ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 536 หัวใจมืดดำเหมือนมารตนหนึ่ง

ตอนที่ 536 หัวใจมืดดำเหมือนมารตนหนึ่ง

 เจ้าวิ่งได้ช้าที่สุดบนท้องฟ้า และยังลงมาหยุดอยู่ที่นี่ ในเมื่อเจ้าเผยตำแหน่งแห่งที่เช่นนั้น มันก็ย่อมดึงดูดนักล่า  ยอดฝีมือมารมองไปยังเศษหินแตกหักบนพื้นอย่างระแวดระวัง แต่สีหน้าของเขาค่อนข้างผ่อนคลาย  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าดูเหมือนจะรังแกง่ายที่สุดในกลุ่มคน งั้นทำไมข้าถึงจะไม่มาล่ะ แต่ทว่า กำลังฝีมือของเจ้านั้นค่อนข้างเหนือความคาดหมายของข้า… 

เขามองไปยังเศษหินแตกหักบนพื้น และม่านตาของเขาก็หรี่แคบลงเล็กน้อย เขาค่อยๆ ปลดปล่อยรัศมีของตนเองทีละเล็กละน้อย  เจ้าดูซื่อๆ ง่ายต่อการรังแก แต่กำลังฝีมือของเจ้านั้นแข็งแกร่งอย่างสุดขีด แม้ว่าเจ้าไม่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ แต่ความสามารถของเจ้าก็ถึงขั้นนั้นไปแล้ว เจ้าไม่อ่อนแอไปกว่าฉู่เหยา หวงเยว่ และคนอื่นๆ เลยสักนิด ข้าปรารถนาจริงๆ ที่จะรู้ว่าเจ้ายังคงเหลือกำลังฝีมือสักกี่มากน้อยหลังจากการต่อสู้กับฉือฉวนซง ลูกท้อนี้ข้าจะเด็ดมาง่ายดายหรือไม่ 

บนพื้นดิน กระบี่บินลอยขึ้นมาอย่างนิ่มนวล และฉินมู่ก็หยัดตัวลุกขึ้นยืนตรงพลางสูดลมหายใจลึก ทันใดนั้น ลมหายใจของเขาก็กลับมาเป็นปกติและแย้มยิ้ม  ตั้งแต่เมื่อข้าได้กลายเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าข้าดูรังแกง่ายอีกเลย หากว่าเจ้าต้องการเด็ดลูกท้อนี้ ทำไมเจ้าไม่เข้ามาลองดูสักหน่อยล่ะ 

เมื่อครู่เขายังหอบหายใจอย่างยากลำบากอยู่เลย แต่บัดนี้ราวกับว่าตัวเขาไม่มีอะไรผิดปกติ

ยอดฝีมือมารยิ้มเล็กน้อย  กำลังฝีมือของฉือฉวนซงนั้นสูงล้ำแข็งแกร่ง ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ข้าก็ยังต้องขยาดเกรงอยู่หลายส่วน หลังจากการต่อสู้ชิงเป็นชิงตายกับเขา อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่มีทางเบาบางหรอก เจ้าสะกดข่มลมหายใจของเจ้าเอาไว้ได้ แต่เจ้าไม่มีทางซ่อนอาการบาดเจ็บของตนเองได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกังวล หากว่ากำลังฝีมือของเจ้าแข็งแกร่งพอที่จะเป็นภัยต่อข้า ข้าก็จะรีบสะบัดหน้าผละไป และหาเหยื่อคนอื่นแทน 

เขาสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน  เพราะถึงอย่างไร ในป่าแห่งนี้ก็ซุ่มซ่อนไว้ด้วยศัตรูตั้งไม่รู้กี่คน ดังนั้นข้าย่อมต้องออมกำลังเอาไว้เพื่อจัดการพวกเขา ใช่ไหมล่ะ 

เสียงของเขามีสำเนียงมารแฝงซ่อนเอาไว้ราวกับว่าเขาเป็นพี่ชายใจดีข้างบ้านผู้กำลังกังวลห่วงใยผู้อื่นอย่างแท้จริง แต่ทว่าจิตของฉินมู่ยังคงกระจ่าง

เขานั้นเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า แม้ว่าเขาจะเรียกตัวเองบ่อยครั้งว่าจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ แต่ก็มียอดฝีมือมากมายที่เชี่ยวชาญในมรรคามารในลัทธิมารฟ้า คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตนั้นพิสดารพันลึก และสามารถแปรเปลี่ยนไปได้ตามหัวใจผู้ฝึก

 หากว่าในหัวใจมีสันดานมาร คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็จะเต็มไปด้วยวิชามาร แต่หากว่ามีสันดานเทพในหัวใจ พวกมันก็จะเป็นวิชาเที่ยงธรรม 

ในฐานะจ้าวลัทธิมารฟ้า ฉินมู่หาใช่ชนชั้นที่ถูกเล่นตลกได้ด้วยเสียงมารแค่นี้

เขาไม่เชื่อเลยสักคำที่ยอดฝีมือมารผู้นี้กล่าว!

คำพูดพวกนั้นมีเพื่อให้ฉินมู่ละวางการป้องกัน เรื่องเหลวไหลที่บอกว่าพร้อมจะผละจากไปและมีศัตรูจำนวนไม่รู้เท่าไหร่ซุ่มซ่อนอยู่ หากว่าเขาไปเชื่อจริงๆ จังๆ เขาก็จะตาย!

ฉินมู่ยืนนิ่ง ไม่ขยับ กระบี่บินแปดพันเล่มถูกจัดวางไว้อย่างสุ่มๆ ในอากาศ และลอยละล่องอยู่รอบๆ ตัวเขา พวกมันรออยู่ในกระบวนพยุหะศึกของกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์เพื่อที่จะปลดปล่อยพลานุภาพ

ยอดฝีมือมารพลันเคลื่อนไหว พุ่งตรงมายังฉินมู่ พลังงานอันระเบิดจากกายเนื้อของมารเที่ยงแท้เยาว์ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือล้น เมื่อกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของฉินมู่ถูกปลดปล่อย เขาก็พร้อมที่จะพุ่งทะลวงผ่านพวกมัน

ฉินมู่ตะโกนออกไป และกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ก็ยังคงกักตัวของเขาเอาไว้ได้ ยอดฝีมือมารจึงดึงธงใหญ่ออกมาและโบกสะบัดมันไปยังแสงกระบี่ ภาพกระบี่ขุนเขาและแม่น้ำพลันหายโหว่ไปก้อนใหญ่

 ยอดฝีมือพยุหะ! 

ฉินมู่ตื่นตระหนก ธงใหญ่ปักลงไปบนพื้นอันมันคลี่ผืนออก และเผยให้เห็นรอยประทับมารมากมาย พวกมันหมุนเป็นเกลียวรอบๆ และก่อรูปเป็นดวงตาหนึ่ง

ยอดฝีมือมารถอยกลับ และกระโดดเข้าไปในนั้น หายวับไปโดยไร้ร่องรอย กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ระเบิดออก แต่มันทำอะไรธงมารผืนนั้นไม่ได้เลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าธงมารผืนนี้เป็นสมบัติวิเศษอันเหนือธรรมดา

ฉินมู่กำลังจะเรียกใช้กระบี่ไร้กังวลเข้าไปสะบั้นมัน แต่ทันใดนั้นยอดฝีมือมารก็ปรากฏตัวข้างหลังเขา ฉินมู่สะบัดกระบี่ไปที่นั่น แต่ธงใหญ่อีกผืนพลันปรากฏ ยอดฝีมือมารกระโดดเข้าไปในธงนั้นและหายวับอีกครา ทำให้การโจมตีของเขาพลาดเป้า มีก็แต่ธงผืนใหญ่ปักอยู่บนพื้น

ไม่นาน ก็มีธงแปดผืนปักอยู่ล้อมรอบฉินมู่ พวกมันคลี่ออก และปลายผืนธงแต่ละผืนมาเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน สร้างเป็นค่ายกลแปดเหลี่ยมอันมีขนาดเท่าสนามกีฬา ตรงใจกลางของธงแต่ละผืน ปรากฏดวงตามารที่อ้าเปิด

ฉินมู่ขมวดคิ้วเมื่อเส้นสายปราณมารพุ่งยิงออกมาจากเนตรมา ถล่มโจมตีเขา

ปราณชีวิตรอบตัวเขาลุกฮือขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นระฆังยักษ์ที่กึ่งจริงกึ่งลวง รอบๆ ผนังระฆัง รอยประทับอสุนีบาตมากมายม้วนพันกัน เขากำลังใช้ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีของบรรพชนห้า!

เก๊ง เก๊ง เก๊ง!

เสียงระเบิดกัมปนาทดังออกมาเมื่อฉินมู่ซัดออกไปข้างนอกจากใจกลางระฆัง ต่อสู้กับเส้นสายปราณมารเหล่านั้น ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีประเดี๋ยวก็ใหญ่ประเดี๋ยวก็เล็ก บางครั้งก็แข็งแกร่ง บางครั้งก็อ่อนแอ

ในระหว่างเวลานั้น ธงมารสะบัดบิดอย่างต่อเนื่อง และปราณมารที่ยิงจากเนตรมาร บางครั้งก็หนา บางครั้งก็บาง นี่ทำให้ระฆังลั่นเป๊งๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ปั่นป่วนเลือดและลมของฉินมู่

เขาเคลื่อนไหว และระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีก็เคลื่อนไหวไปพร้อมกับเขา แต่ทว่า พวกธงมารข้างนอกก็เคลื่อนไหวตามเขาไปไม่ปล่อย

ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีเป็นสุดยอดวิชาของบรรพชนห้าอันผสมผสานทักษะเทวะกายเนื้อเข้ากับทักษะเทวะอัสนี ห้าอัสนีก็คือห้ามหาเมฆอัสนี และเขาใช้กายเนื้อที่แข็งแกร่งเพื่อขับเคลื่อนมันก่อตัวขึ้นเป็นรอยประทับระฆัง แต่ละกำปั้นแต่ละลูกเตะก็จะทำให้อสุนีบาตห้าสายแผ่กระจายออกไป และระฆังก็จะหดลงก่อนจะขยายตัวขึ้นมาใหม่ พลานุภาพของเมฆอัสนีทั้งห้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างยิ่ง ดังนั้นมันจึงเหมาะสมที่สุดในการใช้ทำลายวิชามาร

ทว่าในตอนนี้ ฉินมู่กลับไม่สามารถทำลายมันได้

เขาพลันใช้เทวะจำแลงแปลงร่างเป็นเทพครองดาวเสาร์ ประตูน้อมสวรรค์ปรากฏข้างหลังเขาและเหวี่ยงหมุนไปรอบๆ กวาดซัดผ่านธงใหญ่ทั้งแปดผืน แต่ไม่นานนักมันก็ถูกลำแสงปราณมารยิงทำลายไป

ประตูน้อมสวรรค์ไม่อาจบีบร่างจริงของยอดฝีมือมารให้ปรากฏตัวได้

 เนตรปลุกพลัง! 

ชั้นต่างๆ ของวงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของฉินมู่ และเขามองไปรอบๆ ตัว ไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหน เขาก็ไม่อาจค้นพบยอดฝีมือมารคนนั้น เขาเห็นเพียงแต่เงาร่างวูบวาบที่เคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็วระหว่างธงราวกับว่าพวกมันคือภูตพราย

ข้างในค่ายกล ระฆังใหญ่ที่ถูกฟาดใส่ด้วยปราณมารมิอาจสลายมันไปได้ ในทางกลับกัน พวกมันเคลื่อนที่ไปเป็นเส้นละเอียดเล็กที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เส้นสายพวกนั้นจัดวางอยู่ในห้วงอวกาศและเฉือนตัดมันออกเป็นหลายกระบิ แต่ละห้วงอวกาศทรงลูกบาศก์มีอักษรรูนแห่งมรรคามารก่อตัวขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งข้างในนั้น

มารผู้นี้เป็นยอดฝีมือพยุหะ การโจมตีก่อนหน้านั้นเป็นเพียงแค่ตัวเบี่ยงเบนความสนใจ ในขณะที่เป้าหมายอันแท้จริงของเขาคือการกักฉินมู่เอาไว้ในพยุหะสังหาร และป่นเขาให้เป็นจุณ!

ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถออมกำลังไว้ไปจัดการกับบุคคลอื่นๆ

เขานั้นกะที่จะใช้พละกำลังน้อยนิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อกำจัดฉินมู่

พลังวัตรของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ผู้นี้เหนือล้ำกว่ารุ่นเดียวกันไปไกล และทักษะเทวะของเขาก็ทั้งโอหังและดุดัน มีผู้คนมากมายที่บีบให้ฉินมู่ระวังป้องกันได้ แต่มีเพียงยอดยุทธฝีมือแกร่งไม่กี่คนอย่างเช่นผู้ใหญ่บ้าน หรือกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ที่สามารถสยบเขาในขั้นวรยุทธเดียวกัน แต่ทว่า ยอดฝีมือมารที่เขากำลังเผชิญ ก็นับว่าเป็นหนึ่งในยอดยุทธฝีมือแกร่งเหล่านั้น

บรรพชนแรกและผู้ใหญ่บ้านเป็นยอดฝีมือที่บรรลุมรรคาเต๋า ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่พวกเขาจะกระทำเช่นนั้นได้ แต่ทว่า ยอดฝีมือมารผู้นี้เป็นรุ่นเยาว์ จากประเด็นนี้เพียงถ่ายเดียว ก็สามารถเห็นได้ว่าความสำเร็จเชิงพยุหะของเขานั้นลึกล้ำปานใด

 วิชาพยุหะ? 

ฉินมู่พลันสลายระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนี และยื่นมือออกไปคว้าจับไจกระบี่ด้วยมืออันกำแน่น กระบี่บินละเอียดยิบมากมายหลั่งไหลออกมาประดุจสายน้ำและแปรเปลี่ยนเป็นทวนใหญ่

หากว่าใครมองดูมันอย่างละเอียด พวกเขาก็คงจะเห็นได้ว่ามันถูกประกอบสร้างขึ้นมาจากกระบี่บินละเอียดยิบจำนวนมากที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ละกระบี่กำลังร่ายรำท่วงท่ากระบี่เกลียว และปลายคมทวนนั้นก็คือกระบี่ไร้กังวลอันคมกล้าไร้เทียมทาน

ในขณะเดียวกัน อักษรรูนก็ปรากฏขึ้นมารอบกายฉินมู่ พวกมันมิใช่รอยประทับของทักษะเทวะอันทรงพลัง แต่เป็นสัญลักษณ์ของของพีชคณิตและคณิตศาสตร์ ผังไท่จี่ ผังอู๋จี่ อักษรรูนสุริยันจันทรา อักษรรูนห้าธาตุ ค่ายกลหกทิศ ค่ายกลผังแปด ค่ายกลผังหกสิบสี่ พวกมันแปรเปลี่ยนไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง ก่อสร้างขึ้นมาเป็นระบบแบบหนึ่งที่กำลังคำนวณห้วงมิติเรขาคณิต

อักษรรูนแปรเปลี่ยนไปมาอย่างคาดเดาไม่ถูก ประมวลผลโครงสร้างของพยุหะที่ก่อขึ้นมาจากธงมารทั้งแปดผืน อักษรรูนจำนวนนั้นไม่ถ้วนกระเด้งกระดอนไปทั่ว และความเร็วในการคำนวณนั้นก็เร็วจี๋เกินกว่าจะมองทัน

ฉินมู่เพ่งสายตา และร่างกายของเขาก็เคลื่อนที่ไปพร้อมกับทวน มันพุ่งทะลวงออกไปราวกับมังกรที่ห่อหุ้มไปด้วยแสงเงิน แต่ละลำแสงปราณมารถูกมันโจมตีใส่และแหลกทำลาย

ทันใดนั้น ธงทั้งแปดก็โอนเอนและถูกชักกลับไป ค่ายกลพยุหะของยอดฝีมือมารถูกทำลาย ร่างที่แท้จริงของเขาพลันปรากฏ เขาม้วนธงขึ้นและรีบพุ่งหนีไปทันที เขาหัวเราะและกล่าว  ยากนักที่จะได้พบยอดฝีมือเชิงคำนวณ! กำลังฝีมือของเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ลาก่อน! 

ธงคลี่คลุมเขา และเขาก็หายวับในพริบตา

ฉินมู่ปักทวนใหญ่ลงกับพื้น จิตวิญญาณของเขายังคงเกร็งเขม็ง ไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย

ทว่าหลังจากครู่หนึ่ง รัศมีเขาก็โรยราลง และกระอักเลือดออกมากำใหญ่ เขาหอบหายใจและทรุดตัวลงนั่งจ้ำเบ้า

ในจังหวะนั้นเอง ยอดฝีมือมารก็ปรากฏข้างหลังเขาเหมือนภูตพราย และแทงธงใหญ่ของเขาเข้ามาเหมือนกับทวนยังฉินมู่ เขาหัวเราะอีกครั้ง  เจ้าไม่มีพละกำลังเหลือแล้วจริงๆ ข้าเลยย้อนกลับมาอีกครั้ง! 

รอยยิ้มประหลาดปรากฏบนใบหน้าฉินมู่ เขากำลังนั่งหันหลังให้กับมารหนุ่มผู้นั้นขณะที่ทวนใหญ่ในมือของเขาแยกออกจากกันกลายเป็นมีดเล่มยาวสองเล่ม ถือมีดข้างหนึ่งด้วยการจับปกติ และอีกข้างด้วยการจับย้อน เขาซ่อนเล่มหนึ่งไว้ข้างหลังเพื่อป้องกันธงใหญ่อันแทงมาตำแหน่งหัวใจ มีดอีกเล่มซ่อนอยู่เบื้องหน้าหน้าอกของเขา

ฉินมู่หมุนตัวไปและเฉือนผ่าด้วยมีดยักษ์อันเขาถือไว้ข้างหน้าตัวใส่ธงใหญ่นั้น

ยอดฝีมือมารตื่นตระหนก และธงในมือของเขาก็ส่ายไปมาจนแขนทั้งสองข้างชาดิก

 เจ้ารู้จักกระบวนท่าสังหารของสำนักวิชาบู๊ไหม 

ทั้งสองคนกำลังเอนตัวเข้าใกล้กัน และฉินมู่กระซิบใส่ใบหูของอีกฝ่าย เท้าของเขาลอยขึ้นมาจากพื้น แต่เขายังลงนั่งอยู่ ราวกับว่ากระบวนท่าของมารนั้นได้ปัดให้เขาหมุนไปราวลูกข่าง

มันเป็นกลเม็ดที่คนแล่เนื้อมักจะเล่นกับฉินมู่ ก็ในเมื่อเขาไม่มีขาทั้งสองข้าง มันใช้เพื่อทดสอบกระบวนท่าของเขา–เสยมีดจากที่ลับ

มันคือกระบวนท่าที่อันตรายที่สุดท่ามกลางเพลงมีดของคนแล่เนื้อ!

ยอดฝีมือมารเคลื่อนไหวไปอย่างยากจะคาดเดา และร่างกายของเขาก็วูบวาบประดุจเงาผี แต่เขามิอาจสลัดฉินมู่หลุดได้ ความเร็วของเขาเร็วกว่า แต่ฉินมู่ตามติดหลังเขาราวกับว่าร่างของทั้งสองฝ่ายทากาวติดไว้ด้วยกัน

เงาร่างของยอดฝีมือมารเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างต่อเนื่อง และวิชาตัวเบาของเขาก็ประหลาดพิสดารยากจะคาดเดาอย่างถึงที่สุด ไม่นาน เขาก็สามารถสลัดฉินมู่หลุดได้และลิงโลดใจ ในที่สุดเขาก็จะได้จัดการอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้า

ในตอนนั้น เสียงของฉินมู่ดังมาที่หูของเขา  เจ้าชื่ออะไร 

 ชื่อของข้าคือ… 

แสงมีดฉายส่อง และฉินมู่เสยใบมีดของเขาด้วยการจับย้อน ยอดฝีมือมารไม่ทันสิ้นสุดคำตอบของเขา พลานุภาพของกระบวนนี้ก็แผ่พุ่งออกไป

 ขอโทษด้วย ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าพูดจบหรอก 

ฉินมู่ดึงมีดกลับ พวกมันไหลลงจากมือของเขาราวกับทรายดูด แปรเปลี่ยนกลับไปเป็นไจกระบี่

ท้องของยอดฝีมือมารถูกผ่าแหวะออก และกายเนื้อของเขาก็ล้มคว่ำลงกับพื้น

ฉินมู่ระบายลมหายใจสั่นสะท้าน และสลัดหัว  เจอยอดฝีมืออีกคน ข้าจะต้องตายแน่นอน 

เขาเอียงคอฟังเสียงดู แต่ไม่มีสรรพสำเนียงใดๆ ในภูเขาที่ล้อมรอบเขาอยู่ ผ่านไปสักพัก เขาก็กล่าวซ้ำด้วยเสียงอันแผ่วระโหย  เจอยอดฝีมืออีกคน ข้าต้องตายแน่นอน 

ภูเขาอันยิ่งยงรอบๆ ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

 แหวะ– 

ฉินมู่อ้าปากและอาเจียนเลือดออกมา ก่อนที่จะล้มคว่ำลงกับพื้น เขาบิดกระตุกสองที เตะขาดิ้นเร่าก่อนจะขาดลมหายใจไป

ภูเขาในบริเวณรอบๆ ยังคงเงียบสงัด ไร้ความเคลื่อนไหว

ใบหน้าของฉินมู่กลายเป็นเขียวคล้ำ และร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ เลือดและเนื้อของเขาเกร็งไม่กระดิก แต่ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวจากรอบๆ ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็ลุกขึ้นและเดินกลับไปที่กำแพงไฟเพื่อหลอมสร้างกระบี่บินของเขาต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

สตรีเผ่ามารบนยอดเขาหนึ่งเงยหน้าของนางขึ้นและเฝ้ามองเด็กหนุ่มจากที่สูง นางพลันหันกายกลับไป และเดินไปจากที่นั่นโดยไม่ลังเล

ไอ้เด็กตีเหล็กนี่มันมารร้ายยิ่งกว่าข้าเสียอีก ข้าไม่อาจตอแยเขา!

ในตอนนั้นเอง หวงเยว่ก็ชะงักและเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาหนึ่ง ตรงนั้นมีบุคคลที่กำลังแบกดาบยาวยืนตรงอยู่

 เจ๋อหัวหลี! 

………….

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท