ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 525 โลกมิติอื่นในความมืด

ตอนที่ 525 โลกมิติอื่นในความมืด

“รูปสลักหินของนักบุญคนตัดไม้ฟื้นคืนชีพ?” ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง และเขารีบถาม “เขาอยู่ที่ใด”

“เขาจากไปเช่นกัน หากว่าท่านมาถึงก่อนหน้านี้สักหลายวัน คงจะได้พบกับเขา นักบุญตัดไม้ได้จากไปพร้อมกับขวานของเขา เมื่อเขาตื่นขึ้นมา ข้าก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ พิศวงว่าทำไมตัวตนระดับนี้ถึงสองคนถึงตื่นขึ้นมาตามๆ กัน” ผู้สันโดษชิงโยวกล่าว “ส่วนว่าเขาไปที่ไหน ข้าไม่รู้”

ฉินมู่ตั้งสติ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ และนักบุญคนตัดไม้แห่งลัทธินักบุญสวรรค์ตื่นขึ้นมาตามกันติดๆ นี้นับว่าประหลาดนัก เหตุใดถึงเกิดเรื่องแบบนี้

นักบุญคนตัดไม้ไปยังที่ใด

เขามิใช่ผู้ก่อตั้งลัทธินักบุญสวรรค์ แต่เป็นบรรพจารย์ก่อตั้ง นักบุญคนตัดไม้เพียงแต่ต้องการส่งต่อมรดกยุทธของเขาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่น่าที่จะไปยังลัทธินักบุญสวรรค์

แต่นอกจากที่นั่นแล้ว เขาจะไปยังที่ใดได้อีก

หวางมู่หรันและคนอื่นๆ มิได้อยู่ในนครหยกน้อย ในเมื่อพวกเขาไปยังเมืองเขตมังกร ดังนั้นจึงเหลือเซียนเฒ่าอยู่ไม่กี่คนบนภูเขา ผู้สันโดษชิงโยวเพ่งพิศฉินมู่และกล่าว “สภาวะของกษัตริย์มนุษย์ฉินดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง ท่านต้องการที่จะเข้าไปในโถงแห่งห้าปราณจริงๆ น่ะหรือ ท่านดูเหม่อลอยมากในตอนนี้”

ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “ไม่ทราบว่าผู้สันโดษชิงโยวจะช่วยเปิดโถงแห่งห้าปราณ โถงแห่งหกทิศ และโถงแห่งเจ็ดดาวได้หรือไม่ ข้าอยากจะเข้าไปชมดู”

ผู้สันโดษชิงโยวลังเลไปครู่หนึ่ง เขาไม่ค่อยวางใจนักกับสภาพปัจจุบันของเด็กหนุ่ม “หากกษัตริย์มนุษย์ยืนกรานที่จะเข้าไป นครหยกน้อยของข้าก็ย่อมจะทำให้ดีที่สุดตามความปรารถนาของท่าน แต่ทว่า สภาวะของท่านดูไม่สู้ดีนักในตอนนี้ และการบุกเข้าไปด้วยกำลังดิบก็จะไม่ดีต่อตัวท่าน เพราะถึงอย่างไรท่านก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียว”

“ผ่านการทลายด่านห้าปราณ ทลายด่านหกทิศ และทลายด่านเจ็ดดาวย่อมจะช่วยเพิ่มพูนรากฐานของท่านจนสูงลิ่วอย่างแน่นอน ดังนั้นอย่าทำให้โอกาสนี้เสียเปล่าเลย และมาใหม่เถิดเมื่อท่านในสภาวะที่ดีที่สุด”

ฉินมู่ยิ้มให้แก่เขา “ข้าเพียงแต่ต้องการไปข้างในและมองดู มิได้เข้าไปท้าทาย”

ผู้สันโดษชิงโยวจนปัญญา “โปรดตามข้ามา” เขานำฉินมู่ไปยังโถงสามกำเนิดพลางกล่าว “ท่านผ่านการทลายด่านสามกำเนิดแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ท่านเข้าไปในโถง ก็จะเข้าสู่โถงห้าปราณโดยอัตโนมัติ หากว่าท่านเดินผ่านที่นั่นก็จะเป็นโถงแห่งหกทิศ และหลังจากนั้นก็จะเป็นโถงแห่งเจ็ดดาว จากสภาพของท่านที่ดูไม่ถูกต้อง เพื่อป้องกันท่านสร้างความผิดพลาดใดๆ ข้าจะนำทางด้วยตนเอง”

ฉินมู่กล่าวขอบคุณและเดินเข้าไปในโถงแห่งสามกำเนิด ก่อนที่เขาจะได้ตั้งตัวติด ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลง และดวงดาวมหึมาห้าดวงก็ลอยผงาดขึ้นไปบนท้องฟ้า เปล่งแสงสีทอง สีเขียว สีน้ำเงิน สีแดง และสีเหลือง แต่ละดวงนั้นมีราชวังตั้งอยู่

ฉินมู่เพ่งสมาธิ และข้างๆ ดาวทั้งห้า เขาสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า แต่ทว่ามันอยู่ห่างไกลลิบลับจากเขาราวกับว่ามีโลกใบหนึ่งคั่นกลาง

ดาวทั้งห้าบนท้องฟ้าใหญ่มหึมาเกินจินตนาการ แต่พวกมันอยู่ที่ความห่างต่างๆ กันไป บ้างก็ใกล้ บ้างก็ไกล ในโถงวังศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า เทพเจ้าผู้ประจำดวงดาวทั้งห้าก็ยืนอยู่

ทันใดนั้น เสียงของผู้สันโดษชิงโยวก็ดังมาแต่ไกล

“ศิษย์พี่หญิงหยิ่งเหอ ให้ข้ามาแทนตำแหน่งท่านในด่านนี้”

เทพเจ้าลำตัวงูผู้มีเส้นผมสีแดงลุกขึ้น และแปรเปลี่ยนเป็นธารแสงอันพุ่งจากไปในที่ไกลๆ

รังสีแสงอีกลำพุ่งเข้ามา และเหยียบไปบนราชวังศักดิ์สิทธิ์ ผู้สันโดษชิงโยวแปลงกายเป็นเทพเจ้าลำตัวงูผมแดงและกล่าว “กษัตริย์มนุษย์ฉิน โถงแห่งห้าปราณแบ่งเป็นการทลายด่านทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ท่านต้องการเลือกธาตุใด”

ฉินมู่ส่ายหัว “การมาเยือนของข้าในครานี้นั้นเพื่อมองดูสมบัติเทวะของเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นผู้สันโดษชิงโยวโปรดผ่อนปรนข้าด้วย”

ผู้สันโดษชิงโยวขมวดคิ้ว เช่นเดียวกันกับผู้อมตะอีกสี่คน หนึ่งในนั้นกล่าว “ผู้ก่อตั้งของนครหยกน้อยของข้าได้ทิ้งโถงแห่งสามกำเนิดเอาไว้เพื่อใช้สอนอนุชนรุ่นหลัง และเติมเต็มในสิ่งที่พวกเขาขาดพร่อง นี่ไม่ใช่เพื่อให้เราไปพิจารณาสมบัติเทวะของเขา”

หญิงเฒ่าผู้หนึ่งขมวดคิ้ว “ผู้คนที่มาเพื่อท้าทายไม่เคยมีใครร้องขออะไรประหลาดแบบนี้มาก่อน ศิษย์พี่ชิงโยว…”

“กษัตริย์มนุษย์ฉินมิใช่คนนอก” ผู้สันโดษชิงโยวครุ่นคิดก่อนที่จะกล่าว “เขาแบ่งปันวิธีการบรรลุเทพให้แก่โลกหล้า และพวกเราก็ล้วนแต่ได้รับความกรุณาของเขา นครหยกน้อยควรที่จะตอบสนองคำร้องขอของเขา ยิ่งไปกว่านั้น บรรพชนที่ทิ้งด่านทดสอบนี้ไว้ก็ยังมีแซ่ฉิน”

ผู้อมตะทั้งสี่จึงไม่กล่าวท้วงอีกต่อไป

“กษัตริย์มนุษย์ฉิน ท่านมีโอกาสเดียวที่จะท้าสู้พวกเรา และหากว่าท่านสำเร็จ ท่านจะได้รับปราณเทวะแห่งห้าปราณ นี่ก็จะสามารถเสริมความบกพร่องในการฝึกปรือสมบัติเทวะห้าธาตุของท่าน ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าท่านเพียงต้องการแต่มองดูสมบัติเทวะของเทพเจ้านี้”

ฉินมู่โค้งคารวะ “ให้ปลาแก่คนย่อมทำให้เขาอิ่มท้องไปหนึ่งวัน แต่สอนเขาจับปลา ท่านก็จะป้อนให้เขาท้องอิ่มไปชั่วชีวิต ข้ายินดีที่จะละทิ้งปราณเทวะแห่งห้าปราณ”

ผู้สันโดษชิงโยวจึงคลี่ยิ้มออกมา “ตกลง ข้าคิดว่ากรอบคิดจิตใจของกษัตริย์มนุษย์ฉินนั้นไม่มั่นคงและกังวลว่าท่านจะสูญเสียปัญญาและพ่ายแพ้การต่อสู้ แต่ความเด็ดขาดของท่านทำให้ข้าชื่นชมยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้น ขึ้นมา!”

แสงสีเขียวของเขาร่วงลงไปยังพื้น และฉินมู่ถูกมันยกขึ้นมา ขึ้นไปเหยียบบนดาวธาตุน้ำ เทพร่างงูเกศาแดงที่ผู้สันโดษชิงโยวได้แปลงมานั้นนำพาเขาเข้าไปในโถงวังศักดิ์สิทธิ์ “กษัตริย์มนุษย์ฉิน เชิญท่านชมดูตามสบาย ตอนนี้ก็ขึ้นกับความสามารถของท่านแล้วว่าจะตรึกตรองเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด”

ฉินมู่กล่าวขอบคุณและสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างโดยละเอียด เขาเฝ้าสังเกตรอยประทับอักษรรูนบนผนังทั้งสี่แห่งโถงศักดิ์สิทธิ์ เพ่งพิศดูอย่างใกล้ชิด

บนดาวทั้งห้าดวงในสมบัติเทวะห้าธาตุ ล้วนแต่มีโถงวังศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ และพวกมันก่อขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ

ผู้ฝึกวิชาเทวะทุกๆ คนที่ฝึกปรือมาจนถึงขั้นนี้ก็จะหลอมสร้างดวงดาวทั้งห้าในสมบัติเทวะห้าธาตุของตน ดาวทั้งห้าดวงก็จะตอบสนองต่อห้าธาตุ

ดวงดาวพวกนี้ก่อขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ และราชวังศักดิ์สิทธิ์บนดวงดาวเหล่านี้ก็ก่อขึ้นมาโดยธรรมชาติเช่นกัน แต่ทว่าวิชาฝึกปรือที่แตกต่างกันก็จะก่อรูปขึ้นมาเป็นรอยประทับอักษรรูนที่แตกต่างกัน พวกมันก็จะมาประกอบกันกับปราณชีวิตและกลายเป็นเทพเจ้าในโถงวัง

ในสมบัติเทวะห้าธาตุของผู้ฝึกวิชาเทวะคนใดๆ เมื่อเทพเจ้าแห่งห้าธาตุเป่าลมหายใจปราณชีวิตออกมา คุณสมบัติธาตุของปราณชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลง นั่นจึงเป็นที่มาของนามว่า ห้าปราณ

สมบัติเทวะห้าธาตุของฉินมู่ได้ฝึกปรือบ่มเพาะจนถึงสุดขีดขั้วแล้ว ดังนั้นจึงยากที่เขาจะรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ทว่า การต่อสู้ระหว่างเขากับบรรพชนแรกทำให้เขาได้ตระหนักว่าขีดจำกัดของเขานั้น มิใช่ขีดจำกัดของทุกคน

เขาสังเกตดูอย่างละเอียด และผู้สันโดษชิงโยวก็ใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง ยืนคอยเขาอยู่ตลอดเวลานั้น

ยากที่จะบอกว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ฉินมู่จึงหลับตาลง ได้ศึกษาจนเพียงพอแล้ว

เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็มองไปยังผู้สันโดษชิงโยว “ข้ามีคำขอร้องที่เกินเลยอยู่ประการหนึ่ง”

ผู้สันโดษชิงโยวเข้าใจความนัย และแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างพุ่งจากไปเหลือก็แต่ฉินมู่อยู่ตามลำพังในโถงศักดิ์สิทธิ์ รอยประทับอักษรรูนบนผนังพลันสว่างขึ้นมา และร่างกายของเขาก็แปรเปลี่ยนไปโดยที่เขามิได้จงใจ แปลงร่างเขาเป็นเทพเจ้าเกศาแดงผู้มีลำตัวงู

ผ่านไปนาน ฉินมู่ได้สลายเทวาจำแลงของตนและออกมาจากโถงวังศักดิ์สิทธิ์ เขาไปยังดาวดวงอื่นๆ และศึกษารอยประทับอักษรรูนที่นั่น

หลังจากสิบกว่าวัน เขาก็พลันเดินสำรวจครบทั้งห้าดวงดาวและไปยังสมบัติเทวะหกทิศที่ไม่มีใครอยู่ประจำการ

เขาใช้เวลาสิบกว่าวันอยู่ที่นั่นต่อก่อนที่จะเข้าไปยังสมบัติเทวะเจ็ดดาว เวลาผ่านไปอีกหลายวัน หลังจากนั้น เขาก็ไม่อาจไปข้างหน้าต่ออีกก็ในเมื่อสมบัติเทวะชาวสวรรค์และสมบัติเทวะเป็นตาย ไม่มีคนพอเปิดมัน

เมื่อฉินมู่เดินออกจากโถงแห่งสามกำเนิดด้วยสภาพอันอิดโรยและมีหนวดเคราเป็นตอๆ ผู้สันโดษชิงโยวก็รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มิได้นอนหลับมาตลอดเวลาที่ผ่าน เขารู้สึกเจ็บปวดแทนอีกฝ่ายและถาม “กษัตริย์มนุษย์ฉินได้สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่”

ฉินมู่ดูจะมีจิตใจแจ่มใสขึ้น ความคืบหน้าของเขาในสมบัติเทวะห้าธาตุ หกทิศ และเจ็ดดาว ได้ให้ประโยชน์แก่เขาอย่างมาก เติมเต็มความมั่นใจของเขาขึ้นมาใหม่ เขากล่าวขอบคุณ “ขอบคุณเหล่าเซียนทั้งหลายมากๆ ส่วนว่าข้าได้พบสิ่งที่ข้าต้องการแล้วหรือไม่ ข้ายังต้องไปทดสอบยืนยันอีกที ข้าถามได้หรือไม่ เมื่อเทียบกันระหว่างผู้ก่อตั้งนครหยกน้อยกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ กำลังฝีมือของใครสูงล้ำกว่ากัน”

“ข้าไม่อาจพูดได้จริงๆ ว่าใครมีกำลังฝีมือสูงกว่ากัน ก็ในเมื่อทั้งสองท่านล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสที่บรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้เมื่อสองหมื่นปีก่อน และข้าไม่เคยเห็นพวกเขาต่อสู้กันมาก่อน แต่ทว่า นครหยกน้อยมีม้วนบันทึกจำนวนหนึ่งที่กล่าวว่าครั้งหนึ่งบรรพชนได้ไปค้นหากษัตริย์มนุษย์รุ่นที่หนึ่ง เขาต้องการจะให้อีกฝ่ายลงจากภูเขามากู้สถานการณ์ของโลกหล้า แต่เขาก็ต้องกลับมาด้วยความท้อถอยหดหู่จากการพ่ายแพ้ และต้องเยียวยาอาการบาดเจ็บของตนเป็นเวลาหลายเดือน”

“ม้วนบันทึกระบุไว้ว่ากษัตริย์มนุษย์รุ่นที่หนึ่งได้ใช้พลังวัตรอันเกินจะหยั่งของเขาขับเคลื่อนเศษซากของสภาสวรรค์แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง และนั่นกำลังฝีมือของเขาก็แข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว โถงกษัตริย์มนุษย์นั้นใหญ่กว่านครหยกน้อยเป็นร้อยเท่า และเป็นที่รู้กันดีว่ามันน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด”

“ข้าคิดว่าเหล่าบรรพชนแห่งนครหยกน้อยได้สู้ยิบตาเพื่อป้องกันพวกตนเองเท่านั้น ขณะที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้นำผู้คนจากเผ่าพันธุ์มากมายทะลวงฝ่าสมรภูมิรบตลอดทางมา จากข้อนั้น ก็คงไม่ยากที่จะคาดเดาว่าใครมีกำลังฝีมือสูงกว่ากัน”

ฉินมู่สีหน้าซีดราวขี้เถ้า ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็โค้งคารวะ “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณผู้สันโดษเป็นอย่างยิ่ง”

ผู้สันโดษชิงโยวขมวดคิ้วและรู้สึกว่ากรอบคิดจิตใจของเด็กหนุ่มย่ำแย่กว่าตอนที่เขามาเสียอีก “ท่านไม่ได้นอนมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ดังนั้นท่านพักผ่อนก่อนเสียเถอะ”

ฉินมู่ตกลง

ผู้สันโดษชิงโยวจัดแจงห้องให้แก่เขา และให้เขาได้นอนหลับ

หลังจากนั้นสิบกว่าวันฉินมู่จึงตื่นขึ้นมา แต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่สู้ดี เขายืนกรานที่จะจากไป และผู้สันโดษชิงโยวก็ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้ต่ออีก “หากว่านักบุญคนตัดไม้กลับมา ข้าจะไปบอกข่าวท่านได้ที่ใด”

“ข้าคงต้องขอรบกวนผู้สันโดษให้ไปยังเมืองเขตมังกร ข้าอาจจะอยู่ที่นั่น”

ผู้สันโดษชิงโยวส่งเขาออกไปพลางครุ่นคิดอย่างฉงน ก่อนนั้นที่กษัตริย์มนุษย์ฉินมาที่นี่เป็นครั้งแรก เขานั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ตอนนี้ทำไมเขาจึงดูท้อแท้นัก

ฉินมู่นั่งอยู่บนหีบที่พาเขาจากไป เขาเทยาวิญญาณเพลิงฉานปนๆ กับยาชีวาเทพธาตุไฟลงไปจนเต็มอ่าง ให้แก่กิเลนมังกรที่ประหลาดใจแกมยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็กระวนกระวายไปด้วย ทำไมจ้าวลัทธิถึงใจดีนักวันนี้ เพราะว่าข้าอดอาหารมากว่าเดือนหนึ่งหรือเพราะว่าเขาขุนข้าไว้สำหรับเตรียมเชือดขึ้นโต๊ะ? ไม่ว่าจะอย่างไร กินก่อนก็แล้วกัน!

หลังจากเขากินหมดอ่างหนึ่ง ฉินมู่ก็เทให้เขาอีกรอบ

กิเลนมังกรลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนก้มลงมองอ่านอันเต็มไปด้วยยาวิญญาณ เขาพลันเริ่มร้องไห้โฮอย่างน่าสงสารพลางก้มหัวลงกินเข้าไปอีก

ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยความฉงน “เจ้าจะร้องไห้ทำไม”

“ถ้าตายก็ขอตายเป็นผีอิ่มท้อง!”กิเลนมังกรพูดทั้งที่อาหารเต็มปากพลางปาดป้ายน้ำตา “อย่างน้อยข้าก็จะได้ไปสู่ปรโลกด้วยพุงเต็มๆ จ้าวลัทธิ โปรดให้ข้าไปอย่างรวดเร็วไม่เจ็บปวด!”

ฉินมู่ส่ายหัวพลางกล่าว “ข้าได้ทำให้เจ้าอดอาหารมาช่วงหลายวันนี้ ดังนั้นข้าจึงชดเชยให้ ไม่ได้กะว่าจะฆ่าเจ้าเอาเนื้อมากินเสียหน่อย”

กิเลนมังกรลิงโลดยินดีและกินยาวิญญาณทั้งหมดในอ่าง

เมื่อพวกเขาผ่านเมืองหนึ่ง ฉินมู่ก็หยุดเพื่อซื้อสมุนไพรสำหรับทำยา เขาไปยังเมืองอีกหลายเมืองและหลอมปรุงยาวิญญาณเพลิงฉานและยาชีวาเทพธาตุไฟอีกหลายหม้อ อันเขายัดเอาไว้ในหีบ กิเลนมังกรรู้สึกตื้นตันจากเรื่องนี้ จ้าวลัทธิดีต่อข้าจริงๆ!

ฉินมู่ซื้อเหล็กดำและทองคำทมิฬมาหลอมตีเป็นอาวุธวิญญาณประหลาดพิสดารในระหว่างทาง

กิเลนมังกรไม่เข้าใจว่าเขากำลังจะทำอะไร เขาเห็นบางสิ่งที่ฉินมู่หลอมตีขึ้นมาว่ามันคือธง แท่นสังเวยจำนวนหนึ่ง และบ้างก็เป็นเครื่องมือการคำนวณอย่างผังแปดทิศ ไท่จี่ ลูกคิด และยันต์ห้าธาตุ

ผ่านไปหลายวัน พวกเขาก็มาถึงเมืองเขตมังกร แต่ไม่เข้าไปข้างใน

ฉินมู่ใช้แท่นผังแปดทิศ ผังไท่จี่ และเครื่องมือการคำนวณต่างๆ นานาเพื่อคิดคำนวณประมวลผล พลางมองไปในบริเวณรอบๆ เขาไปปักหลักตรงภูมิประเทศหนึ่งและใช้ไม้บรรทัดวัดภูเขาในละแวกนั้น จากนั้นเขาก็บันทึกอักษรรูนมากมายไว้บนกระดาษ กิเลนมังกรเดินเข้าไปมองดูแต่เขาไม่เข้าใจอะไรสักสิ่ง

การคำนวณนี้ดำเนินไปจนดวงอาทิตย์ใกล้จะตก และความมืดก็กำลังจะปกคลุมลงมา

เมื่อฉินมู่คำนวณเสร็จในที่สุดเขาก็ตั้งแท่นสังเวยอันมีธงปักอยู่รอบๆ จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ท่ามกลางมัน หลังจากที่ให้กิเลนมังกรและหีบถอยออกห่างแล้ว

“จ้าวลัทธิ นี่เอาไว้ทำอะไรหรือ” กิเลนมังกรถามจากข้างๆ หีบ

ฉินมู่ขับเคลื่อนธงและมองไปยังความมืดในบริเวณโดยรอบ โลกมิติอื่นกำลังจะปรากฏขึ้นมา และไม่นานก็จะซ้อนทับกับแดนโบราณวินาศ ในโลกนั้น มารจำนวนมากเคลื่อนที่ไปมารอบๆ ด้วยร่างกายอันดุจควันขณะที่พวกมันพรั่งพรูออกมาจากรูอวกาศ

ในสายตาของฉินมู่ ผู้คนแห่งโลกมิติอื่นกำลังต่อสู้ต้านฝูงมารพวกนั้น เขานั้นกำลังเผชิญกับสนามรบขนาดใหญ่ที่กว้างไกลไพศาลอย่างไม่อาจหาใดเปรียบ

“มังกรอ้วน ข้าได้เตรียมยาวิญญาณพอให้เจ้าใช้อยู่ได้เป็นเวลานานล่ะ อยู่กับหีบไปก่อนสักหลายๆ วัน ส่วนข้านั้นกะว่า…” สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังแม่ทัพมารบนสนามรบ บนแท่นสังเวย อักษรรูนจำนวนมากเปล่งแสงเรือง และธงเคลื่อนย้ายระยะไกลก็โบกสะพัด “ไปยังต่างโลก!”

ตูม!

เสียงระเบิดรุนแรงดังออกมา และฉินมู่กับธงเคลื่อนย้ายระยะไกลก็หายวับ แทนที่เขาบนแท่นสังเวย แม่ทัพมารตนหนึ่งอันสูงใหญ่กำยำพลันปรากฏตัวและจ้องมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง

หวูด หวูด!

เสียงแตรเขาสัตว์ดังยาวนาน และธงจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวไสว ฉินมู่พลันปรากฏที่ใจกลางสนามรบอันไพศาล ซึ่งมีไพร่พลนับล้านของกองทัพมารกำลังบุกตะลุยไปข้างหน้า

พวกเขากวาดผ่านฉินมู่ไปในการบุกตะลุย

ตรงหน้าพวกเขาคือเมืองอันโอฬารตระการตาที่มีเรือเหาะยักษ์ลอยอยู่บนท้องฟ้า เทพเจ้ามากมายยืนตระหง่านอยู่ที่นั่นพร้อมด้วยเทพศาสตราในมือพวกเขา และกวาดล้างกองทัพมารกับม้าศึกจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้ามาด้วยการฟาดฟันแต่ละที

ฉินมู่ใช้เวทมนตร์บูชายัญและพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกลเพื่อเข้ามาในโลกของเด็กสาวในความมืด!

…………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท