เบ็นนั้นกลั้นหายใจ ขณะที่ดวงตาของเขามองต่ำลงไปด้วยความหวาดกลัวและความหวัง
แสงจางลงเผยให้เห็นชะตากรรมของเขา มันคือ…
กระดาษที่ฉีกขาดซึ่งมีรอยขีดข่วนอยู่บนนั้น
“เยี่ยม…เกมดีจริงๆ”
เบ็ดกอดชะตากรรมของตัวเองไว้แน่นราวกับมันเป็นคนรักที่ห่างหายกันไปนาน ในหัวของเขานั้นลิสต์รายชื่อสิ่งที่เขาอยากจะทำต่อไปในเดือนสุดท้ายของชีวิต
[คุณได้รับ บัตรตกสาวระดับเทพ (ใช้แล้วทิ้ง, ยอดเยี่ยม) x1]
“เดี๋ยวก่อนนะของระดับเทพ? มันน่าจะเป็นของดีใช่ไหม แล้วทำไมมันเหมือนกระดาษของใครสักคนในชั้น ป.3 เลยละ? กระดาษนี่ใหญ่ไม่พอจะให้เขาเขียนจดหมายลาให้ครอบครัวของเขาด้วยซ้ำ”
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เบ็นคิดว่าบางทีมนุษย์นั้นอาจจะไม่สามารถเข้าใจถึงความงดงามทางศิลปะของพระเจ้าหรือปีศาจที่สร้างระบบนี้ขึ้นมาได้ แทนที่จะคิดถึงเรื่องที่ดูเพ้อฝัน เขานั้นเลือกที่จะตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมัน
[คุณได้รับ บัตรตกสาวระดับเทพ (ใช้แล้วทิ้ง, ยอดเยี่ยม) x1] – ใช้กับผู้หญิงคนไหนก็ได้เพื่อเพิ่มความสนใจของเธอที่มีต่อคุณอย่างรวดเร็ว
ลมหายใจของเบ็นหนักหน่วงขึ้น ‘นี่มัน…’ เขานั้นถูกส่องด้วยแสงสว่างที่อยู่ด้านบน เขามีทางรอดจากปล่องภูเขาไฟลึกที่เขาติดอยู่นี่สักที เจ้ากระดาษเล็กๆนี้คือเชือกสำหรับช่วยชีวิตเขา
*แกร๊ก*
ประตูถูกเปิดออกและมีเด็กวัยรุ่นที่เบ็นไม่เคยพบเดินเข้ามาภายในห้อง คิ้วของเขาเลิกขึ้นเมื่อเห็นเบ็นที่อยู่ด้านใน เขาวางกระเป๋าลงพร้อมยืนตรงและเดินเข้ามาใกล้เบ็นด้วยท่าทีที่เป็นทางการเพื่อต้องการที่จะจับมือทักทาย เบ็นไม่ต้องการเสียมารยาทจึงยืนขึ้นพร้อมจับมือทักทายกับเขา
“สวัสดีพวก นายน่าจะเป็นเบ็นจามินใช่ไหม? ฉันฟลิกจากอินเดียพวกเราจะกลายเป็นรูมเมตกันต่อจากนี้ ยินดีที่ได้รู้จักนายนะ ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้ร่วมห้องกับคนที่เป็นเจ้าของกิจการ เป็นเกรียติกับฉันมากเลย”
เนื่องจากเรื่องที่เขากำลังจะถูกประหารทำให้เขาลืมเรื่องที่ว่ารูมเมทของเขาจะมาภายในวันนี้เสียสนิท แต่ว่ามันมีอย่างหนึ่งในประโยคที่ฟลิกพูดที่ทำให้เขารู้สึกแหม่งๆ
“เจ้าของกิจการ?” เบ็นถามออกมาอย่างสับสน
ฟลิกยืนหลังตรงยิ่งกว่าเดิม “ฉันเห็นออร์เดอร์จำนวนมากที่หน้าประตูห้องของพวกเรา ฉันรู้สึกประทับใจมาก นี่มันพึ่งวันแรกแต่นายก็เริ่มธุรกิจเสียแล้ว โมเดลของธุรกิจเป็นไงอย่างงั้นเหรอ? อาหารเม็กซิกันแบบมีบริการส่งงั้นเหรอ?” เขานั้นจ้องมองมาทางเบ็นราวกับว่าเบ็นนั้นเป็นอาจารย์ของเขา ฟลิกนั้นอยู่ในคณะบริหาร ดังนั้นเขาต้องการที่จะเรียนรู้กับผู้ประกอบกิจการสตาร์ทอัพจริงๆและเขาเองก็อยากจะเป็นเจ้าของกิจการในอนาคต
ใบหน้าของเบ็นนั้นดำมืดยิ่งกว่าเพจเฟสบุ๊คของหมอผีเสียอีก “ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก มันก็แค่การเข้าใจผิดเพียงเท่านั้น”
ฟลิกพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมาอย่างยินดี “การถ่อมตัวก็เป็นเรื่องที่ดีสินะ เยี่ยมเลยเห็นได้ชัดว่าฉันสามารถเรียนรู้อะไรได้อีกมากจากนาย หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนกันนะ”
‘เพื่อน…’ สำหรับเบ็น คำๆนี้เหมือนกับเป็นสำนวนในภาษาต่างประเทศ เขานั้นรู้คำแปลของมัน ทว่าเขานั้นไม่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันได้ ‘ครั้งสุดท้ายที่ฉันมีเพื่อนนอกเหนือจากในแชทนี่มันตอนไหนกันนะ?’
เบ็นนั้นเห็นความจริงใจของฟลิกจึงทำให้เขานั้นอารมณ์ดีขึ้น ‘นี่มันวันแรกแต่ฉันก็สามารถมีเพื่อนได้แล้ว’ เขานั้นเริ่มเห็นความหวังในอนาคตแล้ว ‘ใช่แน่นอนนี่เป็นจุดเริ่มต้นของอนาคตอันสดใสของฉัน ฉันอาจจะเคยทำผิดพลาดมาในอดีต ทว่าฉันนั้นยังเด็กอยู่แถมยังมีความเป็นไปได้ไม่จำกัดรอฉันอยู่ข้างหน้า ใครที่จะสามารถบอกได้ว่าฉันไม่สามารถทำสิ่งดีๆได้? นี่มันเป็นฤดูใบไม้ผลิของวัยหนุ่มของเขาแล้ว’
[เหลือเวลาอีก 29 วัน 23 ชั่วโมง ก่อนที่จะถูกกำจัด]
‘ให้ตายสิพระเจ้า นี่แม้งเหมือนเด็บบี้ ดาวน์เนอร์ (1) ใช้ชีวิตอยู่ในหัวฉันเลย! ฉันไม่ต้องการได้ยินมันตอนนี้’
[คุณต้องการปิดระบบการแจ้งเตือนรายชั่วโมงอย่างงั้นเหรอ?]
ดูเหมือนว่าระบบจะตอบกลับจากความคิดได้สินะ ใช่ปิดแม้งซะ มันไม่ใช่ว่าหลังจากนั้นฉันจะลืมว่าเวลาตายของตัวเองกำลังจะมาถึงเสียเมื่อไหร่…’ จิตใจของเขาที่กำลังคร่ำครวญก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของสัตว์ป่า
*กรู๊ววว*
เบ็นมองลงไปที่ท้องของเขาและตระหนักขึ้นได้ว่าวันนี้นั้นเขายังไม่ได้กินอะไรเลย เขานั้นขึ้นรถไฟมาตั้งแต่เช้า จากนั้นก็ยุ่งอยู่กับการสมัครและจัดห้องพักของเขาตลอดทั้งวัน ก่อนหน้านี้นั้นเขาได้ล้างคราบเปื้อนที่ปกคลุมร่างกายเขาออกเรียบร้อยแล้ว เขาตัดสินใจว่าตอนนี้นั้นน่าจะเป็นเวลาที่ดีที่เขาจะลองลงไปข้างล่างและลงไปยังห้องอาหาร ตอนนี้มันก็สายมากแล้วเขาได้แต่หวังว่ามันคงจะยังไม่ปิด เบ็นนั้นชวนฟลิกซึ่งไม่ได้ลงไปกับเขาด้วยเนื่องจากต้องโทรหาครอบครัวพร้อมทั้งจัดของ ดังนั้นเบ็นจึงเลือกที่จะไปคนเดียว
เมื่อเบ็นเดินผ่านโถงทางเดินไป ใบหน้าของเขาก็สดใสเล็กน้อยเนื่องจากมีใครบางคนนำโปสเตอร์มีมของเขาออกไปแล้ว ‘อย่างน้อยก็ยังมีคนดีๆอยู่บนโลกใบนี้’ เขานั้นใช้ลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นล่างและเดินไปยังโรงอาหาร เมื่อเขาเดินไปตามทางเดินก็มีคนตะโกนเรียกเขา “เฮ้ราชาเบอริโต้”
เบ็นมองไปและพบไทเลอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ติดโปสเตอร์ของเขาไปทุกที่ อารมณ์ของเบนดิ่งลงอีกครั้ง เชานั้นคิดจะทิ้งอดีตที่มืดมดที่เขาถูกกลั่นแกล้งไว้ด้านหลัง ทว่ามันยังไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำก็มีคนมาผลักเขาลงพร้อมฝังเขาในหลุมที่มืดมิดไร้แสงสว่างเสียแล้ว
“นายยังรับออเดอร์อยู่เหรอ?” ไทเลอร์และนักศึกษาคนอื่นๆต่างหัวเราะต่อหน้าเบ็นขณะที่พวกเขากำลังหยิบเครื่องดื่มจากตู้หยอดเหรียญ
เบ็นนั้นต้องการจะยืนหยัดเพื่อตัวเอง ทว่าเขานั้นไม่ใช่นักสู้ เขานั้นเคยลองยืนหยัดมาครั้งหนึ่งแล้วตอนที่เขายังเด็กกว่านี้ นั่นเป็นตอนที่เขารู้ความจริงว่าความเป็นจริงนั้นโหดร้ายยิ่งกว่าในหนังเสียอีก ผลลัพธ์ของความกล้าหาญนั้นมีเพียงอย่างเดียวคือการที่เขาถูกจัดการลงด้วยพวกเด็กขี้แกล้งและทำให้เขาต้องนอนติดเตียงไปกว่าสองอาทิตย์ นั้นทำให้เขาต้องคอยทำตัวให้ต่ำต้อยอยู่เสมอ พร้อมทำความเข้าใจว่าการเดินไปพร้อมกับความอับอายนั้นมันก็ยังดีกว่านอนไปพร้อมความอับอาย
ในขณะที่เบ็นกำลังจะเดินจากไปนั้น เขาก็ได้กลิ่นหอมที่รุนแรงมาจากน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ลอยฟุ้งออกมาจากด้านหลังของเขา เขานั้นหันกลับไป มันใช้เวลาแค่เพียงพริบตา ทว่าเขาก็พบเจอสิ่งที่เขาปราถนาเสียแล้ว
ที่ตรงนั้นมีสาวสวยยืนอยู่ เธอนั้นมีใบหน้าแบบชาวเมดิเตอร์เรเนียนที่หาได้ยากราวกับหญิงสาวที่ออกมาจากภาพยนตร์เรื่องเจมส์บอนด์ ผิวสีมะกอก ผมที่ยาวจนถึงต้นคอซึ่งมีสีดำสนิทของเธอนั้นโบกสะบัดตามการเคลื่อนไหวของเธอราวกับกระแสน้ำในมหาสมุทรที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์สลัว เธอนั้นกำลังคุยโทรศัพท์อยู่และไม่ได้สังเกตุเห็นเบ็นที่กำลังน้ำลายไหลย้อย
เบ็นนั้นกลืนน้ำลาย ‘สวยอะไรอย่างงี้…’
*เหอะ* “อย่าแม้แต่จะฝันเลยไอตัวน่ารังเกียจ” ไทเลอร์พูดขึ้นเมื่อเห็นเบ็นจ้องมองหญิงสาวคนนั้นด้วยอาการตกอยู่ในภวังค์
เบ็นนั้นกำหมัดแน่นจนตัวสั่น ‘ฉันจะฝันกลางวันอย่างสงบสุขก็ไม่ได้งั้นเหรอ!?!’
ด้วยลมหายใจอันหนักหน่วง เขาคว้าบัตรตกสาวระดับเทพขึ้นมาจากกระเป๋าของเขาและจ้องมันอยู่นาน…
นี่คือโอกาสใช่ไหม? เขาไม่ได้เห็นสาวสวยขนาดนี้มาตั้งแต่เขามาถึงยังแมนแฮตตัน ทว่าที่เขากำลังเล่นกับมันอย่คือชีวิตของเขา หากเขาล้มเหลวนั่นหมายถึงตาย หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นในตอนนี้เขาก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดที่เขาเคยทำมา เขานั้นมีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น
‘ฉันควรใช้มันตอนนี้เลยรึเปล่า?’
***
เด็บบี้ ดาวน์เนอร์ (1) หมายถึงคนที่มักจะชอบพูดแย่ๆ หรือติอยู่เสมอ มีที่มาจากรายการโชว์ที่ชื่อ Saturday Night Live (SNL)