Chapter
เกิดระลอกคลื่นมานาอันรุนแรงขึ้นอีกครั้งเกล็ดหิมะที่อยู่นิ่งสงบต่างก็กระจายออกอย่างวุ่นวาย! ในหอคอยเวทมนตร์ เอเลียร์ดหัวใจเต้นแรง “พวกมันมาแล้ว” เขาพูดกับนักเวทย์ที่อยู่ข้างๆเขา “เตรียมตัวให้พร้อมนะ!”
พวกเขาอยู่ในห้องทรงกลมที่อยู่บนยอดของหอคอยเวทมนตร์มีผนึกเวทมนตร์รูปดาวอยู่บนพื้น เอเลียร์ดยืนอยู่ตรงกลางของผนึกเวทย์นี้ และนักนักเวทย์ที่แข็งแกร่งก็ยืนอยู่ตามจุดต่างๆ
มีวงแหวนรูนกว้าง45 ฟุตอยู่รอบๆรูปดาว และทุกๆ 3 ฟุตจะมีโหนดรูนกับนักเวทย์ยืนอยู่
ในตอนที่เอเลียร์ดออกคำสั่งนักเวทย์ทุกคนก็จริงจังขึ้น มานาไหลออกมาจากร่างของพวกเขาและรูนที่อยู่ใต้เท้าพวกเขาก็สว่างขึ้น มานาไหลไปตามรูน จากนั้นมันก็เข้าไปหาเอเลียร์ดที่อยู่ตรงกลาง ผนึกเวทย์นี้คือผนึกเวทย์รวมศูนย์มันใช้ได้ 2 แบบ แบบแรกคือ การรวมพลังของกลุ่มของนักเวทย์มากกว่า 100 คนให้กับนักเวทย์ที่เป็นศูนย์กลางใช้ มันทำให้นักเวทย์คนนั้นข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้ชั่วคราว และแบบที่สองก็คือ การให้นักเวทย์ทุกคนช่วยกันรับแรงดีดกลับของเวทมนตร์จากนักเวทย์ที่เป็นศูนย์กลาง วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่นักเวทย์ศูนย์กลางจะได้รับจากการร่ายเวทย์ระดับสูงได้
ยกตัวอย่างเช่นนักเวทย์เลเวล 11 อย่างเอเลียร์ดจะสามารถควบคุมเวทย์เลเวล 12 ได้อย่างสบายๆ ถ้าเกิดเขาอยากจะท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง เขาก็สามารถร่ายได้แม้กระทั่งเวทย์เลเวล 14 มานาของเขาสามารถเพิ่มขึ้นไปจนถึงจุดนั้นได้ แต่ว่าเขาจะไม่สามารถร่ายเวทย์ที่ซับซ้อนได้
คลื่นมานาจากฝั่งป่าทมิฬกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆถ้ามองออกไปจากหน้าต่างของหอคอยเวทมนตร์ จะเห็นว่าบรรยากาศที่อยู่เหนือป่านั้นค่อนข้างบิดเบี้ยว
คลื่นมานาทรงพลังมากแถมยังมีออร่าแห่งความมืดหนาแน่นมากเลยด้วยศัตรูน่าจะกำลังเตรียมพร้อมที่จะปล่อยเวทย์แห่งความมืดที่แข็งแกร่งออกมาแน่ๆ เราจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของเอเลียร์ดและเขาก็ตอบโต้ในทันที
เขาหยิบหินรูนออกมาและใส่มานาเข้าไปจากนั้นมันก็ลอยขึ้นเบื้องหน้าเขา เอเลียร์ดไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขาวาดรูนต่อบนอากาศ พวกมันลอยเข้าไปในหินรูนและเริ่มมีระลอกคลื่นพุ่งออกมาจากหิน มันดูเหมือนกับคลื่นทะเลเลย
ระลอกคลื่นค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนมันพุ่งออกมาจากหอคอยเวทมนตร์และปกคลุมไปทั่วทั้งป้อมโอริด้า
แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด
ระลอกคลื่นยังคงขยายต่อไปไม่กี่วินาทีต่อมา มันก็มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 1.5 ไมล์
แต่ที่น่าแปลกคือเหล่านักเวทย์ที่อยู่ข้างในนั้นไม่สามารถสัมผัสถึงคลื่นมานนาได้เลย
เวทย์นี้มีชื่อว่าคลื่นคริสตัล
คลื่นคริสตัล
เวทย์ไร้กายเลเวล 12
ผล:เปิดใช้งานเทคนิคของพวกไร้กายจากคริสตัลไร้กาย ไม่มีเวทย์บทไหนถูกร่ายได้ในคลื่นคริสตัลนี้ โครงสร้างของเวทมนตร์ใดก็ตามที่มีเลเวลต่ำกว่า 12 จะถูกทำลายในทันที เวทย์ทุกประเภทที่มีเลเวลต่ำกว่า 14 จะถูกทำให้อ่อนกำลังลง 70% แต่จะไม่มีผลกับเวทย์เลเวล 16 ขึ้นไป
(หมายเหตุ:มันคือความสามารถพิเศษของพวกไร้กาย)
ด้วยความที่มันถูกใช้งานจากคริสตัลไร้กายสิ่งที่เอเลียร์ดต้องทำก็มีแค่ใส่มานาเข้าไปในหินรูนในขณะที่คอยรักษาการไหลเวียนของมานาไปด้วยเท่านั้น เขาไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมายเลย หลังจากนั้น เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเวทย์แห่งความมืดอันทรงพลังที่จะตกลงมาใส่ทหารของพวกเขาอีก
นี่เป็นแค่เทคนิคป้องกันด้วยสิ่งนี้ ป้อมโอริด้าจะยังคงสามารถสู้ต่อไปได้
หลังจากนั้นเอเลียร์ดก็เอาหินรูนออกมาอีกชิ้นเพื่อเตรียมโจมตี
ป่าทมิฬ
ในตอนที่ระลอกคลื่นที่เหมือนกับคริสตัลปรากฏขึ้นยูจิน ที่กำลังเตรียมเวทย์หนังสือแห่งความตายอยู่ ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เธอไม่รู้จักเวทมนตร์นี้ แต่เธอก็ยังพอเข้าใจว่ามันทำอะไรได้
เธอมีความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์อย่างลึกล้ำและมีประสบการณ์ต่อสู้ที่โชกโชนหลังจากมองดูซักพัก เธอก็พูดกับราชามอเดอร์น่าที่กำลังปกป้องเธอ “นี่เป็นเวทย์ป้องกันของศัตรู ถ้าพวกเราไม่ยกเลิกผลของมัน หนังสือแห่งความตายก็จะไร้ผล!” “เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง”ราชามอเดอร์น่าพยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็พูดกับนักเวทย์ไฮเอลฟ์หลายคนที่อยู่ข้างๆเขา “ร่ายอุกกาบาตสิ้นโลกอีกซักรอบนึงซิ!”
พวกเขาได้เตรียมผนึกเวทมนตร์เอาไว้แล้วพอได้ยินคำสั่ง พวกเขาก็เริ่มใส่มานาเข้าไปในทันที รูนลอยขึ้นมาในอากาศและเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ประมาณ 1 นาทีต่อมา ลูกบอลแสงสีฟ้า ที่มีความกว้างกว่า 15 ฟุต ก็ถูกยิงขึ้นไปบนฟ้า มันลากเส้นโค้งขึ้นไปบนอากาศและปะทะเข้ากับคลื่นคริสตัลที่อยู่รอบๆป้อมโอริด้า
ตู้ม!เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นหลังจากที่อุกกาบาตสิ้นโลกตก มันได้รับผลจากสนามพลังความวุ่นวายที่อยู่ภายใน เวทย์ตกลงมาอย่างรวดเร็วและระเบิดออก ในตอนที่มันกำลังสลายตัว มันก็ดูดพลังงานของคลื่นคริสตัลเข้าไปด้วย ในอีกด้านนึง คลื่นคริสตัลที่เคยกว้างกว่า 1.5 ไมล์ก็ลดขนาดลงไปจนเหลือไม่ถึง 600 ฟุต อุกกาบาตสิ้นโลกค่อยๆตกลงมาเรื่อยๆในขณะที่ค่อยๆสลายไปในตอนที่อุกกาบาตอยู่ห่างจากป้อมปราการ 300 ฟุต มันก็พังทลายอย่างสมบูรณ์
เปรี๊ยะเปรี๊ยะ หินรูนคริสตัลไร้กายที่ลอยอยู่หน้าเอเลียร์ดเกิดรอยร้าว มันเปราะบางลง ถ้าเกิดมีการโจมตีที่คล้ายกันเข้ามาอีก มันจะต้องแตกอย่างแน่นอน
แต่ว่าตอนนี้เอเลียร์ดพร้อมที่จะโจมตีแล้ว
“ถึงเวลาที่พวกแกจะได้ลิ้มรสพลังของเฟิร์ดแล้ว!สุดยอดลำแสงสลายร่าง!”
สุดยอดลำแสงสลายร่าง
เวทย์ไร้กายเลเวล13
ผล:ใช้คริสตัลไร้กายในการสร้างลำแสงระดับสูงที่มีพลังทำลายล้างสูงและมีระยะไกล
(หมายเหตุ:แม้กระทั่งหญ้าที่อยู่ตามทางก็ไม่อาจรอดพ้นพลังนี้ไปได้!)
หินรูนของเอเลียร์ดส่องแสงและหายไปในแสงสว่างนั้นแทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเองนักรบที่กำลังเตรียมตัวอยู่ในปราสาทก็เห็นลำแสงยาวไร้สิ้นสุดพุ่งออกมาจากยอดหอคอยเวทมนตร์
ในตอนแรกที่มันปรากฏขึ้นมันมีสีแดงเข้มครึ่งวินาทีต่อมา มันก็สว่างขึ้นและกลายเป็นสีขาวเพลิง หลังจากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินและกลายเป็นสีม่วงเข้มอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้มันยังหนาแน่นขึ้นด้วยมันเคยเป็นลำแสงสีแดงเข้มบางๆแต่ในชั่วอึดใจมันก็กลายเป็นลำแสงสีม่วงเข้มที่มีความหนากว่า 10 ฟุต
เหมือนกับทันฑ์จากสวรรค์มันพุ่งไปทางค่ายของพวกดาร์กเอลฟ์
ฟิ้วฟิ้ว ฝุ่น ต้นไม้ เต็นท์ และทหารของกองทัพแห่งการทำลายที่อยู่ในระยะ 60 ฟุตตามเส้นทางที่ลำแสงผ่านถูกระเหยไปหมด มันทิ้งเส้นลาวาเอาไว้ตามทางด้วย
ลำแสงนั้นตรงไปที่หน้ายูจินในทันที
ครืนน!โล่สีทองเข้มปรากฏขึ้น มันป้องกันลำแสงเอาไว้ในทันที ในระหว่างนั้นเอง วิญญาณต้นไม้สีทองสูงก็ปรากฏขึ้นด้านหลังโล่ หลังจากที่มันปรากฏขึ้น เถาวัลย์สีทองก็พุ่งออกไป มันสร้างตาข่ายขึ้นมาภายในชั่วเสี้ยววินาที และในตอนนั้นเอง โล่สีทองก็แตกออก ลำแสงพุ่งทะลวงเข้ามาและปะทะเข้ากับวิญญาณต้นไม้สีทอง
ฉ่าลำแสงสว่างจ้าและมานาที่กระจายออกก็กลายเป็นฟองอากาศนับไม่ถ้วนฟุ้งไปทั่วกองทัพแห่งการทำลาย การปะทะนี้ยาวนานถึง 3 วินาทีเต็ม
หลังจากนั้นลำแสงก็หายไปวิญญาณต้นไม้สีทองล้มลงกับพื้น
“องค์หญิงตอนนี้แหละ!” มอเดอร์น่าตะโกน ศัตรูพึ่งโจมตีและตอนนี้น่าจะกำลังเหนื่อยอยู่ เวทย์ป้องกันเองก็ถูกปลดแล้ว มันถึงเวลาที่จะใช้หนังสือแห่งความตาย
ยูจินเตรียมตัวเสร็จแล้วเธอกางแขนออก และภาพหนังสือที่เปิดออกก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มีปากกาขนนกปรากฏขึ้นที่มือของเธอด้วย
เธอรีบเขียนชื่อลงในหนังสืออย่างรวดเร็ว
รายชื่อชุดแรกที่เธอจะเขียนก็คือชื่อของเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับกลางของกองทัพศัตรูคนพวกนี้เป็นศูนย์กลางของกองทัพมนุษย์ ถ้าไม่มีพวกเขา ความสามารถในการต่อสู้ของอีกฝ่ายก็จะลดลงครึ่งนึง แถมทักษะการป้องกันเวทมนตร์ของพวกเขาก็ต่ำกว่าพวกนายพลระดับสูงด้วย พวกเขาน่าจะตายในทันทีที่ชื่อของตัวเองถูกเขียนลงบนหนังสือ!
‘ทอมโจแฮนสัน’ ในตอนที่ชื่อถูกเขียนลงไป รูนก็พุ่งออกมาจากหนังสือแห่งความตายและหายไปในอากาศ แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง นักรบหนุ่มที่ป้อมโอริด้าก็ล้มลง เขาจับหน้าอกของตัวเองเพื่อหายใจ ชีวิตของเขาถูกดูดออกไป เขากำลังที่จะตาย
อัลเลนทรุนเด็น เจ้าหน้าที่อีกคนตายตามไปด้วย
ยูจินเขียนอย่างรวดเร็วซึ่งทหารในป้อมโอริด้าก็ตายตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ในหอคอยเวทมนตร์เอเลียร์ดรู้สึกตัวในทันทีหลังจากที่มีเจ้าหน้าที่ตายไป 3 คนโดยไม่รู้สาเหตุ “นี่มันหนังสือแห่งความตาย พวกมันกำลังใช้หนังสือแห่งความตาย!”
เขาจะต้องหยุดมันให้ได้!
ตอนนี้เอเลียร์ดกำลังเตรียมเวทย์บทที่3 มันคือเวทย์ป้องกัน มันไม่สามารถหยุดหนังสือแห่งความตายได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยมันก็สามารถช่วยพวกนักรบจากคำสาปแห่งความมืดอันน่ากลัวนี้ได้
ในเวลาเดียวกันนั้นเองพวกมังกรที่อยู่บนฟ้าก็เริ่มทำการต่อสู้เช่นกัน พวกเขาโยนขวดยาที่มีขนาดเท่ากับลูกบอลลงไป หลังจากที่มันระเบิด หมอกสีทองก็ปรากฏขึ้นในอากาศ ทหารของกองทัพแห่งการทำลายเริ่มร้องโอดครวญ
“ก็แค่กลยุทธ์โง่ๆหน่า!เวทย์ลมกรระโชก!” มอเดอร์น่ายิ้ม เวทย์เลเวล 8 สร้างลมกรรโชกพัดไปทั่วค่าย มันพัดควันพิษไปอย่างง่ายดาย จากนั้นมอเดอร์น่าก็รีบเตรียมโล่ป้องกันในทันทีเพื่อป้องกันการรบกวน “องค์หญิง เจ้ามังกรพวกนี้น่ารำคาญมากเลย น่าเสียดายนะที่พวกเราไม่รู้ชื่อจริงของพวกมันเลย”
ชื่อจริงของมังกรนั้นยาวและซับซ้อนชื่อเต็มของพวกเขามักจะมีรูนมากกว่า 100 ตัวและออกเสียงยากมาก ไม่เพียงแค่มันจะจำยากเท่านั้น แต่มังกรจะไม่มีวันบอกชื่อจริงกับคนอื่นด้วย
โมลิน่ายิ้ม“ข้ารู้ชื่ออยู่บางคนนะ องค์หญิงช่วยฟังข้าหน่อยค่ะ” เธอพูดชื่อที่ยากๆออกมา และยูจินก็เขียนมัน ทันใดนั้นเอง, ก็มีเสียงโหยหวนดังมาจากบนฟ้า ไม่กี่วินาทีต่อมา มังกรก็ร่วงลงมาจากอากาศ เขากำลังจะตาย
เฟลิน่าตกใจและพูดออกมา“ถอยเร็ว ถอยกลับไปที่บาเรียป้องกันของป้อมปราการ!”
พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้วต่อให้พวกเขายังมีชีวิตอยู่หลังจากที่โดนคำสาป แต่การร่วงหล่นกลางเวหานั้นก็สร้างความเสียหายรุนแรงมาก แถมพวกเขายังต้องตกลงไปในค่ายของกองทัพแห่งการทำลายที่ซึ่งพวกเขาไม่มีทางให้หนีอีก
การตายแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรดังนั้นเฟลิน่าจึงตัดสินใจที่จะถอย
…
ค่ายของกองทัพแห่งการทำลาย
“ราชามอเดอร์น่าพวกมันกำลังจะสร้างโล่ป้องกันขึ้นมาใหม่” ยูจินพูดพร้อมกับเขียนไปด้วย
ราชามอเดอร์น่ายิ้มเขาสบัดมือ และอุกกาบาตสิ้นโลกอีกลูกก็พุ่งออกไป มันพุ่งไปทางป้อมโอริด้าและทำลายโล่ที่เอเลียร์ดพึ่งจะสร้างขึ้นมา
ทั่วทั้งป้อมปราการไร้การป้องกันอีกครั้ง
ภายในป้อมปราการเอเลียร์ดเหงื่อตกแล้ว หลังจากที่ร่ายเวทย์ระดับสูงไป 3 บทติดต่อกัน นักเวทย์คนอื่นๆเองก็มานาหมดเหมือนกัน และที่สำคัญกว่านั้น เวทย์ของพวกเขายังไร้ผลด้วย
ป้อมโอริด้าจะต้องแตกแน่ๆถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป!
“มาสเตอร์พวกเราจะเอายังไงกันดี?” มิโรสถาม
เอเลียร์ดสูดหายใจเข้าลึกๆกัดฟันของเขา และหยิบคริสตัลไร้กายออกมา “คริสตัลชิ้นนี้สามารถใช้เวทย์โจมตีเลเวล 14 ได้ แต่ว่าค่าใช้จ่ายก็สูงเหมือนกัน ด้วยสภาพของพวกเราในตอนนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะต้องตายยกเว้นฉัน”
ทั้งหอคอยเวทมนตร์เงียบลง
ทุกคนรู้ว่าการเสียสละเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสงครามแต่ว่ามันก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าพอจะยอมสละชีวิตของตัวเอง แม้ว่านี่จะเป็นทางออกเดียว แต่นักเวทย์ที่อยู่ที่นี่ก็ยังคงไม่ให้คำตอบ ในโลกนี้ผู้คนส่วนใหญ่มีความโลภกันทั้งนั้น แม้กระทั่งในสนามรบ, พวกเขาต่างก็ตั้งใจจะมาเพื่อสร้างชื่อและความมั่งคั่งให้ตัวเอง ถ้าเกิดพวกเขามาตายตอนนี้ มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
แม้กระทั่งนักเวทย์ระดับตำนานอีโลแวนและมิโรสก็ยังเงียบกริบ
พอเห็นแบบนี้เอเลียร์ดก็ถอนหายใจและเก็บคริสตัลไป ด้วยความที่ไม่ได้รับความร่วมมือจากนักเวทย์คนอื่นๆ เขาจึงไม่สามารถใช้มันได้
“ถ้างั้นพวกเราก็เหลืออีกแค่ทางเดียวร่ายเวทย์ป้องกันให้ทหารทุกคนและส่งพวกเขาออกไปสู้ศึกสุดท้าย!”
นักเวทย์ทุกคนเห็นด้วยกับวิธีนี้
ในระหว่างนั้นเองเจ้าหน้าที่ในป้อมได้ตายไปกว่า 20 คนแล้ว ความกลัวแพร่กระจายไปทั่ว ในตอนที่สัญญาณโจมตีดังขึ้น ทหารหลายคนก็พากันรู้สึกสับสนเพราะหัวหน้าของพวกเขาตายไปแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เอเลียร์ดเห็นภาพนี้จากหอคอยเวทมนตร์อย่างชัดเจนและเขาก็รู้สึกกลัว ถ้าเกิดว่าพวกทหารบุกไปตอนนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งพวกเขาไปตายเลย
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆและหยิบคริสตัลไร้กายออกมาอีกครั้ง
ยังมีวิธีการใช้มันอยู่อีกวิธีนึง,นั่นก็คือการเผาวิญญาณของเขาเอง ด้วยการเสียสละชีวิตของตัวเอง เขาจะสามารถร่ายเวทย์เลเวล 14 และพลิกสถานการณ์ได้
เวลามีไม่มากแล้วถ้าเขาลังเล สถานการณ์จะเลวร้ายขึ้นจนไปถึงจุดที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เอเลียร์ดกำคริสตัลเอาไว้ในมือแน่น ใบหน้าที่คุ้นเคยโผล่ขึ้นมาในใจเขา ลิงค์ เอวิเลน่า และคู่ต่อสู้ที่ตายไปด้วยน้ำมือของเขา และในที่สุด เขาก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ลาก่อน ฟิรุแมน!” ที่นอกหน้าต่างทหารตายไปอย่างไร้ความหมาย ภายใต้การโจมตีของเวทย์แห่งความมืดปริศนานี้ กองทัพกำลังแตกสลาย เขาไม่สามารถลังเลได้อีกแล้ว
แต่ว่าในตอนที่เขากำลังจะใช้คริสตัลนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงออร่ามานาอันคุ้นเคยพุ่งมาตามลม เขารู้จักออร่านี้เหมือนกับว่ามันเป็นของตัวเองเลย
ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกดีใจมากๆ!
…
ค่ายของกองทัพแห่งการทำลาย
ราชามอเดอร์น่ายิ้มอย่างพึงพอใจ“เวทย์ของมนุษย์มันก็แค่ของเด็กเล่น พวกมันหมดความคิดกันไว้มาก”
อันที่จริงหลังจากที่ร่ายอุกกาบาตสิ้นโลกติดต่อกันหลายๆครั้งมันก็ทำให้เขาเริ่มที่จะรับไม่ไหวแล้ว ถ้าเกิดพวกเขาต้องร่ายมันอีกครั้ง นักเวทย์ของเขาอาจจะทำพลาดได้ แต่ก็ต้องขอบคุณที่ ศัตรูอ่อนแอกว่าพวกเขาและล้มลงก่อนพวกเขาแค่เล็กน้อย
ยูจินมองเขาโดยไม่พูดอะไรเธอเขียนชื่อลงสมุดต่อ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เสียงในใจเธอบอกให้เธอรีบจบสงครามนี้ให้เร็วที่สุด
และในครั้งนี้สัญชาติญาณของเธอก็ถูกต้อง
ในตอนที่เธอเขียนชื่อคนที่63 หนังสือแห่งความตายก็ส่งรูนขึ้นไปบนอากาศเหมือนปกติ
แต่ในตอนนั้นเองบางอย่างก็เกิดขึ้น
รูนได้ย้อนกลับมาที่หนังสือแห่งความตายและมานาที่อยู่ข้างในหนังสือก็ได้รับผลไปด้วย มันสั่นอย่างรุนแรงและเหมือนกับกำลังจะแยกออกจากกัน!
เกิดระลอกคลื่นมานาอันรุนแรงขึ้นอีกครั้งเกล็ดหิมะที่อยู่นิ่งสงบต่างก็กระจายออกอย่างวุ่นวาย! ในหอคอยเวทมนตร์ เอเลียร์ดหัวใจเต้นแรง “พวกมันมาแล้ว” เขาพูดกับนักเวทย์ที่อยู่ข้างๆเขา “เตรียมตัวให้พร้อมนะ!”
พวกเขาอยู่ในห้องทรงกลมที่อยู่บนยอดของหอคอยเวทมนตร์มีผนึกเวทมนตร์รูปดาวอยู่บนพื้น เอเลียร์ดยืนอยู่ตรงกลางของผนึกเวทย์นี้ และนักนักเวทย์ที่แข็งแกร่งก็ยืนอยู่ตามจุดต่างๆ
มีวงแหวนรูนกว้าง45 ฟุตอยู่รอบๆรูปดาว และทุกๆ 3 ฟุตจะมีโหนดรูนกับนักเวทย์ยืนอยู่
ในตอนที่เอเลียร์ดออกคำสั่งนักเวทย์ทุกคนก็จริงจังขึ้น มานาไหลออกมาจากร่างของพวกเขาและรูนที่อยู่ใต้เท้าพวกเขาก็สว่างขึ้น มานาไหลไปตามรูน จากนั้นมันก็เข้าไปหาเอเลียร์ดที่อยู่ตรงกลาง ผนึกเวทย์นี้คือผนึกเวทย์รวมศูนย์มันใช้ได้ 2 แบบ แบบแรกคือ การรวมพลังของกลุ่มของนักเวทย์มากกว่า 100 คนให้กับนักเวทย์ที่เป็นศูนย์กลางใช้ มันทำให้นักเวทย์คนนั้นข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้ชั่วคราว และแบบที่สองก็คือ การให้นักเวทย์ทุกคนช่วยกันรับแรงดีดกลับของเวทมนตร์จากนักเวทย์ที่เป็นศูนย์กลาง วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่นักเวทย์ศูนย์กลางจะได้รับจากการร่ายเวทย์ระดับสูงได้
ยกตัวอย่างเช่นนักเวทย์เลเวล 11 อย่างเอเลียร์ดจะสามารถควบคุมเวทย์เลเวล 12 ได้อย่างสบายๆ ถ้าเกิดเขาอยากจะท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง เขาก็สามารถร่ายได้แม้กระทั่งเวทย์เลเวล 14 มานาของเขาสามารถเพิ่มขึ้นไปจนถึงจุดนั้นได้ แต่ว่าเขาจะไม่สามารถร่ายเวทย์ที่ซับซ้อนได้
คลื่นมานาจากฝั่งป่าทมิฬกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆถ้ามองออกไปจากหน้าต่างของหอคอยเวทมนตร์ จะเห็นว่าบรรยากาศที่อยู่เหนือป่านั้นค่อนข้างบิดเบี้ยว
คลื่นมานาทรงพลังมากแถมยังมีออร่าแห่งความมืดหนาแน่นมากเลยด้วยศัตรูน่าจะกำลังเตรียมพร้อมที่จะปล่อยเวทย์แห่งความมืดที่แข็งแกร่งออกมาแน่ๆ เราจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของเอเลียร์ดและเขาก็ตอบโต้ในทันที
เขาหยิบหินรูนออกมาและใส่มานาเข้าไปจากนั้นมันก็ลอยขึ้นเบื้องหน้าเขา เอเลียร์ดไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขาวาดรูนต่อบนอากาศ พวกมันลอยเข้าไปในหินรูนและเริ่มมีระลอกคลื่นพุ่งออกมาจากหิน มันดูเหมือนกับคลื่นทะเลเลย
ระลอกคลื่นค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนมันพุ่งออกมาจากหอคอยเวทมนตร์และปกคลุมไปทั่วทั้งป้อมโอริด้า
แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด
ระลอกคลื่นยังคงขยายต่อไปไม่กี่วินาทีต่อมา มันก็มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 1.5 ไมล์
แต่ที่น่าแปลกคือเหล่านักเวทย์ที่อยู่ข้างในนั้นไม่สามารถสัมผัสถึงคลื่นมานนาได้เลย
เวทย์นี้มีชื่อว่าคลื่นคริสตัล
คลื่นคริสตัล
เวทย์ไร้กายเลเวล 12
ผล:เปิดใช้งานเทคนิคของพวกไร้กายจากคริสตัลไร้กาย ไม่มีเวทย์บทไหนถูกร่ายได้ในคลื่นคริสตัลนี้ โครงสร้างของเวทมนตร์ใดก็ตามที่มีเลเวลต่ำกว่า 12 จะถูกทำลายในทันที เวทย์ทุกประเภทที่มีเลเวลต่ำกว่า 14 จะถูกทำให้อ่อนกำลังลง 70% แต่จะไม่มีผลกับเวทย์เลเวล 16 ขึ้นไป
(หมายเหตุ:มันคือความสามารถพิเศษของพวกไร้กาย)
ด้วยความที่มันถูกใช้งานจากคริสตัลไร้กายสิ่งที่เอเลียร์ดต้องทำก็มีแค่ใส่มานาเข้าไปในหินรูนในขณะที่คอยรักษาการไหลเวียนของมานาไปด้วยเท่านั้น เขาไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมายเลย หลังจากนั้น เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเวทย์แห่งความมืดอันทรงพลังที่จะตกลงมาใส่ทหารของพวกเขาอีก
นี่เป็นแค่เทคนิคป้องกันด้วยสิ่งนี้ ป้อมโอริด้าจะยังคงสามารถสู้ต่อไปได้
หลังจากนั้นเอเลียร์ดก็เอาหินรูนออกมาอีกชิ้นเพื่อเตรียมโจมตี
ป่าทมิฬ
ในตอนที่ระลอกคลื่นที่เหมือนกับคริสตัลปรากฏขึ้นยูจิน ที่กำลังเตรียมเวทย์หนังสือแห่งความตายอยู่ ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เธอไม่รู้จักเวทมนตร์นี้ แต่เธอก็ยังพอเข้าใจว่ามันทำอะไรได้
เธอมีความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์อย่างลึกล้ำและมีประสบการณ์ต่อสู้ที่โชกโชนหลังจากมองดูซักพัก เธอก็พูดกับราชามอเดอร์น่าที่กำลังปกป้องเธอ “นี่เป็นเวทย์ป้องกันของศัตรู ถ้าพวกเราไม่ยกเลิกผลของมัน หนังสือแห่งความตายก็จะไร้ผล!” “เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง”ราชามอเดอร์น่าพยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็พูดกับนักเวทย์ไฮเอลฟ์หลายคนที่อยู่ข้างๆเขา “ร่ายอุกกาบาตสิ้นโลกอีกซักรอบนึงซิ!”
พวกเขาได้เตรียมผนึกเวทมนตร์เอาไว้แล้วพอได้ยินคำสั่ง พวกเขาก็เริ่มใส่มานาเข้าไปในทันที รูนลอยขึ้นมาในอากาศและเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ประมาณ 1 นาทีต่อมา ลูกบอลแสงสีฟ้า ที่มีความกว้างกว่า 15 ฟุต ก็ถูกยิงขึ้นไปบนฟ้า มันลากเส้นโค้งขึ้นไปบนอากาศและปะทะเข้ากับคลื่นคริสตัลที่อยู่รอบๆป้อมโอริด้า
ตู้ม!เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นหลังจากที่อุกกาบาตสิ้นโลกตก มันได้รับผลจากสนามพลังความวุ่นวายที่อยู่ภายใน เวทย์ตกลงมาอย่างรวดเร็วและระเบิดออก ในตอนที่มันกำลังสลายตัว มันก็ดูดพลังงานของคลื่นคริสตัลเข้าไปด้วย ในอีกด้านนึง คลื่นคริสตัลที่เคยกว้างกว่า 1.5 ไมล์ก็ลดขนาดลงไปจนเหลือไม่ถึง 600 ฟุต อุกกาบาตสิ้นโลกค่อยๆตกลงมาเรื่อยๆในขณะที่ค่อยๆสลายไปในตอนที่อุกกาบาตอยู่ห่างจากป้อมปราการ 300 ฟุต มันก็พังทลายอย่างสมบูรณ์
เปรี๊ยะเปรี๊ยะ หินรูนคริสตัลไร้กายที่ลอยอยู่หน้าเอเลียร์ดเกิดรอยร้าว มันเปราะบางลง ถ้าเกิดมีการโจมตีที่คล้ายกันเข้ามาอีก มันจะต้องแตกอย่างแน่นอน
แต่ว่าตอนนี้เอเลียร์ดพร้อมที่จะโจมตีแล้ว
“ถึงเวลาที่พวกแกจะได้ลิ้มรสพลังของเฟิร์ดแล้ว!สุดยอดลำแสงสลายร่าง!”
สุดยอดลำแสงสลายร่าง
เวทย์ไร้กายเลเวล13
ผล:ใช้คริสตัลไร้กายในการสร้างลำแสงระดับสูงที่มีพลังทำลายล้างสูงและมีระยะไกล
(หมายเหตุ:แม้กระทั่งหญ้าที่อยู่ตามทางก็ไม่อาจรอดพ้นพลังนี้ไปได้!)
หินรูนของเอเลียร์ดส่องแสงและหายไปในแสงสว่างนั้นแทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเองนักรบที่กำลังเตรียมตัวอยู่ในปราสาทก็เห็นลำแสงยาวไร้สิ้นสุดพุ่งออกมาจากยอดหอคอยเวทมนตร์
ในตอนแรกที่มันปรากฏขึ้นมันมีสีแดงเข้มครึ่งวินาทีต่อมา มันก็สว่างขึ้นและกลายเป็นสีขาวเพลิง หลังจากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินและกลายเป็นสีม่วงเข้มอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้มันยังหนาแน่นขึ้นด้วยมันเคยเป็นลำแสงสีแดงเข้มบางๆแต่ในชั่วอึดใจมันก็กลายเป็นลำแสงสีม่วงเข้มที่มีความหนากว่า 10 ฟุต
เหมือนกับทันฑ์จากสวรรค์มันพุ่งไปทางค่ายของพวกดาร์กเอลฟ์
ฟิ้วฟิ้ว ฝุ่น ต้นไม้ เต็นท์ และทหารของกองทัพแห่งการทำลายที่อยู่ในระยะ 60 ฟุตตามเส้นทางที่ลำแสงผ่านถูกระเหยไปหมด มันทิ้งเส้นลาวาเอาไว้ตามทางด้วย
ลำแสงนั้นตรงไปที่หน้ายูจินในทันที
ครืนน!โล่สีทองเข้มปรากฏขึ้น มันป้องกันลำแสงเอาไว้ในทันที ในระหว่างนั้นเอง วิญญาณต้นไม้สีทองสูงก็ปรากฏขึ้นด้านหลังโล่ หลังจากที่มันปรากฏขึ้น เถาวัลย์สีทองก็พุ่งออกไป มันสร้างตาข่ายขึ้นมาภายในชั่วเสี้ยววินาที และในตอนนั้นเอง โล่สีทองก็แตกออก ลำแสงพุ่งทะลวงเข้ามาและปะทะเข้ากับวิญญาณต้นไม้สีทอง
ฉ่าลำแสงสว่างจ้าและมานาที่กระจายออกก็กลายเป็นฟองอากาศนับไม่ถ้วนฟุ้งไปทั่วกองทัพแห่งการทำลาย การปะทะนี้ยาวนานถึง 3 วินาทีเต็ม
หลังจากนั้นลำแสงก็หายไปวิญญาณต้นไม้สีทองล้มลงกับพื้น
“องค์หญิงตอนนี้แหละ!” มอเดอร์น่าตะโกน ศัตรูพึ่งโจมตีและตอนนี้น่าจะกำลังเหนื่อยอยู่ เวทย์ป้องกันเองก็ถูกปลดแล้ว มันถึงเวลาที่จะใช้หนังสือแห่งความตาย
ยูจินเตรียมตัวเสร็จแล้วเธอกางแขนออก และภาพหนังสือที่เปิดออกก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มีปากกาขนนกปรากฏขึ้นที่มือของเธอด้วย
เธอรีบเขียนชื่อลงในหนังสืออย่างรวดเร็ว
รายชื่อชุดแรกที่เธอจะเขียนก็คือชื่อของเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับกลางของกองทัพศัตรูคนพวกนี้เป็นศูนย์กลางของกองทัพมนุษย์ ถ้าไม่มีพวกเขา ความสามารถในการต่อสู้ของอีกฝ่ายก็จะลดลงครึ่งนึง แถมทักษะการป้องกันเวทมนตร์ของพวกเขาก็ต่ำกว่าพวกนายพลระดับสูงด้วย พวกเขาน่าจะตายในทันทีที่ชื่อของตัวเองถูกเขียนลงบนหนังสือ!
‘ทอมโจแฮนสัน’ ในตอนที่ชื่อถูกเขียนลงไป รูนก็พุ่งออกมาจากหนังสือแห่งความตายและหายไปในอากาศ แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง นักรบหนุ่มที่ป้อมโอริด้าก็ล้มลง เขาจับหน้าอกของตัวเองเพื่อหายใจ ชีวิตของเขาถูกดูดออกไป เขากำลังที่จะตาย
อัลเลนทรุนเด็น เจ้าหน้าที่อีกคนตายตามไปด้วย
ยูจินเขียนอย่างรวดเร็วซึ่งทหารในป้อมโอริด้าก็ตายตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ในหอคอยเวทมนตร์เอเลียร์ดรู้สึกตัวในทันทีหลังจากที่มีเจ้าหน้าที่ตายไป 3 คนโดยไม่รู้สาเหตุ “นี่มันหนังสือแห่งความตาย พวกมันกำลังใช้หนังสือแห่งความตาย!”
เขาจะต้องหยุดมันให้ได้!
ตอนนี้เอเลียร์ดกำลังเตรียมเวทย์บทที่3 มันคือเวทย์ป้องกัน มันไม่สามารถหยุดหนังสือแห่งความตายได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยมันก็สามารถช่วยพวกนักรบจากคำสาปแห่งความมืดอันน่ากลัวนี้ได้
ในเวลาเดียวกันนั้นเองพวกมังกรที่อยู่บนฟ้าก็เริ่มทำการต่อสู้เช่นกัน พวกเขาโยนขวดยาที่มีขนาดเท่ากับลูกบอลลงไป หลังจากที่มันระเบิด หมอกสีทองก็ปรากฏขึ้นในอากาศ ทหารของกองทัพแห่งการทำลายเริ่มร้องโอดครวญ
“ก็แค่กลยุทธ์โง่ๆหน่า!เวทย์ลมกรระโชก!” มอเดอร์น่ายิ้ม เวทย์เลเวล 8 สร้างลมกรรโชกพัดไปทั่วค่าย มันพัดควันพิษไปอย่างง่ายดาย จากนั้นมอเดอร์น่าก็รีบเตรียมโล่ป้องกันในทันทีเพื่อป้องกันการรบกวน “องค์หญิง เจ้ามังกรพวกนี้น่ารำคาญมากเลย น่าเสียดายนะที่พวกเราไม่รู้ชื่อจริงของพวกมันเลย”
ชื่อจริงของมังกรนั้นยาวและซับซ้อนชื่อเต็มของพวกเขามักจะมีรูนมากกว่า 100 ตัวและออกเสียงยากมาก ไม่เพียงแค่มันจะจำยากเท่านั้น แต่มังกรจะไม่มีวันบอกชื่อจริงกับคนอื่นด้วย
โมลิน่ายิ้ม“ข้ารู้ชื่ออยู่บางคนนะ องค์หญิงช่วยฟังข้าหน่อยค่ะ” เธอพูดชื่อที่ยากๆออกมา และยูจินก็เขียนมัน ทันใดนั้นเอง, ก็มีเสียงโหยหวนดังมาจากบนฟ้า ไม่กี่วินาทีต่อมา มังกรก็ร่วงลงมาจากอากาศ เขากำลังจะตาย
เฟลิน่าตกใจและพูดออกมา“ถอยเร็ว ถอยกลับไปที่บาเรียป้องกันของป้อมปราการ!”
พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้วต่อให้พวกเขายังมีชีวิตอยู่หลังจากที่โดนคำสาป แต่การร่วงหล่นกลางเวหานั้นก็สร้างความเสียหายรุนแรงมาก แถมพวกเขายังต้องตกลงไปในค่ายของกองทัพแห่งการทำลายที่ซึ่งพวกเขาไม่มีทางให้หนีอีก
การตายแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรดังนั้นเฟลิน่าจึงตัดสินใจที่จะถอย
…
ค่ายของกองทัพแห่งการทำลาย
“ราชามอเดอร์น่าพวกมันกำลังจะสร้างโล่ป้องกันขึ้นมาใหม่” ยูจินพูดพร้อมกับเขียนไปด้วย
ราชามอเดอร์น่ายิ้มเขาสบัดมือ และอุกกาบาตสิ้นโลกอีกลูกก็พุ่งออกไป มันพุ่งไปทางป้อมโอริด้าและทำลายโล่ที่เอเลียร์ดพึ่งจะสร้างขึ้นมา
ทั่วทั้งป้อมปราการไร้การป้องกันอีกครั้ง
ภายในป้อมปราการเอเลียร์ดเหงื่อตกแล้ว หลังจากที่ร่ายเวทย์ระดับสูงไป 3 บทติดต่อกัน นักเวทย์คนอื่นๆเองก็มานาหมดเหมือนกัน และที่สำคัญกว่านั้น เวทย์ของพวกเขายังไร้ผลด้วย
ป้อมโอริด้าจะต้องแตกแน่ๆถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป!
“มาสเตอร์พวกเราจะเอายังไงกันดี?” มิโรสถาม
เอเลียร์ดสูดหายใจเข้าลึกๆกัดฟันของเขา และหยิบคริสตัลไร้กายออกมา “คริสตัลชิ้นนี้สามารถใช้เวทย์โจมตีเลเวล 14 ได้ แต่ว่าค่าใช้จ่ายก็สูงเหมือนกัน ด้วยสภาพของพวกเราในตอนนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะต้องตายยกเว้นฉัน”
ทั้งหอคอยเวทมนตร์เงียบลง
ทุกคนรู้ว่าการเสียสละเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสงครามแต่ว่ามันก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าพอจะยอมสละชีวิตของตัวเอง แม้ว่านี่จะเป็นทางออกเดียว แต่นักเวทย์ที่อยู่ที่นี่ก็ยังคงไม่ให้คำตอบ ในโลกนี้ผู้คนส่วนใหญ่มีความโลภกันทั้งนั้น แม้กระทั่งในสนามรบ, พวกเขาต่างก็ตั้งใจจะมาเพื่อสร้างชื่อและความมั่งคั่งให้ตัวเอง ถ้าเกิดพวกเขามาตายตอนนี้ มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
แม้กระทั่งนักเวทย์ระดับตำนานอีโลแวนและมิโรสก็ยังเงียบกริบ
พอเห็นแบบนี้เอเลียร์ดก็ถอนหายใจและเก็บคริสตัลไป ด้วยความที่ไม่ได้รับความร่วมมือจากนักเวทย์คนอื่นๆ เขาจึงไม่สามารถใช้มันได้
“ถ้างั้นพวกเราก็เหลืออีกแค่ทางเดียวร่ายเวทย์ป้องกันให้ทหารทุกคนและส่งพวกเขาออกไปสู้ศึกสุดท้าย!”
นักเวทย์ทุกคนเห็นด้วยกับวิธีนี้
ในระหว่างนั้นเองเจ้าหน้าที่ในป้อมได้ตายไปกว่า 20 คนแล้ว ความกลัวแพร่กระจายไปทั่ว ในตอนที่สัญญาณโจมตีดังขึ้น ทหารหลายคนก็พากันรู้สึกสับสนเพราะหัวหน้าของพวกเขาตายไปแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เอเลียร์ดเห็นภาพนี้จากหอคอยเวทมนตร์อย่างชัดเจนและเขาก็รู้สึกกลัว ถ้าเกิดว่าพวกทหารบุกไปตอนนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งพวกเขาไปตายเลย
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆและหยิบคริสตัลไร้กายออกมาอีกครั้ง
ยังมีวิธีการใช้มันอยู่อีกวิธีนึง,นั่นก็คือการเผาวิญญาณของเขาเอง ด้วยการเสียสละชีวิตของตัวเอง เขาจะสามารถร่ายเวทย์เลเวล 14 และพลิกสถานการณ์ได้
เวลามีไม่มากแล้วถ้าเขาลังเล สถานการณ์จะเลวร้ายขึ้นจนไปถึงจุดที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เอเลียร์ดกำคริสตัลเอาไว้ในมือแน่น ใบหน้าที่คุ้นเคยโผล่ขึ้นมาในใจเขา ลิงค์ เอวิเลน่า และคู่ต่อสู้ที่ตายไปด้วยน้ำมือของเขา และในที่สุด เขาก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ลาก่อน ฟิรุแมน!” ที่นอกหน้าต่างทหารตายไปอย่างไร้ความหมาย ภายใต้การโจมตีของเวทย์แห่งความมืดปริศนานี้ กองทัพกำลังแตกสลาย เขาไม่สามารถลังเลได้อีกแล้ว
แต่ว่าในตอนที่เขากำลังจะใช้คริสตัลนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงออร่ามานาอันคุ้นเคยพุ่งมาตามลม เขารู้จักออร่านี้เหมือนกับว่ามันเป็นของตัวเองเลย
ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกดีใจมากๆ!
…
ค่ายของกองทัพแห่งการทำลาย
ราชามอเดอร์น่ายิ้มอย่างพึงพอใจ“เวทย์ของมนุษย์มันก็แค่ของเด็กเล่น พวกมันหมดความคิดกันไว้มาก”
อันที่จริงหลังจากที่ร่ายอุกกาบาตสิ้นโลกติดต่อกันหลายๆครั้งมันก็ทำให้เขาเริ่มที่จะรับไม่ไหวแล้ว ถ้าเกิดพวกเขาต้องร่ายมันอีกครั้ง นักเวทย์ของเขาอาจจะทำพลาดได้ แต่ก็ต้องขอบคุณที่ ศัตรูอ่อนแอกว่าพวกเขาและล้มลงก่อนพวกเขาแค่เล็กน้อย
ยูจินมองเขาโดยไม่พูดอะไรเธอเขียนชื่อลงสมุดต่อ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เสียงในใจเธอบอกให้เธอรีบจบสงครามนี้ให้เร็วที่สุด
และในครั้งนี้สัญชาติญาณของเธอก็ถูกต้อง
ในตอนที่เธอเขียนชื่อคนที่63 หนังสือแห่งความตายก็ส่งรูนขึ้นไปบนอากาศเหมือนปกติ
แต่ในตอนนั้นเองบางอย่างก็เกิดขึ้น
รูนได้ย้อนกลับมาที่หนังสือแห่งความตายและมานาที่อยู่ข้างในหนังสือก็ได้รับผลไปด้วย มันสั่นอย่างรุนแรงและเหมือนกับกำลังจะแยกออกจากกัน!