลิน่าและให้เธอทำการรักษา ซึ่งเธอจะได้เป็นแม่ทัพของกองทัพแห่งการทำลายล้างนี้ต่อไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอจะต้องเชื่อฟังต่อโมลิน่า หรืออีกทางเลือกนึงก็คือ, ยอมตัดใจตอนนี้ เธอจะทิ้งร่างกายนี้ไปเพราะเธอยังมีร่างสำรองอีกมากมาย แต่ว่าทุกอย่างที่เธอทำมาจนถึงตอนนี้ก็จะสูญเปล่า
เธอไม่ต้องการเลือกซักอย่างไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็พูดอย่างเจ็บปวด “ข้าไม่ยอมจำนนให้เจ้าหรอก แต่ว่าข้าสามารถสัญญาเรื่องบางอย่างที่เจ้าจะไม่มีวันลืมได้ นี่เป็นโอกาสดีที่จะโจมตีป้อมโอริด้า ถ้าเกิดว่าเจ้าช่วยข้า เวทมนตร์ของข้าจะสามารถทำลายป้อมปราการนี้ได้อย่างง่ายดาย” “นั่นสินะคะ”โมลิน่าพยักหน้า “ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลที่ทำไมข้าถึงช่วยท่านได้ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังไม่แน่ใจกับความทะเยอทะยานที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตาของท่าน”
หลังจากนั้นแสงสีแดงเข้มก็สว่างขึ้นที่มือของโมลิน่า “นี่คือสนธิสัญญาแห่งความภักดี ในตอนที่สัญญานี้เสร็จสิ้น ท่านก็จะกลายเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายของข้า ข้าคิดว่านี่คือทางออกที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้ว”
“ฝันไปเถอะ!”ยูจินตะโกน
เธอจะไม่ยอมสูญเสียอิสรภาพของตัวเองหลังจากที่มีชีวิตอยู่มาหลายศตวรรษ ไม่เคยมีใครหยุดยั้งเธอมาก่อน
ใครก็ตามที่ต้องการจะพรากอิสระไปจากเธอมันผู้นั้นจะต้องชดใช้
“ข้าเกรงว่าท่านจะไม่มีทางเลือกนะคะองค์หญิง” โมลิน่าขยับมือของเธอ และแสงสีแดงเข้มก็ลอยไปหายูจิน
ความโกรธแทบจะพุ่งออกมาจากดวงตาขอยูจินเธอจ้องโมลิน่าตาเขม็งแล้วพูดอย่างเย็นชา “เทพแห่งการทำลายหรอ? เอาสิ ดีเลย ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้แน่!”
ในตอนที่เธอพูดจบเธอก็เลิกปัดป้องออร่าต่อสู้อันแปลกประหลาดและปล่อยให้มันฉีกร่างของเธอ วิญญาณของเธอสั่น เตรียมที่จะออกจากร่างกายและหนีไปที่อื่น แต่ในตอนนั้นเองเธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีพลังปริศนาหยุดยั้งเธอเอาไว้ ทำให้เธอไม่สามารถออกจากร่างได้
“หยุดดิ้นรนเถอะค่ะองค์หญิง” โมลิน่ายิ้ม “ตอนแรกท่านอาจจะหลอกนายท่านของข้าได้ แต่ว่ามันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น นายท่านรู้เรื่องทุกอย่างของท่านแล้ว ข้าไม่รู้ว่าท่านเคยได้ยินสำนวนนี้รึเปล่านะ อย่าทดสอบเทพ และอย่าเล่นลูกไม้กับเทพ สำหรับเทพแล้ว ท่านก็เป็นแค่มดที่คลานอยู่บนพื้นเท่านั้น ยอมรับชะตากรรมซะเถอะ”
โมลิน่าผลักแสงสีแดงเข้มเข้าไปในร่างของเจ้าหญิงดาร์กเอลฟ์ที่ยูจินกำลังใช้อยู่อย่างนุ่มนวลยูจินตัวสั่นและบิดเหมือนกับกุ้งที่กำลังโดนต้ม รูม่านตาของเธอหดลงและเธอก็อยู่ในสภาพนี้ไปหลายวินาที หลังจากนั้นจู่ๆร่างกายของเธอก็ผ่อนคลายลง มันตกลงมาบนพรมหนังหมีดังตุบ
ตอนนี้ม่านตาของยูจินกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วมีแสงสีแดงขดอยู่บนบาดแผลที่หน้าอกของเธอ มันขับไล่ออร่าต่อสู้ออกไป เนื้อและบาดแผลเริ่มกลับมามีชีวิตใหม่ มันสั่นและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าบาดแผลสาหัสของยูจินกำลังจะฟื้นฟูกลับมาในอีกไม่นานนี้
แต่ว่าเธอไม่ได้ขยับตัวเลยไม่มีสัญญาณแห่งชีวิตหลงเหลืออยู่ในดวงตาของเธอ เธอดูเหมือนกับตายไปแล้ว
โมลิน่าที่ยืนอยู่ข้างๆปลอบใจเธอ“องค์หญิง ไม่ต้องเสียใจไปหรอกค่ะ ต่อให้มีสนธิสัญญาแห่งความภักดีอยู่ ท่านก็ยังคงเป็นแม่ทัพ และข้าก็ยังคงเป็นลูกน้องของท่าน นายท่านของพวกเราจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการแก้แค้นของท่านหรอก ถ้าเกิดว่าท่านพาพวกเราเข้าไปในปอมโอริด้าได้ นายท่านก็จะประทานรางวัลให้ท่านอย่างงามเช่นกัน”
ยูจินขยับตัวเล็กน้อยดวงตาที่เหมือนกับดวงดาวของเธอกรอกไปมา และสีหน้าของเธอก็ดูน่าสมเพชมาก
“สิงโตถูกสวมปลอกคอและกลายเป็นหมาแถมยังต้องกระดิกหางของตัวเองเพื่อขอความสงสารเนี่ยนะข้าควรจะรู้สึกดีใจใช่มั้ยเนี่ย?”
“แต่ว่าท่านสามารถเอาปลอกคอนี้ออกได้รึไง?”โมลิน่าพูดไม่ถนอมความรู้สึกเลย ในตอนที่ยูจินกำลังจะตอบ เธอก็หัวเราะ “ทำไม่ได้ ถูกมั้ยหล่ะคะ? เพราะฉะนั้นในเมื่อมันเป็นแบบนี้ ท่านจะทรมานตัวเองต่อไปทำไมหล่ะ? ยอมรับมันและทิ้งแผนทรยศของท่านไปเถอะ ทำตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น บางทีมันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ในอนาคตก็ได้นะคะ”
ในตอนนั้นเองดวงตาของยูจินก็สดใสขึ้นมา โมลิน่าพูดต่อ“ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ต่อให้เป็นเทพก็ยังสามารถร่วงลงมาได้ ถูกไหมคะ?”
“พูดแบบนี้เทพแห่งการทำลายจะไม่ลงโทษเจ้ารึไง?”ยูจินมองโมลิน่าด้วยความสับสน
โมลิน่าส่ายหัว“นี่แสดงว่าท่านยังไม่เข้าใจถึงภูมิปัญญาของเทพสินะคะ การที่ข้ามีความคิดแบบนี้นายท่านรู้อยู่แล้วค่ะ ข้าไม่จำเป็นจะต้องพูดมันออกมาหรอก แต่ถึงอย่างนั้น, นายท่านก็ไม่ได้ลงโทษข้าและตอนนี้ก็แน่นอนว่า ข้ายังหวังจากใจจริงว่านายท่านจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ”
เหตุผลแบบนี้ทำให้ยูจินรู้สึกดีขึ้นเธอไม่ใช่คนประเภทที่ร้องไห้เป็นอย่างเดียว หัวใจของเธอแข็งแกร่งกว่ามนุษทั่วไป หลังจากผ่านไปไม่นาน เธอก็ยังรู้สึกโกรธอยู่ดี แต่ว่าเธอเก็บความรู้สึกที่ไร้ประโยชน์พวกนี้เอาไว้
“อีกนานเท่าไหร่ถึงจะฟื้นฟูเต็มที่?” “นั่นเป็นคำถามที่อิงตามความจริงที่สุดแล้วค่ะ”โมลิน่าหัวเราะ “ท่านบาดเจ็บสาหัสมาก บาดแผลภายนอกคงใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง แต่ว่ามันคงต้องใช้เวลาถึง 3 วันในการรักษาและฟื้นฟูพลังกว่า 80% ของท่าน”
“3วันมันนานเกินไป!” ยูจินใช้พลังเล็กน้อยและลุกขึ้นมาจากเตียง เธอดึงผ้าคลุมมาปิดร่างกายที่เปลือยเปล่า และตอนนั้นเอง น้ำเสียงที่ถ่อมตัวก็ดังมาจากข้างนอก “องค์หญิง?”
ยูจินจำเสียงนั้นได้มันเป็นของหน่วยสอดแนมที่เธอไว้ใจ ในเมื่อตอนนี้บาดแผลของเธอดีขึ้นแล้ว เธอจึงตอบ “มีอะไร?”
ในตอนที่ได้รับคำตอบหน่วยสอดแนมก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดและเข้ามารายงาน “องค์หญิง มีคนอยากพบท่านครับ เขาเป็นไฮเอลฟ์”
“งั้นหรอ?”ยูจินตกใจ และหันไปสบตากับโมลิน่า
“อุกกาบาตสิ้นโลกเมื่อก่อนหน้านี้สินะคะ?”โมลิน่ากระซิบ
“ข้าก็คิดแบบนั้นพวกไฮเอลฟ์นี่มันหัวหมอจริงๆ” ยูจินพูด ยังไงก็ตาม ตอนนี้เขาต้องการไฮเอลฟ์และไม่สามารถปฏิเสธพวกเขาได้ “ให้เขาเข้ามา”
หลังจากนั้นไม่นานไฮเอลฟ์ที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้มก็เดินเข้ามา เขาไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน เขาคือราชามอร์เดอน่าที่เกือบจะถูกฆ่า
“องค์หญิงข้าดีใจจริงๆที่ยังเห็นท่านมีชีวิตอยู่” ราชามอร์เดอน่ายิ้ม แต่ว่าสายตาของเขายังเย็นชาอยู่
ยูจินไม่ได้มีท่าทีเย่อหยิ่งเหมือนเมื่อก่อนเธอลุกขึ้นมาในทันที แล้วเดินไปคุกเข่าลงข้างหน้า เธอคุกเข่ากับพื้นจริงๆ ซึ่งนี่ทำให้ราชามอร์เดอน่าตกใจ
โมลิน่าเองก็ตกใจเหมือนกันเธอรีบช่วยพยุงยูจินในทันทีในขณะที่เธอพูดไปด้วย “องค์หญิง ไม่ได้นะคะ” “ท่านกำลังทำอะไรหน่ะ?”มอร์เดน่าตกใจจากใจจริง
ยูจินพยายามทำให้ดูจริงใจ“ก่อนหน้านี้ข้าหยาบคายและเย่อหยิ่งกับพวกท่านเกินไปหน่อย ข้าขออภัยด้วยจริงๆและหวังว่าพวกเราจะยังร่วมมือต่อสู้กับมนุษย์ได้อยู่”
มอร์เดอน่าเคยโกรธเธอมาก่อนแต่ว่าตอนนี้ ความโกรธนั้นเบาลงไปมาก เขาถอนหายใจ “องค์หญิง นั่นก็เป็นความประสงค์ของข้าเหมือนกัน”
ในขณะที่ยูจินกำลังแอบพบกับไฮเอลฟ์ทางป้อมของมนุษย์เองก็กำลังยุ่งอยู่เหมือนกัน มีข้อความเวทมนตร์ฉุกเฉินถูกส่งไปที่เฟิร์ด ไม่ถึงครึ่งชัวโมงก่อนหน้านี้ เรือเหาะที่เต็มไปด้วยนักเวทย์ที่แข็งแกร่งก็บินออกจากเฟิร์ด และมันก็บรรทุกนักรบมังกรไปด้วยจำนวนนึง
เรือเหาะนี้รวดเร็วมาก3 ชั่วโมงต่อมา ป้อมโอริด้าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
“ฉันได้ยินมาว่าเจ้าหญิงเอลลี่เป็นนักเวทย์เลเวล14 ฉันหล่ะอยากเห็นจริงๆว่าเวทย์ของเธอเป็นยังไง” บนเรือเหาะ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเอเลียร์ดกำลังเปล่งประกายด้วยความมั่นใจ ตอนนี้ เขามีเลเวล 11 และพลังของเขาก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วระดับนี้ เขาจะสามารถก้าวข้ามได้แม้กระทั่งเพื่อนรักของเขา ลิงค์
เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาสามารถจัดการนักเวทย์คนไหนก็ได้ในโลกนี้
มีนักเวทย์ระดับตำนานอีก2 คนอยู่ข้างๆเขา พวกเขาคืออีโลแวนกับมิโรส ไฮเอลฟ์ที่ลิงค์ชิงตัวมาจากเกาะรุ่งอรุณ พวกเขาเคยแข็งแกร่งกว่าเอเลียร์ด แต่ตอนนี้พวกเขายังอยู่ที่เลเวล 10 เอเลียร์ดได้นำพวกเขาไปแบบไม่เห็นฝุ่นแล้ว
ตอนนี้พวกเขามีความรู้สึกที่ซับซ้อนแต่ในตอนที่พวกเขามองเอเลียร์ด สายตาของพวกเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความเคารพ ครึ่งเอลฟ์คนนี้มีความสามารถอันน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง และเขาก็ยังมีบรรยากาศที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งสามารถสร้างความประทับใจให้ผู้อื่นได้อย่างง่ายดายด้วย
เนื่องจากเจ้าหญิงกุหลาบแสงจันทร์เอลลี่ดานาสได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้กองทัพกำลังจะสูญเสียแม่ทัพของพวกเขาไป ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะล่าถอย
ซึ่งมันช่างน่าเสียดายจริงๆเพราะกองทัพฝ่ายมนุษย์เองก็สาหัสเหมือนกันนอกจากแม่ทัพอย่างคาร์โนสจะได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว นักบวชแสงที่มีความสำคัญกับกองทัพเป็นอย่างมากก็ยังสูญเสียพลังของตัวเองไปอีก ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ทางกองทัพไม่สามารถไล่ตามศัตรูของพวกเขาไปได้
ทั้งสองฝ่ายเสมอกันอีกครั้ง
กองทัพแห่งการทำลายถอยทัพเข้ามาจนถึงป่าทมิฬนอกจากพวกนักรบที่ถูกสั่งให้ไปยืนคุ้มกันประจำตำแหน่ง หมอดาร์กเอลฟ์และนักบวชแห่งการทำลายต่างก็มารวมตัวกันที่เต็นท์แม่ทัพเพื่อให้ความช่วยเหลือเจ้าหญิงเอลลี่
แฮ่กๆ
เสียงลมหายใจอันแหบแห้งดังไปทั่วเต็นท์เหมือนกับถุงลมแตกจากนั้นนักชวชโมลิน่าก็ถามขึ้น “องค์หญิง? องค์หญิง, ได้ยินข้าไหม?”
3วินาทีต่อมา ก็มีเสียงที่อ่อนแอดังขึ้น “ข้ายังไม่ตาย แต่ใกล้แล้วหล่ะ รีบรักษาข้าซะ”
สำหรับคนธรรมดาการที่หัวใจโดนทะลวงไปแล้วนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากตายไปแล้ว แต่ยูจินเป็นนักเวทย์ระดับตำนาน สำหรับนักเวทย์ ร่างกายภาพนั้นเป็นเพียงแค่เปลือกนอก มันอาจจะรู้สึกน่าสมเพชเล็กน้อยถ้าเปลือกนอกแตก แต่พวกเขาก็ยังไม่ตาย
ภายในเต็นท์ยูจินนอนอย่างอ่อนแรงอยู่บนพรมหนังหมี เสื้อผ้าของเธอถูกถอดออก เผยให้เห็นรูเลือดขนาดใหญ่ที่หน้าอกซ้ายของเธอ ภายในรูนั้น จะเห็นหัวใจที่แหลกละเอียดอยู่ เส้นเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวสีขาวซีดรอบๆหลุมกลายเปลี่ยนเป็นสีดำ พวกมันเต็มไปด้วยออร่าต่อสู้ที่น่ากลัวและดูผิดธรรมชาติ ถ้าสังเกตดูดีๆ เส้นเลือดพวกนี้จะดูเหมือนกับตาข่ายแห่งความตายที่จับยูจินเอาไว้เลย
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือความมืดกำลังแพร่กระจายด้วยความเร็วที่สูงมากยูจินเป็นนักเวทย์เลเวล 14 แต่ว่าเธอกำลังใช้พลังทั้งหมดในการยื้อชีวิตของตัวเองเอาไว้จากอาการบาดเจ็บ เธอไม่สามารถป้องกันออร่าต่อสู้ของนักฆ่าได้
ถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกร่างเนื้อของเธอก็คงจะตายไปแล้ว อันที่จริง เธอกำลังดูร่างกายของตัวเองค่อยๆตายลงอย่างช้าๆ
วิญญาณของยูจินนั้นทรงพลังและเธอก็คุ้นเคยกับร่างกายภาพมากๆ แต่ว่ากระบวนการนี้ก็เหมือนกับการทรมานอยู่ดี
หมอดาร์กเอลฟ์รู้สึกสิ้นหวังในตอนที่เจอกับบาดแผลที่รุนแรงขนาดนี้หลังจากให้ยากับยูจิน พวกเขาก็ทำได้แค่มองโมลิน่า ในฐานะที่เป็นนักบุญของเทพแห่งการทำลาย มีแค่เธอเท่านั้นที่มีความสามารถช่วยเจ้าหญิงของพวกเขาได้
สีหน้าของโมลิน่าแปลกไปเธอมองดูบาดแผล เหมือนกับว่ากำลังศึกษามัน หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็พูด “ข้าน่าจะรักษาได้อยู่นะ แต่ต้องไม่มีคนอยู่รบกวนข้า”
“ทุกคนออกไปซะ”ยูจินสั่ง
หลังจากนั้นไม่นานในเต็นท์ก็เหลือแค่ยูจินกับโมลิน่า โมลิน่าร่ายเวทย์บาเรียป้องกันเสียงแต่ว่าไม่ได้รีบทำการรักษาต่อ “องค์หญิง พูดตามตรงเลยนะ ท่านบาดเจ็บสาหัสมาก และข้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถรักษาท่านได้ ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำได้ภายในค่ายนี้ แต่ว่าทำไมข้าต้องทำหล่ะ?”
ยูจินตัวแข็งทื่อเธอจ้องไปที่โมลิน่าและเห็นรอยยิ้มอ่อนๆของเธอ โมลิน่ามองมาที่ยูจินอย่างนิ่งเฉยและมันก็แปรเปลี่ยนเป็นการดูถูกอย่างกระทันหัน
ใช่ตอนนี้เธอเป็นเจ้าหญิงดาร์กเอลฟ์ดาร์กเอลฟ์นั้นเป็นชนเผ่าอ่อนแอ ที่พวกเขาสามารถเป็นผู้นำได้ก็เพราะมีเธออยู่ แต่ถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอหล่ะ ในฐานะนากา โมลิน่าจะต้องได้รับอำนาจของตัวเองกลับมาอย่างแน่นอน
ตอนนี้เธอมีอยู่ 2 ทางเลือก คือยอมจำนนต่อโมลิน่าและให้เธอทำการรักษา ซึ่งเธอจะได้เป็นแม่ทัพของกองทัพแห่งการทำลายล้างนี้ต่อไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอจะต้องเชื่อฟังต่อโมลิน่า หรืออีกทางเลือกนึงก็คือ, ยอมตัดใจตอนนี้ เธอจะทิ้งร่างกายนี้ไปเพราะเธอยังมีร่างสำรองอีกมากมาย แต่ว่าทุกอย่างที่เธอทำมาจนถึงตอนนี้ก็จะสูญเปล่า
เธอไม่ต้องการเลือกซักอย่างไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็พูดอย่างเจ็บปวด “ข้าไม่ยอมจำนนให้เจ้าหรอก แต่ว่าข้าสามารถสัญญาเรื่องบางอย่างที่เจ้าจะไม่มีวันลืมได้ นี่เป็นโอกาสดีที่จะโจมตีป้อมโอริด้า ถ้าเกิดว่าเจ้าช่วยข้า เวทมนตร์ของข้าจะสามารถทำลายป้อมปราการนี้ได้อย่างง่ายดาย” “นั่นสินะคะ”โมลิน่าพยักหน้า “ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลที่ทำไมข้าถึงช่วยท่านได้ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังไม่แน่ใจกับความทะเยอทะยานที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตาของท่าน”
หลังจากนั้นแสงสีแดงเข้มก็สว่างขึ้นที่มือของโมลิน่า “นี่คือสนธิสัญญาแห่งความภักดี ในตอนที่สัญญานี้เสร็จสิ้น ท่านก็จะกลายเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายของข้า ข้าคิดว่านี่คือทางออกที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้ว”
“ฝันไปเถอะ!”ยูจินตะโกน
เธอจะไม่ยอมสูญเสียอิสรภาพของตัวเองหลังจากที่มีชีวิตอยู่มาหลายศตวรรษ ไม่เคยมีใครหยุดยั้งเธอมาก่อน
ใครก็ตามที่ต้องการจะพรากอิสระไปจากเธอมันผู้นั้นจะต้องชดใช้
“ข้าเกรงว่าท่านจะไม่มีทางเลือกนะคะองค์หญิง” โมลิน่าขยับมือของเธอ และแสงสีแดงเข้มก็ลอยไปหายูจิน
ความโกรธแทบจะพุ่งออกมาจากดวงตาขอยูจินเธอจ้องโมลิน่าตาเขม็งแล้วพูดอย่างเย็นชา “เทพแห่งการทำลายหรอ? เอาสิ ดีเลย ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้แน่!”
ในตอนที่เธอพูดจบเธอก็เลิกปัดป้องออร่าต่อสู้อันแปลกประหลาดและปล่อยให้มันฉีกร่างของเธอ วิญญาณของเธอสั่น เตรียมที่จะออกจากร่างกายและหนีไปที่อื่น แต่ในตอนนั้นเองเธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีพลังปริศนาหยุดยั้งเธอเอาไว้ ทำให้เธอไม่สามารถออกจากร่างได้
“หยุดดิ้นรนเถอะค่ะองค์หญิง” โมลิน่ายิ้ม “ตอนแรกท่านอาจจะหลอกนายท่านของข้าได้ แต่ว่ามันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น นายท่านรู้เรื่องทุกอย่างของท่านแล้ว ข้าไม่รู้ว่าท่านเคยได้ยินสำนวนนี้รึเปล่านะ อย่าทดสอบเทพ และอย่าเล่นลูกไม้กับเทพ สำหรับเทพแล้ว ท่านก็เป็นแค่มดที่คลานอยู่บนพื้นเท่านั้น ยอมรับชะตากรรมซะเถอะ”
โมลิน่าผลักแสงสีแดงเข้มเข้าไปในร่างของเจ้าหญิงดาร์กเอลฟ์ที่ยูจินกำลังใช้อยู่อย่างนุ่มนวลยูจินตัวสั่นและบิดเหมือนกับกุ้งที่กำลังโดนต้ม รูม่านตาของเธอหดลงและเธอก็อยู่ในสภาพนี้ไปหลายวินาที หลังจากนั้นจู่ๆร่างกายของเธอก็ผ่อนคลายลง มันตกลงมาบนพรมหนังหมีดังตุบ
ตอนนี้ม่านตาของยูจินกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วมีแสงสีแดงขดอยู่บนบาดแผลที่หน้าอกของเธอ มันขับไล่ออร่าต่อสู้ออกไป เนื้อและบาดแผลเริ่มกลับมามีชีวิตใหม่ มันสั่นและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าบาดแผลสาหัสของยูจินกำลังจะฟื้นฟูกลับมาในอีกไม่นานนี้
แต่ว่าเธอไม่ได้ขยับตัวเลยไม่มีสัญญาณแห่งชีวิตหลงเหลืออยู่ในดวงตาของเธอ เธอดูเหมือนกับตายไปแล้ว
โมลิน่าที่ยืนอยู่ข้างๆปลอบใจเธอ“องค์หญิง ไม่ต้องเสียใจไปหรอกค่ะ ต่อให้มีสนธิสัญญาแห่งความภักดีอยู่ ท่านก็ยังคงเป็นแม่ทัพ และข้าก็ยังคงเป็นลูกน้องของท่าน นายท่านของพวกเราจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการแก้แค้นของท่านหรอก ถ้าเกิดว่าท่านพาพวกเราเข้าไปในปอมโอริด้าได้ นายท่านก็จะประทานรางวัลให้ท่านอย่างงามเช่นกัน”
ยูจินขยับตัวเล็กน้อยดวงตาที่เหมือนกับดวงดาวของเธอกรอกไปมา และสีหน้าของเธอก็ดูน่าสมเพชมาก
“สิงโตถูกสวมปลอกคอและกลายเป็นหมาแถมยังต้องกระดิกหางของตัวเองเพื่อขอความสงสารเนี่ยนะข้าควรจะรู้สึกดีใจใช่มั้ยเนี่ย?”
“แต่ว่าท่านสามารถเอาปลอกคอนี้ออกได้รึไง?”โมลิน่าพูดไม่ถนอมความรู้สึกเลย ในตอนที่ยูจินกำลังจะตอบ เธอก็หัวเราะ “ทำไม่ได้ ถูกมั้ยหล่ะคะ? เพราะฉะนั้นในเมื่อมันเป็นแบบนี้ ท่านจะทรมานตัวเองต่อไปทำไมหล่ะ? ยอมรับมันและทิ้งแผนทรยศของท่านไปเถอะ ทำตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น บางทีมันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ในอนาคตก็ได้นะคะ”
ในตอนนั้นเองดวงตาของยูจินก็สดใสขึ้นมา โมลิน่าพูดต่อ“ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ต่อให้เป็นเทพก็ยังสามารถร่วงลงมาได้ ถูกไหมคะ?”
“พูดแบบนี้เทพแห่งการทำลายจะไม่ลงโทษเจ้ารึไง?”ยูจินมองโมลิน่าด้วยความสับสน
โมลิน่าส่ายหัว“นี่แสดงว่าท่านยังไม่เข้าใจถึงภูมิปัญญาของเทพสินะคะ การที่ข้ามีความคิดแบบนี้นายท่านรู้อยู่แล้วค่ะ ข้าไม่จำเป็นจะต้องพูดมันออกมาหรอก แต่ถึงอย่างนั้น, นายท่านก็ไม่ได้ลงโทษข้าและตอนนี้ก็แน่นอนว่า ข้ายังหวังจากใจจริงว่านายท่านจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ”
เหตุผลแบบนี้ทำให้ยูจินรู้สึกดีขึ้นเธอไม่ใช่คนประเภทที่ร้องไห้เป็นอย่างเดียว หัวใจของเธอแข็งแกร่งกว่ามนุษทั่วไป หลังจากผ่านไปไม่นาน เธอก็ยังรู้สึกโกรธอยู่ดี แต่ว่าเธอเก็บความรู้สึกที่ไร้ประโยชน์พวกนี้เอาไว้
“อีกนานเท่าไหร่ถึงจะฟื้นฟูเต็มที่?” “นั่นเป็นคำถามที่อิงตามความจริงที่สุดแล้วค่ะ”โมลิน่าหัวเราะ “ท่านบาดเจ็บสาหัสมาก บาดแผลภายนอกคงใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง แต่ว่ามันคงต้องใช้เวลาถึง 3 วันในการรักษาและฟื้นฟูพลังกว่า 80% ของท่าน”
“3วันมันนานเกินไป!” ยูจินใช้พลังเล็กน้อยและลุกขึ้นมาจากเตียง เธอดึงผ้าคลุมมาปิดร่างกายที่เปลือยเปล่า และตอนนั้นเอง น้ำเสียงที่ถ่อมตัวก็ดังมาจากข้างนอก “องค์หญิง?”
ยูจินจำเสียงนั้นได้มันเป็นของหน่วยสอดแนมที่เธอไว้ใจ ในเมื่อตอนนี้บาดแผลของเธอดีขึ้นแล้ว เธอจึงตอบ “มีอะไร?”
ในตอนที่ได้รับคำตอบหน่วยสอดแนมก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดและเข้ามารายงาน “องค์หญิง มีคนอยากพบท่านครับ เขาเป็นไฮเอลฟ์”
“งั้นหรอ?”ยูจินตกใจ และหันไปสบตากับโมลิน่า
“อุกกาบาตสิ้นโลกเมื่อก่อนหน้านี้สินะคะ?”โมลิน่ากระซิบ
“ข้าก็คิดแบบนั้นพวกไฮเอลฟ์นี่มันหัวหมอจริงๆ” ยูจินพูด ยังไงก็ตาม ตอนนี้เขาต้องการไฮเอลฟ์และไม่สามารถปฏิเสธพวกเขาได้ “ให้เขาเข้ามา”
หลังจากนั้นไม่นานไฮเอลฟ์ที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้มก็เดินเข้ามา เขาไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน เขาคือราชามอร์เดอน่าที่เกือบจะถูกฆ่า
“องค์หญิงข้าดีใจจริงๆที่ยังเห็นท่านมีชีวิตอยู่” ราชามอร์เดอน่ายิ้ม แต่ว่าสายตาของเขายังเย็นชาอยู่
ยูจินไม่ได้มีท่าทีเย่อหยิ่งเหมือนเมื่อก่อนเธอลุกขึ้นมาในทันที แล้วเดินไปคุกเข่าลงข้างหน้า เธอคุกเข่ากับพื้นจริงๆ ซึ่งนี่ทำให้ราชามอร์เดอน่าตกใจ
โมลิน่าเองก็ตกใจเหมือนกันเธอรีบช่วยพยุงยูจินในทันทีในขณะที่เธอพูดไปด้วย “องค์หญิง ไม่ได้นะคะ” “ท่านกำลังทำอะไรหน่ะ?”มอร์เดน่าตกใจจากใจจริง
ยูจินพยายามทำให้ดูจริงใจ“ก่อนหน้านี้ข้าหยาบคายและเย่อหยิ่งกับพวกท่านเกินไปหน่อย ข้าขออภัยด้วยจริงๆและหวังว่าพวกเราจะยังร่วมมือต่อสู้กับมนุษย์ได้อยู่”
มอร์เดอน่าเคยโกรธเธอมาก่อนแต่ว่าตอนนี้ ความโกรธนั้นเบาลงไปมาก เขาถอนหายใจ “องค์หญิง นั่นก็เป็นความประสงค์ของข้าเหมือนกัน”
ในขณะที่ยูจินกำลังแอบพบกับไฮเอลฟ์ทางป้อมของมนุษย์เองก็กำลังยุ่งอยู่เหมือนกัน มีข้อความเวทมนตร์ฉุกเฉินถูกส่งไปที่เฟิร์ด ไม่ถึงครึ่งชัวโมงก่อนหน้านี้ เรือเหาะที่เต็มไปด้วยนักเวทย์ที่แข็งแกร่งก็บินออกจากเฟิร์ด และมันก็บรรทุกนักรบมังกรไปด้วยจำนวนนึง
เรือเหาะนี้รวดเร็วมาก3 ชั่วโมงต่อมา ป้อมโอริด้าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
“ฉันได้ยินมาว่าเจ้าหญิงเอลลี่เป็นนักเวทย์เลเวล14 ฉันหล่ะอยากเห็นจริงๆว่าเวทย์ของเธอเป็นยังไง” บนเรือเหาะ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเอเลียร์ดกำลังเปล่งประกายด้วยความมั่นใจ ตอนนี้ เขามีเลเวล 11 และพลังของเขาก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วระดับนี้ เขาจะสามารถก้าวข้ามได้แม้กระทั่งเพื่อนรักของเขา ลิงค์
เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาสามารถจัดการนักเวทย์คนไหนก็ได้ในโลกนี้
มีนักเวทย์ระดับตำนานอีก2 คนอยู่ข้างๆเขา พวกเขาคืออีโลแวนกับมิโรส ไฮเอลฟ์ที่ลิงค์ชิงตัวมาจากเกาะรุ่งอรุณ พวกเขาเคยแข็งแกร่งกว่าเอเลียร์ด แต่ตอนนี้พวกเขายังอยู่ที่เลเวล 10 เอเลียร์ดได้นำพวกเขาไปแบบไม่เห็นฝุ่นแล้ว
ตอนนี้พวกเขามีความรู้สึกที่ซับซ้อนแต่ในตอนที่พวกเขามองเอเลียร์ด สายตาของพวกเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความเคารพ ครึ่งเอลฟ์คนนี้มีความสามารถอันน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง และเขาก็ยังมีบรรยากาศที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งสามารถสร้างความประทับใจให้ผู้อื่นได้อย่างง่ายดายด้วย