ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 533 ดาบเทวะ

ตอนที่ 533 ดาบเทวะ

นักบุญคนตัดไม้มองไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีมารเทวะจำนวนหนึ่งนำพาศิษย์อันเป็นเป็นที่ภูมิใจของพวกเขามา ยอดฝีมือมารรุ่นเยาว์เหล่านั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยรัศมีอันกร้าวแกร่งดุดัน แต่ละคนล้วนร่างเนื้ออันน่าแตกตื่นและแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือยอดฝีมือที่ได้ผ่านความเป็นตายมาแล้ว

เขาได้ต่อสู้กับพวกมารมาก่อน และรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์นี้ เมื่อดูจากกายเนื้ออย่างเดียว แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงจะมีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ แต่พวกเขาก็ยังคงด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยว่ามีศึกสงครามบนสวรรค์ไท่หวงอย่างไม่หยุดหย่อน จนยากที่พวกเขาจะก่อตั้งโรงเรียนและสถาบันการศึกษาอย่างที่สันตินิรันดร์กระทำ พวกเขายังมิอาจก่อตั้งสำนักขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นเทพเจ้าทั้งหลายที่ไปเสาะหาผู้เยาว์ที่โดดเด่นเพื่อมาสั่งสอนพวกเขาด้วยตนเอง

การทำเช่นนั้นมีทั้งข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบ ข้อได้เปรียบนั้นก็คือว่า ด้วยการสั่งสอนโดยตรงของเทพและมาร ศิษย์ทุกๆ คนก็จะเป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิที่มีกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งอย่างสุดขีด ไม่มีช่องโหว่ในการสืบทอดมรรคา วิชา และทักษะเทวะในสวรรค์ไท่หวง แม้แต่วิชาฝึกปรือระดับเทพเจ้าก็ยังสามารถส่งต่อสืบทอดได้ อย่างเช่นซังฮั่ว นางนั้นได้รับการสั่งสอนจากบิดาของนางซังเย่โดยตรง

ข้อเสียเปรียบก็คือว่าบุคคลหนึ่งสามารถเรียนรู้ได้เพียงสิ่งที่อาจารย์ของตนมีสั่งสอน และก็เพียงเท่านั้น พวกเขาพบว่าการไปเรียนสุดยอดวิชาของผู้อื่นกลายเป็นเรื่องยากสุดๆ ยกตัวอย่างเช่น ซังฮั่วฝึกปรือวิชาและทักษะเทวะของซังเย่ ดังนั้นนางจึงไม่เคยเรียนรู้ทักษะเทวะที่เขาไม่มีในครอบครอง ต่อให้นางเรียนรู้มัน อีกฝ่ายก็ไม่อาจสั่งสอนนางอย่างตั้งใจได้เท่ากับซังเย่

โดยมิได้เรียนรู้วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของผู้อื่น ก็ย่อมเชี่ยวชาญแต่ด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น แต่ผลพวงที่ตามมาก็คือมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสวรรค์ไท่หวงไม่เกิดความคืบหน้าพัฒนาเลยแม้แต่น้อย พวกมันล้วนแต่ด้อยกว่าวิชาและทักษะในสันตินิรันดร์มาก

ฉินมู่สามารถมองเห็นประเด็นนี้ นักบุญคนตัดไม้ก็ย่อมมองเห็นเช่นกัน

เขามองไปที่เด็กหนุ่มที่ยังคงหลอมสร้างอาวุธอยู่และอดไม่ได้ที่จะสงสัยตนเอง เมื่อข้าเห็นเขาตกอยู่ในอันตรายที่สนามรบ ข้าขับเคลื่อนทักษะเทวะที่เขาสามารถตรึกตรองเข้าใจได้ และเขาเรียนรู้มันโดยทันที ที่ถูกแล้วผู้สืบทอดของข้าควรจะมีพรสวรรค์อันไร้ผู้ต่อต้าน และได้ฝึกปรือวิชาที่ข้าถ่ายทอดไปจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาสามารถตรึกตรองเข้าใจทักษะเทวะของข้าได้ในพริบตา แต่ทว่าทำไมตอนนี้ เขากลายเป็นดูไว้วางใจไม่ได้ไปเสียแล้ว หรือว่าวิจารณญาณของข้าจะผิดพลาด

ในตอนนั้นเอง เทพตนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาและโค้งคารวะ  ครูบาสวรรค์ ยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวแห่งสวรรค์ไท่หวงอยู่ที่นี่แล้ว! 

นักบุญคนตัดไม้มองไปที่พวกเขาและพยักหน้าอย่างเบาๆ  ให้พวกเขาเข้ามา 

ซังฮั่วมองไปรอบๆ และดวงตาของนางพลันลุกวาบ  เด็กฟาดฟ่อนข้าว หญิงสาวคนนั้นคืออวี่เหอ! เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาว! 

ฉินมู่ดึงกระบี่ออกมาจากกำแพงไฟและเพ่งพิศตรวจตรามัน ความร้อนของมันยังไม่ได้ที่ เขาจึงยัดมันกลับเข้าไปใหม่

ซังฮั่วนั้นยิ่งกว่าตื่นเต้น นางกล่าวกับฉินมู่  อวี่เหอเป็นศิษย์ของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ และได้ผ่านการทดสอบของเจดีย์สยบเทพ นางได้สังหารยอดฝีมือมารระดับมารเที่ยงแท้เยาว์ไปถึงสามคน และได้รับการยกย่องให้เป็นอันดับหนึ่งในขั้นเจ็ดดาว! คนนั้นนั่นแหละ หญิงสาวที่เกล้าผมเป็นมวลไม้สูงจนดูเหมือนเจดีย์เล็กๆ นางสวยเหลือเกิน! 

เสือเทพยดาขนดำมองไปที่เด็กสาวนามว่าอวี่เหอผู้ซึ่งมีสีหน้าเย็นชา นางปลดต่างหู กำไล และจัดแจงเสื้อผ้าของตนเอง เห็นได้ชัดว่านางพร้อมที่จะผจญศึกชิงเป็นชิงตาย

 นางนับว่าเป็นยอดฝีมือที่ไม่เลว  เสือเทพยดาขนดำกล่าวชม  นางถอดเครื่องประดับที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกายเพื่อมิให้การเคลื่อนไหวถูกจำกัด นางกล่าวได้ว่าผ่านศึกมาร้อยสนาม 

 เด็กฟาดฟ่อนข้าว ดูสิ ดูสิ! ทั้งสิบอันดับสุดยอดผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวอยู่ที่นี่กันหมด…ช้าก่อน นี่ไม่ถูก มีคนหายไปสองคน หรือว่าพวกเขาได้ตายไปในศึก 

ฉินมู่เพ่งสมาธิกับการหลอมสร้างและสั่นเทิ้มร่างกายเพื่อเทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวอังคาร เขาดึงเอาไอน้ำเย็นมาเพื่อหล่อเย็นให้กับกระบี่ จากนั้นเขาก็จับกระบี่บินเล่มนั้นและถ่ายเทพลังวัตรลงไป ถูๆ ไปมาในมือ เขาเปลี่ยนกระบี่อันสุกสกาวให้กลายเป็นเม็ดกลมๆ

จากนั้นเขาก็ผงกหัวด้วยความพึงพอใจ

ซังฮั่วตื่นเต้นอย่างสุดๆ  ดูสิ นั่นคือฉู่เหยา! อาจารย์ของเขาคือเทพเที่ยงแท้เอี๋ยนชั่ว แต่เขาน่าเสียดายนักที่ได้ตกตายไปในการต่อสู้กับฟู่ยื่อลัว…แต่ถึงอย่างไร ฉู่เหยาก็แข็งแกร่งอย่างอัศจรรย์ เขามีท่วงทีของปรมาจารย์และวิชาฝึกปรือของเขาก็เขื่องโของอาจ ขณะที่ทักษะเทวะของเขาก็ดุดัน มรรคาที่เขาเดินคือมรรคาของกายเนื้อบรรลุเป็นนักบุญศักดิ์สิทธิ์! 

เสือเทพยดาขนดำมองไปยังฉู่เหยาและพบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีท่วงทีอันสงบนิ่ง ไม่แตกตื่นแม้ฟ้าจะถล่มลงมา ต่อให้ตอนนี้เขาเผชิญกับเทพและมารมากมาย เขาก็ไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิด

 เขานั้นมั่นคงกว่าเด็กฟาดฟ่อนข้าวที่ชูคอชะแง้ชะเง้อไปทั่วตลอดเวลาจริงๆ ฉู่เหยาผู้นี้คือยอดฝีมือคนหนึ่งเช่นกัน  เทพเสือขนดำชมเปาะ

ผู้คนอีกจำนวนหนึ่งข้างๆ เขาก็ไม่ธรรมดาอย่างสุดๆ แต่ละคนนั้นไม่ว่าจะเป็นเด็กหนุ่มหรือเด็กสาว พวกเขาก็มีรัศมีฆ่าฟันอันเข้มข้นล้อมรอบตัว พวกเขาทั้งหมดน่าจะเพิ่งมาจากสนามรบ

ซังฮั่วตื่นเต้นจนเต็มเหยียด  ผู้คนเหล่านี้ที่สามารถเดินออกมาจากเจดีย์สยบเทพล้วนแต่เป็นยอดฝีมือเยาว์ และพวกเขาทุกคนก็ล้วนแต่เป็นตำนาน! นั่นคือหวงเยว่ เขาได้ผ่านศึกใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน และเป็นที่โด่งดังจากความดีความชอบในสนามรบของเขา! เขานั้นก็เป็นศิษย์ของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้เช่นกัน และเป็นผู้ที่ผ่านด่านทดสอบเจดีย์สยบเทพได้รวดเร็วที่สุด เพียงแต่ว่าอันดับของเขาค่อนข้างจะต่ำ เพียงแค่อันดับสาม 

ฉินมู่เก็บกระบี่บินทั้งหมดที่เขาเอามาขัดเกลาเสร็จแล้ว ระหว่างที่เอาพวกที่ยังไม่ได้ทำยัดเข้าไปในไฟหลี และทำงานของตนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

เสือเทพยดาขนดำมองไปที่หวงเยว่ผู้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นคนคลั่งยุทธ แม้แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นเขาก็ยังฝึกปรือ เขาไม่ลืมที่จะโคจรวิชาฝึกปรือของตนแม้ขณะที่เดินเหิน และก็มีเมฆหมอกลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา

วิชาฝึกปรือของเขาพิสดารเป็นอย่างยิ่ง และเขาได้ฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไปแล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่อาจฉายแสดงมันออกมาได้ เขาก็สามารถให้มันสูดปราณชีวิตเข้าและออกได้แล้ว

เมฆหมอกเหนือหัวของเขาคือภาพปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากจิตวิญญาณดั้งเดิมควบแน่นปราณชีวิต

 พลังวัตรของคนผู้นี้เข้มข้นอย่างสุดๆ!  เทพเสือขนดำดวงตาเป็นประกาย และเขากล่าวชม  คนคลั่งยุทธอีกคนล่ะ แต่ว่าความคิดของเขาบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เขาไม่มีความคิดอื่นนอกจากจะต้องแข็งแกร่งขึ้นไป ดังนั้นกรอบคิดจิตใจของเขาย่อมต้องล้ำเลิศ! เด็กฟาดฟ่อนข้าวและเด็กสาวเปียยาว เจ้าทั้งสองควรเรียนรู้จากเขา 

ซังฮั่วรู้ว่าเขากำลังชี้แนะ จึงรีบผงกหัว

เทพเสือขนดำมองไปที่ฉินมู่ซึ่งกำลังนำกระบี่บินอีกชุดหนึ่งมายัดเขาไปในไฟ เขาฟาดค้อนทุบลงไปบนกระบี่อีกเล่มเพื่อขัดเกลาไล่มลทินออกไปจากข้างในนั้น

สีหน้าของเทพเสือขนดำกลายเป็นดำสนิท

อวี่เหอมองมาและสายตาของนางก็ทอดลงมาจับยังฉินมู่ผู้ซึ่งง่วนกับการหลอมสร้างกระบี่ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามซังฮั่ว  ศิษย์น้องหญิงซังฮั่ว คนผู้นี้คือ? 

ซังฮั่วมองไปที่นางด้วยความเลื่อมใสชื่นชม และตอบด้วยรอยยิ้ม  นี่คือฉินมู่ เขามาจากโลกอื่น ชื่อฉินของเขามาจากฉินของการฟาดฟ่อนข้าว ศิษย์พี่หญิง ท่านได้กลายเป็นยอดฝีมือโด่งดังระดับโลกในการศึกที่เมืองชือ… 

อวี่เหอสีหน้าหมองลง  แต่ทว่าเมืองชือก็ยังคงตกลงไปในเงื้อมมือของศัตรู กำลังฝีมือของมารพวกนี้นับว่าแข็งแกร่งกว่าพวกเราจริงๆ แต่ทว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงของข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกมารที่อาศัยจำนวนคนมากเข้ากลุ้มรุม! 

ฉู่เหยาเดินเข้ามาและส่งยิ้มละไมมาให้  น้องสาวซังฮั่ว เจ้ายังมิได้เข้าไปในเจดีย์สยบเทพ ใช่ไหม ข้าเห็นว่ากำลังฝีมือของเจ้าก็เหนือธรรมดา และได้เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมากหลังจากที่เราพบกันในครั้งก่อน เจ้าจะต้องผ่านการทดสอบในเจดีย์สยบเทพได้อย่างแน่นอน 

ซังฮั่วยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ

ฉู่เหยามองไปที่ฉินมู่และขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาถามด้วยเสียงต่ำ  นี่คือ? 

 ฉินมู่ เด็กฟาดฟ่อนข้าว 

อวี่เหอรู้สึกจนปัญญา  เขามาจากต่างโลก และนิสัยใจคอของเขาค่อนข้างประหลาด เขาดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่อที่จะตีเหล็ก 

ซังฮั่วหน้าแดงฉานและกล่าวด้วยเสียงแผ่ว  ฉินมู่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เขามีประตูที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าประตูนี้จะผ่านไปที่ใด ก็ไม่มีใครรอดชีวิต เขาสังหารยอดฝีมือเผ่ามารมากมาย เขายังมีเนตรหยกจันทราที่สามารถสังหารฟู่อวี่เซียวได้ในปราดเดียว ความสำเร็จในเชิงพีชคณิตของเขาก็เก่งกาจ แต่ฝีมือวิชาแพทย์ของเขายิ่งล้ำเลิศกว่า วิชาหลอมสร้างของเขาก็ยอดเยี่ยมกว่าพีชคณิต… 

 ฟู่อวี่เซียวศิษย์ของฟู่ยื่อลัวถูกเขาสังหารหรือ 

ทุกคนตื่นตระหนก และล้วนแต่มองไปยังฉินมู่ เพื่อที่จะเห็นว่าเขาก็ยังคงตีเหล็กอยู่ อวี่เหอกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง  สมบัติของศิษย์พี่ฉินนับว่าเหนือธรรมดา 

คนอื่นๆ ผงกหัว ฟู่อวี่เซียวนั้นโด่งดังท่ามกลางชนรุ่นเยาว์แห่งวรยุทธขั้นชาวสวรรค์ การที่ฉินมู่สามารถสังหารฟู่อวี่เซียวได้ คงจะต้องเป็นเพราะพลานุภาพของสิ่งที่เรียกว่าเนตรหยกจันทรานั่นเป็นแน่

 นี่มิใช่เพราะสมบัติวิเศษเพียงอย่างเดียว ในเมื่อมันสำเร็จได้ก็เพราะว่าเด็กฟาดฟ่อนข้าวมีความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่ง เขากล่าวว่าเขาอาศัยพีชคณิตเพื่อคำนวณก้าวถัดไปของฟู่อวี่เซียว เพื่อที่จะสามารถยิงโดนเขา… 

ขณะที่กล่าวเช่นนั้น ซังฮั่วก็รู้สึกความมั่นใจถดถอยลงไปทุกที

 พีชคณิต? 

ทุกคนส่ายหัว และหวงเยว่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย  พีชคณิตมีประโยชน์อะไร ไม่เพียงแต่มันไม่เพิ่มพูนพลังการต่อสู้ แต่มันยังแย่งชิงเวลาในการฝึกวิทยายุทธอีก 

เสือเทพยดาขนดำกระแอมไอและกล่าวอย่างเคร่งขรึม  ทุกคน ไปสงบจิตใจของพวกเจ้าก่อน เดี๋ยวก็จะต้องไปต่อสู้อย่างดุเดือดแล้ว! นายท่านของข้าได้ต่อสู้กับฟู่ยื่อลัวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ผลแพ้ชนะไม่อาจชี้ขาดได้ ดังนั้นความคิดใหม่จึงผุดขึ้นมา ให้ชนรุ่นเยาว์เป็นผู้ต่อสู้เพื่อชี้ชะตาความเป็นเจ้าของเมืองหลี! พวกเราต้องอาศัยกำลังฝีมือของพวกเจ้าหากว่าต้องการแย่งชิงเมืองหลีกลับคืนมา! 

ฉู่เหยามองไปที่ฉินมู่ที่ยังคงตีเหล็กไม่หยุดและกล่าวด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด  พวกเราจะสงบจิตใจได้อย่างไรเมื่อศิษย์พี่ผู้นี้ยังคงตีเหล็กอยู่ตรงนั้น 

คนอื่นๆ ล้วนพยักหน้า

เสือเทพยดาขนดำมองไปที่พวกเขาด้วยความจนปัญญา  โปรดอย่าใส่ใจเขา กรอบคิดจิตใจของเขาไม่เหมือนกับพวกเจ้า ดังนั้นเขาจึงต้องอาศัยการตีเหล็กเพื่อสงบจิตใจ 

ทันใดนั้น สายตาของหวงเยว่ก็จ้องเขม็งไปยังฝั่งตรงข้าม และเสียงของเขาแหบพร่าขึ้น  เจ๋อหัวหลี ศิษย์เอกของฟู่ยื่อลัว! ข้าได้พบกับเขาในสนามรบ และในความมืด ข้าเกือบตายในน้ำมือของเขา โชคดีที่กำลังเสริมมาทัน 

ฉู่เหยาเองก็จ้องไปยังยอดฝีมือเยาว์ฝ่ายมาร มีดบนหลังเขาสั่นเทิ้ม ส่งเสียงร้องของมีด ยอดฝีมือเยาว์จึงกล่าวด้วยเสียงต่ำ  ข้าเองก็ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับเขาและพ่ายแพ้ บางทีอาจจะมีเพียงศิษย์พี่หญิงอวี่เหอเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเขาได้… 

สายตาของอวี่เหอไปจับจ้องที่เจ๋อหัวหลีและนางก็ส่ายหัว  ข้าเพิ่งพบกับเขาในสนามรบล่าสุดนี้ แม้ว่าพวกเราจะถูกขัดขวางด้วยพยุหะกระบวนทัพหลังจากประมือได้สองท่า แต่ก็เพียงพอที่ข้าจะตัดสินกำลังฝีมือของเขา ข้านั้นไม่มั่นใจเต็มร้อยที่จะเอาชนะเขาได้…พวกเจ้าจะต้องระวังให้ดีตอนที่ต่อสู้กับเขา! 

เสือเทพยดาขนดำมองไปที่ยอดฝีมือเยาว์แห่งเผ่ามารและอึ้งไปเล็กน้อย ตรงหน้าเขานั้นคือเด็กหนุ่มที่สุภาพและเต็มไปด้วยสง่าราศี ดูจากรูปลักษณ์ของเขาแล้ว มองไม่ออกเลยว่าเขาเป็นมาร

ไม่ใช่สิ! เขาไม่ใช่มาร! เขาคือมนุษย์! เสือเทพยดาขนดำหัวใจสั่นสะท้าน และเขาพลันตระหนักถึงปูมหลังความเป็นมาของเจ๋อหัวหลี เขากล่าวด้วยเสียงเบา  เขามิใช่เพียงแค่ศิษย์ของฟู่ยื่อลัว แต่ยังเป็นผู้คนที่มาจากแดนเบื้องบน! 

อวี่เหอ ฉู่เหยา และหวงเยว่ล้วนแต่ตกตะลึง พวกเขาหมายจะซักถามรายละเอียด แต่เทพเสือขนดำกระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้า เขากล่าวแก่นักบุญคนตัดไม้  นายท่าน ที่มาของเจ๋อหัวหลีผิดสังเกต เขามิใช่เผ่ามาร ดังนั้นเขาน่าจะมาจากแดนเบื้องบน! 

นักบุญคนตัดไม้พยักหน้าและมองไปยังฝั่งตรงข้าม เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม  ฟูยื่อลัว ดูเหมือนว่าเจ้าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกๆ กันว่าสภาสวรรค์ ศิษย์ของเจ้าผู้นี้มาจากแดนเบื้องบน ข้าสงสัยเสียจริงว่าเขาเป็นศิษย์ของเทพสูงส่งตนใด 

ฟู่ยื่อลัวหัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน  เจ๋อหัวหลีมีรากฐานอันมั่นคง และวิชามารของเขาก็ด้อยกว่าเพียงแค่ข้า กำลังฝีมือเขาโดดเด่นล้ำเลิศ และเขาเป็นศิษย์ที่ข้าชื่นชมที่สุด แต่ทว่า การคาดเดาของเจ้านั้นก็ไม่ผิด และปูมหลังความเป็นมาของเขาก็ยิ่งใหญ่ เขามีอาจารย์อีกคนหนึ่ง และเจ้าก็รู้จักเขาเช่นกัน บุคคลผู้นี้คือดาบเทวะผู้ซึ่งเรียกตนเองว่าอู๋ชวง เจ้าเคยแลกเปลี่ยนกำลังฝีมือกับเขามาก่อน 

สีหน้าของนักบุญคนตัดไม้เคร่งเครียด และเขาผงกหัว  ดาบเทวะลั่วอู๋ชวง แม่ทัพสูงสุดแห่งทัพหลิงซิ่ว เขานั้นนับว่าเป็นสหายเก่าจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้านั้นจะเกี่ยวข้องกับเขา 

 ทัพหลิงซิ่ว ลั่วอู๋ชวง 

อวี่เหอกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย  อาจารย์ของข้าเทพเที่ยงแท้ผางอวี้เคยกล่าวถึงเขา ลั่วอู๋ชวงเป็นดาบเทวะแขนขาดแห่งยุคโบราณ เทพเที่ยงแท้ที่มีเพลงมีดอันทรงพลังอย่างยิ่ง! เขามีแขนเพียงข้างเดียว แต่เพลงมีดของเขาได้บรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ! 

ฉินมู่ตกตะลึง เขาพลันหวนระลึกถึงค่ำคืนเมื่อสี่หมื่นปีก่อน และลั่วอู๋ชวงแห่งทัพหลิงซิ่วที่เขาได้พบพาน

ในคืนนั้น เขายืนอยู่บนหีบเพื่อป้องกันเส้นทางหลบหนี และสะบั้นแขนของลั่วอู๋ชวงไปหนึ่งข้าง

หรือว่าลั่วอู๋ชวงทั้งสองนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน

ฉินมู่รีบมองไปที่เจ๋อหัวหลี และฉู่เหยาก็แย้มยิ้มพลางถามไถ่  ศิษย์พี่ฉินนักฟาดฟ่อนข้าว ทำไมเจ้าไม่ตีเหล็กแล้วล่ะ 

ฉินมู่ไม่ตอบ และเจ๋อหัวหลีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็พลันรู้สึกถึงสายตาของเขา เขาเงยหน้าขึ้นมา และเมื่อสายตาทั้งคู่สบกัน สายตาของฉินมู่ก็เลยไปมองยังข้างหลังของเจ๋อหัวหลี อันเขามองเห็นมีดยาวที่ดูเป็นมารและชั่วร้ายอย่างยิ่ง บนด้ามของมันมีดวงตาอยู่

ดวงตานั้นพลันเปิดออกและจ้องไปยังฉินมู่

เจ๋อหัวหลีเห็นใบหน้าของฉินมู่และตะลึงไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อสายตา และเขานำเอาม้วนกระดาษออกจากอกเสื้อ เขาเพ่งพิศดูมาและหันมามองฉินมู่ ก่อนที่จะพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความเบิกบาน

สายตาของฉินมู่จ้องเขม็งที่มีดมารพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม  น้องสาวซังฮั่ว หากข้าบอกเจ้าว่าแขนของดาบเทวะลั่วอู๋ชวงถูกข้าเป็นคนตัดไปเอง เจ้าจะเชื่อไหม 

…………………………

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน