ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 546 การเชื่อมต่อระหว่างสองโลก

ตอนที่ 546 การเชื่อมต่อระหว่างสองโลก

ฉินมู่ระบายลมหายใจยาว ได้เห็นราชครูสันตินิรันดร์อุ่นใจเหมือนได้เห็นสมาชิกครอบครัว ชายผู้นี้ถึงกับมายังสวรรค์ไท่หวงจากแดนโบราณวินาศ และได้ทดสอบการใช้งานได้ของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เขานั้นมาสนับสนุนได้อย่างทันเวลา!

ไม่เช่นนั้น ก็คงยากที่จะกล่าวว่า พวกเขาทั้งหลายจะแข็งทื่อกันอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน

ถึงอย่างไร ฉินมู่ก็ไม่กล้าเข้าไปในสะพานด้วยตนเองเพื่อทดสอบดูว่ามันปลอดภัยหรือไม่ ทั้งเขาและเทพเสือขนดำกังวลว่าพวกเขาอาจจะถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ หากว่ามีความผิดพลาดในการออกแบบ

โชคดีว่า ราชครูสันตินิรันดร์มา

ความกังวลใหญ่หลวงของพวกเขาก็คือว่าพวกเขาได้ทำลายดวงตะวันไป และหากว่าสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็ใช้งานไม่ได้อีก ผู้ฝึกวิชาเทวะและทวยเทพทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวง หากว่าไม่กระทืบพวกเขาจนตาย ก็หยอดน้ำข้าวต้ม

โชคดีว่า ราชครูสันตินิรันดร์มาที่นี่

 ดวงตะวันบนท้องฟ้า…  ราชครูสันตินิรันดร์เงยหน้าขึ้นมองดวงตะวันที่แหว่งไปข้างหนึ่งและรีบเบือนหน้าหนีไป เขาตั้งสติตนเองก่อนจะถาม  จ้าวลัทธิ ที่นี่คือที่ใด สหายเต๋าเหล่านี้คือ? 

 มาได้เวลาเลย ราชครู!  ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงอันดัง  ทุกท่าน ให้ข้าแนะนำสักหน่อย! นี่คืออัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี ราชครูแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ให้พูดกันจริงๆ แล้ว สะพานเทวะในสมบัติเทวะของผู้คนแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ขาดสะบั้น และราชครูก็เป็นบุคคลแรกที่ฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะ เขานั้นยังเป็นผู้นำการปฏิรูปแห่งสันตินิรันดร์อีกด้วย! ราชครู นี่คือสวรรค์ไท่หวง สรวงสวรรค์แรกแห่งสามสิบสามสรวงสวรรค์ และบุคคลที่อยู่บนท้องฟ้าคือเทพเที่ยงแท้ผางอวี้! 

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้และทวยเทพอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจ พวกเขารีบเหินลงมาและคารวะทักทายราชครูสันตินิรันดร์ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม  ที่แท้ก็เป็นอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์อันปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี! เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้พบกับเจ้า! ว่ากันตามจริงแล้ว ครั้งหนึ่งข้าก็เคยได้ยินตำนานของอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี แต่คิดไปว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าขานประหลาดๆ เท่านั้น ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบบุคคลจริง! 

ราชครูสันตินิรันดร์คารวะกลับไปและกล่าวอย่างถ่อมตน  พี่ทางเต๋าสุภาพเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงคนตัวเล็กตัวน้อยจากชนบทห่างไกลที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อนเท่านั้น ที่เรียกๆ กันว่าอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์อันปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีนั้น เป็นเพียงคำยกยอของผู้คนในประเทศเล็กๆ ของข้า 

ผางอวี้หัวเราะร่าและส่ายหัว  ราชครูเข้าใจผิดแล้ว! หากว่าโลกของท่านเป็นเพียงชนบทห่างไกล อย่างนั้นสวรรค์ไท่หวงของพวกข้าก็ยิ่งย่ำแย่ไปใหญ่ ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ทั้งหมดล้วนแต่ตั้งอยู่บนสถานที่ที่พวกเจ้าอยู่ สาเหตุที่สวรรค์ไท่หวงได้ต่อสู้กับเผ่ามารอย่างเลือดตากระเด็นกว่าสองหมื่นปีนั้นก็เพียงเพื่อป้องกันโลกของพวกเจ้า 

ราชครูสันตินิรันดร์สะท้านใจอย่างรุนแรง และสีหน้าของฉินมู่ก็ตะลึงงัน พวกเขาไม่คาดคิดว่าเทพเที่ยงแท้ผางอวี้จะกล่าวอะไรเช่นนั้น

ในถ้อยคำของเขามีข้อมูลมากเกินไป และทั้งสองบุรุษก็ต้องอาศัยเวลาในการคิดใคร่ครวญมัน

 สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ได้สถาปนาการเชื่อมต่อระหว่างสองโลก อันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับสวรรค์ไท่หวงของพวกข้า หากว่าพวกเราไม่อาจต้านยันได้อีกต่อไป พวกเราก็จะถนอมกำลังทั้งหมดเพื่อมุ่งหน้าไปยังสภาสวรรค์ 

ผางอวี้โค้งกายคารวะแก่ฉินมู่และกล่าวอย่างจริงใจ  ไม่ว่าสหายน้อยฉินจะหลอมสร้างดวงตะวันอีกสองดวงขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่ สวรรค์ไท่หวงของข้าก็จะจดจำความกรุณานี้ของเจ้า! 

ฉินมู่รีบคารวะกลับไปทันที  เทพเที่ยงแท้สุภาพเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าพึงกระทำ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องจดจำใส่ใจ 

ราชครูสันตินิรันดร์เหลียวคอไปรอบๆ และมองไปยังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณอันซับซ้อนพิสดารกับแท่นสังเวยนั้น เขาถอนหายใจด้วยความชื่นชม  ย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ นี่เป็นสิ่งที่จ้าวลัทธิสร้างขึ้นมาจริงๆ ข้าเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในปรากฏการณ์บนฟากฟ้า และที่พื้นดินก็เกิดผุดแท่นสังเวยมหึมาขึ้น สะพานแสงอันเหมือนกับปล่องไฟสองปล่องเชื่อมต่อกัน และข้าก็สงสัยไปว่ามารที่ไหนทะลุทะลวงมายังสันตินิรันดร์เพื่อก่อความวุ่นวาย 

 เมื่อข้ามาที่แท่นสังเวยและชมดู ข้าเห็นงานฝีมืออันมหัศจรรย์ พีชคณิตที่ใช้นั้นเหนือธรรมดา อาศัยการแลกเปลี่ยนพลังจิตวิญญาณและการย้ายสลับพลังจิตวิญยาณ ข้าสงสัยใคร่รู้จึงเดินเข้ามาเพื่อชมดู และกลายเป็นว่าที่แท้ก็คือจ้าวลัทธิจริงๆ ที่มีความคิดอันเพริศแพร้วอัศจรรย์เช่นนี้ 

ฉินมู่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่งและกล่าวอย่างถ่อมตน  ราชครูชมข้าเกินไปแล้ว นี่จะต้องขอบคุณพี่เสือเสียมากกว่า 

เขาแนะนำราชครูสันตินิรันดร์ให้แก่เทพเจ้าทั้งหมด และกล่าวอย่างมีนัยลึกล้ำ  ราชครู นักบุญคนตัดไม้ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ในสวรรค์ไท่หวง 

 นักบุญคนตัดไม้! 

หัวใจของราชครูสะท้านสะเทือนด้วยความเร่งร้อน สาเหตุที่เขาริเริ่มการปฏิรูปนั้นก็เพราะว่าวลีหนึ่งจากลัทธินักบุญสวรรค์–เพื่อยังประโยชน์แก่กิจวัตรของผู้คนทั่วไป

มรรคาแห่งนักบุญคือสิ่งที่เขาไล่ตามเสาะแสวงมาตลอดทั้งชีวิต!

และเพื่อที่จะบรรลุเป็นนักบุญ เขาก็จะต้องสถาปนาคุณธรรม กุศล และความคิดในนิพนธ์ขึ้นมาเสียก่อน นั่นคือสิ่งที่เขาได้กระทำ

เขาหมายที่จะได้พบกับผู้อาวุโสอันชักนำเขามาสู้เส้นทางแห่งการปฏิรูป

ยากนักที่ฉินมู่จะได้เห็นเขาว้าวุ่นกระวนกระวาย และก็จึงแย้มยิ้มออกมา  ตอนนี้นักบุญคนตัดไม้มิได้อยู่ที่นี่ แต่กำลังต่อสู้กับเผ่ามารพร้อมกับเทพอีกยี่สิบสี่ตน ราชครู เจ้าเพิ่งจะมาถึงและยังไม่เข้าใจสวรรค์ไท่หวง หลังจากที่ข้าบอกเล่าเจ้าทุกสิ่งทุกอย่าง เจ้าก็จะได้รู้ว่าสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณนี้มหัศจรรย์มากแค่ไหน 

จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมอย่างมีนัย  มรดกยุทธแห่งสวรรค์ไท่หวงในด้านมรรคาและวิชาไม่เคยขาดสะบั้น 

 อะไรนะ  สีหน้าไม่เชื่อหูเกลื่อนกล่นไปทั้งใบหน้าของราชครูสันตินิรันดร์และเขาก็ร้องออกมา  มรดกยุทธในด้านมรรคาและวิชาที่นี่ไม่เคยขาดสะบั้นอย่างนั้นหรือ เจ้าหมายความว่ามรรคา วิชา และทักษะเทวะได้รับการสืบทอดมาอย่างครบสมบูรณ์อย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้! ดูที่ดวงตะวันบนท้องฟ้าสิ! มาตรฐานพีชคณิตระดับนี้ห่างชั้นจากพวกเราเป็นหมื่นลี้ มันแย่ยิ่งกว่าความสามารถของบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเสียอีก! 

เทพเสือขนดำเม้มปากทำแก้มพองพลางครุ่นคิด นักบุญที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีผู้นี้ก็เป็นพวกที่ไม่ได้ฝึกปรือกรอบคิดจิตใจเหมือนกันสินะ เพียงแค่ข้อมูลกระผีกเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้เขาโลดเต้นไปมาขนาดนี้เสียแล้ว สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ทำให้ยากที่เขาจะควบคุมอารมณ์ อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกๆ กันไม่เห็นจะสมชื่อเลย!

ด้วยรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ฉินมู่ก็พึมพำ  นี่ก็นับว่าเป็นสิ่งระคายตาจริงๆ นั่นแหละ… 

ราชครูสันตินิรันดร์ยิ้มหยันและกล่าว  จะเรียกว่าแค่ระคายตาได้อย่างไร สิ่งที่ข้าอยากทำที่สุดคือควงมีดดาบขึ้นไปสับดวงตะวันให้ผ่าเป็นครึ่ง! หากว่าบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิหลอมสร้างมหาสมบัติวิเศษที่หยาบกร้านขนาดนี้ออกมาล่ะก็ ข้าจะไล่เขาออกจากมหาลัยให้กลับไปฝึกมาใหม่ที่บ้านเกิด! 

ในบริเวณรอบๆ เทพเจ้าทั้งหมดเต็มไปด้วยความอับอาย พวกเขาหันไปมองหน้ากันและกันอย่างอึ้งกิมกี่

ด้วยน้ำเสียงอันจนปัญญา ฉินมู่กล่าว  ราชครูพูดเบาๆ หน่อย แม้ว่าพีชคณิตของสวรรค์ไท่หวงจะลดระดับลง แต่มรดกยุทธด้านมรรคานั้นไม่เคยขาดสะบั้น ด้วยกำลังฝีมือของข้า ท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะในวรยุทะขั้นเดียวกัน ข้าเพียงจัดอยู่หนึ่งในสิบอันดับเท่านั้น 

 จ้าวลัทธิกำลังถ่อมตน ใช่ไหม  ราชครูสันตินิรันดร์ถามอย่างตงิดใจ

ฉินมู่คิดอยู่นิดหนึ่งและกล่าวอย่างสัตย์ซื่อ  ข้าก็ถ่อมตนนิดนึงจริงๆ นั่นแหละ แต่ทว่าสวรรค์ไท่หวงมีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายที่มีกายเนื้อของเทพเที่ยงแท้เยาว์ ความเร็วของพวกเขาเร็วกว่าข้า พละกำลังก็เหนือกว่าข้า ปฏิกิริยาตอบสนอง พลานุภาพของทักษะเทวะและเนตรเทวะ แม้กระทั่งวิชาฝึกปรือของพวกเขาก็เหนือกว่าสันตินิรันดร์ 

ราชครูสันตินิรันดร์สูดลมหายใจลึกและปลุกปลอบตนเอง

สาเหตุที่เขาร้อนรนขนาดนี้ก็เพราะว่ามันมีช่องว่างมหึมาในการมรดกยุทธด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสันตินิรันดร์!

ช่องว่างมหึมานี้ได้ปรากฏขึ้นเมื่อสองหมื่นปีก่อน ในตอนนั้น มรรคา วิชา และทักษะเทวะได้กลายเป็นหยาบกร้านอย่างเหลือแสน และไม่อาจก่อขึ้นมาเป็นระบบเลยสักนิด โถงกษัตริย์มนุษย์ สำนักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคำราม และลัทธินักบุญสวรรค์ได้ถ่ายทอดสิ่งที่พวกเขารู้ไปทุกหนทุกแห่ง แต่ด้วยข้อจำกัดของการกระทำ มรรคา วิชา และทักษะเทวะที่พวกเขาถ่ายทอดไปก็ไม่ครบสมบูรณ์

สำนักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคำราม ได้ประสบการทำลายล้างในภัยพิบัติ ส่วนโถงกษัตริย์มนุษย์ก็มีผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในแต่ละรุ่น ลัทธินักบุญสวรรค์ก่อตั้งขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์นั้น และเพียงเพิ่งเริ่มต้นถ่ายทอดมรรคาของมันออกไป

นครหยกน้อยก็ก่อตั้งขึ้นมาในเวลานั้นด้วยเช่นกัน แต่ในเมื่อมันไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก จึงไม่มีบรรพชนคนใดที่ลงไปท่องเดินในโลกหล้าเพื่อถ่ายทอดมรรคา

ด้วยเวลาที่ผ่านไป สำนักอื่นๆ ก็ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ และมรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเขาก็กล่าวได้ว่าสร้างสรรค์ขึ้นมาจากรากฐานที่ไม่มีอะไรรองรับเลยสักนิด หลังจากนั้นก็มีการต่อสู้กันระหว่างสำนัก ระหว่างฝ่ายเที่ยงธรรมและฝ่ายอธรรม อันได้โยนโลกแห่งสันตินิรันดร์ให้ตกลงไปในความโกลาหล สำนักต่างๆ ต่อสู้กันไปมาโดยไม่รู้จบ และสามมหาแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เข้ามายับยั้งขัดขวาง พวกเขาอยู่แต่ตัวพวกเขาเอง ทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างมรรคา วิชา และทักษะเทวะของเขาเป็นเรื่องน่ากังวลอันใหญ่หลวง

ความโกลาหลดำรงอยู่ยาวนานจนกระทั่งราชครูสันตินิรันดร์ได้ช่วยเหลือสนับสนุนจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงด้วยการปฏิรูป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสิ่งต่างๆ จึงเปลี่ยนไป การต่อสู้ระหว่างสำนัก และการต่อสู้ระหว่างฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างค่ายสำนักต่างๆ กับจักรวรรดิสันตินิรันดร์

เมื่อฉินมู่ได้ขึ้นครองลัทธิมารฟ้า เขาก็นำแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขามาสนับสนุนจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงอย่างสุดกำลัง และบดขยี้สำนักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคำราม กับกองกำลังกบฏทั้งหลาย ถึงตอนนั้นการต่อสู้จึงจบสิ้นไปอย่างแท้จริง ด้วยวิชาฝึกปรือทั้งหลายมาผนึกกำลังกัน มรรคา วิชา และทักษะเทวะของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมาก

จากนั้้นฉินมู่ก็เผยแพร่ตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติเพื่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดมีโอกาสจะบรรลุเป็นเทพเจ้า และทำลายขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์

แต่แม้กระนั้น รากฐานของราชครูสันตินิรันดร์ก็ยังคงอ่อนแออยู่ดี และระบบการฝึกปรือของเขาก็ไม่สมบูรณ์ พวกที่สามารถฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะได้ล้วนแต่เป็นคนส่วนน้อยแค่หยิบมือ และก็ไม่มียอดฝีมือระดับนั้นมากมายนัก!

การก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณของฉินมู่ ทำให้ราชครูสันตินิรันดร์มองเห็นการมาเยือนของยุคสมัยใหม่!

 จ้าวลัทธิได้กระทำความดีอย่างใหญ่หลวงต่อผู้คนในสวรรค์ไท่หวง และก็ได้กระทำความดีอย่างใหญ่หลวงต่อผู้ในสันตินิรันดร์ด้วย!  ราชครูสันตินิรันดร์พลันโค้งคารวะจนจรดพื้นและกล่าวอย่างจริงใจต่อฉินมู่  ข้าขอขอบคุณเจ้าแทนสรรพชีวิตทั้งหลาย! 

ฉินมู่รีบคารวะเขากลับไป  ข้ามิกล้า เผ่ามารกำลังโจมตีสวรรค์ไท่หวง และที่นี่ก็ไม่อาจต้านยันได้อีกนานนัก เมื่อสวรรค์ไท่หวงถูกรุกราน มารพวกนี้ก็จะมีเป้าหมายยังแดนโบราณวินาศและสันตินิรันดร์ หากว่าพวกเราช่วยผู้คนที่นี่ พวกเขาก็จะสามารถยืนหยัดได้นานยิ่งขึ้น 

ราชครูสันตินิรันดร์ยืดตัวตรงและกล่าวอย่างเคร่งขรึม  หลังจากที่ข้ากลับไป ข้าจะต้องส่งฎีกาไปให้จักรพรรดิ เพื่อร้องขอให้เขาส่งกำลังสนับสนุนสวรรค์ไท่หวงเป็นแน่! 

ฉินมู่แย้มยิ้มแก่เขา  ถ้าเช่นนั้น เรื่องนี้ก็ให้เป็นธุระของราชครูและเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ พวกเจ้าสามารถตั้งกฎระเบียบต่อการที่ผู้คนจะเข้าและออกผ่านสวรรค์ไท่หวงได้ เจ้าน่าจะลองตัดสินใจดูว่าสันตินิรันดร์จะสามารถสนับสนุนสวรรค์ไท่หวงได้อย่างไร และจะแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะกันอย่างไร 

ราชครูสันตินิรันดร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว  เจ้าก็จะล้างมือไปจากเรื่องนี้อีกหรือ 

ฉินมู่ยืดเหยียดหลังและกล่าวด้วยรอยยิ้ม  พี่เสือและข้ายังไม่ได้พักเลยในช่วงหลายวันนี้ ดังนั้นพวกเราจะต้องหลับกันสักหน่อย ข้ายังต้องออกไปต่อสู้ฝึกฝนอีกด้วย เรื่องทำนองนี้ให้ราชครูจัดการจะเหมาะสมกว่า จริงสิ เรื่องดวงตะวัน ลองดูว่าเจ้าพอจะช่วยพวกเขาเรื่องนี้ได้ด้วยหรือไม่ 

ราชครูสันตินิรันดร์จึงได้แต่พยักหน้าและเบนสายตาไปยังเทพเที่ยงแท้ผางอวี้  พี่ทางเต๋า แม้ว่าในสันตินิรันดร์ไม่มีระบบการฝึกวิทยายุทธที่ครบสมบูรณ์ แต่การปฏิรูปก็ได้ก่อผลสัมฤทธิ์มากมายในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ และสวรรค์ไท่หวงก็จะพบสิ่งที่สามารถเรียนรู้จากพวกข้าได้เช่นกัน ด้วยการแลกเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์ระหว่างสองโลก ก็จะมียอดฝีมือกำเนิดขึ้นอีกมากมาย 

เทพเที่ยงแท้ผางอวี้สั่งการให้เทพเจ้าจำนวนหนึ่งคอยคุ้มกันสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณพลางแย้มยิ้ม  ราชครู พวกเราไปที่เมืองหลีและปรึกษาเรื่องนี้อันอย่างละเอียดดีกว่า 

 เชิญ! 

ฉินมู่ส่งพวกเขาออกไปและระบายลมหายใจโล่งอก  ศิษย์พี่เสือ พวกเราไปพักผ่อนกันก่อนเถอะตอนนี้ 

ทั้งสองคนกลับไปที่ป้อมปราการเมือง และนอนแผ่กับพื้น หลับเป็นตายเหมือนไม้ซุง เมื่อฉินมู่ตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าข้างนอกก็สว่างโร่ และขณะที่เขาล้างหน้าล้างตาอยู่นั่นเอง เสือเทพยดาขนดำก็ตื่นมาด้วยเช่นกัน

 ศิษย์พี่กินยาวิญญาณแบบไหนหรือ ให้ข้าเตรียมอาหารให้ท่านเถอะ  เด็กหนุ่มกล่าว

 ยาวิญญาณ?  เทพเสือขนดำเลียอุ้งเท้าของเขาเพื่อทำความสะอาดใบหน้า และส่ายหัว  ข้าไม่กินนั่นหรอก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องวุ่นวายทำให้ ในเมื่อข้าเป็นเทพเจ้า ข้าก็เพียงแต่ต้องฝึกปรือทุกๆ วันโดยไม่จำเป็นต้องกินอาหาร อะไรก็ได้ที่กินแล้วอยู่ท้องก็ดีทั้งนั้น 

ฉินมู่ตกตะลึง เขาหวนคิดถึงกิเลนมังกรและรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอีกครั้ง

หลังจากที่ทั้งสองคนทานอาหารเช้า ซังฮั่ว อวี่เหอ และคนอื่นๆ ก็มาเพื่อตามหาพวกเขา และอวี่เหอกล่าว  จ้าวลัทธิ ราชครูสันตินิรันดร์ได้กลับไปแล้ว และเขากล่าวว่ากองทัพผู้ฝึกวิชาเทวะและเทพเจ้าทั้งหลายแห่งสันตินิรันดร์จะมาที่นี่ในอีกไม่กี่วัน 

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก  มีข่าวคราวอะไรของครูบาศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ 

อวี่เหอส่ายหัว  บัดนี้เมื่อสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณถูกก่อสร้างขึ้นมาแล้ว อาจารย์ของข้าเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ก็ได้สั่งให้ผู้คนธรรมดาล่าถอยออกไปจากสวรรค์ไท่หวง ราชครูสันตินิรันดร์จะจัดเตรียมกำลังทหารและเรือเหาะเพื่อรอรับพวกเขาในแดนโบราณวินาศ พวกเรามาตามหาจ้าวลัทธิ ก็เพราะว่าวางแผนที่จะแทรกซึมเข้าไปในดินแดนของเผ่ามารเพื่อช่วยเหลือผู้คนในนั้นให้อพยพออกมา 

ฉินมู่หันไปมองยังเสือเทพยดาขนดำและถามหยั่ง  ศิษย์พี่ ไปช่วยเหลือผู้คนในเขตแดนของเผ่ามารเพื่ออพยพออกมา ไม่นับว่าเป็นการก่อเรื่องวุ่นวาย ใช่ไหม 

เสือเทพยดาขนดำส่ายหัว  ขนาดดวงอาทิตย์พวกเราก็ยิงตกมาแล้ว ประสาอะไรกับการบุกเข้าไปในเขตแดนของเผ่ามาร เรียกว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ก็ยังเรียกไม่ได้เลย มีข้าอยู่ด้วย พวกเจ้าสบายใจได้ ข้ารับรองว่าต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน! 

…………….

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน