Chapter
หนึ่งวันของฟิรุแมนนั้นเท่ากับ1 ปีในอารากู่ พูดอีกนัยนึงก็คือ อาร์คเมจภูเขาน้ำแข็งจะมีชีวิตอยู่ได้อีก 100 วันต่อให้เขาได้รับความช่วยเหลือจากเวทย์ลึกลับก็ตาม ถ้าอาร์คเมจตาย ทั้งอารากู่และฟิรุแมนก็จะซวยเหมือนกัน ณ จุดนี้ลิงค์กับคนอื่นมีเวลาไม่มากแล้ว
หลังจากที่ทำพันธะสัญญาวิญญาณกับนักเวทย์ดิโลเซ่นเพื่อหลีกเลี่ยงการทรยศในภายหลังลิงค์กับเอเลียร์ดก็เดินทางลงใต้พร้อมกับเพื่อนใหม่ของพวกเขา พวกเขาทิ้งมิโรสและอีโลแวนเอาไว้เพื่อให้ดูแลป้อมโอริด้าเผื่อในกรณีที่กองทัพแห่งการทำลายทำการโจมตีมาอีกครั้งในช่วงที่พวกเขาไม่อยู่
ลิงค์ไม่ได้กังวลเรื่องที่ไฮเอลฟ์ทั้งสองจะทรยศเขาเพราะมือของพวกเขาต่างก็เปื้อนไปด้วยเลือดของราชวงศ์ไฮเอลฟ์ แถมพวกเขายังเคยชินกับชีวิตในเฟิร์ดไปแล้วด้วย พวกเขาไม่มีทางให้ถอยกลับอีกแล้ว ยิ่งมีคนรู้เรื่องภารกิจเก็บชิ้นส่วนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ถ้าเกิดว่ามอร์เฟียสรู้ข่าวนี้ เขาก็จะยิ่งระวังตัวมากขึ้น และนั่นก็จะส่งผลให้ภารกิจของพวกเขายากขึ้นกว่าเดิมอีก
ดังนั้นหลังจากกลับไปที่เฟิร์ด นักเวทย์ทั้ง 3 ก็ทำการเตรียมตัวซักเล็กน้อยและปลอมตัวก่อนที่จะเดินทางลงใต้ต่อ พวกเขาทั้งสามคนต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ลึกลับ ไม่มีใครสามารถสะกดรอยพวกเขาได้ถ้าพวกเขาไม่อยากให้ตาม แม้กระทั่งครึ่งเทพก็ยังสัมผัสถึงตัวตนของพวกเขาไม่ได้ง่ายๆ
ในขณะที่พวกเขาทั้งสามคนกำลังเดินทางลงใต้,ณ เกาะรุ่งอรุณ ที่ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของเกาะ, โมโนซอน ราชินีไฮเอลฟ์และผู้ติดตามอาวุโสของเธอกำลังมองดูนักรบไฮเอลฟ์คนนึงขึ้นเรือรบนกกระจอกวายุเงินอยู่
จากระยะไกลไฮเอลฟ์คนนี้ดูเหมือนกับไฮเอลฟ์ทั่วๆไป ยกเว้นแค่ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยที่เขาตัวเตี้ยกว่าและมีสไตล์การแต่งตัวที่แตกต่างกัน
ยังไงก็ตามคุณจะเห็นความแตกต่างได้มากขึ้นถ้าเกิดมองอย่างละเอียด
แม้ว่าไฮเอลฟ์คนนี้จะเป็นนักรบชายแต่เขาก็ตัวเตี้ยกว่าผู้หญิงไฮเอลฟ์ของเกาะรุ่งอรุณมาก ผิวของเขาหยาบกร้านซึ่งแตกต่างกับความงดงามโดยทั่วไปของไฮเอลฟ์บนเกาะ เขาสวมชุดคลุมต่อสู้สีทองสลับแดง ซึ่งมันประกอบไปด้วยคริสตัลมากมาย และมันก็เป็นสไตล์ที่แตกต่างไปจากของเกาะรุ่งอรุณ
สิ่งที่น่าสนใจก็คือดาบของนักรบคนนี้มีวงจรเวทมนตร์มากมายถูกสลักเอาไว้บนใบดาบ วงจรพวกนี้เปล่งประกายเป็นสีแดงเลือด ถ้ามองผ่านๆ ทั่วทั้งตัวดาบนั้นจะดูเหมือนกับมีลาวาเดือดๆหยดอยู่ตลอด!
เขาพูดอย่างสบายๆ องค์ราชินี ท่านรอฟังข่าวดีจากข้าได้เลย
ในทันทีที่เขาขึ้นไปบนนกกระจอกวายุเงินนักรบก็ทำความเคารพให้ราชินีไฮเอลฟ์ จากนั้นเขาก็เดินไปที่ห้องพักในเรือโดยที่ไม่หันหลังกลับมาอีก
วูดด…นกกระจอกวายุเงินเป่าแตรพร้อมกับค่อยๆออกจากท่าเรือโมโนซอนไป
กลับมาที่ท่าเรือพวกผู้อาวุโสบางคนที่อยู่กับราชินีไฮเอลฟ์มีท่าทีไม่พอใจ
หนึ่งในพวกเขาส่งเสียงฮึดฮัดออกมา เขาก็เป็นแค่นักรบ นี่เขาคิดจริงๆหรอว่าจะหนีไปได้ด้วยท่าทีที่ไร้มารยาทแบบนี้?
ราชินีไฮเอลฟ์มองเขาด้วยท่าทีตักเตือน ตอนนี้สงบปากสงบคำไปก่อนเถอะ คนที่ครอบครองพลังมหาศาลขนาดนี้สมควรได้รับความเคารพ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักรบก็ตาม!
ไฮเอลฟ์คนนั้นคือนักรบเพลิงนรกเลเวล15 หนึ่งในหกอัศวินลาวาระดับสูงในลัทธิเพลิงของอารากู่ที่เป็นรองเพียงแค่ลูกสาวของราชินี, เจ้าหญิงมิลด้าเพียงเท่านั้น โดยปกติแล้วคนที่มีความสามารถระดับนี้มีสิทธิ์ที่จะแสดงความเย่อหยิ่งได้อยู่แล้ว ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสคนอื่นจะกำลังกังวลเรื่องอื่นอยู่จากนั้นเขาก็พูดกับราชินี เจ้าหญิงเอลลี่บอกว่าลอร์ดเฟิร์ดมีเลเวลอยู่ที่ 14 ตอนนี้เขามีพลังต่อสู้อันมหาศาล เขาสามารถผสานเวทมนตร์และเทคนิคต่างๆในการต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่ว แม้กระทั่งองค์ราชาก็มิอาจรอดจากคมดาบของเขาได้ แล้วนักรบคนนี้จะสามรถต่อสู้กับเขาได้จริงๆหรอครับ?
ราชินีไฮเอลฟ์ตอบอย่างใจเย็น ต้องได้สิ เขาทำได้แน่ ทักษะของลอร์ดเฟิร์ดนั้นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่มาสเตอร์เลเวล 15 ทำได้ โดยเฉพาะความจริงที่ว่าใครก็ตามที่ขึ้นไปถึงเลเวล 15 ได้นั้นจะสามารถรวบรวมพลังแห่งกฏได้
ในตอนนี้เรือนกกระจอกวายุเงินได้หายกลายเป็นจุดเล็กๆที่เส้นขอบฟ้าไปแล้ว ราชินีไฮเอลฟ์ถอนหายใจออกมา กลับกันเถอะ ตอนนี้สิ่งที่พวกเราทำได้มีแค่รอเท่านั้น
ตั้งแต่ตอนที่มอเดอร์น่าจากไปสิ่งที่เหลืออยู่ในใจของราชินีไฮเอลฟ์ก็มีแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น
…
ทางใต้อาณาจักรกอลลี่
ลิงค์เอเลียร์ดและดิโลเซ่น กำลังขี่ม้าอยู่บนถนน
พวกเขาทั้งสามคนแต่งตัวเป็นพ่อค้าจรธรรมดาๆพวกเขาห้อยกระเป๋าหนังเอาไว้ที่อานม้าเหมือนที่พ่อค้าจรทั่วๆไปทำด้วยซ้ำเพื่อให้การปลอมตัวของพวกเขาออกมาสมบูรณ์ที่สุด ด้วยการปกปิดออร่าเวทมนตร์ของตัวเองเอาไว้ กลุ่มพ่อค้าสามคนก็เดินทางลงใต้ หน้าตาของพวกเขาเต็มไปด้วยฝุ่นจากลม
ไม่มีใครรู้ว่านักเดินทางที่ดูธรรมดาทั้งสามคนนี้จะมีพลังที่สามารถสั่นสะเทือนและแยกท้องฟ้าได้
ในทุกวันนี้การเดินทางลงใต้นั้นอันตรายมาก ความปลอดภัยตามท้องถนนหละหลวมสุดๆ มีพวกกลุ่มโจรพร้อมที่จะโผล่ออกมาตามซอกมุมต่างๆและปล้นคนที่เดินทางผ่านจนหมดตัวได้ทุกเมื่อ มีคนจำนวนไม่มากที่เลือกจะเดินทางผ่านเส้นทางที่ไร้ซึ่งความเจริญนี้ ตอนนี้ถนนแถวนี้เปลี่ยวมาก ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าจะได้รับการรบกวนจากคนอื่น
นักเวทย์ทั้งสามคนคุยกันอย่างสบายใจเฉิบในขณะที่พวกเขาขี่ม้าอยู่พวกเขามักจะถกกันเรื่องปัญหาเวทมนตร์ต่างๆ หรือไม่ก็ทำการปรับเปลี่ยนแผนต่อสู้ตามข่าวลือที่พวกเขาได้ยินมาตามท้องถนน
ข้าได้ยินมาว่าสมาชิกของสมาคมชอบยุยงให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองจากเงามืดดูเหมือนว่าครึ่งเทพคนนั้นจะทำการควบคุมอาณาจักรทางใต้ได้ทั้งหมดแล้วยกเว้นแค่อาณาจักรเซาท์มูน แถมคนที่บูชาเขายังมีมากกว่า3ล้านคนด้วย ข้าเกรงว่าอีกไม่นานเขาคงจะได้กลายเป็นเทพจริงๆ ดิโลเซ่นพูด
ทุกครั้งที่พวกเขาพูดถึงมอร์เฟียสพวกเขาจะใช้สรรพนามแทนเช่นคำว่า ‘เขา’ หรือใช้แค่คำว่า ‘ผู้หลงอำนาจ’ การพูดชื่อเขาออกมาตรงๆนั้นอาจดึงความสนใจของมอร์เฟียสมาที่พวกเขาได้ และนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาอยากจะให้เกิดขึ้น ณ ตอนนี้
ลิงค์ยิ้มอ่อนๆโอกาสที่เขาจะได้กลายเป็นเทพนั้นมีน้อยมาก เมื่อก่อน, ฉันเคยต่อสู้กับเขามา ตอนนั้น ฉันยังเป็นนักเวทย์ฝึกหัดอยู่เลย….แล้วดูฉันตอนนี้สิ ฉันก็ยังสบายดีอยู่นะ
เขานี้สมกับชื่อผู้หลงอำนาจจริงๆ ดิโลเซ่นพึมพำ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ถ้าครึ่งเทพคนนี้ไม่สามารถจัดการได้แม้กระทั่งนักเวทย์ฝึกหัด เขาก็คงจะไม่สามารถเป็นเทพได้จริงๆ
จากนั้นเอเลียร์ดก็ถามขึ้นมาอย่างกระทันหัน ดิโลเซ่น คุณบอกว่าคุณหนีมาจากอาร์คเมจเพลิงกับลูกน้องของเขาในอารากู่ นี่ก็หมายความว่าอีกไม่นานจะมีคนมาตามล่าคุณใช่ไหม?
ลิงค์เองก็มองดิโลเซ่น,รอฟังคำตอบจากเขา
ก็อาจจะนะถ้าข้าเดาไม่ผิด คนที่จะมาไล่ล่าข้าคงจะเป็นอัศวินลาวาจากลัทธิเพลิงแน่ๆ ดิโลเซ่นพูดโดยอิงจากความเป็นจริง
อัศวินลาวาหรอ? ลิงค์เลิกคิ้วขึ้น ชื่อนี้ฟังดูยิ่งใหญ่มาก นักรบเพลิงนรกที่เขาเคยจับได้นั้นไม่เคยพูดถึงพวกเขาเลย ลิงค์คิดว่าตัวตนของอัศวินลาวาน่าจะถูกเก็บเป็นความลับจากสมาชิกระดับล่างของลัทธิเพลิง
ลัทธิเพลิงมีอัศวินลาวาอยู่ทั้งหมด6 คน พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นอัจฉริยะในแขนงของตัวเอง และถูกสตรีศักดิสิทธิ์ของลัทธิเพลิงคัดสรรมาเป็นพิเศษ พวกเขาทุกคนเป็นนักรบที่อยู่ในจุดสูงสุดของเลเวล 15 ส่วนหัวหน้าของอัศวินลาวานั้นเป็นมาสเตอร์เลเวล 16 ที่มีความสามารถในการต่อสู้สูงกว่าตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์ซะอีก แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันในชื่ออัศวินลาวา แต่พวกเขาก็มีชื่อเรียก เทคนิค และอุปกรณ์เป็นของตัวเอง ซึ่งชื่อทั้งหมดนั้นสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นคนมอบให้ พวกนั้นดูแข็งแกร่งจังเลยนะแล้วคุณคิดว่าพวกนั้นจะตามมากันกี่คน? เอเลียร์ดถาม
มีร่องรอยความกังวลบนใบหน้าของเขาหลังจากได้ยินสิ่งที่เอเลียร์ดพูด
ดิโลเซ่นตอบอย่างละเอียด อัศวินลาวาพวกนี้แข็งแกร่งมาก พวกเจ้าห้ามดูถูกพวกนั้นเด็ดขาดเลยนะ มีเพียงนักรบเยือกแข็งของภพอารากู่เท่านั้นที่สามารถต่อสู้กับพวกนั้นซึ่งๆหน้าได้ และด้วยความที่การเทเลพอร์ทข้ามภพนั้นใช้ทรัพยากรมาก ทางลัทธิเพลิงคงส่งอัศวินลาวามาได้แค่คนเดียวเท่านั้น แต่ว่า แค่คนเดียวก็เกินพอแล้วหล่ะ ถ้าต้องปะมือกันจริงๆ ข้าคงรับดาบของเขาได้แค่สามครั้งเท่านั้นก่อนที่จะถูกฆ่าตาย ต่อให้ข้าลอบโจมตีด้วยเวทมนตร์ ข้าก็คงจะทำได้แค่ยืดเวลาจากสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ให้นานขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น นอกจากนี้ ครึ่งนึงของนักเวทย์ที่ฝ่าวงล้อมมาได้ก็ถูกอัศวินลาวาเนี่ยหล่ะที่เป็นคนฆ่าทิ้ง
ลิงค์กับเอเลียร์ดตกตะลึงกับคำตอบนี้ ในระหว่างที่เดินทางทั้งลิงค์และเอเลียร์ดสามารถประเมินความแข็งแกร่งของดิโลเซ่นได้จากการพูดคุยเรื่องเวทมนตร์กับเขาเอเลียร์ดนั้นไม่สามารถเทียบกับดิโลเซ่นได้เลย ยังไงก็ตาม ลิงค์คิดว่าเขามีโอกาสสูงที่จะชนะในการต่อสู้แบบแฟร์ๆ ยังไงก็ตาม มันก็ยังมีโอกาสที่เขาจะแพ้ได้อยู่ถ้าเขาไม่ระวังตัวให้ดี
หลังจากที่ได้ฟังดิโลเซ่นเล่าเรื่องอัศวินลาวาแล้วลิงค์ก็ได้แต่สงสัยว่าเขาจะสามารถจัดการคนแบบนั้นด้วยตัวเองได้รึเปล่า
ถ้าพวกเราร่วมมือกันหล่ะ? ลิงค์ถาม ดิโลเซ่นกัดฟันในตอนที่เขาลองจินตนาการในกรณีที่พวกเขาพยายามร่วมมือกันจัดการอัศวินลาวา ครึ่งนาทีต่อมาเขาก็ตอบ มันก็คุ้มที่จะลองนะ แต่ว่าพวกเราต้องเตรียมตัวเผื่อเอาไว้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดด้วย ภารกิจของพวกเรา ณ ตอนนี้ไม่ใช่การจัดการเขา ดังนั้นข้าคิดว่าทางที่ดีที่สุดคือหนีจากเขาในตอนที่เขาตามพวกเรามาจะดีกว่า ลอร์ด ท่านเป็นนักเวทย์มิติ ถ้ามีท่านอยู่ด้วย เขาไม่มีทางไล่พวกเราทันหรอก
ลิงค์พยักหน้าเห็นด้วย ถ้างั้นก็หวังให้พวกเราไม่เจอเขาในเร็วๆนี้ละกันนะ
ท้องฟ้ามืดลงไปมากแล้วเพื่อความปลอดภัย พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่ใช้พลัง เนื่องจากพวกเขายังอยู่ภายใต้เขตอำนาจของสมาคม พวกเขาลงจากม้าและไม่นานนักก็เจอต้นไม้ใหญ่ให้พักผ่อนอยู่ริมถนน
ดิโลเซ่นเจอหญ้าแห้งซึ่งเขาเอามันมาจุดไฟด้วยหิน ลิงค์เอาหม้อเหล็กออกมาจากกระเป๋าหนัง แล้วไปตักน้ำมาจากแม่น้ำข้างๆ จากนั้นเขาก็วางขาเหล็กสำหรับตั้งหม้อ ส่วนเอเลียร์ดนั้นมีหน้าที่ในการให้อาหารม้า
ไม่นานนักลิงค์ก็เริ่มทำอาหารบนหม้อเหล็กที่ดิโลเซ่นจุดไฟเอาไว้ให้ แล้วพวกเขาก็กางผ้าปูลงบนพื้นเรียบๆและเตรียมตัวรับประทานอาหารค่ำ
ต้องขอบคุณสภาพอากาศอันอบอุ่นของทางใต้และร่างกายที่แข็งแรงของพวกเขาพวกเขาทั้งสามคนจึงไม่มีปัญหากับการที่ต้องใช้เวลากลางคืนในพื้นที่รกร้างนี้เลย
หลังจากนั้นไม่นานกลิ่นหอมอ่อนๆจากเนื้อก็โชยขึ้นมาจากหม้อ พวกเขารีบตักซุบลงในถ้วยของตัวเองแล้วซดมันอย่างหิวกระหายพร้อมกับพูดคุยเรื่องที่พวกเขาคุยกันก่อนหน้านี้ต่อ
ณเวลานี้ พวกเขาทั้งสามคนดูเหมือนกับกลุ่มพ่อค้าจรที่ตอนนี้กำลังทานมื้อค่ำด้วยกันหลังจากที่เดินทางมาทั้งวัน ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเลย
ในระหว่างที่พวกเขากินกันอยู่นั้นเองหูของลิงค์ก็ได้ยินเสียงลมในอากาศ ต้องขอบคุณประสบการณ์การต่อสู้อันมากมายของเขา เขาจำได้ในทันทีว่ามันคือเสียงของลูกดอกที่กำลังลอยมาจากท่อเป่า
ในทันทีที่เขาได้ยินเขาก็มองเพื่อนของเขาอย่างมีเลศนัย เขาดูดีใจกับสิ่งนี้มาก เตรียมตัวนะ, มันมาแล้ว!
ท่อเป่านั้นเป็นอาวุธที่ใช้กันโดยทั่วไปในหมู่โจรของสมาคมพวกเขาจะทาปลายหัวธนูด้วยพิษงู ในตอนที่โดนเข้าไป แม้กระทั่งชายที่ร่างกายแข็งแรงก็ยังล้มลงไปได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที หลังจากนั้นพวกเขาก็จะถูกสมาคมเอาไปขายเป็นทาส
ซึ่งลิงค์กับคนอื่นๆเองก็มาถึงที่นี่เพื่อให้ตัวเองถูกจับเป็นทาสนี่เป็นขั้นตอนแรกสำหรับแผนการของพวกเขา!