ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 522 ข้าทำได้!

ตอนที่ 522 ข้าทำได้!

หนังสืออีกจำนวนหนึ่งถูกทำลาย และโทสะของฉินมู่พุ่งปรี๊ดถึงจุดเดือด กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกไม่เห็นว่าความพยายามของอดีตกษัตริย์มนุษย์นับเป็นอะไร ความพยายามของผู้ใหญ่บ้าน ของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง และคนอื่นๆ ถูกทำลายราวกับว่ามันคือสิ่งไร้ค่าในมือของเขา!

ปราณชีวิตของฉินมู่สั่นไหวและพลันระเบิดออก ปราณชีวิตสีแดงสดแปรเปลี่ยนเป็นทะเลโลหิตที่มีซากศพของเทพและมารมากมายล่องลอยอยู่ในนั้น

กระบวนท่าที่สองภาพกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต!

เพลงกระบี่ของเขาแตกต่างออกไปจากของผู้ใหญ่บ้าน เขาได้ผนวกรวมเอาท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดลงไปในกระบวนท่านี้แทนที่จะมีเพียงสิบสี่ นอกจากอารมณ์กระบี่ที่ต่ำต้อยกว่าและช่องโหว่บางจุดแล้วพลานุภาพของเพลงกระบี่เขาก็ได้เหนือล้ำกว่าของผู้ใหญ่บ้านไปมาก

เพียงแค่เขาร่ายรำมันออกมา ร่างของบรรพชนแรกก็ทะยานขึ้นจากทะเลโลหิต เพลงกระบี่ของเขาฝ่าแยกทะเลโลหิตออกเป็นสองฟาก สร้างทางเดินให้แก่เขา ศพของเทพและมารลุกเต้นขึ้นมาและกลายเป็นตัวช่วยของเขาเมื่อพวกมันกระโจนขย้ำเข้าใส่ฉินมู่

ปัง ปัง ปัง!

รอยเลือดไหลเป็นทางยาวบนร่างของฉินมู่ เมื่อเขากระเด็นไปข้างหลัง พวกมันมาจากอาการบาดเจ็บที่มาจากการแทงของบรรพชนแรก

เขาพุ่งไปปะทะกับฝังโถงกษัตริย์มนุษย์อย่างรุนแรง ก่อนที่จะร่วงไถลลงมากองกับพื้น

กิเลนมังกรโกรธเกรี้ยวและคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น จากนั้นก็กระโจนขย้ำใส่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก

นิ้วทั้งห้าของชายผู้นี้เคลื่อนไหว เมื่อพวกมันกางออกมา อักษรรูนก็พวยพุ่งออกไป แต่ก่อขึ้นมาเป็นอักษรรูนปิดผนึกที่ขนาดใหญ่ราววาครึ่ง และปิดผนึกปากกว้างๆ ของกิเลนมังกร

ไฟแท้กิเลนในปากของกิเลนมังกรถูกขัดขวางเอาไว้ในทันที และเขาก็ถูกซัดกระเด็นไปติดผนังด้วยการสะบัดแขนเสื้อเพียงคราเดียว

หีบพุ่งเข้าไป อ้าปากเปิดออก หมายที่จะกลืนกินชายผู้นี้ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเคาะหีบด้วยเท้าของเขา และเตะมันกระเด็นไปยังกิเลนมังกรที่กำลังไถลร่วงลงมาจากผนังของโถงกษัตริย์มนุษย์ และกลิ้งหลุนๆ ลงไปตามบันได

“เจ้าน่าจะได้เห็นแล้ว กายาจ้าวแดนดินของเจ้า สายเลือดแห่งจักรพรรดิก่อตั้งของเจ้า พวกมันไม่เป็นอะไรไปมากกว่านามอันว่างเปล่า”

บรรพชนแรกโบกมือของเขา และชั้นหนังสือก็ปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้า หนังสือในนั้นร่วงออกมา และด้วยการวาดชายแขนเสื้อหนึ่งครา ความพยายามของอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมด ก็กลายเป็นผีเสื้อกระดาษอันบินว่อนไปทั่วฟ้า

บรรพชนแรกมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย “หนังสือพวกนี้ก็เหมือนกับเจ้า ไม่นับเป็นตัวอะไรเลยสักนิด ไม่ว่าเจ้าจะขวนขวายมากแค่ไหน มันก็ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นทำไมยังต้องดิ้นรนอีกล่ะ ทำไมถึงยังคงกระเสือกกระสน ต่อสู้เพื่อความฝันอันน่าหัวเราะเยาะของเจ้าอยู่อีกล่ะ”

ฉินมู่ลุกขึ้นยืน และนิ้วทั้งสิบของเขาก็ขยับขึ้นลง เคาะลงไปบนบาดแผลรอบๆ ร่างกายของเขาเพื่อปิดผนึกพวกมันเอาไว้ จากนั้นเขาก็พุ่งไปยังบรรพชนแรกอีกครั้ง “หากว่าเจ้าทำบางอย่างไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้แปลว่าข้าจะทำมันไม่ได้เหมือนกัน! ผนึก!”

“ห้าม!”

“ตรึง!”

“นที!”

“บรรพต!”

เขาพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง และขับเคลื่อนเวทมนตร์ถ้อยคำของกษัตริย์มนุษย์ข่งเสียน คำผนึกปรากฏข้างใต้เท้าของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และคำห้ามดึงเขาเข้าไป คำตรึงปรากฏตรงหน้าของใบหน้าเขา และคำนทีก็ราวกับมังกรไร้เขาอันกระหวัดพันรอบกายเขา ท้ายที่สุดคือคำบรรพตที่กดทับลงมาเหนือศีรษะเขา

เวทมนตร์ถ้อยคำสามารถใช้คำได้ห้าคำพร้อมๆ กัน และมันเป็นวิชามหัศจรรย์ที่กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนสร้างสรรค์ขึ้นมา

กระนั้นคำทั้งห้าก็แตกสลายไปตามๆ กัน ฝ่ามือของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกดูราวกับจะพลิกฟ้าคว่ำดินในบริเวณรอบๆ เมื่อเขาฟาดมันลงมา

ฉินมู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด กิริยาของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย เส้นเอ็นของเขาราวกับมังกรยักษ์ที่ม้วนกระหวัดรัดรอบกระดูกของเขา ขณะที่กระดูกสั่นหลังนั้นก็ราวกับมังกรแท้เหินหาว

กายามังกรแท้จ้าวแดนดิน!

เขาได้ฝึกปรือวิชานี้จากรังมังกรแท้ หลังจากที่หลอมรวมมันเข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ มันได้ทำให้กายเนื้อของเขารุดหน้าไปถึงเขตขั้นอันไม่เคยพบเห็นมาก่อน

มันคือทักษะเทวะกายเนื้อที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา

ด้วยมือขวาที่พลิกหงายเป็นหยาง และมือซ้ายที่พลิกคว่ำเป็นหยิน ใจกลางฝ่ามือของเขาก็ขยับเพื่อเผชิญหน้ากับฟาดฝ่ามือของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก

มือหยินหยางพลิกสวรรค์!

มันเป็นวิชาของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนสาม แต่เขาได้สอนฉินมู่เพียงรูปแบบเบื้องต้นพื้นฐานของมือหยินหยางพลิกสวรรค์ ทว่าฉินมู่ได้ตรึกตรองเข้าใจวิธีการใช้ฝ่ามือซ้อนทับกันด้วยตนเอง

ในจังหวะนั้น เขาซ้อนพลังฝ่ามือหยินพิสุทธิ์เข้ากับพลังฝ่ามือหยางพิสุทธิ์ ด้วยหยินและหยางระเบิดออกไปในเวลาเดียวกัน การผสานของพลังงานทั้งสองก็ทำให้พลานุภาพของมันทวีคูณขึ้นไปเป็นหลายเท่า!

ตูม!

ฉินมู่เซถอยแซ่ดๆ มือซ้ายของเขาเคยเป็นหยาง และมือขวาของเขาเคยเป็นหยิน แต่เมื่อเขาซ้อนทับมันเข้าด้วยกันก่อนปะทะกับฝ่ามือของบรรพชนแรก พลังงานของมันได้ทำลายหยินและหยางของเขาเสียก่อนที่เขาจะได้ปลดปล่อยการโจมตี เขาถูกเป่ากระเด็นไปด้วยอาการเช่นนั้น!

“กษัตริย์มนุษย์บรรพชนสามก็เป็นความล้มเหลวเช่นกัน ดังนั้นเจ้าถูกตราไว้แล้วว่าจะต้องล้มเหลวหากว่าใช้กระบวนท่าของเขา”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกฟาดพื้นลงไปด้วยลมจากฝ่ามือ และฉินมู่ที่เพิ่งร่วงตกก็ลอยขึ้นไปอย่างช่วยเหลือตนเองไม่ได้จากแรงสั่นสะเทือน ถัดมานั้นเขาก็ถูกมุทราหนึ่งฟาดเข้า และคลานหมอบอยู่บนพื้นอีกครั้ง

เคร้ง

รังสีแสงเทวะสองเส้นยิงออกไปจากดวงตาของเขาและปะทะใส่ฉินมู่ สายตาอันทรงอานุภาพดูราวกับพร้อมที่จะทำให้หลังของเขาหัก และพื้นดินในบริเวณรอบๆ ก็พลันแดงฉานจากความร้อนระอุ

ฉินมู่พลิกตัวขึ้นและวิ่งตะบึงหลบหลีกสายตาของเขา เขาเคลื่อนที่ไปรอบๆ โถงราวเหินบินขณะที่แสงเทวะก็รวบรวมขึ้นในดวงตาของเขา รังสีแสงสองลำยิ่งออกไปจากดวงตาเขาและปะทะเข้ากับสายตาของบรรพชนแรก

ปัง!

เนตรเทวะของเขาฝ่ายแพ้ และเขาถูกปักเอาไว้คาผนัง

“เจ้าได้พบเขาแล้วหรือ”กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกรั้งสายตาของเขากลับมาและเดินไปยังชั้นหนังสือของบรรพชนสาม เขานำหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง อันมิใช่ใดอื่น นอกเสียจากวิชาของบรรพชนสาม “ตอนนี้เจ้าคงรู้แล้วว่าวิชาที่เขาใช้ทั้งชีวิตของตนเองเพื่อขัดเกลามันให้สมบูรณ์แบบนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง และควรจะโยนทิ้งลงไปในหลุมส้วมตั้งนานแล้ว! หนังสือที่เขาเขียน แม้แต่จะใช้เป็นกระดาษเช็ดก้นก็ยังไม่คู่ควร!”

ฉินมู่ไถลร่วงลงมาจากผนังด้วยเลือดที่หยดติ๋งๆ จากมุมปาก เขามองไปที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกผู้ซึ่งกำลังฉีกหนังสือ และรู้สึกจุกในหัวอกจากความพ่ายแพ้จนปัญญา

เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ บรรพชนแรกใช้ขั้นวรยุทธเดียวกันกับเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต่อสู้กันด้วยสมบัติเทวะเจ็ดดาว ความแตกต่างมีเพียงแค่สมบัติเทวะเจ็ดดาวของฉินมู่ได้หลอมรวมเข้ากับสมบัติเทวะหกทิศแล้ว และไม่มีม่านกั้นระหว่างพวกมัน ขณะที่สมบัติเทวะของบรรพชนแรกยังคงมีม่านกั้นระหว่างเขตขั้นวรยุทธ

จากจุดนี้เพียงจุดเดียว ปราณชีวิตของฉินมู่ก็เหนือล้ำกว่าบรรพชนแรกไปมา แต่เมื่อพวกเขาต่อสู้กัน ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย

บรรพชนแรกเป็นบุคคลที่ไร้จุดอ่อน เขามิได้หลอมรวมสมบัติเทวะ แต่กายเนื้อของเขาเหนือล้ำกว่าฉินมู่ไปหลายขุม

เขานั้นเหมือนกับเทพเจ้าเยาว์ หมัด ขา กล้ามเนื้อ ผิวหนัง เส้นขน กระดูก และเส้นเอ็น ล้วนแต่บรรลุไปถึงเขตขั้นเหนือล้ำกว่าฉินมู่ไปไกล!

อวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกของเขาก็ยกระดับขึ้นมาอย่างผิดธรรมดา และหัวใจของเขาอันสูบฉีดเลือดหล่อเลี้ยงร่างกายก็แข็งแกร่งยิ่ง มันเหมือนกับระฆังใหญ่ที่ดังเหง่งหง่างและส่งปราณกับโลหิตไปยังทุกส่วนของร่างกายเขาในพริบตา และทำให้พลังวัตรของเขายิ่งรวดเร็วไปใหญ่ลมหายใจของเขาก็ยาวนาน เมื่อเขาหายใจ ลมและเมฆก็จะปัดเป่าผ่านมา ทำให้ปอดของเขาบรรจุอากาศได้มากขึ้น ไตของเขาขับเคลื่อนพลังงานของร่างเนื้อทั้งหมด และทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะอันคงเสถียรภาพอย่างสุดๆ ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน

อวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกของเขาสอดคล้องสนองโดยตรงกับธาตุทั้งห้าและทิศทั้งหกของเขา หลอมรวมเข้ากับสมบัติเทวะของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ

ดวงตาของเขาประดุจสุริยันและจันทรา หลอมรวมเข้าอย่างสมบูรณ์แบบกับห้าธาตุและหกทิศ แปรเปลี่ยนเป็นเจ็ดดาว

ความเข้าใจของเขาต่อเขตขั้นวรยุทธนั้นไปบรรลุถึงจุดสูงลิ่วอันฉินมู่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน!

ตันเถียนของเขาแผดเผาร้อนแรงราวกับเตาหลอมขนาดยักษ์ คล้ายกับของเฒ่าใบ้ มันเหมือนกับดวงตะวันอันเจิดจ้าสุกใส ที่เป็นแหล่งพลังงานอันขับเคลื่อนกายเนื้อ และทำให้กายเนื้อธำรงประสิทธิภาพสูงสุดตลอดเวลา

สภาวะของกายเนื้อเช่นนี้เหมือนกับของซิงอ้าน–ไร้ที่ติ อันที่จริงแล้ว มันยิ่งแข็งแกร่งกว่าของซิงอ้านเสียอีก!

จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ได้บรรลุถึงระดับชั้นที่ไม่อาจจะเข้าใจได้

จิตวิญญาณดั้งเดิมคือทารกวิญญาณ เป็นดวงจิตแห่งปราณชีวิต ฉินมู่นั้นภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งต่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา ก็ในเมื่อมันแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ และดวงวิญญาณของเขาก็หนักแน่นมั่นคงกว่าคนอื่นๆ มากเช่นกัน เขาสามารถให้จิตวิญญาณดั้งเดิมท่องนภาตั้งแต่ยังอยู่ในวรยุทธขั้นหกทิศ ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ

เขานั้นถึงกับได้ฝึกประสานคู่จิตวิญญาณดั้งเดิมและคิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม หลังจากฝึกปรือในขั้นหกทิศมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ถูกเสริมแกร่งมากขึ้น และท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะระดับเดียวกัน เขาไร้เทียมทาน แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของซวีเซิงฮวาก็ยังด้อยกว่าเขาหนึ่งเส้นด้าย

กระนั้นเมื่อเทียบกับของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาด้อยกว่ามาก

จิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นหลอมรวมกันเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ การเคลื่อนไหวของใจเขาก็นำไปสู่การโจมตีของร่างเนื้อ และการเคลื่อนไหวของดวงจิตก็กลายเป็นปราณชีวิตทักษะเทวะ การเคลื่อนไหวของเจตจำนงก็จะหลอมรวมการโจมตีทั้งสองเข้าเป็นหนึ่ง

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมการโจมตีของบรรพชนแรกถึงรวดเร็วอย่างมหันต์ ถึงขั้นที่ว่าฉินมู่ไม่อาจต้านรับมันได้เลยแม้แต่น้อย พวกมันถล่มเข้ามาหาเขาราวพายุบุแคม!

ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือทักษะเทวะของบรรพชนแรก พวกมันก็ล้วนแต่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ เขาคือผู้ฝึกวิชาเทวะที่สมบูรณ์แบบ

เขานั้นคือร่างหนุ่มเยาว์ของเทพเที่ยงแท้!

กระนั้นตัวตนอันแข็งแกร่งปานนี้ก็ได้กลายเป็นทหารหนีทัพเมื่อภัยพิบัติและสงครามปะทุขึ้นมาในช่วงปีท้ายของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง!

แม้แต่ตัวตนอันแข็งแกร่งปานนี้ที่ดูเหมือนว่าไม่มีทางสยบกำราบได้ ก็ยังได้กลายเป็นผู้หนีศึก หวาดกลัวที่จะตกตายไปพร้อมกับสหายร่วมรบ ดังนั้นศัตรูของเขาจะต้องแข็งแกร่งสักเพียงไหน

“หยุดฉีก…” ฉินมู่หอบหายใจ

บรรพชนแรกยังคงฉีกทำลายหนังสือเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ความพยายามทั้งหมดของบรรพชนสามกลายเป็นเศษซาก เขาจึงกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “จะเก็บพวกมันเอาไว้ทำไม ผู้คนที่เขียนหนังสือพวกนี้มีแต่ไร้ประโยชน์ พวกมันก็มีแต่จะเปลืองพื้นที่ เช่นนั้นฉีกพวกมันทิ้งไปเสียจะไม่ดีกว่าหรือ และเจ้าก็ไม่ต่างกัน เจ้าจะกลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์เหมือนพวกเขาในอนาคต ด้วยว่าต่อให้เจ้าฝึกฝนถึงระดับของข้า เจ้าก็จะยังคงไร้ประโยชน์อยู่ดี”

สีหน้าของเขาเย้ยหยันหนักยิ่งขึ้น และเขาเดินไปที่ชั้นหนังสือของบรรพชนสอง จากนั้นหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ เขายิ้มหยัน “พวกเขาถือว่าเหนือฟ้าเป็นคู่แข็งของตนเอง ฮี่ๆ เหนือฟ้า? เหนือฟ้ามันก็เป็นแค่สุนัข! ขนาดสุนัขพวกเขาก็ยังเอาชนะไม่ได้ ประสาอะไรจะมาคุยกันเรื่องการโจมตีตอบโต้ เจ้าเองก็เป็นคนไร้ประโยชน์ ขนาดข้าเจ้าก็ยังเอาชนะไม่ได้ เช่นนั้นความทะเยอะทะยานผายลมอะไรของเจ้า ความฝันผายลมอะไรของเจ้า รีบไสหัวกลับบ้าน หาเมียและมีลูกเสียเถอะ…”

ฉินมู่ขย้ำเข้าไปพลางกู่ร้องอย่างเกรี้ยวกราด ทารกวิญญาณในหว่างคิ้วของเขาหลอมรวมเข้ากับดวงวิญญาณเพื่อก่อขึ้นมาเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม เขาประสานจิตวิญญาณดั้งเดิมเข้ากับกายเนื้อให้เป็นหนึ่ง ก็เมื่อเขาได้สังเกตเห็นเหตุผลว่าทำไมบรรพชนแรกจึงแข็งแกร่งขนาดนี้ และรีบใช้วิธีนี้เพื่อตนเอง

“ข้าบอกเจ้าว่าอย่าฉีก!”

ความเร็วของเขาเพิ่มพูนอย่างมหันต์ และพลังฝ่ามือของเขาก็กลายเป็นไร้ขอบเขตและน่าสะพรึงกลัว แต่ทว่าในพริบตาถัดมาเขาก็ถูกบรรพชนแรกซัดกระเด็นออกไปอีกครั้ง

“พลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา!”

ฉินมู่กระโจนเข้าไปอีกครั้ง ตูม! เขาถูกเป่ากระเด็นมา

ปัง

ปัง ปัง

เสียงซัดทึบหนักดังมาจากโถงกษัตริย์มนุษย์เป็นระยะ พวกมันหยุดดังลงไปหลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปยังฉินมู่ผู้ซึ่งโงนเงนยันกายขึ้นมาอย่างยากลำบากและส่ายหัว “เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกหรือ เจ้านั้นแตกต่างจากกษัตริย์มนุษย์คนก่อนๆ พวกเขาถูกอาจารย์ของตนโกหกหลอกลวง และไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากมาเป็นกษัตริย์มนุษย์ หากว่าพวกเขาได้รับคำอนุญาตจากข้าให้ไม่ต้องเป็นกษัตริย์มนุษย์อีกต่อไป พวกเขาคงจะลิงโลดและละทิ้งตำแหน่งนี้ไปด้วยความปรีดา แต่เจ้าล่ะ? เจ้าก็ถูกโกหกหลอกลวงมาเช่นกัน ใช่หรือไม่”

ฉินมู่ยืนขึ้นด้วยแข้งขาสั่นและปิดผนึกบาดแผลบนร่างกาย เขาปาดเลือดที่มุมปากออกพลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง “ผู้ใหญ่บ้านไม่ได้โกหกข้า เขาบอกข้าก่อนแล้วว่าการเป็นกษัตริย์มนุษย์ไม่มีผลประโยชน์อะไร และข้าอาจจะถูกไล่ล่า กลายเป็นเป้าเข่นฆ่าของทุกๆ คน และต้องเผชิญกับอันตรายร้ายกาจ…”

“เช่นนั้นทำไมเจ้ายังลุกขึ้นยืน” บรรพชนแรกพิศวง “ทำไมเจ้าไม่ยอมแพ้ ทำไมเจ้าถึงจะมาทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์ต่อตนเอง เจ้าปัญญาอ่อนหรือ”

ฉินมู่ฉีกยิ้ม ฟันของเขาย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด “หากว่าไม่มีใครทำมัน มิใช่ว่าจะไม่มีความหวังไปตลอดกาลหรอกหรือ หากว่าเจ้าไม่ต้องการทำมัน ทำไมไม่ให้ข้าลองทำดูล่ะ”

“เพราะเจ้าโง่เขลาเบาปัญญา!”

บรรพชนแรกโจมตีเขา การซัดแต่ละครั้งของเขายิ่งทวีความหนักหน่วงจากก่อนหน้า เขาตะโกนไปอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าคือคนโง่เง่าที่ไม่รู้ว่าควรจะล้มเลิก! เจ้ามีก็แต่จะเอาชีวิตไปทิ้งเท่านั้น! ในอนาคตจะมีศัตรูที่เหมือนกับข้าอีกนับไม่ถ้วน และหากว่าเจ้าสู้กับข้าก็ยังไม่ได้ แล้วเจ้าจะไปสู้กับพวกเขาได้อย่างไร ความผิดพลาดของข้าไม่ควรเกิดขึ้นอีกในชนรุ่นหลัง! ล้มเลิกเสีย!”

ตูม!

ฉินมู่รับการซัดนั้นไปตรงๆ และกลิ้งกระเด็นไป การโจมตีของบรรพชนแรกโถมถล่มลงมาราวพายุ แต่ละการซัดตีนั้นหนักหน่วงราวขุนเขา และคมกล้าดุจดาบ “ล้มเลิก! ล้มเลิก! เจ้าล้มเลิกไปตอนนี้จะดีกว่า!”

ฉินมู่กลิ้งไปหลายตลบออกจากโถงกษัตริย์มนุษย์ เมื่อเขากำลังจะลุกขึ้น บรรพชนแรกก็ได้มายังข้างกายเขา เขาไขว้มุทราสวรรค์และมุทราพิภพเข้าด้วยกัน และเหวี่ยงฉินมู่กระเด็นไปอีกครั้ง

เมื่อฉินมู่ร่วงตกลงระหว่างหลุมศพสองหลุม บรรพชนแรกก็พลันปรากฏขึ้นมาเหยียบหน้าอกของเขาไว้ “เจ้ายอมล้มเลิกหรือยัง”

ฉินมู่คว้าข้อเท้าของเขา และผลักเขาไป เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้งพลางกระโจนเข้าใส่และร้องคำราม “ตำแหน่งกษัตริย์มนุษย์มิใช่สิ่งที่เจ้าให้กับตนเอง แต่เป็นสิ่งที่เจ้าได้รับมอบมาจากทุกเผ่าพันธุ์! เจ้าเอามันคืนไปไม่ได้!”

“กษัตริย์มนุษย์เป็นเรื่องจอมปลอม! มาให้ข้าทำลายมายาภาพในหัวใจเจ้า!”

ด้วยสายตาเย็นเฉียบ บรรพชนแรกยื่นมือออกไปคว้าคอของฉินมู่ และยกเขาลอยขึ้นไปบนอากาศ ฉินมู่คว้าจับมือของเขาด้วยกำลัง และกระหวัดพันรอบมือนั้นราวงูเหลือมเพื่อพลิกอีกฝ่ายไป

ปัง!

เขาถูกเป่าลอยขึ้นไปบนอากาศจากน้ำมือของบรรพชนแรก และร่วงลงมาอีกครั้ง

บรรพชนแรกเหยียดกายตรงและเดินไปยังกระท่อมฟาง เขายิ้มหยันและกล่าว “มันก็คือพวกผู้คนที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ที่สร้างมายาภาพว่ากษัตริย์มนุษย์ควรจะสละชีพและดิ้นรนเพื่อผู้คนทั้งหลาย และทำให้เด็กรุ่นเลือดร้อนอย่างเจ้าถูกบันดาลให้ทำเรื่องมุทะลุ ให้ข้าทำลายซากร่างของพวกเขา เปลี่ยนโครงกระดูกของผู้คนที่กระหายชื่อเสียงพวกนี้ให้กลายเป็นฝุ่นธุลี!”

เขาบุกเข้าไปในกระท่อมฟางที่ใกล้ที่สุด และบดขยี้หินป้ายหลุมศพของบรรพชนสองให้เป็นผุยผง จากนั้นเขาก็คว้าโครงกระดูกของบรรพชนสองขึ้นมา

“เจ้าบังอาจ!”

ลมหอบหนึ่งพวยพุ่งมาเมื่อฉินมู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด บรรพชนแรกหันกลับไปและยกฝ่ามือของเขาเพื่อต้านรับหมัดอันซัดพุ่งมาใส่ มันเป็นกำปั้นอาบเลือด กำปั้นอันเต็มไปด้วยโทสะไร้ประมาณและมีนิ้วอันสั่นระริก

ตูม!

เปลวสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดใส่หน้าของบรรพชนแรก เป่าเขากระเด็นไป

กระท่อมฟางระเบิดออก และชายร่างโชกเลือดก็คว้าโครงกระดูกของบรรพชนสองเอาไว้ได้เพื่อวางมันไว้อย่างเหมาะสม ก่อนที่จะโค้งสักการะ จากนั้นเขาก็พุ่งออกไปราวกับเกาทัณฑ์หลุดจากแล่ง ตามบรรพชนแรกที่อยู่กลางอากาศไป

“หากว่าเจ้าทำไม่ได้ ก็ให้ข้าทำ! ข้าทำได้!”

เสียงปะทะกันหนักแน่นตึบๆ ดังมาจากที่ไกลๆ เมื่อเมฆเทาพวยพุ่งขึ้นไปบังท้องฟ้า

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน