ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 539 สัมพันธ์น้ำมิตร

ตอนที่ 539 สัมพันธ์น้ำมิตร

นักบุญคนตัดไม้ฉวยโอกาสที่จะลงมาจากเวทีและรักษาหน้าของตนเอาไว้ได้ แต่ทว่าเจ๋อหัวหลีกำลังขี่หลังเสือและไม่อาจลงมาได้

เหงื่อเย็นเยียบแตกจากหน้าผากของเด็กหนุ่ม และเขามองไปที่แขนขวาของเขา ลั่วอู๋ชวงไม่มีแขนข้างนี้และควงมีดด้วยแขนซ้าย ดังนั้นแง่อัศจรรย์ของเพลงมีดก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้

หากเจ๋อหัวหลีต้องการร่ายรำเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงโดยไร้จุดอ่อน เขาก็จะต้องตัดแขนขวาของตน!

เหงื่อเย็นเยียบผุดจากหน้าผากของเขามากขึ้นทุกที เขาแค้นใจเหลือเกิน!

ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปะทะฝีมือกับฉินมู่ เขาก็ต้องตัดแขนไปข้างแล้วหรือ ใครจะทนอะไรแบบนี้ได้ ใครจะยินยอมพร้อมใจ

แต่ทว่าหากเขาไม่ยอมตัดแขนขวา เพลงมีดของเขาย่อมจะไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับของอาจารย์เขาลั่วอู๋ชวง และเขาก็คงรู้สึกย่ำแย่ที่จะร่ายรำเพลงมีดอันไม่สมบูรณ์แบบให้ฉินมู่ชมดู

 กรอบคิดจิตใจมิได้กระทบต่อกำลังฝีมือมากมายอย่างที่เจ้าคิด 

ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง และทำให้เจ๋อหัวหลีที่กำลังตกอยู่ในปัญหาอันแก้ไม่ตกสะดุ้งขึ้นมา

ฉินมู่เลิกคิ้วและและมองไปที่อสุราคนหนึ่ง ตั้งแต่มายังเมืองหลีเขามัวแต่ตีเหล็ก จึงไม่รู้จักเจี่ยงอี้

ชายหนุ่มผู้นี้ร่างโชกไปด้วยเลือด และยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเลือดของเขาหรือของศัตรู แต่ทว่า จากที่เห็น อาการบาดเจ็บของเขาไม่เบาเลยทีเดียว

เขานั้นเหมือนกับปลาที่ถูกสับฟันอย่างสุ่มๆ ด้วยรอยแผลเป็นร้อยๆ ทั้งยังถูกราดน้ำร้อนลวกทับลงไปอีก

กระนั้น ด้วยรอยแผลหนักหนาสาหัสเหล่านั้น จิตหาญสู้ของเขาก็ยังคงเจิดจ้า และรัศมีของเขาก็เข้มข้น เลือดและปราณของเขาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และในพริบตาที่เขาเดินเข้ามา กลิ่นเลือดและศพเน่าก็ลอยมาเตะจมูกฉินมู่ ราวกับว่าเขาชักนำทะเลซากศพติดตัวมาด้วย

สายตาของเจี่ยงอี้เบนไปจากเจ๋อหัวหลีและจ้องจับที่ฉินมู่  กรอบคิดจิตใจมิใช่ส่วนหนึ่งของกำลังฝีมือตน กำลังฝีมือเกิดมาจากกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม มรรคา วิชา และทักษะเทวะ กรอบคิดจิตใจมีผลน้อยนิดต่อกำลังฝีมือ ผู้ชมดูวงนอกย่อมมีสายตากระจ่างชัด เจ๋อหัวหลี เจ้าได้ตกลงในกับดักของเขา เจ้ายังไม่กระโดดออกมาอีกหรือ 

เจ๋อหัวหลีดวงตาเป็นประกาย และลมหายใจของเขาก็สงบลง

เจี่ยงอี้นั้นเป็นเพื่อนรักที่หาได้ยากยิ่งของเขาในสวรรค์ไท่หวง และทั้งคู่ก็มักแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาเป็นสหายสนิทกอดคอกัน และสาบานว่าจะเป็นตายร่วมกัน ในสนามรบ เจี่ยงอี้ได้ช่วยชีวิตเขามาก่อน และเขาเองก็ได้ช่วยชีวิตเจี่ยงอี้เช่นกัน

 ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังฝีมือมากที่สุดคือกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม มรรคา วิชา และทักษะเทวะ เจ๋อหัวหลี กายเนื้อของเจ้าและข้าแข็งแกร่งกว่าเขา จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ดังนั้นย่อมก็ต้องแข็งแกร่งกว่าเขา 

 ส่วนมรรคา วิชา และทักษะเทวะ เพลงมีดของเจ้าร่ำเรียนมาจากดาบเทวะลั่วอู๋ชวง และเจ้าก็เรียนวิชาฝึกปรือมารจากมารเที่ยงแท้ฟู่ยื่อลัว เจ้านั้นเชี่ยวชาญทั้งสองฝั่งฟาก ดังนั้นแล้วมรรคา วิชา และทักษะเทวะของเจ้าจะอ่อนแอกว่าได้อย่างไร เขานั้นแม้แต่จะฝึกปรือกายเนื้อให้ถึงระดับเทพเที่ยงแท้ก็ยังไม่สำเร็จเลย ดังนั้นกำลังฝีมือเขาจะสูงสักเท่าไรเชียว 

ความมั่นใจของเจ๋อหัวหลีกลับมาทันที และจิตใจของเขาก็ผ่อนคลายลง เขาแย้มยิ้มและกล่าว  บางครั้ง ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็ควรต้องมีอาจารย์ที่ดี และสหายที่ช่วยเหลือกันได้ เจี่ยงอี้ เจ้าคือสหายที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้! 

หลังจากได้ยินถ้อยคำของเจี่ยงอี้ เขาก็ได้ความมั่นใจกลับมาในที่สุด และกรอบคิดจิตใจของเขาก็หวนกลับมายังจุดสูงสุดโดยไม่รู้ตัว

กำลังฝีมือของเขาได้เพิ่มพูนไปอย่างมาตั้งแต่เมื่อเขาสำเร็จกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมระดับเทพเที่ยงแท้เยาว์

แม้ว่าเพลงมีดของเขาจะยังไม่บรรลุถึงขั้นมรรคาเต๋า เขาก็ไม่เคยกริ่งเกรงใครหน้าไหนในโลกจำลองศึกทรายในด้านของกำลังฝีมือ!

ข้อได้เปรียบของเขาก็คือกายเนื้อของเทพเที่ยงแท้เยาว์ และด้วยประเด็นนี้ เขาก็ย่อมเหนือล้ำกว่าฉินมู่อย่างแน่นอน นี่ก็จะให้ความได้เปรียบแก่เขาในด้านของความเร็ว กำลังกาย ปฏิกิริยาตอบสนอง และพลานุภาพ

ข้อได้เปรียบที่สองก็คือจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอันแข็งแกร่งเท่ากับเทพเที่ยงแท้เยาว์ แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวจะไม่อาจรีดเร้นพลานุภาพของจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่การใช้สอยมันอย่างเหมาะสมก็มักจะเป็นกุญแจไปสู่ชัยชนะ

เจ๋อหัวหลีมีอาจารย์สองคน ลั่วอู๋ชวงและฟู่ยื่อลัว ฝ่ายหลังนั้นเป็นนามที่มีความหมายในภาษามาร และมันหมายถึงเพชรหรือวัชรา จิตวิญญาณดั้งเดิมของฟู่ยื่อลัวแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว และเจ๋อหัวหลีก็ได้เรียนวิชาจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับมัน เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนไปอีกขั้น

จากเรื่องเหล่านี้ เขาก็มั่นใจว่าฉินมู่มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ข้อได้เปรียบที่สามของเขาก็คือเพลงมีดและดาบมารของเขา มันเป็นอาวุธวิญญาณที่ลั่วอู๋ชวงหลอมสร้างให้แก่เขาโดยเฉพาะ เพลงมีดของเขาก็ได้รับการสั่งสอนจากดาบเทวะ และกว่าที่เพลงมีดนี้จะบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ อาจารย์เขาก็เขาก็ได้พากเพียรมากกว่าสี่หมื่นปี!

จุดอ่อนของเขามีเพียงกรอบคิดจิตใจ แต่ทว่ามันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำลังฝีมือของเขามากนัก

การที่กรอบคิดจิตใจของเขาด้อยกว่าฉินมู่นั้นไม่มีทางเป็นกุญแจแพ้ชนะระหว่างพวกเขา!

เจี่ยงอี้แย้มยิ้มด้วยความยินดี  กำลังฝีมือของเจ้ายังเหนือล้ำกว่าข้าเสียอีก เพียงแต่ว่าเจ้าถูกคำพูดของเขาทำให้ไขว้เขว้ จึงตกลงไปในกับดัก 

เจ๋อหัวหลีก็แย้มยิ้มเช่นกัน ด้วยสหายเช่นนี้ เขายังจะต้องการอะไรอีก

เมื่อมีเพื่อนตายเช่นนี้ เพียงคนเดียวก็เกินพอ!

ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ๋อหัวหลีเพียงคนเดียวก็ทำให้เขารู้สึกไม่วางใจแล้ว นี่ยังมีเจี่ยงอี้อีกคน เขานับว่าไม่มีโอกาสเอาชนะเลยจริงๆ

ทันใดนั้น ซังฮั่วก็โผล่หัวออกมา เปียสองข้างของนางห้อยแกว่งอยู่ นางจึงโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้นมายังเขา  เด็กฟาดฟ่อนข้าว! ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่นี่! มีแค่พวกเราที่นี่หรือ ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา และศิษย์พี่หวงเยว่อยู่ที่ไหน หรือพวกเขาจะตายไปในการต่อสู้ 

เมื่อนางพูดอยู่นั่นเอง อวี่เหอก็เดินออกมาด้วยสีหน้าอับจนปัญญา ฉู่เหยาเองก็ขมวดคิ้วและตามมาข้างหลังนาง

 ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา พวกท่านไปซ่อนแอบอยู่ในภูเขาทำไม พวกเรามีกันสี่คน ดังนั้นนี่มันพอยิ่งกว่าพอที่จะใช้จัดการพวกเขาทั้งสอง! ศิษย์พี่หวงเยว่ล่ะ? หรือว่าเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในภูเขากับพวกท่านด้วย 

สีหน้าของอวี่เหอยิ่งดูจนปัญญา และคิ้วของฉู่เหยาก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น

ทั้งสองคนได้ซ่อนตัวในที่ลับ พร้อมที่จะลอบสังหารเจี่ยงอี้และเจ๋อหัวหลี แต่ทว่าเมื่อพวกเขาถูกเด็กสาวผู้นี้เรียกออกมา ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากเดินออกไป นี่ทำให้พวกเขาดูเหมือนกับคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่มีศักดิ์ศรี

 ข้าค้นพบเจ้าตั้งนานแล้ว ก็ในเมื่อพวกเจ้าไม่อาจซ่อนเจตจำนงสังหารที่อยู่ในหัวใจได้ ส่วนหวงเยว่นั้น ข้าได้สังหารเขาด้วยดาบของข้า  เจ๋อหัวหลีกล่าวอย่างไม่ยี่หระ

 ศิษย์น้องซังฮั่ว พวกเราเพิ่งเห็นศพของศิษย์น้องหวงเยว่ ส่วนคนอื่นๆ นั้น พวกเขาก็ตายกันหมดแล้ว มีแต่พวกเราที่ยังเหลืออยู่ พวกเขาตายอย่างสมเกียรติศักดิ์ศรีหลังจากที่ได้ต่อสู้กับพวกมารมากมาย พวกเขาเสียสละชีวิตตนเองเพื่อลากมารเหล่านั้นให้ตกตายไปด้วยกันกับพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงได้เปรียบด้านจำนวน  อวี่เหอกล่าว

นางรู้สึกจนปัญญาเมื่อคิดถึงลูกสาวของเทพซังเย่ผู้นี้ ซังฮั่วได้ชี้จุดซ่อนตัวของพวกนางอย่างชัดเจน และทำให้แผนการไม่บรรลุผล

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนได้เปรียบด้านจำนวนคน แต่มันก็ไม่มีประโยชน์มากมายนัก

กำลังฝีมือของซังฮั่วต่ำ และนางก็ยังไม่เคยผ่านด่านทดสอบเจดีย์สยบเทพเสียอีก โดยปราศจากพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ นางย่อมไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง อวี่เหอแทบจะมั่นใจว่าซังฮั่วได้ซ่อนตัวมาโดยตลอดหลังจากที่เข้าสู่สนามรบ เด็กสาวใสซื่อผู้นี้ไม่ได้พบกับศัตรูเลยสักคน จึงเป็นเหตุให้นางมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนาน

ฉินมู่ก็เป็นเด็กหนุ่มที่รู้จักแต่หลอมสร้าง เขาทำตัวบุ่มบ่าม และเอาแต่ตีเหล็กอยู่คนเดียวตั้งแต่ก่อนเข้ามาในโลกจำลองศึกทราย เขาไม่ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมฝ่ายหรือจะสำรวจดูศัตรูก็ไม่

สาเหตุที่ฉินมู่ยังคงมีชีวิตอยู่ก็คงจเพราะว่าเขาก็เป็นไอ้โคตรโชคดีเหมือนกับซังฮั่ว ยอดฝีมือมารที่มาสังหารเขาน่าจะถูกสกัดขัดขวางโดยยอดฝีมือเยาว์แห่งสวรรค์ไท่หวงระหว่างทางมา พวกเขาต่อสู้เอาชีวิตเข้าแลก และผลของมัน ทำให้เด็กนักตีเหล็กนี้ยังคงรอดชีวิตอยู่

ในความคิดของอวี่เหอ แม้จะมีฉินมู่และซังฮั่ว แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มีความช่วยเหลือจากพวกเขา ถ้าจะเอาชนะเจ๋อหัวหลีและเจี่ยงอี้ นางคงได้แต่หวังพึ่งแรงของฉู่เหยา

หวังว่าเจ้าบื้อสองคนนี้จะไม่ก่อเรื่องยุ่ง… นางคิดในใจ

ฉู่เหยามองไปที่ฉินมู่ ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น  ศิษย์พี่ฉินนักฟาดฟ่อนข้าว เจ้าไม่ตีเหล็กต่อแล้วหรือ 

ฉินมู่ยิ้มไปให้ทั้งสองคนเป็นการทักทาย และรอยยิ้มบนใบหน้าอวี่เหอก็จางหาย ฉู่เหยาเองก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ในทางกลับกัน ซังฮั่ววิ่งเขามาหาอย่างตื่นเต้นพลางถาม  กระบี่ของเจ้าเสร็จแล้วหรือ 

ฉินมู่ผงกหัวและแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับนาง  น้องสาวฮั่ว กระบี่ของข้าเสร็จแล้ว 

ดวงตาของนางลุกวาว  พลังของมันเป็นอย่างไร 

 เมื่อครู่นี้ เจ๋อหัวหลีกล่าวว่าอาจารย์ของเขาสั่งให้เขาร่ายรำเพลงมีดให้ข้าดู ดังนั้นข้าจึงยังไม่ทันมีเวลาทดสอบกระบี่ ข้าไม่รู้ว่าพลังของมันเป็นอย่างไร 

ทั้งคู่กระซิบกระซาบกันไปมาว่าจะทดสอบกระบี่อย่างไรดี อวี่เหอรู้ว่านางกำลังเผชิญกับศัตรูอันยิ่งใหญ่ และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสงบจิตใจลง เพื่อมิให้เงี่ยหูไปฟังที่พวกเขาพูดคุยกัน

สายตาของนางจับจ้องไปที่เจี่ยงอี้และเจ๋อหัวหลี และนางกล่าวด้วยเสียงต่ำ  ศิษย์น้องฉู่เหยา เจ้าจงไปรับมือกับเจี่ยงอี้ ส่วนข้าจะเผชิญหน้ากับเจ๋อหัวหลี ข้าไม่คิดว่าข้าจะเอาชนะเขาได้ แต่อาการบาดเจ็บของเจี่ยงอี้หนักหนาสาหัสกว่า ดังนั้นรีบๆ กำจัดเขาและมาช่วยข้า! 

ฉู่เหยาสูดลมหายใจลึกและกล่าวอย่างเคร่งขรึม  ศิษย์พี่หญิง ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้ข้าจัดการเจี่ยงอี้เอง! 

สายตาของเจ๋อหัวหลีไหววูบ และเขากล่าวด้วยเสียงต่ำ  ศิษย์พี่เจี่ยงอี้ เจ้าจะเลือกคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งหรือที่อ่อนแอ 

 ใช้อ่อนแอพัวพันแข็งแกร่งเอาไว้ และใช้แข็งแกร่งโจมตีอ่อนแอ นี่คือพิชัยยุทธ! 

เจี่ยงอี้หัวเราะ และความห้าวหาญของเขาก็พวยพุ่งไปถึงชั้นเมฆ  ข้าจะไปขัดขวางผู้แข็งแกร่ง และเจ้าก็จะไปสังหารผู้อ่อนแอ หลังจากนั้น พวกเราสองเฮียตี๋ก็จะสามารถเอาชัยชนะมาได้! 

เจ๋อหัวหลีมีสีหน้าเศร้าโศก  อาการบาดเจ็บของเจ้าหนักหนาสาหัส เจ้าอาจจะตาย 

 อย่าดูเบาข้าไป ข้าร่ำเรียนกับมารเที่ยงแท้สวีโม่ และยังไม่ทันได้ขับเคลื่อนวิชาบูชายัญมารฟ้าของข้า  เจี่ยงอี้หัวเราะร่า  ไม่ต้องห่วง ข้าจะรอดกลับมาแน่นอน! 

เขาก้าวอาดๆ ไปยังฉินมู่

อวี่เหอและฉู่เหยาตกตะลึง เจี่ยงอี้พูดอยู่ชัดๆ ว่าเขาจะไปพัวพันศัตรูที่แข็งแกร่งเอาไว้ และให้เจ๋อหัวหลีใช้ช่วงเวลานั้นสังหารผู้อ่อนแอ แล้วทำไมเขาถึงเดินตรงไปยังฉินมู่

หรือว่ามารพวกนี้บ้าไปแล้ว และคิดไปว่าฉินมู่คือผู้แข็งแกร่ง ส่วนพวกนางคือผู้อ่อนแอ?

 ระวังลูกไม้ตบตา  อวี่เหอกระซิบด้วยเสียงเบา

ฉู่เหยาผงกหัวและมองไปยังเจ๋อหัวหลีที่เดินตรงเข้ามา

อีกฟากหนึ่ง ฉินมู่มองไปเจี่ยงอี้และขมวดคิ้วเล็กน้อย  น้องสาวฮั่ว รอสักประเดี๋ยว ให้ข้าทดสอบกระบี่สักหน่อย 

ซังฮั่วก้าวถอยออกไป และฉินมู่ก็แตะนิ้วลงที่หว่างคิ้วของตนเอง ไจกระบี่ลอยขึ้น และเข้ามายังใกล้ๆ หน้าผากของเขา

ทันใดนั้น เสียงของฟู่ยื่อลัวก็ดังมาจากนอกอวกาศ และก้องสะท้อนไปทั่วโลกจำลองศึกทราย  พวกเราแพ้แล้ว ยอมสละเมืองหลี พวกเจ้าหยุดมือก่อน! 

ไม่ว่าจะในหรือนอกโลกจำลองศึกทราย ทุกคนก็ตกตะลึง แม้แต่ทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวงก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแกมยินดี

สีหน้าของเจี่ยงอี้เต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู และเขาเงยหน้าขึ้นตะโกนไป  ข้ายังไม่ทันถูกสังหาร แล้วทำไมท่านถึงกล่าวว่าพวกเราแพ้แล้ว ฟู่ยื่อลัว ข้าไม่ยอมรับคำสั่งของท่าน! 

ที่นอกอวกาศเหนือชั้นฟ้า ใบหน้าของฟู่ยื่อลัวเข้ามาปิดเต็มทั้งท้องฟ้า และมองลงมายังเขาอย่างเย็นเยียบ  เด็กร้ายกาจ เจ้าไม่รู้จักดีชั่วสำหรับตัวเจ้าเอง สวีโม่ จัดการลูกศิษย์เจ้าด้วย ให้เขารีบเอ่ยปากยอมแพ้ จะได้เอาตัวออกมา! 

มารเที่ยงแท้สวีโม่ขมวดคิ้วและกล่าว  เจี่ยงอี้ นับเสียว่าเราพ่ายแพ้ในรอบนี้ เอ่ยปากยอมแพ้พร้อมกับเจ๋อหัวหลีซะ 

เจี่ยงอี้ไม่อาจควบคุมโทสะของตนเองได้และตะโกนออกไป  พี่น้องของพวกเราสละชีวิตไปตั้งมากมายกว่าจะยึดครองเมืองหลีนี่ได้ และท่านจะให้ข้าผละจากไปเสียแบบนี้หรือ อาจารย์ ท่านอาจจะยินยอม แต่ข้าทำใจไม่ได้! 

สวีโม่จนปัญญาและกล่าวกับฟู่ยื่อลัว  ศิษย์พี่ ข้ารู้ว่าปัญญาญาณของท่านไร้ปานเปรียบ แต่จะยอมแพ้และละทิ้งเมืองหลีไปเสียอย่างนี้คงจะไม่ดีหรอก จริงไหม 

ฟู่ยื่อลัวมองไปที่เขาอย่างเย็นชา  ละทิ้งเมืองหลียังดีกว่าละทิ้งชีวิตของศิษย์ของพวกเรา พวกเราได้พ่ายแพ้ในศึกนี้แล้ว… 

 บูชายัญมารฟ้า!  เจี่ยงอี้คำราม และพลังวัตรทั้งหมดของเขาก็แผ่พุ่งไป ในพริบตา ทะเลเลือดในโลกจำลองศึกทรายก็สั่นสะเทือน ศพเน่าเปื่อยมากมายพลันก่ายกองขึ้นมาก่อเป็นแท่นสังเวยยักษ์ที่กอปรจากเลือดและเนื้อ เจี่ยงอี้ยืนอยู่บนนั้นก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าใส่ฉินมู่พลางตะโกนไปอย่างดุดัน  ข้าไม่มีทางตาย เผ่ามารไม่มีวันพ่ายแพ้! 

แสงกระบี่พุ่งกรีดอากาศ ทำให้ผู้ชมดูตะลึงลาน มันฉีกผ่านทะเลโลหิต และพุ่งวาบผ่านหว่างคิ้วของมารหนุ่ม แสงกระบี่คลี่คลุมนภากาศในรัศมีสิบลี้

ฉินมู่ลดนิ้วกระบี่ของเขาลงจากหว่างคิ้ว และแสงกระบี่เหล่านั้นก็หดกลับมาเป็นไจกระบี่อันโบยบินคืน

 เจ๋อหัวหลี กระบวนท่านี้เรียกว่า ริเริ่มภัยพิบัติ  เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย  เจ๋อหัวหลี เจ้าสามารถนำศพนี้กลับไปให้อาจารย์ของเจ้าชมดูเพลงกระบี่ของข้า 

เจ๋อหัวหลีมองซากร่างที่ร่วงลงมาจากแท่นสังเวย ความเกลียดแค้นระเบิดออกมาในดวงตาของเขา และน้ำตาโลหิตสองสายก็หลั่งไหลลงมาอาบแก้ม รัศมีของเขากลายเป็นเดือดพล่านเช่นกัน เส้นผมของเขากระพือขึ้นไปด้วยความโกรธจัด และเขาหยุดกรีดร้องไม่ได้

 ยอมแพ้เสีย!  เสียงของฟู่ยื่อลัวดังมาจากนอกโลก  เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสี่คนนี้! 

……………….

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท