ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 540 เจ้าและข้ามีวาสนาต่อกัน

ตอนที่ 540 เจ้าและข้ามีวาสนาต่อกัน

เจ๋อหัวหลีตะโกนด้วยเสียงอันดังและสืบเท้าอีกก้าวเข้าไปหาฉินมู่

 ยอมแพ้เสีย!  จากเหนือชั้นฟ้า เสียงของฟู่ยื่อลัวดังมาราวอสุนีบาต  เพลงมีดของเจ้าแม่นยำ เหมาะสม และเต็มไปด้วยการคำนวณ แต่ทว่า กรอบคิดจิตใจของเจ้าในตอนนี้กำลังปั่นป่วน ดังนั้นเจ้าจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว และยิ่งตายเร็วกว่า! สหายรักของเจ้าสิ้นชีวิตแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องอยู่แก้แค้นให้พวกเขา หากว่าเจ้าไม่อยู่รอล้างแค้นและโยนชีวิตทิ้งไปเสียอย่างนี้ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับพวกบ้าบิ่นไร้สมอง! 

สีหน้าของเจ๋อหัวหลีบิดเบี้ยว และเขาพลันดึงดาบออกมาด้วยมือซ้าย

ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย ฟู่ยื่อลัวขมวดคิ้ว และเขามิได้ลงมือเพื่อยับยั้งเจ๋อหัวหลีในโลกจำลองศึกทราย

โลกมิตินั้นสร้างขึ้นมาโดยเขาและนักบุญคนตัดไม้ ดังนั้นหากเขายื่นมือเข้าไป นักบุญคนตัดไม้อีกฟากฝั่งก็จะขัดขวางด้วย หากว่าเป็นเช่นนั้น เรื่องราวก็จะยิ่งเละเทะเข้าไปใหญ่ และเขาไม่อาจมั่นใจในโอกาสสำเร็จ

นักบุญคนตัดไม้เพิ่งถูกอัญเชิญมาจากโลกอื่นในตอนกลางวันก่อนหน้านี้ และได้ขัดจังหวะแผนการณ์และยุทธศาสตร์ของเขาทั้งหมด ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาได้แต่ตั้งการเดิมพันนี้ขึ้นมา เขาไม่อาจทำลายกฎกติกาที่ตัวเขาเองวางเอาไว้ มิเช่นนั้นเขาก็จะสูญเสียทุกอย่างโดยสิ้นเชิง

เขาต้องการเวลา

แม้ว่าเขาจะชื่นชมเจ๋อหัวหลี และเด็กหนุ่มก็มีอาจารย์ของเขาเอง เขาก็ยังมองว่าเจ๋อหัวหลีเป็นผู้สืบทอดของเขา แต่ทว่าเพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเผ่ามาร เขาได้แต่กัดฟันข่มความรวดร้าวและยอมเสียเขาไป ไม่ว่าเขาจะชื่นชมเด็กหนุ่มผู้นี้มากแค่ไหน

หางตาของเจ๋อหัวหลีกระตุก และดวงตามารบนด้ามดาบมารของเขาก็ยิ่งมายิ่งประหลาด ตำแหน่งที่มันจ้องมองกลับไม่ใช่ฉินมู่ แต่เป็นแขนขวาของเจ๋อหัวหลี

เจ๋อหัวหลียกแขนขวาขึ้นมาพร้อมๆ กับดาบ

ฉินมู่กล่าวถูก เขาไม่มีทางร่ายรำเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากว่าเขาต้องการทำเช่นนั้น เขาจะต้องตัดแขนขวาของตนเอง ไม่อย่างนั้น มันก็จะกลายเป็นภาระของเขา

เป้าหมายของเขาที่ลงมายังแดนต่ำใต้ นั้นเพื่อแสวงหาหนทางที่จะใช้เพลงมีดด้วยมือสองข้าง เขาต้องการให้เพลงมีดของเขาบรรลุเขตขั้นมรรคาเต๋า และเดินออกไปจากเงาของลั่วอู๋ชวง

เมื่อครู่ กระบี่ของฉินมู่น่าแตกตื่นสะท้านขวัญ และเขารู้สึกว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถหลบหลีกมันได้ มีก็แต่สะบั้นแขนออกไปข้างหนึ่งเท่านั้น เขาจึงจะสามารถปลดปล่อยเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงจนถึงที่สุดได้

แต่ทว่า หากเขาตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง เขาก็จะไม่มีวันเดินออกพ้นจากเพลงมีดของลั่วอู๋ชวง และไม่มีวันเสาะหามรรคาเต๋ามีดของตนได้ นี่ก็เท่ากับการสะบั้นมรรคาเต๋าตน

สีหน้าของเจ่อหัวหลีเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ เต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ นานา ทันใดนั้น แสงมีดของเขาก็ฟันลงไปบนพื้น

 ข้าแพ้แล้ว 

เขาทรุดตัวลงและคุกเข่าลงกับพื้น แต่เขามิได้คุกเข่าให้แก่ฉินมู่ หรืออวี่เหอและคนอื่นๆ เขาคุกเข่าให้แก่ศพของเจี่ยงอี้

เจ๋อหัวหลีค้อมตัวคารวะและลุกขึ้น เขาอุ้มศพของเจี่ยงอี้และเบือนหน้ากลับไป  ข้าได้เห็นเพลงกระบี่ของเจ้าแล้ว แต่ข้าจะไม่ให้อาจารย์ของข้าได้เห็น เพราะว่าข้าต้องการปลิดชีวิตเจ้าด้วยน้ำมือของข้าเอง เพื่อล้างแค้นให้กับเพื่อนรักของข้า! 

ฉินมู่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม  หากว่าวันนั้นมาถึง ข้าตายก็คงไม่ย้อนเสียใจ 

เจ๋อหัวหลีเดินตรงไปยังกำแพงไฟ ดาบมารของเขาโบยบินขึ้นไปและผ่ามันแหวกออกเป็นสอง สร้างเส้นทางเดินออก เจ๋อหัวหลีอุ้มเจี่ยงอี้ออกไป และร่างของพวกเขาก็หายลับ

หางตาของฉินมู่กระตุก พฤติการณ์ของเจ๋อหัวหลีทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ไม่ดี

เจ๋อหัวหลีนั้นไม่ด้อยไปกว่าเขา และเพลงมีดที่เขาใช้ผ่าแหวกทะเลไฟนั้นเพริศแพร้วพิสดารอย่างถึงขีดสุด กายเนื้อ พลังวัตร จิตวิญญาณดั้งเดิม และแม้กระทั่งเพลงมีดของเขาอันแสดงว่าความสำเร็จของเขาในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ ไม่ด้อยไปกว่าฉินมู่เลย กายเนื้อของเขายังเหนือกว่าอีกมากด้วยซ้ำ

เจ๋อหัวหลีในตอนนี้เหมือนกับฉินมู่หลังจากที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้ทำลายความมั่นใจของเขาอย่างไร้ปรานี เขานั้นหมิ่นเหม่อยู่ระหว่างการพังทลายและการเปลี่ยนแปลง

หากว่าเขาหลุดพ้นออกมาได้ ค้นพบมรรคาเต๋าของตนเอง เขาก็จะเหมือนกับฉินมู่ผู้ซึ่งคิดค้นกระบวนท่าแรกของกระบี่ภัยพิบัติของตน เจ๋อหัวหลีก็จะคิดค้นเพลงมีดของตนเช่นกัน และเดินออกมาจากเงื้อมเงาของเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงในระหว่างเส้นทางการล้างแค้นของเขา

ตอนที่เขาหันหลังเดินจากไปผ่านกำแพงไฟ หากว่าข้าฟันเขาสักหนึ่งกระบี่ ก็คงจะกำจัดเขาไปได้แล้วแท้ๆ…หากว่าเป็นท่านปู่เป๋ เขาจะต้องทำแบบนี้ในวินาทีนั้นโดยปราศจากความลังเล! ฉินมู่สีหน้าซีดเผือดสลับดำคล้ำไปมาไม่หยุด

ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย เสือเทพยดาขนดำมองจับสีหน้าของเขาได้และพลันตื่นเต้นขึ้นมา  นายท่าน นายท่าน! ท่านเห็นไหม หางตาของไอ้เด็กนั่นกระตุกบ่อยครั้ง ทั้งสีหน้าของเขายังแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดยั้ง เดี๋ยวก็ซีดเดี๋ยวก็หมอง เขาถึงกับอุทานด้วยความตื่นเต้นเป็นระยะ! กรอบคิดจิตใจของเขาย่ำแย่ชัดๆ! 

นักบุญคนตัดไม้จ้องเขา และเสือเทพยดาขนดำก็สีหน้าแปรเปลี่ยน เขารีบหลุบหูลู่ลง

นักบุญคนตัดไม้ยื่นมือออกไปคว้าจับด้ามขวานเทวะ ในเวลาเดียวกัน ฟู่ยื่อลัวก็ยื่นมือออกไปเพื่อคว้าจับทวนมารของเขา ทั้งคู่ดึงอาวุธของตนกลับมา

ฉินมู่ผู้อยู่ในโลกจำลองศึกทรายพลันพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ห้วงอวกาศพลันพังทลายเริ่มจากจุดที่ขวานและทวนเคยไขว้กันอยู่ ทุกอย่างหดเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว กลืนกินภูเขาอันยิ่งยงทั้งหลาย!

 ไปเร็วเข้า!  ฉินมู่ดึงซังฮั่วไปโดยไม่อธิบายมากมาย และอักษรรูนอันสวยงามก็ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวเขา พวกมันหมุนวนไปขณะที่เขากล่าว  ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา รีบมาทางข้าเร็วเข้า! 

อวี่เหอและฉู่เหยายังคงยืนอยู่ด้วยความตะลึงงันและมองมาที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า พวกเขาดูเหมือนจะยังไม่ได้สติสตัง

ห้วงมิติที่พังทลายเข้ามาใกล้พวกเขาขึ้นเรื่อยๆ และฉินมู่กัดฟันกรอดขณะที่ขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของเขา แสงจ้าสว่างมาวาบหนึ่ง และเขาก็หายวับไปพร้อมกับซังฮั่ว

ก็ตอนนั้นเองที่อวี่เหอและฉู่เหยาได้สติ และหันกลับไปมอง สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวอย่างระงับไว้ไม่อยู่ อวี่เหอตะโกนออกไป  ศิษย์น้องฉู่เหยา มาร่วมมือกันทำลายกำแพงไฟและแหวกฝ่าออกไปจากสถานที่นี้! 

ความเร็วของพวกเขาเร็วอย่างยิ่งยวด แต่เมื่อพวกเขายกขาขึ้น พวกเขาก็ตระหนักว่าได้ดูเบาภยันตรายนี้เกินไปแล้ว พวกเขาเร็วจนทะลุความเร็วเสียง เร็วยิ่งกว่าฉินมู่ตอนที่อีกฝ่ายนั้นวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด กระนั้นความเร็วของห้วงมิติพังทลายก็ยังเหนือกว่า!

กำแพงไฟอยู่ตรงหน้าพวกเขาชัดๆ แต่ทว่าไม่ว่าพวเขาจะวิ่งเร็วเท่าใด ก็ไม่อาจเข้าไปใกล้มันได้

ไม่เพียงแค่นั้น ระยะห่างระหว่างพวกเขากับกำแพงยิ่งขยายถ่างออก และพวกเขาก็ยิ่งถูกดึงเข้าไปใกล้กับห้วงมิติที่กำลังพังย่อยยับมากขึ้นทุกที!

เหงื่อเย็นเยียบผุดออกจากหน้าผากของอวี่เหอและฉู่เหยา ข้างในห้วงอวกาศที่กำลังพังทลายนั้นซ่อนมหิทธานุภาพการปะทะกันระหว่างขวานเทพของนักบุญคนตัดไม้กับทวนมารของฟู่ยื่อลัว พลานุภาพนี้ได้เสกสรรโลกจำลองศึกทรายเมื่อก่อนหน้า เปลี่ยนแปลงจัตุรัสที่กว้างสามร้อยสิบคืบ ยาวห้าร้อยคืบ ให้กลายเป็นขุนเขาดารดาษในโลกมิติอันกว้างไกลกว่าพันลี้

แต่บัดนี้โลกแห่งนี้ได้ระเบิดปะทุและย่อหดเข้าไปย่อยยับพังทลาย มันก็ย่อมปลดปล่อยมหิทธานุภาพเมื่อขวานเทวะและทวนมารปะทะกัน

มหิทธานุภาพระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวจะสามารถต้านทานได้ เกรงว่าก็คงมีแต่จะถูกกวาดล้างจนระเหิดหายเป็นไอ แหลกสลายแม้กระทั่งดวงวิญญาณ!

 ฉินมู่นักตีเหล็กเพียงเรียกพวกเราไปเมื่อครู่นี้ กะจะพาพวกเราออกไปด้วยกันใช่ไหม 

พวกเขาพลันนึกย้อนเสียใจ พวกเขาตกตะลึงจากรังสีแสงอันเจิดจ้าของกระบี่ฉินมู่เมื่อครู่ และได้ตะลึงงัน ไม่ทันฟังอย่างถนัดถนี่ว่าฉินมู่กำลังกล่าวอะไร เมื่อสะดุ้งจากภวังค์ขึ้นมาก็สายไปเสียแล้ว

ในตอนนั้น ก็มีแสงวาบมาอีกครั้ง และเงาร่างของฉินมู่ก็ปรากฏขึ้นข้างๆ พวกเขาในทันที จากนั้นอักษรรูนมากมายก็หมุนวนพลุ่งพล่านในอากาศรอบๆ ร่างกายพวกเขา ลำแสงระเบิดออกมาและอวี่เหอกับฉู่เหยาก็มึนงง เมื่อตั้งหลักได้อีกครั้ง ลืมตาขึ้นมาดู ก็พบว่าพวกเขาอยู่นอกจัตุรัสแล้ว

 ไปเร็ว! 

ฉินมู่ตะโกนบอก และโลดโจนทะยานไปข้างหน้า  ไปซ่อนข้างหลังโถงวัง! 

อวี่เหอและฉู่เหยาตามเขาไปอย่างเร่งรีบ ทั้งสามคนวิ่งอ้อมโถงวังใหญ่ข้างหลังอย่างเร็วรี่ ซังฮั่วซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ทั้งสี่คนเพิ่งมาถึงจุดนี้ ฉินมู่ก็นั่งหมอบลงไป ปิดตา อ้าปาก และปิดหูเอาไว้ ซังฮั่วเห็นเช่นนั้นก็รีบนั่งหมอบ ปิดตา อ้าปาก และปิดหูเอาไว้เช่นกัน

อวี่เหอและฉู่เหยายังไม่ทันได้สติดี คลื่นกระเพื่อมอันร้ายกาจก็ระเบิดออกมาจากจัตุรัส รังสีแสงเข้มข้นเจิดจ้าพวยพุ่งออกมาจากทั้งสองฝั่งฟากของโถงวังหลัก แสงวาบนั้นวูบมา ดวงตาของพวกเขาทั้งสองไม่อาจจะมองเห็นสิ่งใดได้ เมื่อพวกเขาหลับตาลง สองตาก็หลั่งน้ำตาโลหิตออกมา!

คลื่นกระเพื่อมนั้นส่งมาจากการที่ห้วงมิติพังทลายลงไปโดยสิ้นเชิง อวี่เหอและฉู่เหยาถูกยืดร่างออกอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นมนุษย์เส้นหมี่สองคน

เสียงอันกัมปนาทสะท้านฟ้าดังมา หูของพวกเขาก็ดับไปในพริบตานั้น กลายเป็นเงียบสงัดอย่างผิดธรรมดา!

เลือดที่ไหลจากหูทั้งสองของพวกเขาทำให้รูหูอุ่นไปหมด

ในโถงวังใจกลาง ทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวงต่างก็แผดพลานุภาพอันไร้เทียบทานของพวกตน ประกอบกันเป็นกำแพงแสงเทวะ ป้องกันพลังงานที่เกิดจากห้วงมิติย่อยยับทำลายพวยพุ่ง แม้จะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ยังคงถูกโยนจากคลื่นกระแทกและถ่อยร่นตุปัดตุเป๋

แต่ฉินมู่และซังฮั่วที่หมอบอยู่นั้นไม่เป็นอะไรมาก เมื่อรังสีแสงโรยราลงไป และคลื่นกระแทกก็พุ่งห่างไปที่ไกลๆ ทั้งสองคนจึงหุบปากลง ลืมตาและลุกขึ้นยืน

อวี่เหอและฉู่เหยาจากบนอากาศ ร่วงลงพื้นปังๆ นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เมื่อคลานไต่ไปดูพวกเขา ก็พบว่าทั้งสองคนมีแต่เลือดโซมหน้า

ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนก็ยังไม่อาจได้ยินเสียง มองอะไรไม่เห็น

 ศิษย์พี่ทั้งสองนี้ยังคงอ่อนเยาว์เกินไป ไม่เคยมีประสบการณ์พบพานเรื่องแบบนี้ 

ฉินมู่ส่ายหัว ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยทั้งสองคนตรวจดูอาการ  ข้าเคยพบพานเรื่องทำนองนี้มาก่อน และรู้ว่าถ้าอยู่ข้างๆ ยามที่เทพและมารสู้รบปรบมือกันจะเกิดอะไรขึ้น…พวกเขาไม่บาดเจ็บสาหัสเท่าไร ข้าจะหลอมปรุงยาจำนวนหนึ่งมาให้ทีหลังเพื่อให้ม่านตาและแก้วหูของพวกเขางอกขึ้นมาใหม่ 

ซังฮั่ววิตก  เกิดอะไรขึ้น 

 ม่านตาของพวกเขาถูกเผาไหม้ และแก้วหูของพวกเขาก็ฉีกขาด มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่  ฉินมู่คุ้ยหาในถุงเต๋าตี้เพื่อค้นดูสมุนไพรประกอบยา  หากว่าดวงตาของพวกเขาระเบิดและกระดูกในหูของพวกเขาแตกหัก ข้าก็คงจะรักษาไม่ได้เพราะว่าในตอนนั้นสมองของพวกเขาคงสุกไปหมด แต่ว่าม่านตาของพวกเขาไม่ได้ถูกเผาไปโดยสิ้นเชิง และแก้วหูของพวกเขาก็มีรูทะลุเล็กๆ ดังนั้นพวกมันจึงสามารถงอกกลับมาดี 

 กายเนื้อของศิษย์พี่หญิงอวี่เหอ และศิษย์พี่ฉู่เหยานับว่าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า หากว่าเป็นข้า ม่านตาของข้าคงถูกเผาไหม้ไปจนหมด 

ซังฮั่วลอบแลบลิ้น และมองไปรอบๆ นางพบว่าสิ่งปลูกสร้างกว่าครึ่งหนึ่งในเมืองหลีถูกทำลายไป ทุกหนทุกแห่งมีแต่บ้านเรือนที่พังพินาศและเก๋งศาลาอันพังทลาย เผ่ามารมากมายล้มคว่ำอยู่กับพื้น และกลิ้งเกลือกไปมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

ฟู่ยื่อลัวชักทวนมารของเขาออก และใบหน้าทั้งสามของเขาก็ตะโกนออกไปเป็นเสียงเดียว  เมื่อกล้าพนันก็ต้องยอมรับผลแพ้ชนะ! มารทั้งหมด จงฟังคำสั่งและละทิ้งเมืองนี้! ศิษย์น้องสวีโม่ นำไพร่พลทั้งหมดออกไปจากเมืองหลี! 

มารเทวะทั้งหลายรับคำบัญชาของเขา และเข้าไปควบคุมจัดเตรียมกองกำลังมารของแต่ละคนเพื่อล่าถอยออกไปจากเมือง

 ครูบาสวรรค์ วันนี้ไม่ใช่วันดีที่จะประมือกับเจ้า ไว้พวกเราค่อยต่อกันวันหลัง 

 ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา 

ฟู่ยื่อลัวกระโดดลงไปจากราชวัง และพาทุกคนของฝ่ายเขาออกไป ในตอนนั้นฉินมู่กำลังหลอมปรุงยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของอวี่เหอและฉู่เหยา เมื่อเขาเหลือบไปเห็นฟู่ยื่อลัวกำลังเดินออกไป เขาก็รีบมองไปที่อีกฝ่าย และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

เขาพบว่าข้างหลังศีรษะของฟู่ยื่อลัวมีเส้นผมหยิกขอดหนาทึบ และไม่มีใบหน้าที่สี่ ในทางกลับกัน มีใบหูแหลมสองข้างอยู่ตรงนั้น อันตั้งตรงขึ้นมาเป็นพิเศษ

เขามีแค่สามหน้านี่นา

และด้วยฉะนี้ ฉินมู่ก็ไขปริศนาที่คันใจเขาอยู่ ตั้งแต่เมื่อที่เขาได้เห็นฟู่ยื่อลัว เขาก็เอาแต่สงสัยว่ามารตนนี้มีใบหน้ากี่หน้ากันแน่ เขาเอาแต่ขบคิดเรื่องนี้ และในที่สุดก็ได้คำตอบ

ฟู่ยื่อลัวสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา และบิดคอไปเพื่อเผยให้เห็นใบหน้าใบที่มีรอยยิ้ม เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน  ชื่อของเจ้าคือฉินมู่หรือ ฉินมู่นักตีเหล็ก? 

เด็กหนุ่มกำลังจะอ้าปากตอบไป แต่ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็พุ่งวูบเข้ามาตรงหน้าของเขา และนักบุญคนตัดไม้ก็ปรากฏตัวกั้นกลาง ขัดขวางสายตาของฟู่ยื่อลัว

ฉินมู่ยังคงโผล่หัวของเขาออกจากข้างหลังและกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ใช่แล้ว ชื่อของข้าคือฉินมู่ ข้าขอน้อมคารวะมารเทวะวัชรา 

 เจ้าเข้าใจภาษามารด้วย? ฟู่ยื่อลัวแปลว่าวัชราจริงๆ นั่นแหละ  ฟู่ยื่อลัวผงกหัวและกล่าวด้วยความนัยอันลึกล้ำ  เจ้าและข้ามีวาสนาต่อกัน ดังนั้นพวกเราจะได้พบกันอีก 

เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็หันกลับและเดินจากไป  เจ๋อหัวหลี ตามมา 

………..

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท