ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 545 ยิ้มเข้าไว้

ตอนที่ 545 ยิ้มเข้าไว้

ข้าจัดการเรื่องนี้ได้ ข้าจัดการเรื่องนี้ได้! ฉินมู่ปลอบใจตนเองไม่หยุดขณะที่สีหน้าของเขาซีดเผือดสลับกับมืดคล้ำ  ผู้เฒ่าในหมู่บ้านสอนข้าว่า หากข้าสามารถก่อเรื่องวุ่นวาย ข้าก็ต้องสามารถจัดการมันได้แน่ๆ ครั้งนี้ข้าก็จะต้องจัดการแก้ไขได้เหมือนกัน… 

ถ้าไม่หลอกตัวเอง ครั้งนี้ข้าคงจัดการไม่ได้…

เรื่องวุ่นวายคราวนี้ใหญ่หลวงเกินไป

สวรรค์ไท่หวงไม่มีดวงตะวัน แต่เทพผู้สร้างตะวันได้นำพาผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายเพื่อก่อสร้างครึ่งซีกของมันด้วยความอุตสาหะให้มันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มันกลายเป็นความภาคภูมิใจของผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวง กระนั้นทั้งสองคนก็ได้ทำลายดวงตะวันนี้ไปโดยสิ้นเชิง

ไม่ใช่ว่าฉินมู่ไม่คิดที่จะสร้างตะวันดวงใหม่ชดใช้คืนสวรรค์ไท่หวง แต่ว่าเพราะมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น การสร้างทรงกลมสมบูรณ์แบบไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าจะเปลี่ยนให้มันเป็นดวงตะวันได้อย่างไรล่ะ

เทพสร้างตะวันเป็นพ่อครัวจากสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ชายผู้ซึ่งควบคุมพลานุภาพของไฟเทวะ ดังนั้นต่อให้ฝีมือช่างเขาจะแย่ และเขาได้สร้างดวงตะวันที่มีรูปทรงระคายตา มันก็ยังสามารถส่องสว่างและให้ความอบอุ่นแก่สวรรค์ไท่หวงได้

ไฟเทวะเช่นนี้อาจจะมีระดับสูงส่งเสียยิ่งกว่าไฟหลี ดังนั้นการหาไฟที่ถูกประเภทมาหรือไม่จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในการสร้างดวงตะวันขึ้นมาใหม่

หลังจากแสงสีดำทำลายดวงตะวันครึ่งซีก มันก็แทงทะลุห้วงฟ้าอวกาศ ในพริบตาถัดมา คลื่นกระเพื่อมของห้วงอวกาศก็เห็นขึ้นมาได้ด้วยตาเปล่า พวกมันกระเพื่อมไปและแผ่ขยายไปยังทิศรอบข้าง

 ตะวันอีกซีก! 

เทพเสือขนดำสะท้านใจเมื่อเขามองไปยังคลื่นกระเพื่อมอันเดินทางไปยังสิ่งก่อสร้างอื่นบนท้องฟ้า

ข้างล่างแท่นสังเวย ผู้ฝึกวิชาเทวะนับพันแห่งสวรรค์ไท่หวงและเทพเจ้าที่ลอยเลื่อนอยู่บนนภาากาศต่างก็รู้สึกหัวใจกระดอนขึ้นมาถึงคอหอย พวกเขากำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว เล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ

คลื่นนั้นกระเพื่อมและพุ่งไปยังดวงตะวันอีกซีก เมื่อพวกมันปะทะกัน ดวงตะวันก็ถูกบีบเค้นราวกับเป็นไข่แดงรูปทรงรี เมื่อส่วนโค้งของคลื่นกระเพื่อมซัดผ่านมัน ดวงตะวันก็ยืดยาวออกไปมากกว่าสิบเท่า

ทุกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความหวาดผวา แต่หลังจากคลื่นซัดผ่านไป ดวงตะวันก็ยังคงห้อยอยู่บนท้องฟ้า ทุกคนที่ว้าวุ่นใจก็พากันระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก

ทันใดนั้น ดวงตะวันที่ดูครบสมบูรณ์ก็พลันลั่นดังเปรี๊ยะ และชิ้นส่วนใหญ่มหึมาก็ร่วงลงจากพื้นผิวของมัน

ชิ้นส่วนที่ร่วงลงมานั้นใหญ่เท่าภูเขา และทิ้งหางไฟเป็นทางยาวจากบนฟากฟ้า ควันโขมงคละคลุ้งไปหมดเมื่อมันร่วงตกลงในแนวดิ่งและถล่มลงใส่ที่ไหนสักแห่งอันห่างออกไป

เดิมทีดวงตะวันบนฟ้าก็ไม่กลมดิกอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันดูเหมือนกับถูกปากอะไรกัดแหว่งไป

 ศิษย์น้อง พวกเราหนีเอาชีวิตรอดกันไหม  เสือเทพยดาขนดำถามด้วยด้วยเสียงแผ่ว

 สุภาพชนทั้งหลาย ข้ามีข่าวดีสองเรื่องจะบอกกับพวกท่าน!  ฉินมู่สะบัดแขนเสื้อเพื่อเช็ดเหงื่อเย็นเยียบของเขาออกไป พลางยืนนิ่งอยู่บนแท่นสังเวย เขาทำท่วงทีดูเที่ยงธรรมและมั่นอกมั่นใจก่อนที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง  ข่าวดีแรกก็คือสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณได้เชื่อมต่อแล้ว! 

 สะพานนี้เชื่อมต่อสวรรค์ไท่หวงกับสันตินิรันดร์ ดังนั้นทุกคนที่นี่จึงมีเส้นทางล่าถอย ต่อให้พวกเราต้านการรุกรานของเผ่ามารไม่สำเร็จ พวกเราก็สามารถล่าถอยไปยังสันตินิรันดร์ เพื่อกอบกู้ผู้คนของพวกเราเอาไว้! 

ข้างใต้แท่นสังเวย ผู้ฝึกวิชาเทวะหลายพันคนยังมีสีหน้าตะลึงงัน และหันกลับมามองเขาอย่างยากลำบาก

หลังจากที่ฉินมู่ประกาศข่าวดีแรกเสร็จสิ้น เขาก็รอสักพักหนึ่งให้ทุกคนสามารถย่อยข้อมูลนี้ได้

นี่เพื่ออวดความสำเร็จของเขา

สวรรค์ไท่หวงไม่เคยมีเส้นทางล่าถอยมาก่อน หากว่าเทพเจ้าและผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายพ่ายแพ้ ผู้คนที่นี่ก็มีแต่จะต้องกลายเป็นอาหารของเผ่ามาร แต่บัดนี้ฉินมู่ได้ก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เขาได้สร้างเส้นทางล่าถอยให้แก่ทุกๆ คนในสวรรค์ไท่หวง เพื่อรักษามรดกของเผ่าพันธุ์เอาไว้

ความดีความชอบนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน

ฉินมู่เลือกที่จะโอ้อวดมันออกไปเพราะว่ามันยิ่งใหญ่อย่างมหัศจรรย์ แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะและทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวงจะโกรธเกรี้ยว แต่พวกเขาก็จะไม่รุมกระทืบเขาและเทพเสือจนถึงตาย

ผางอวี้เป็นเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา เขาผงกหัวอย่างเชื่องช้า  สหายน้อยฉินและพี่เสือขนดำได้สร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณดั้งเดิม เพื่อให้ผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงของพวกเราได้มีเส้นทางล่าถอย นี่นับว่าเป็นความดีความชอบใหญ่หลวง! 

เทพซังเย่และคนอื่นๆ ก็ผงกหัวเช่นกัน ความสำเร็จนี้ยิ่งใหญ่อย่างเหลือล้นจริงๆ

นอกจากเชื่อมต่อสองโลกและสร้างเส้นทางล่าถอยแล้ว ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ยังสามารถส่งกำลังเสริมเข้ามา เพื่อช่วยให้สวรรค์ไท่หวงต้านยันเอาไว้ได้นานยิ่งขึ้น

ในตอนนั้นเอง ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็ตะกุกตะกัก  ตะ-แต่ว่าดวงตะวันบนท้องฟ้า… 

ฉินมู่ใบหน้าแจ่มใสเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และเขาก็หัวเราะร่า  นี่คือข่าวดีอีกข่าวหนึ่งที่ข้ากำลังจะพูด ข่าวอันควรรื่นเริงยินดี!  เสียงของเขาดังกึกก้องไปทั่วทุกหู  ทุกท่าน ดวงตะวันของท่านทั้งเก่าและซอมซ่อ แต่บัดนี้พวกเราสามารถเปลี่ยนดวงตะวันทั้งสองดวงใหม่ได้แล้ว! ดวงตะวันอันกลมดิก ดวงตะวันอันสมบูรณ์แบบ! 

รอบข้างเงียบงัน

ทันใดนั้น ซังฮั่วก็ตื่นเต้นขึ้นมาและชูสองมือขึ้นสูง  เย้! 

เสียงโห่ร้องนี้ฟังบาดหู และไม่นานเสียงของนางก็แผ่วลงๆ ในที่สุดเด็กสาวเปียยาวก็ตระหนักถึงสถานการณ์รอบๆ และกระแอมไอสองทีเพื่อแก้ขวย นางไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป

 ไม่ต้องพูดอะไร  เทพเที่ยงแท้ผางอวี้รักษารอยยิ้มแข็งทื่อของเขาไว้บนใบหน้าพลางกล่าวกับเทพตนอื่นๆ ด้วยเสียงเบา  ยิ้มเข้าไว้ รักษาท่าทีเข้าไว้ อย่าเผยรังสีเข่นฆ่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกศิษย์ของครูบาสวรรค์ ดังนั้นเราจะต้องรักษาหน้าเอาไว้ก่อน 

 พวกเขาจะช่วยเราสร้างดวงตะวันใหม่จริงหรือ  เทพตนหนึ่งถามด้วยเสียงเบาพลางรักษารอยยิ้มบนใบหน้า

 ข้าไม่รู้เหมือนกัน  เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม  หากว่าพวกเขาไม่สร้างใหม่ พวกเราก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาออกไปจากสวรรค์ไท่หวง แต่ทว่า ดูจากสีหน้าของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ พวกเขาอาจจะสามารถทำได้ 

ฉินมู่มองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะและเทพเจ้ามากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงซึ่งมีสีหน้าดำคล้ำ และเหงื่อเย็นเยียบก็ไหลจนโซมหลัง ราวกับว่ามีอุทกภัยที่กำลังจะทลายเขื่อนอยู่ที่นั่น

 ศิษย์น้อง พวกเขาดูไม่ค่อยสบอารมณ์เลย หรือว่าพวกเขารู้ว่าพวกเราไม่รู้วิธีการสร้างไฟเทวะสำหรับจุดดวงตะวัน  เสือเทพยดาขนดำถามด้วยเสียงเบา

 ศิษย์พี่หุบปาก  ฉินมู่ยิ้มแข็งทื่อเอาไว้ และพูดผ่านฟันที่ขบแน่น  รักษารอยยิ้มของท่านเข้าไว้ และทำท่าเหมือนกับว่าพวกเราสามารถสร้างดวงตะวันได้ 

เทพเสือขนดำทำตามที่เขาบอก และพูดลอดไรฟัน  นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรากระตุ้นการทำงานของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณดั้งเดิม ดังนั้นพวกเราไม่รู้ว่ามันจะสามารถเชื่อมต่อกับแท่นสังเวยในแดนโบราณวินาศได้จริงไหม หากว่ามันไม่สำเร็จ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะนับหนี้ไปสองกระทงและรุมกระทืบพวกเราจนตายไหมน่ะ 

 ศิษย์พี่ หุบปาก!  ฉินมู่แทบรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่  ตอนนี้สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็ติดตั้งเสร็จแล้ว พวกเราสามารถเข้าแดนโบราณวินาศจากที่นี่ได้ไหม 

 หากว่ามีอะไรผิดพลาดระหว่างพวกเราข้ามสะพาน พวกเราก็อาจจะถูกป่นเป็นชิ้นๆ และส่งกลับไปเป็นเนื้อบดที่อีกฟากหนึ่ง  เทพเสือขนดำเบาอย่างแผ่วเบา

ลมเย็นเยือกพัดผ่านความเงียบรอบข้าง

ในแดนโบราณวินาศ ท้องฟ้ากำลังจะมืด

ยักษ์หินหลายตนกำลังเดินดุ่มผ่านป่าพลางยกค้อนหินยักษ์ฟาดทุบลงไปบนพื้น พวกมันกำลังบดอัดพื้นให้ราบเรียบ ระหว่างการเดินทาง ต้นไม้สูงลิ่วก็ถอนรากออกมาด้วยตนเอง และมีกิริยาราวกับมนุษย์ พวกมันเปิดเส้นทาง และฝังรากปลูกตนเองเข้าไปใหม่ที่สองข้างถนน ก่อเป็นทิวแถวพฤกษาสองแถว

หลังจากที่ยักษ์หินกรุยทางไป หญิงสาวหลายพันคนก็เดินผ่านถนน พวกนางแตกต่างในเสื้อผ้าสีสันต่างๆ นานา อันทำให้ดูสวยสะพรั่งราวมวลบุปผา พวกนางพูดคุยสัพเพเหระกันไปมาระหว่างที่แผ่นหินสีเหลี่ยมลอยผ่านท้องฟ้าและร่วงลงมาปูเบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ

ข้างหลังพวกนาง ยักษ์ต้นไม้กำลังใช้ค้อนไม้เพื่อตอกแผ่นหินปูทางให้เข้าร่องเข้ารอย เชื่อมต่อกันอย่างเป็นระเบียบ และปรับพื้นถนนให้ราบเรียบ

ข้างหลังยักษ์ต้นไม้ หัวหน้าโถงวิศวกรรมได้นำผู้ฝึกวิชาเทวะในโถงของตนจำนวนมากมายตามมาประทับรอยอักษรรูนลงไป แต่ละแผ่นหินจะมีรอบประทับอักษรรูนอันทำให้ถนนแข็งแกร่งทนทานขึ้น ถนนจะไม่ถล่มยุบลงไปแม้ว่าจะมีรถศึกหรือสัตว์ยักษ์สัญจรบนนั้น

การใช้แผ่นหินปูถนนทำให้ง่ายต่อการซ่อมแซมในอนาคต พวกเขาเพียงแต่ต้องนำเอาแผ่นที่ชำรุดออกไปและใส่แผ่นใหม่แทน

ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่เดินเคียงข้างกัน พวกเขากำลังเสาะหารูปสลักหินและเคลื่อนย้ายพวกมันมาที่สองฝั่งถนน ยิ่งพวกเขาเจอหมู่บ้านก็ยิ่งดี เพราะพวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายหมู่บ้านและผู้คนในนั้นให้เข้ามาใกล้ถนน และจะได้กลายเป็นเมืองเล็กๆ ในอนาคต

ก่อนที่พวกเขาจะเคลื่อนย้ายรูปสลักหินใดๆ พวกเขาจะต้องจุดธูปเทียนบูชาเสียก่อน อันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง มันเป็นสิ่งที่ฉินมู่บอกแก่ราชครูสันตินิรันดร์ ดังนั้นความเร็วในการปูถนนจึงล่าช้ากว่าที่ฉินมู่คาดการณ์เอาไว้เล็กน้อย

ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่ เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ มีงานล้นมือมาเป็นเวลานาน พวกเขาได้ปูลาดถนนตลอดทางมาจนถึงเขตแดนโบราณวินาศแล้วในตอนนั้น และในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พวกเขาก็จะไปถึงเมืองเขตมังกร และเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเขาก็จะเข้าใกล้จักรวรรดิสันตินิรันดร์

ฉินมู่รู้จักผู้คนมากมายในแผ่นดินตะวันตก และมีมิตรไมตรีกับตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลทั้งหมด การถางทางปูถนนไปยังแผ่นดินภาคกลางนั้นเป็นโครงการมหึมา แต่ตระกูลใหญ่ทั้งหมดได้สนับสนุนแนวคิดนี้และส่งผู้ฝึกวิชาเทวะค่อนข้างมากมาเสริมกำลังช่วยเหลือ

 พวกเราพักกันก่อน!  ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่ท้องฟ้าและกล่าวด้วยเสียงอันดัง  ความมืดกำลังจะมาถึงแล้ว ดังนั้นรีบไปที่รูปสลักหิน อย่าเถลไถลออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน! 

ทุกคนทำตามที่เขาบอก และเริ่มก่อกองไฟเพื่อหุงหาอาหาร พวกสาวๆ สนทนากันอย่างออกรสออกชาติถึงหนุ่มๆ แห่งสันตินิรันดร์ พวกนางชม้อยตามองผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโถงวิศวกรรมและหัวเราะคิกคัก ผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นหน้าแดงเขินและไม่กล้าพูดจา

ราชครูสันตินิรันดร์จ้องมองไปยังอาทิตย์อัสดง แม้ว่าฉินมู่จะโยนความรับผิดชอบและงานหนักทั้งหลายมาให้เขาขณะที่ตัวเองออกไปเที่ยวเล่น เขาก็ไม่ปริปากบ่น

ตอนที่ไปยึดครองแผ่นดินตะวันตก เขาเองก็ได้โยนงานหนักทั้งหมดให้แก่ฉินมู่เช่นกัน และเด็กหนุ่มก็ทำออกมาได้สวย

ในตอนนั้นเอง ท้องฟ้าสั่นสะท้าน และลำแสงสีดำก็พวยพุ่งลงมาจากนภากาศ มันหมุนติ้วอย่างรุนแรงและพุ่งปะทะกับพื้นดิน

สีหน้าราชครูสันตินิรันดร์แปรเปลี่ยนเล็กน้อย และเขามองตรงไปยังสถานที่ที่แสงดำนั้นร่วงตกลงมา

ตูม!

มันยิงลงปะทะพื้น และแผ่นดินก็สะท้านหวั่นไหว แรงสั่นสะเทือนส่งกระทบกระทั่งแทบเท้าของพวกเขา มันดูราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดน่าสะพรึงกลัวบางตัวที่กำลังจะฉีกพื้นพิภพพุ่งออกมา!

 ราชครู!  ลำแสงสองลำพุ่งออกมาจากดวงตาของหัวหน้าโถงวิศวกรรม ขณะที่เขามองไปยังการเปลี่ยนแปลงอันผิดประหลาด สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง และเขาตะโกนด้วยเสียงอันดัง  มันมีการเปลี่ยนแปลงในปรากฏการณ์บนฟากฟ้า! พื้นดินปูดโปนขึ้นมากลายเป็นภูเขาใหญ่ อันอาจจะเป็นฝีมือของพวกมาร! 

ราชครูสันตินิรันดร์ลุกขึ้นและกล่าวอย่างเคร่งขรึม  พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูเอง 

ความมืดพวยพุ่งเข้ามา แต่ราชครูสันตินิรันดร์เดินฝ่ามันไปจนกระทั่งเขามาถึงยังตำแหน่งที่สีทมิฬนั้นตกลงมา พลังงานของมันเหือดแห้งแล้ว และลำแสงสีฟ้าก็พวยพุ่งจากพื้นสวนขึ้นไปบนท้องฟ้า แทงทะลุห้วงอวกาศ แสงสีฟ้าก่อช่องทางเดินอันเป็นแสงไหลรี่

สิ่งที่ปลดปล่อยแสงสีฟ้าออกไปคือแท่นสังเวยขนาดใหญ่พอๆ กับภูเขาลูกหนึ่ง ในตอนนี้ อักษรรูนทั้งหมดบนตัวมันจุดแสงติดไปตามๆ กัน

ราชครูสันตินิรันดร์สำรวจตรวจตราดูแท่นสังเวยที่พลันผุดโผล่ขึ้นมา เขาพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินขึ้นไป และเข้าไปในแสงสีฟ้า

ในสวรรค์ไท่หวง รอยยิ้มของฉินมู่และเสือเทพยดาขนดำเย็นเฉียบ ในท้องฟ้า รอยยิ้มของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ เทพซังเย่ และเทพตนอื่นๆ ก็แข็งทื่อไม่ต่างกัน ทุกคนได้นิ่งขึงไม่กระดิกมาสักระยะหนึ่งแล้ว

ในตอนนั้นเอง จากลำแสงที่ตรงกลางแท่นสังเวย เงาร่างอันเฉื่อยชาของชายกลางคนผู้หนึ่งก็เดินออกมา เขามองไปรอบๆ ด้วยความพิศวงงงวย จากนั้นสายตาของเขาก็ไปตกที่ฉินมู่

 ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน คราวนี้เจ้าทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไรอีกล่ะ และที่นี่คือที่ไหน 

…………………….

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน