ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 527 ทักษะเทวะบนสนามรบ

ตอนที่ 527 ทักษะเทวะบนสนามรบ

ทำไมนักบุญคนตัดไม้ถึงปรากฎตัวที่นี่ แท่นสังเวยที่เขาใช้ดูเหมือนจะถูกตระเตรียมเอาไว้เนิ่นนานแล้ว หรือว่าจะเป็นผู้คนในโลกแห่งนี้ที่อัญเชิญเขามา

ฉินมู่จิตกระเจิดกระเจิง แท่นสังเวยได้ถูกฝังเอาไว้ใจกลางสนามรบ ดังนั้นเมื่อกองทัพสองฝ่ายปะทะกัน เลือดและเนื้อก็จะกระตุ้นให้มันทำงาน อัญเชิญนักบุญคนตัดไม้มา

เห็นได้ชัดว่านี่คือแผนที่ตระเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า!

ฉินมู่พลันระลึกได้ถึงที่ผู้สันโดษชิงโยวบอกว่านักบุญคนตัดไม้ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเมื่อหนึ่งเดือนก่อน และออกไปพร้อมกับขวานของเขา นักบุญคนตัดไม้คงจะได้รับข่าวคราวบางอย่าง อันทำให้เขาฟื้นตื่นขึ้นมาจากการการหลับใหลเพื่อใช้พิธีบูชายัญเพื่อจุติลงมายังโลกใบนี้

ฉินมู่ขัดขวางการโจมตีของศัตรูจากข้างหลังเขา และประตูน้อมสวรรค์ก็พลันขยายใหญ่ขึ้น ร่างของเขาปั่นหมุน และประตูน้อมสวรรค์ก็ปั่นหมุนตามไปด้วย พลันส่งดวงวิญญาณมากมายเข้าไปในแดนใต้พิภพก่อนที่พวกเขาจะพลันได้ร้องสักแอะ

ฟึ่บบบ!

เสือเทพยดาที่กำลังแบกนักบุญคนตัดไม้กระโดดลงมาจากแท่นสังเวยและมุ่งตรงไปยังฐานทัพศัตรู เขามองไปที่ฉินมู่ด้วยความตกตะลึง และเสียงอันกึกก้องสะท้านโลกก็ดังมา “นายท่าน นั่นดูเหมือนจะเป็นชนรุ่นหลังของท่านนะ!”

จากบนหลังเสือ นักบุญคนตัดไม้มองกลับไปและเห็นฉินมู่ต่อสู้กับฝูงมารฟ้าด้วยประตูน้อมสวรรค์ สายตาของเขาเป็นประกายแสง และส่องสว่างพื้นที่รอบๆ แท่นสังเวย

“แปลกจริง เขามายังสวรรค์ไท่หวงได้อย่างไร….”

นักบุญคนตัดไม้ละสายตาไป ไม่ว่าเสือเทพยดาจะผ่านไปที่ใด ฝูงมารและม้าศึกก็จะถูกซัดกระเด็น เมื่อเสือเทพยดาคำราม คลื่นเสียงก็พุ่งซัดไปข้างหน้า เป่ามารจำนวนมากให้กระเด็นไปบนอากาศ เมื่อฉินมู่เห็นภาพนี้ พุงใหญ่โตเกินเหตุของกิเลนมังกรก็พุ่งผ่านความคิดของเขา เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉานักบุญคนตัดไม้ เสือเทพยดานี้เรียกเขาว่านายท่าน ดังนั้นก็น่าจะเป็นสัตว์ขี่ของเขา เขานี่ดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรจริงๆ!

บนหลังเสือ นักบุญคนตัดไม้เงื้อขวานในมือ และผ่าทักษะเทวะของมารเทวะที่พวยพุ่งเข้ามาใส่เขา ด้วยการกระโจนขึ้นลงไม่กี่ที เสือเทพยดาก็พาเขาเข้ามาถึงฐานทัพของศัตรู

จากระยะเวลาที่เสือเทพยดากระโจนลงไปจากแท่นสังเวยถึงตอนที่เขาไปถึงค่ายทัพศัตรู นั้นเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ

นักบุญคนตัดไม้เงื้อขวานยักษ์ของเขา และด้วยการตวัดมือขึ้นลง ศีรษะทั้งสี่ของมารเทวะในค่ายทัพศัตรูก็ปลิวกระเด็นไปก่อนที่อีกฝ่ายจะทันลุกขึ้นมาเสียอีก

“ฮา ติ ลา!”

มารเทวะอื่นๆ พุ่งเข้ามาและเข้าล้อมเสือเทพยดา นักบุญคนตัดไม้ซึ่งนั่งอยู่บนหลังของมันเงื้อขวานยักษ์ขึ้น แสงของมันพวยพุ่งออกไปราวน้ำหลาก

คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต! ไม่สิ ที่เขาขับเคลื่อนอยู่นั้นน่าจะเป็นวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะฉบับสมบูรณ์!

ฉินมู่ถูกฝูงมารฟ้ารุกไล่ถอยไปอย่างต่อเนื่อง และจำต้องถอยขึ้นไปบนแท่นสังเวย ขณะที่ทำเช่นนั้น เขาก็สังเกตเห็นการโจมตีของนักบุญคนตัดไม้จากหางตา ปฏิภาณความเข้าใจของเขาต่อวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เหนือล้ำกว่าข้ามากมายนัก!

นักบุญคนตัดไม้มิได้เพียงแค่กวัดแกว่งขวาน มืออีกข้างของเขายังร่ายทักษะเทวะทุกชนิดจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต แต่ทว่ามันมิใช่เพียงแค่ทักษะเดียว แต่เป็นการประกอบกันของทักษะเทวะที่แตกต่าง เหมือนกับพลังฝ่ามือดาวสวรรค์คลุมนภาของหลี่เทียนซิง หลังจากตรึกตรองเรียนรู้ทักษะเทวะเป็นร้อยชนิดสำเร็จ เขาก็ประกอบเข้าด้วยกับเป็นทักษะเทวะแบบนั้น

หากว่าเป็นผู้อื่น คงไม่มีทางมองออกว่าทักษะเทวะของเขาคือคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต แต่ทว่าในฐานะจ้าวลัทธิมารฟ้า ฉินมู่ย่อมจดจำมันได้ในทันที

รอบๆ นักบุญคนตัดไม้ เขตพลังลึกลับมากมายพวยพุ่งออกมาและเป่ามารเทวะทั้งหลายกระเด็นไป ในพริบตานั้น ขวานยักษ์ของเขาพลันพุ่งเข้าใส่มารเหล่านั้นและสะบั้นศีรษะของพวกเขาทั้งหมด พละกำลังการต่อสู้ของมันร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง

ฉินมู่อยากจะสังเกตดูทักษะเทวะของนักบุญคนตัดไม้อย่างละเอียด แต่ทว่าฝูงมารฟ้าเข้ามาห้อมล้อมเขาไว้มากขึ้นทุกที หลังจากที่นักบุญคนตัดไม้ถูกอัญเชิญมา เขาก็บุกทะลวงเข้าไปในค่ายทัพศัตรูและสังหารมารเทวะทั้งหมด เขาเมินเฉยกองทัพฝูงมารฟ้าที่เหลือ ดังนั้นไพร่พลมารมากมายจึงยังไหล่บ่าเข้ามาในสนามรบและสังหารอริศัตรู

ในตอนนั้น ฝูงมารฟ้ายังท่วมท้นเข้ามาอีก แต่ผู้ฝึกวิชาเทวะข้างหลังแท่นสังเวยก็ถูกผลักให้รุกไปข้างหน้าเช่นกัน เสียงอึกทึกของการต่อสู้ดังสะท้านพิภพ

ในการต่อสู้ขนาดใหญ่ของทักษะเทวะ พลังของคนผู้เดียวไม่สลักสำคัญ หากว่าใครวอกแวกเสียสมาธิ พวกเขาก็อาจจะตกตายใต้การโจมตีของศัตรูในเมื่อใดก็ได้

ฉินมู่ไม่อาจเสียเวลาไปมากกว่านี้ และละทิ้งความกังวลทั้งหมดเพื่อต่อสู้ด้วยทุกอย่างที่ตนมี

กำลังฝีมือของฝูงมารฟ้าแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาด วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะระหว่างเหล่ามารและสันตินิรันดร์นั้นแตกต่างกันคนละขั้ว ฝ่ายแรกนั้นอาจจะขาดความเพริศแพร้วพิสดารในกระบวนท่า แต่พวกเขาโดดเด่นเหนือธรรมดาในด้านพลังวัตร ฝูงมารฟ้ามีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงนี้

กายเนื้อของพวกเขาแตกต่างจากเผ่ามนุษย์ เผ่าทั้งแปดของพวกเขาเป็นเช่นนี้ กบเกล็ดปลา ยักษ์แมกม่า เด็กหนุ่มหล่อเหลา สตรีหางแมงป่อง สตรีแปดกรงเล็บ สัตว์ประหลาดแปดหนวดราก และสัตว์ประหลาดมืออสรพิษ

มารเหล่านี้มีสายเลือดสูงชั้นกว่า และย่อมเป็นเครื่องจักรสังหารที่มีพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่ง ผู้ที่อยู่รอบๆ ฉินมู่ล้วนแต่เป็นมารชั้นเลิศและไม่มีใครที่อ่อนแอไปกว่าเขาสักคน

ฝูงมารฟ้ากรูกันเข้ามาบนแท่นสังเวยมากขึ้นทุกที และก็มีมากถึงสิบกว่าคน พวกเขาเห็นว่าประตูน้อมสวรรค์ข้างหลังฉินมู่นั้นพิสดารอย่างเหลือแสนจึงหลบเลี่ยงมันพลางประสานกำลังกลุ้มรุมโจมตี

ฉินมู่ต่อสู้กับพวกเขาด้วยพละกำลังทั้งหมด และกระบี่แปดพันเล่มก็พุ่งฉวัดเฉวียนไปมา แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนท่วมท้นเข้าไปเมื่อกระบี่บินพุ่งกรูกันไปราวฝูงแมลงร้าย ในเสี้ยวพริบตา ภูเขาและแม่น้ำก็ปรากฏ ก่อขึ้นมาเป็นกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์

บนแท่นสังเวย ภูเขามากมายเหยียดยาวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด น้ำตกร่วงลงมา และแม่น้ำสายยาวก็ไหลรี่ การต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่หายวับไปโดยไร้ร่องรอย

กระนั้นในพริบตาถัดมา โลหิตก็หลั่งไหลออกมาจากภาพภูเขาและแม่น้ำเหล่านี้ อาบน้ำทิวทัศน์ให้เป็นสีแดงฉาน

จากนั้นพวกมันก็แหลกทำลาย และยักษ์แมกม่าก็เหวี่ยงค้อนของมันหลังจากทะลวงผงาดขึ้นมาจากภูเขาและแม่น้ำ

ฉินมู่ล่าถอยพลางยกมือขึ้นสูง กระบี่ไร้กังวลลอยพุ่งไป และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มที่พุ่งตามมา ในพริบตานั้นพวกมันทั้งหมดหลอมรวมเข้ากับกระบี่ไร้กังวล

ยักษ์แมกม่าฟาดลงมาด้วยค้อนของเขา และกระแสอากาศอันน่าสะพรึงกลัวก็พวยพุ่งออกไปทุกทิศทาง กวาดซัดซากศพจำนวนไร้ประมาณรอบๆ แท่นสังเวยขึ้นไปบนอากาศ

ฉินมู่ถือกระบี่ด้วยสองมือต่อต้านค้อนของยักษ์แมกม่าอันปั่นหมุนด้วยความเร็วประดุจพายุ มีเพียงเสียงเคร้งๆ ดังมาไม่หยุดหย่อนจากการปะทะของพวกเขา แต่ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้มอย่างแรงเมื่อเขาถูกซัดกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ

ในจังหวะนั้น ยักษ์แมกม่าถูกผ่าออกเป็นสองเสี่ยงพร้อมกับค้อนของตน!

ไม่ทันที่ฉินมู่จะตกลงถึงพื้น เขาก็เห็นสตรีแปดกรงเล็บอ้ากรงเล็บของนางกว้าง ศพบนอากาศถูกระเบิดแยกออกจากกัน และโลหิตกระเซ็นท่วมรอบทิศทาง ถล่มทับเด็กหนุ่ม

ฉินมู่สะบัดกระบี่ไร้กังวล และมันก็แยกตัวออกจากกัน กระบี่แปดพันเล่มเข้ามาประกอบใหม่เป็นมีดยาวสองเล่มอันไขว้กันอยู่ แสงมีดสร้างบางสิ่งอันดูคล้ายดวงจันทร์บนท้องฟ้า

รังสีมีดแสงจันทร์หลอมรวมเป็นหนึ่งและพลันระเบิดออก รัศมีแสงพุ่งลงมาราวดาวตก

ฟิ้ววว!

หมอกเลือดถูกผ่าออก และสตรีแปดกรงเล็บก็เห็นแสงดาว กรงเล็บของนางแตะลงไปบนแสงดาวนั้น เสียงโลหะปะทะดังมา แสงจันทร์และแสงดาวทะลวงผ่านร่างของนาง แยกร่างนั้นเป็นชิ้นๆ

กระบวนท่าที่หกแห่งเพลงมีดเชือดของคนแล่เนื้อ มีดยาวห้อยใต้แสงจันทร์สกาว ท่ามกลางหมู่ดาวม้าสวรรค์ตื่นตระหนก

ฉินมู่คลายมือที่จับกระบี่และมีดยาวสองเล่มก็ลอยขึ้นไปแยกตัวออกเป็นกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินวนรอบตัวเขาเพื่อปัดป้องมีดมารนับหมื่นอันยิงพุ่งมาทางเขา

พลิกฝ่ามือเพื่อโจมตีด้วยมุทรา ยอดฝีมือมีดดาบแห่งเผ่ามารที่ถูกโจมตีครางเสียงหนักก่อนระเบิดเป็นชิ้นๆ

ตูม ตูม ตูม

สายฟ้าครืนครันและระเบิดตลอดระยะสิบลี้ ไม่ว่ามือหยินหยางพลิกสวรรค์ของฉินมู่จะไปที่ใด ผู้คนและม้าศึกก็จะถูกพลิกกระเด็น

ด้วยมุทราอีกอย่างจากมือหลักของเขา น้ำแข็งก็แช่เย็นแผ่นดินกว่าสิบลี้ นิ้วชี้แตะลงไปที่ใจกลางหว่างคิ้ว และกระบี่บินก็พุ่งไปตามเส้นทางของมือหยินหยางพลิกสวรรค์เป็นเกลียวตรงไปข้างหน้าและทำให้เลือดไหลนองเป็นท้องธาร!

ท่วงท่ากระบี่เกลียว!

ทันใดนั้น งูเหลือมยักษ์สองตัวก็เลื้อยพันรอบร่างของฉินมู่และบีบรัดอย่างบ้าคลั่ง สตรีอสรพิษกระโดดขึ้นไปบนอากาศและเหวี่ยงซัดใส่เขาด้วยมือของนางที่เป็นงูเหลือม

ฉินมู่เงยศีรษะขึ้น และรังสีแสงสองเส้นยิงออกจากดวงตาของเขา รูเปิดทะลุที่หน้าอกของสตรีอสรพิษ ปลิดชีพนาง แต่แขนงูเหลือมของนางก็ยังคงซัดเขาขึ้นไปบนอากาศด้วยเช่นกัน

ข้างใต้เขา สตรีอัปลักษณ์พลันกระแทกน้ำเต้าข้างหลังนาง และจุกน้ำเต้าก็เปิดออก ด้วยเสียงฟู่ ปราณมารสีแดงเลือดก็พวยพุ่งออกมาและยิงไปยังฉินมู่

“กายามังกรแท้เจ้าแดนดิน!” ฉินมู่ตะโกนออกไปอย่างดุดัน และดิ้นหลุดออกจากแขนงูเหลือม ด้วยมุทราหนึ่ง รูปเงาของภูเขาไฟก็พลันปรากฏข้างหลังเขา มันตั้งตระหง่านและพลันปะทุพวยพุ่ง!

ฝ่ามือไฟนรกสนามแม่เหล็กคลั่ง!

เขาฟาดฝ่ามือลงไปในทิศทางใต้ตัว และปราณมารสีแดงเลือดก็ถูกแผดเผาเป็นจุณพร้อมกับสตรีอัปลักษณ์นั้น

“ทักษะเทวะอัศจรรย์! ท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาว เจ้าสามารถจัดอยู่ในสิบอันดับได้!”

ฉินมู่ตกตะลึงเมื่อเขาได้ยินเสียงแข็งทื่อ เขามองลงไปข้างล่างและเห็นแม่ทัพใหญ่แห่งฝูงมารฟ้าวิ่งขึ้นมาบนแท่นสังเวยด้วยใบหน้าที่เงยขึ้นมามองเขา

แม่ทัพใหญ่มารฟ้าตนนั้นมีธงใหญ่ปักไว้ที่หลัง ระหว่างที่พุ่งทะยานขึ้นมา ร่างกายของเขาพลันสั่นเทิ้ม และศีรษะทั้งสี่ พร้อมกับแขนทั้งแปดก็ผุดโผล่ขึ้นมา เขาถือมีดยาวหลายเล่มอันไขว้ซึ่งกันและกัน ฝีเท้าของเขาแปรเปลี่ยนไปมาอย่างคาดเดาไม่ได้เมื่อเขาสังหารผู้ฝึกวิชาเทวะที่กีดทางมา

“ฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิม!”

แม่ทัพใหญ่มารฟ้าตบหลังมีดเข้ากับศีรษะของตนเอง และจิตวิญญาณดั้งเดิมอันสูงสิบห้าวาก็กระโจนออกจากร่างกายของเขา มันร้องคำรามไปยังท้องฟ้า และยกมือของมันขึ้นเพื่อผนึกมุทราซัดไปยังฉินมู่ มันใหญ่เกือบจะครึ่งไร่ ด้วยรอยประทับต่างๆ ที่ไขว้ขัดสลับไปมาและเผยแสดงรอยประทับมารทุกชนิดที่ฉายแสงโชนก่อนที่จะหรี่ลงไปเป็นระยะ

รอยประทับมารเต้นเร่า แต่ไม่ทันที่มันมาถึงตัวเขา อักษรรูนมารอันดูเหมือนโซ่ปรากฏขึ้นมารอบๆ เขาและรัดพันร่างเขาเอาไว้

กระนั้นเขาก็คงไม่อาจต้านทานรับพลังของฝ่ามือได้!

กระบี่ไร้กังวลและกระบี่บินเล่มอื่นๆ กำลังบินกลับมา แต่พวกมันอยู่ห่างไกลเกินกว่าที่จะช่วยชีวิตเขา

ในจังหวะนั้น ฉินมู่เห็นห้านิ้วของนักบุญคนตัดไม้รวบเข้าด้วยกัน และทักษะเทวะทุกประเภทจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง พลานุภาพของมันแผ่พุ่งออกไป และเป่ามารเทวะตนหนึ่งให้กระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

แรงบันดาลใจพุ่งเข้าชนฉินมู่ และเขาก็รวบนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกันเช่นกัน

วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของเขาพลันโคจรในแบบแผนอันแปลกประหลาด ทารกวิญญาณและดวงวิญญาณของเขาหลอมรวมเข้าด้วยกัน ธาตุทั้งห้าฉายแสงส่องอย่างเจิดจ้า หกทิศรวมเป็นหนึ่ง เจ็ดดาวเหินสู่นภากาศ และสุริยันจันทราก็เคลื่อนคล้อยโคจร

ปัง ปัง ปัง!

พลังงานอันไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของฉินมู่และฉีกสะบั้นโซ่รอยมารที่รัดพันรอบๆ ตัวเขา จากนั้นเขาก็เงื้อมือขึ้นต้านรับฝ่ามืออันเกรี้ยวกราดจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของแม่ทัพใหญ่มารฟ้า

ฉินมู่ครางหนักๆ เมื่อกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้าอันทักษะเทวะและเทพศาสตรา มารศาสตราจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังอาละวาด หากว่าเขากระเด็นขึ้นไปสูงกว่านี้ จะต้องตายอย่างน่าอนาถแน่นอน!

อักษรรูนมากมายปรากฏรอบตัวเขาและหมุนวนเป็นเกลียว ขณะที่ฉินมู่กำลังจะลอยลิ่วไปถึงเขตต้องห้ามบนท้องฟ้า เขาก็หายวับ

ปัง!

เขาร่วงลงมาอีกสิบลี้ห่างออกไป พลังฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัวจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของแม่ทัพใหญ่มารฟ้าได้ทำให้เขากลิ้งกระเด็นตีลังกาไปหลายตลบ และปะทะเข้ากับกลุ่มผู้ฝึกวิชาเทวะที่กำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้า

ฉินมู่กลิ้งหกคะเมนไปสิบกว่าตลบก่อนที่จะตั้งตัวลุกขึ้นมาได้

ผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านเขาไป ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ยกอาวุธวิญญาณทุกประเภทลอยขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะส่งมันถล่มลงมายังดินราวกับห่าฝน ครอบคลุมพื้นดินตรงหน้าพวกเขาทั้งหมด ยากที่จะกล่าวว่ามีไพร่พลมารมากมายแค่ไหนที่ตายจากการระดมยิงอาวุธวิญญาณรอบนี้

ข้ายังมีชีวิตอยู่?

ฉินมู่รีบตรวจดูเนื้อตัวของเขาและพบว่าแม้เขาจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่กระบวนท่าพิฆาตจากแม่ทัพใหญ่มารฟ้ามิได้ทำอันตรายเขา เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแกมยินดี

กระบวนท่าของนักบุญคนตัดไม้มรพลานุภาพจนเกินจินตนาการ! หรือว่าเขาจะรู้ว่าข้ากำลังตกที่นั่งลำบากจึงจงใจขับเคลื่อนกระบวนท่านี้เพื่อให้ข้าเรียนรู้และเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ต้องตาย

เขายื่นมือออกไปคว้าจับอากาศ กระบี่ไร้กังวลพากระบี่บินเล่มอื่นๆ บินกลับมาก่อนที่พวกมันจะเปลี่ยนกลับเป็นไจกระบี่ลงบนฝ่ามือของเขา

ทันใดนั้นเสียงกังวานสดใสก็ดังมาจากข้างหลัง “ข้าเหมือนจะเคยเห็นเจ้ามาก่อน!”

ฉินมู่หันกลับไปและเห็นเทพเจ้าสูงตระหง่านข้างหลังเขา บนบ่าของเทพนั้นคือเด็กสาวผู้มีเปียถักสองข้าง นางก้มหัวลงมาเล็กน้อยเพื่อเพ่งพิศดูฉินมู่

………………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน