ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 542 สอดคล้องกับกฎสวรรค์

ตอนที่ 542 สอดคล้องกับกฎสวรรค์

แม้ว่าฉินมู่จะดึงจี้หยกออกมา แต่เขาก็ไม่ถอดมันออก เขากล่าวด้วยความลังเล  ท้าวยมราชกล่าวว่า จี้หยกนี้ใช้สยบสันดานมารในร่างของข้า และข้าไม่อาจแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้โดยง่าย หากว่าจี้หยกนี้ออกไปห่างไกลจากร่างกายของข้า ก็จะเกิดเรื่องร้ายขึ้นมา 

นักบุญคนตัดไม้ส่ายหน้า  มีข้าอยู่ใกล้ๆ จะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นมาได้ มันก็คงเป็นแค่ลูกไม้ตุกติกเล็กน้อยอย่างคำสาปบางอย่าง หรือสายฟ้าฟาด อันไม่นับเป็นอะไรสำหรับข้า 

ฉินมู่กัดฟันและถอดจี้หยกออกมา ในอดีต ข้าได้ถอดจี้หยก และแสดงให้คนอื่นๆ ในหมู่บ้านชมดู เขาก็ได้เผยมันให้น้องสาวจิ่งดูเช่นกันและไม่เห็นเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นมา คราวนี้ก็ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน

นักบุญคนตัดไม้รับจี้หยกมา เขาเพ่งสายตาลงไปบนนั้นและผงกหัว  มันเป็นจี้หยกของทายาทจักรพรรดิก่อตั้งจริงๆ เอ๋ แต่นี่ดูเหมือนไม่เหมือนกับอันอื่นๆ มันมีวงจรพยุหะปิดผนึกซ่อนอยู่ลึกๆ ข้างใน หรือว่ามันจะเป็นวงจรพยุหะที่ใช้ปิดผนึกสันดานมารของเจ้า 

 มีใครบางคนได้นำข้าออกมาจากแดนใต้พิภพมายังแดนโบราณวินาศ และท่านยายซีก็เก็บข้าได้ ข้างๆ ตัวข้ามีตะกร้า ผ้าอ้อม และจี้หยกนี้เท่านั้น บุคคลที่ส่งข้ามาได้ตายไปจากอาการบาดเจ็บสาหัสแล้ว… 

ฉินมู่สีหน้าหมองลงและกล่าวต่อ  ท่านยายซีเป็นธิดาเทพแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้า และก็เป็นนางที่เลี้ยงข้ามาจนเติบใหญ่ จี้หยกอันนี้ติดตัวข้ามาโดยตลอด ท่านยายซีและคนอื่นๆ ไม่พบประโยชน์ใช้สอยอื่นของมันนอกจากขับไล่ความมืดของแดนโบราณวินาศให้ล่าถอยไป แต่ทว่ามันใหญ่พอแค่จะปกป้องทารกคนหนึ่งเท่านั้น 

 หลังจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็ได้ค้นพบว่าจี้หยกนี้มีความสามารถที่จะนำทางพวกเราไปยังหมู่บ้านไร้กังวล ทว่ามันเป็นเพียงแค่กับดัก จี้หยกได้นำทางพวกเราไปยังแดนยมโลก และพวกเราก็ปะทะเข้ากับมารเทวะที่ดักซุ่มรออยู่ข้างนอกเมืองยมโลก 

 มันมีความลับซ่อนอยู่อีกจริงๆ  นักบุญคนตัดไม้พลิกจี้หยกไปมาจนกระทั่งสายตาของเขาผิดประหลาด  จี้หยกนี้มิได้เพียงแค่สามารถนำทางเจ้าไปยังหมู่บ้านไร้กังวล แต่ยังสามารถนำทางเจ้าไปยังแดนใต้พิภพ ก็ในเมื่อมันถูกหลอมสร้างขึ้นมาที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่หลอมสร้างมันยังแข็งแกร่งอย่างมหันต์ แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าข้า แปลกจริง ผนึกที่แข็งแกร่งขนาดนี้ มันกำลังพยายามจะปิดผนึกอะไรเอาไว้ 

สายตาของเขาวูบไหวเมื่อความสงสัยทวีขึ้นมา  เมื่อข้าสะกดข่มพยุหะปิดผนึกในจี้หยกนี่ได้ ข้าก็จะได้รู้ว่าอะไรที่ถูกปิดผนึกเอาไว้… 

ฉินมู่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เมื่อท้าวยมราชพยายามทำแบบเดียวกันนี้ เขาได้สิ้นสติไป และไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น

เขานั้นก็สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าจี้หยกนี้ปิดผนึกสิ่งใดไว้กันแน่ และจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากคลายผนึก

นักบุญคนตัดไม้มองไปที่สีหน้าของเขา และพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงยัดจี้หยกกลับใส่ในมือฉินมู่

เด็กหนุ่มงุนงง

 บุคคลที่หลอมสร้างจี้หยกนี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง และน่าจะเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนใต้พิภพ อันเป็นดินแดนลึกลับที่น้อยคนนักจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน แม้แต่จักรพรรดิก่อตั้งก็ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือมากเท่าไรที่เร้นกายอยู่ในแดนใต้พิภพ  นักบุญคนตัดไม้กล่าว

 การที่จี้หยกนี้อยู่ติดกายเจ้ามันจะต้องมีเหตุผลอยู่เป็นแน่ ข้าคิดว่าพวกเราไม่หยั่งเข้าไปดูจะดีกว่า ในเมื่อท้าวยมราชบอกว่าอย่าให้จี้หยกนี้ออกไปห่างจากตัวเจ้า เจ้าก็จงทำตามที่เขาบอก 

เขาอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาสยบพยุหะปิดผนึกในจี้หยกแล้ว แต่เขาทนข่มมันเอาไว้

ฉินมู่จึงได้แต่รับจี้หยกของตนกลับมา และห้อยมันไว้ที่คอเหมือนเดิม

ในตอนนั้น ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงที่เข้ามาในเมืองหลี และซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย ก่อสร้างสิ่งป้องกันเมือง ฉินมู่มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นอาวุธอย่างปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน

แม้ว่ากำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงจะแข็งแกร่งสุดๆ และเหนือกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ระดับชั้นหนึ่ง แต่พีชคณิตของพวกเขาอ่อนแอเป็นอย่างมาก อาวุธอย่างปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน ต้องอาศัยความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่ง ดังนั้นผู้คนพวกนี้จึงไม่สามารถหลอมสร้างพวกมันขึ้นมาได้

ต่อให้ฉินมู่วาดพิมพ์เขียวและมอบให้แก่พวกเขา พวกเขาก็คงจะไม่สามารถหลอมสร้างมันขึ้นมา มีก็แต่จักรวรรดิสันตินิรันดร์อันพรักพร้อมไปด้วยผู้เชี่ยวชาญเชิงพีชคณิตเท่านั้นถึงจะทำมันได้

 เจ้ามายังสวรรค์ไท่หวงได้อย่างไร  นักบุญคนตัดไม้ถาม

ฉินมู่บอกเล่าเขาอย่างสังเขปว่าเขาได้เปรียนวิธีการบูชายัญโลหิตและแลกเปลี่ยนตัวเขากับแม่ทัพมารตนหนึ่ง ขนส่งตัวเขาเข้ามาในสวรรค์ไท่หวง นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว  บุ่มบ่ามจริงๆ ไปแลกเปลี่ยนตัวเจ้าเองกับบุคคลในค่ายทัพศัตรู เจ้าไม่กลัวตายบ้างหรืออย่างไร 

ฉินมู่สูดลมหายใจลึกและกล่าวอย่างเคร่งขรึม  เพื่อเอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง! ครูบาศักดิ์สิทธิ์สอนข้าได้หรือไม่ ในวิธีการฝึกปรือเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์ 

นักบุญคนตัดไม้อึ้งไปเล็กน้อย  เจ้าต้องการจะฝึกปรือเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์ และเอาชนะคนหนีทัพผู้นั้นแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์งั้นรึ 

ฉินมู่ผงกหัวอย่างเคร่งขรึม

นักบุญคนตัดไม้แย้มยิ้ม  เจ้าไม่รู้ปูมหลังที่มาของเขาสินะ? 

ฉินมู่หน้าเซ่อ

 เจ้าและเขาเหมือนๆ กัน พวกเจ้าทั้งคู่แซ่ฉิน และต่างก็เป็นศิษย์ของข้า ฟู่ยื่อลัวเรียกข้าว่าครูบาสวรรค์อันหมายถึงครูบาที่กระทำการสอดคล้องกับกฎสวรรค์ และยังเป็นครูบาของโอรสสวรรค์อีกด้วย ทว่าจริงๆ แล้วข้าเป็นเพียงครูคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อครั้งกระโน้น ด้วยคำบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้ง ข้าสั่งสอนองค์ชายมากมาย และหนึ่งในองค์ชายเหล่านั้นคือคนหนีทัพแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ 

นักบุญคนตัดไม้เดินตรงไปยังประตูทิศตะวันออกของเมืองหลีพลางหวนรำลึกถึงอดีต สายตาของเขาดูขมุกขมัว

 องค์ชายผู้นี้มีพรสวรรค์อันเหนือธรรมดา และปฏิภาณของเขาก็สูงลิ่ว แต่ทว่า เมื่อภัยพิบัติปะทุขึ้นมา และสภาสวรรค์ก็จมปลักลงไปในการสงคราม องค์ชายนี้หวาดกลัวความตายและหลบหนีไป ด้วยความบังเอิญหรือฟ้าลิขิตก็ตาม เขาได้ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนหนึ่ง และได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์มนุษย์ 

 ข้าเองก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเขาจึงมาขอเข้าพบข้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ข้าไม่ต้องการพบเขา หลังจากนั้นข้าก็จำศีลแปลงเป็นรูปสลักหินขณะที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าท่องไปทั่วโลกหล้าเพื่อค้นหาคำตอบต่างๆ ดังนั้นข้าจึงมิได้พบเห็นเขาอีก เจ้าคิดจะเอาชนะเขา คงจะยากมากๆ 

ฉินมู่กำหมัดแน่นและกล่าวด้วยเสียงอันดัง  แต่ถึงอย่างไร ครูบาศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องมีหนทางใช่ไหม 

นักบุญคนตัดไม้เดินขึ้นไปบนกำแพงเมืองสูง ในเมื่อพวกเขาจำเป็นต้องป้องกันการรุกรานของเหล่ามาร ป้อมปราการเมืองทั้งหมดก็ถูกปลูกสร้างไว้อย่างสูงลิ่ว ดังนั้นการปีนขึ้นไปบนป้อมสักป้อมก็ไม่ต่างอะไรกับการปีนขึ้นภูเขา

 ข้าเคยสอนเขามาก่อน และพรสวรรค์กับปฏิภาณของเขาล้ำเลิศที่สุดท่ามกลางองค์ชายทั้งหมดที่ข้าได้สอนสั่งมา เขาสามารถสำเร็จทักษะเทวะใดๆ ได้แม้เพิ่งเรียนรู้มัน และปฏิภาณความเข้าใจหนึ่งของเขาก็เทียบได้กับร้อยคน เขาเคารพครูของเขา และให้ความสำคัญกับการสั่งสอน แม้ว่าข้าจะหมิ่นแคลนที่เขาหนีทัพ แต่ข้าก็ยังชื่นชมเขาเป็นอย่างยิ่ง หากว่าเจ้าต้องการจะเอาชนะเขา การหวังพึ่งให้ข้าสอนแต่อย่างเดียวก็คงจะไร้ประโยชน์ 

นักบุญคนตัดไม้เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ ราวกับปุถุชนธรรมดา โดยไม่ใช้ทักษะเทวะใด  ข้าเป็นครูของจักรพรรดิก่อตั้ง และมีชื่อเสียงว่าครูบาสวรรค์ ในแง่ของกำลังการต่อสู้แล้ว ข้ามิใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น ในทางตรงข้าม กำลังการต่อสู้ของข้านับได้เพียงชั้นกลางๆ เท่านั้น หากว่าข้าสอนเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถเหนือล้ำกว่าคนหนีทัพไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น  เขาแย้มยิ้ม  ไม่ใช่ว่าข้าก็สอนเจ้าไปแล้วหรอกหรือ 

ฉินมู่ตกตะลึง ความหมายของเขาก็คือการสั่งสอนบนอาสนะหิน ดังนั้นถ้าพูดตามเหตุตามผล นักบุญคนตัดไม้ก็ได้สอนเขาไปแล้ว แต่ทว่า ฉินมู่ก็ยังขัดเคืองกับการที่นับอันนั้นเป็นการสั่งสอน

นักบุญคนตัดไม้มีทักษะเทวะที่ทรงพลังมากกว่านั้นชัดๆ ในสนามรบ ฉินมู่ได้พบกับฟู่อวี่เซียวและเกือบถูกฝ่ายตรงข้ามสังหาร หากว่าไม่เพราะนักบุญคนตัดไม้ขับเคลื่อนกระบวนท่าให้ฉินมู่เรียนรู้และสามารถหลบหนีจากอันตรายไปได้

ในเมื่อเขามีทักษะเทวะที่ทรงพลังมากกว่านั้น ทำไมเขาถึงไม่ยินดีที่จะสอนสั่ง

ฉินมู่อยากเรียนรู้วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่ทำให้เขาสามารถกลายเป็นเทพเจ้าเยาว์ได้ เขาอยากที่จะร้อยรัดกายเนื้อให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อก้าวล้ำไปกว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกในขั้นวรยุทธเดียวกัน เพื่อซัดให้คว่ำจมโคลน หักกระดูกเขาและทำให้เขากระอักเลือดออกมา เขาอยากจะกระทืบอีกฝ่ายจนกระทั่งต้องคุกเข่าลงกับพื้นและวิงวอนขอความเมตตา จนกว่าบรรพชนแรกจะโขกศีรษะและกล่าวขออภัยต่ออดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลาย!

 หากข้าสอนทักษะเทวะของข้าแก่เจ้า เจ้าก็จะไม่เค้นสมองตรึกตรองเข้าใจกระบี่ภัยพิบัติ กระบี่ริเริ่มภัยพิบัติเป็นสิ่งที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง แต่ข้าไม่อาจสอนเจ้าในสิ่งนั้นได้ 

นักบุญคนตัดไม้ขึ้นไปบนป้อมปราการเมืองและนั่งลง เขาตบลงกับขั้นบันไดข้างๆ ตนและเรียกฉินมู่ให้เข้ามานั่งด้วยเช่นเดียวกัน

ฉินมู่นั่งลงบนพื้นผิวอันเย็นเฉียบราวน้ำแข็งนั้น

เขาหันกลับไปและเห็นเสือเทพยดาขนดำยืนอยู่ข้างใต้ป้อมปราการเมือง มิได้ขึ้นมาด้วย

 ทักษะเทวะทั้งหมดที่ข้ารู้ล้วนแต่ซ่อนเอาไว้ในคัมภีร์ เจ้าเพียงแต่ต้องใช้หัวใจของเจ้าตรึกตรองมันออกมา และเจ้าก็จะสามารถเรียนรู้พวกมันได้ คัมภีร์เหล่านั้นจักรพรรดิก่อตั้งสอนข้ามาอีกที 

 สิ่งที่ข้าเรียนรู้นั้นมากมายและหลากหลายอย่างเหลือแสน ดังนั้นต่อให้ข้าได้รับสุดยอดวิชาของจักรพรรดิก่อตั้งมา ข้าก็ยังไม่อาจรุดหน้าไปอีกขั้นได้ ข้ายังคงนับว่าเป็นเพียงเทพและมารที่มีฝีมือระดับกลางๆ เท่านั้น  นักบุญคนตัดไม้อธิบาย  ในเวลาไม่นาน ข้าก็ตระหนักว่าการเรียนรู้หลายสิ่งมากเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี มาสิ มาดูดวงอาทิตย์ขึ้นกัน 

 ดวงอาทิตย์ขึ้น? 

หางตาของฉินมู่กระตุกเมื่อเขามองไปยังท้องฟ้า ดวงตะวันแตกๆ หักๆค่อยๆ ส่องแสงสีแดงเรื่อออกมา รูปร่างพิกลพิการของมันบาดตาเขาเป็นอย่างยิ่ง

ใบหน้าเขามืดดำทันที และเขาก็รีบเบือนหน้าหนี เขารีบสะกดความอยากทุบทำลายในหัวใจเอาไว้ ข้างๆ เขา นักบุญคนตัดไม้ก็สีหน้ามืดดำ และก้มหน้าลง

ดวงอาทิตย์ขึ้นของสวรรค์ไท่หวงได้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเหมือนกับนั่งบนพรมเข็ม พวกเขาล้วนแต่รู้สึกทุรนทุราย

ฉินมู่เป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า และเชี่ยวชาญเชิงพีชคณิต เขาเรียนวิชาช่างไม้จากเฒ่าหม่าและหวังความสมบูรณ์แบบจากงานฝีมือทุกชนิด แม้แต่เครื่องเรือนที่ท่านยายซีทำมากระโดกกระเดก ฉินมู่ก็ตามแก้ให้จนหมด แล้วดวงตะอาทิตย์อันอัปลักษณ์จนเกินจะทนดูนี่เขาจะปล่อยไปได้อย่างไร

ลัทธิมารฟ้าก็มีโถงงานฝีมือ และโถงวิศวกรรมอันล้วนแต่มีมาตรฐานที่เข้มงวดในการรังสรรค์ชิ้นงาน ทั้งสองโถงนั้นมาจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตอันแตกแขนงออกมาจากวิชาในการคำนวณและหัตถการต่างๆ ในคัมภีร์ คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตได้รับถ่ายทอดมาจากนักบุญคนตัดไม้ ดังนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขามีความสำเร็จอันน่าตื่นตะลึงในเชิงพีชคณิตด้วยเช่นกัน

ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงภูมิใจเป็นอย่างยิ่งว่าดวงตะวันบนฟากฟ้านั้นหลอมสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือเทพเจ้าของพวกเขา แต่สำหรับสองคนนี้ ดวงตะวันเป็นสิ่งอุบาทว์สายตา

บนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์อีกซีกก็ส่องสว่างขึ้นมาด้วยเช่นกัน และดวงตะวันทั้งสองดวงก็แขวนห้อยอยู่ตรงนั้นโดยไม่กระดุกกระดิก

หางตาของนักบุญคนตัดไม้กระตุก และเขาพยายามฝืนตัวเอาไว้ไม่ให้เงยหน้าขึ้นไปมอง  พวกที่อยู่ในสวรรค์ไท่หวงลืมวิชาช่างงานฝีมือทั้งหมดเสียแล้ว! 

 เทพที่หลอมสร้างดวงตะวันนี้ เรียกว่าผู้สร้างตะวัน  ฉินมู่กล่าวด้วยใบหน้าก้มลง

 บ๊ะ! ผู้สร้างตะวันอะไร ข้ารู้จักหมอนั่น! เขาก็เป็นแค่พ่อครัวคนหนึ่งในสภาสวรรค์! 

ฉินมู่ตะลึง

นักบุญคนตัดไม้ลุกขึ้นยืนและกล่าว  เจ้าจะต้องตรึกตรองเข้าใจวิธีการในการกลายเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์ด้วยตนเอง มันจะดีกว่าให้ข้าสอนเจ้า สิ่งที่ข้าสอนถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ของข้า แต่สิ่งที่เจ้าตรึกตรองเองมันจะเหมาะสมกับตัวเจ้าที่สุด ข้าจะพาเจ้าไปที่ประตู แต่เจ้าจะต้องเดินเส้นทางที่เหลือทั้งหมดด้วยตัวเจ้าเอง 

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ไกลๆ ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตกของเมืองหลียังคงมีปราณมารลอยคละคลุ้ง ราวกับว่ามีฝาหม้อใหญ่ครอบทับฟ้าและดินเอาไว้  ข้ามาที่สวรรค์ไท่หวงในคราวนี้เพียงเพื่อจะหยุดยั้งเหล่ามารมิให้บูชายัญสวรรค์ไท่หวง ฟู่ยื่อลัวเป็นแม่ทัพที่ปรีชาสามารถ และถอยทัพไปเพราะว่าเขาไม่มีพละกำลังมากพอที่จะรับมือกับการมาเยือนโดยฉับพลันของข้าได้ ในครั้งถัดไปที่เขามาอีก เขาก็จะจู่โจมด้วยฤทธานุภาพสะท้านฟ้าดิน! 

ฉินมู่หัวใจสะดุ้งด้วยความแตกตื่นและรีบถาม  สวรรค์ไท่หวงจะขัดขวางมันเอาไว้ได้ไหม 

ตูม!

พื้นดินสั่นสะเทือน และฉินมู่รีบมองไปยังที่มาเสียง ในสนามรบที่ห่างไกลออกไป ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงกำลังสุมกองซากศพของมารและมนุษย์ที่ตกตายลงในการศึก เปลี่ยนพวกมันให้เป็นภูเขาซากศพ

ทันใดนั้น พื้นดินก็แยกออกจากกัน และแท่นสังเวยยักษ์ก็ค่อยๆ ผุดโผล่ขึ้นมาจากนั้น แสงเรืองของการบูชายัญเลือดสาดส่อง และลำแสงสีแดงฉานก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ข้างในนั้น ปรากฏรูปสลักหินขึ้นมา

ตูม ตูม คลื่นสะเทือนรุนแรงส่งมาถึงพวกเขาเมื่อสนามรบสะท้านสะเทือนอย่างไม่หยุดนิ่ง ยิ่งปรากฏแท่นสังเวยมากขึ้นและมากขึ้น

บนแท่นสังเวยเหล่านั้น ลำแสงสีแดงที่เหมือนกับหอคอยสูงพวยพุ่งขึ้นสู่เวหา และรูปสลักหินก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนแท่นสังเวย!

ความหมายมาดมุ่งหวังท่วมท้นฉินมู่ และเขามองไปที่นักบุญคนตัดไม้ คาดหวังคำตอบ

 พวกเราขัดขวางไม่ได้  นักบุญคนตัดไม้เหมือนกับราดน้ำเย็นเฉียบลงบนหัวฉินมู่  พวกเราเพียงแค่ถ่วงเวลาได้สักระยะหนึ่งเท่านั้น 

…………..

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน