ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 547 ฝันร้ายของฉินมู่

ตอนที่ 547 ฝันร้ายของฉินมู่

ฉินมู่ลิงโลด เป้าหมายของการมาเยือนครั้งนี้ของเขาก็เพื่อแสวงประสบการณ์ เพื่อมาสัมผัสความแข็งแกร่งของผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต และเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขา เขาอยากที่จะเติบโตขึ้นเพื่อที่จะได้ต่อสู้กับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก

ยอดฝีมือมารในสวรรค์ไท่หวงมีจำนวนมากมาย และพวกเขาก็เป็นคู่ต่อสู้ที่ดีที่สุดในการทดสอบทักษะฝีมือของเขา!

ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อมีเสือเทพยดาขนดำอยู่ด้วย พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะหนีไปไม่พ้นหากว่าพบปะกับมารเทวะสักตน

ความเร็วของเสือเทพยดาขนดำนั้นว่องไวอย่างสุดขีดขั้ว ดังนั้นต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับมารเทวะสักห้าตน เขาก็ยังคงสามารถล่าถอยไปได้อย่างสบายๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยประโยคสุดท้ายของเทพเสือขนดำ หากว่าบังเอิญพวกเขาไปก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา เทพเสือก็จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดเอง จ้าวลัทธิฉินผู้ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องไปเปลืองตัวเลยแม้แต่นิด

ซังฮั่วและอวี่เหอก็เบาใจลงไปเช่นกัน ด้วยเสือเทพยดาขนดำไปกับพวกเขาด้วย การเดินทางของพวกเขาก็จะไม่อันตรายเลยแม้แต่น้อย

ทุกๆ คนเดินลงมาจากป้อมปราการเมือง อวี่เหอนั้นกล้าหาญและระมัดระวัง มีวุฒิภาวะมากกว่าซังฮั่ว ดังนั้นนางจึงเป็นคนแรกที่เสนอความเห็น  ผู้อาวุโสเสือ ในเมื่อพวกเราจะไปยังเขตแดนของเผ่ามาร จะดีมากๆ หากว่าผู้อาวุโสไม่แผ่รัศมีของท่านออกไป มิเช่นนั้นมารเทวะก็จะปรากฏตัวมาหยุดยั้งพวกเราเอาไว้ 

 จะยิ่งเยี่ยมยอดหากว่าท่านแสร้งปลอมตัวเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะธรรมดาๆ สาเหตุที่เทพเจ้าทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวงของพวกเรามาด้วยไม่ได้ ก็เพราะว่ามารเทวะเหล่านั้นมีสัมผัสเฉียบไวต่อการปรากฏตัวของพวกเทพเจ้า 

เสือเทพยดาขนดำรั้งรัศมีของเขาเข้าไปในข้างในกายและกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ไม่ต้องห่วง ข้าไม่กระโตกกระตากจนมารเทวะพวกนั้นตามมาหรอก มันเป็นการฝึกฝนของพวกเจ้า ดังนั้นข้าจะเฝ้าดูอยู่ข้างๆ และไม่ยื่นมือเข้าไปขัดขวาง 

ฝีเท้าของพวกเขาว่องไว ดังนั้นผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีวรยุทธต่ำสักหน่อยก็ไม่อาจจะตามมาได้ทัน ในเมื่ออวี่เหอต้องการที่จะแทรกซึมเข้าไปในเขตแดนของเผ่ามาร ผู้คนที่นางนำมาด้วยล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิในกองทัพ พวกเขาล้วนแต่เคยผ่านประสบการณ์ต่อสู้ชิงเป็นชิงตายมาก่อน

เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เป้าหมาย ท้องฟ้าก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมืดดำ ขณะที่ร่องรอยของปราณมารลอยไปลอยมาอยู่ในป่า สถานที่นี้ดูเหมือนกับว่ามันถูกครอบงำไปด้วยหมอกเทา พวกเขาพอมองเห็นได้แต่ไม่ไกลนัก

หนึ่งในผู้ฝึกวิชาเทวะคิดจะใช้ทักษะเทวะเพลิงไฟเพื่อส่องสว่างเส้นทางเดิน แต่ฉู่เหยายับยั้งเขาเอาไว้ทันที  นี่เป็นเขตแดนของเผ่ามาร เว้นแต่เจ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ห้ามมิให้ใครใช้ทักษะเทวะที่เปล่งแสงออกมา มิเช่นนั้นตำแหน่งของพวกเราก็จะถูกเปิดโปง! จำเอาไว้ เมื่อพวกเราพบพานศัตรู ให้กำจัดพวกเขาโดยฉับพลันและจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด พวกเราไม่อาจปล่อยให้การต่อสู้ลากยาว และเสี่ยงที่จะชักนำศัตรูมาเพิ่มอีกได้! 

ทุกคนรีบรับคำของเขา

 วิสัยทัศน์ของฉู่เหยาไม่เลวเลยทีเดียว  ฉินมู่กล่าวชม จากนั้นหันไปทางซังฮั่ว  เจ้าได้ไปที่เจดีย์สยบเทพหรือยัง 

ซังฮั่วส่ายหัว เปียยาวๆ ของนางกระเด้งไปมาตรงหน้าอก  ข้าไม่มีเวลา มันมีเรื่องราวมากมายเกินไปที่จะต้องทำในช่วงไม่กี่วันมานี้ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถปลีกตัวไปได้ ล่าสุดนี้แทบไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรจากฝั่งมารเลย และนี่ทำให้ข้าหวาดผวา ยิ่งไปกว่านั้น ครูบาสวรรค์ยังได้นำเทพเจ้ายี่สิบสี่ตนไป และก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ จากพวกเขา ข้ารู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดี 

ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นักบุญคนตัดไม้ได้จากไปพร้อมกับเทพเจ้ายี่สิบสี่ตน แต่ก็ยังไม่มีข่าวของศึกใหญ่ นี่ก็น่าแปลกจริงๆ นั่นแหละ

 ระวัง พวกเราเข้ามาในเขตแดนของเผ่ามารแล้ว! ติงอวิ๋น ไปสำรวจทางข้างหน้าด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า! 

เมื่ออวี่เหอออกคำสั่ง ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็นั่งลงขัดสมาธิดอกบัว และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ฉายส่องออกไป ผู้ฝึกวิชาเทวะอีกคนจึงก้าวเข้ามาเพื่อแบกเขาไว้บนหลัง

พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะในขั้นเจ็ดดาว และสามารถฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมออกไปได้ ทว่า เมื่อไม่ได้ประสบพบพานการปฏิรูปจิตวิญญาณดั้งเดิมในสันตินิรันดร์ จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็ไม่แข็งแกร่งเพียงพอและเหาะเหินไปได้ไม่ไกลนัก แต่ถึงอย่างไร มันก็สามารถใช้สำรวจเส้นทางข้างหน้าได้

ทุกคนเร่งรุดไปตามเส้นทางของตน ผ่านไปสักพักหนึ่ง จิตวิญญาณดั้งเดิมของติงอวิ๋นก็บินกลับมาและกล่าว  ห่างจากที่นี่สองร้อยลี้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง ข้างในนั้นมีผู้คนที่ถูกมารใช้เป็นทาสอยู่ราวๆ สองพันคน แต่ข้าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังถูกใช้แรงงานให้ก่อสร้างอะไรอยู่ 

 และก็ยังมีหมู่บ้านอีกสี่ห้าแห่งใกล้ๆ ที่มีคนชราและคนหนุ่ม สตรีและเด็กเล็ก แต่ทว่ามันมีเจดีย์สังเกตการณ์อยู่ระหว่างทาง อันสูงเป็นอย่างยิ่ง ข้าไม่กล้าเข้าไปสำรวจดูอย่างละเอียดในเมื่อข้าเกรงว่าผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารจะตรวจจับจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าได้ 

 เจดีย์สังเกตการณ์เหล่านั้นอยู่ห่างกันสักเท่าไร  อวี่เหอถาม

ติงอวิ๋นหน้าแดงไปครู่หนึ่งและพึมพำ  วิชาคำนวณของข้าไม่ค่อยดี ข้าไม่เคยเรียนมาก่อน… 

อวี่เหอขมวดคิ้ว  พวกมารในเจดีย์น่าจะเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะในขั้นหกทิศไม่ก็เจ็ดดาว พวกเขาระวังไวเป็นอย่างยิ่ง และหากว่าพวกเราแหวกหญ้าให้พวกเขาตื่นและข่าวก็แพร่งพราายออกไป ที่จะมาหาพวกเรานั้นมิใช่เพียงแค่เศษทัพทหารเลว แต่จะเป็นยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์หรือไม่ก็ขั้นเป็นตายเลยด้วยซ้ำที่จะออกมารับหน้า! 

ติงอวิ๋นส่ายหัว  ที่อื่นก็มีเจดีย์สังเกตการณ์ และพวกมันก็มากมายเหลือคณา 

ฉู่เหยาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าว  ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็คงได้แต่ต้องลอบเร้นเข้าไปอย่างลับๆ และกำจัดพวกมารที่อยู่บนเจดีย์สังเกตการณ์ หากว่ามารตนไหนที่สังเกตเห็นพวกเราก่อนล่วงหน้า พวกเราจะต้องล่าถอยในทันที… 

ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยถาม  ปราณชีวิตของใครใช้ได้ยืนนานที่สุด แข็งแกร่งที่สุด 

ทุกๆ คนมองไปที่เขา ปากอ้าหวอ แต่พวกเขาไม่พูดอะไร อวี่เหอและฉู่เหยาเองก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ปริปากเช่นกัน

 หากว่าปราณชีวิตของคนผู้หนึ่งแข็งแกร่งพอ พวกเขาก็จะสามารถขับเคลื่อนไจกระบี่ได้จากระยะร้อยลี้ ด้วยวิธีนี้ พวกเราสามารถทำลายทหารมารบนเจดีย์สังเกตการณ์ได้โดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาตั้งตัว! 

ทุกๆ คนยังคงอ้าปากหวอ แต่พวกเขาไม่พูดอะไร

ฉินมู่งงงวย และเมื่อเขาคิดจะพูดอะไรต่อ ซังฮั่วผู้ซึ่งโผงผางกว่าคนอื่นก็กล่าว  พี่ชายจ้าวลัทธินักฟาดฟ่อนข้าว นอกจากผู้อาวุโสเสือแล้ว ท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าปราณชีวิตของเจ้านั้นใช้ได้ยืนนานที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดหรอกหรือ 

ทุกคนรีบผงกหัวหงึกๆ

 พวกเราล้วนแต่ตราตรึงกับการที่จ้าวลัทธิได้สังหารยอดยุทธฝีมือแกร่งเผ่ามารถึงสี่คนในการประลองชิงเมืองหลี ดังนั้นหากว่าเจ้ายังคงถ่อมตัวต่อไป นั่นก็จะจอมปลอมไปแล้ว  ฉู่เหยากล่าวอย่างช่วยไม่ได้

ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ ตอนนี้เขาถึงเพิ่งจำได้ว่าเขาเหนือล้ำกว่าอวี่เหอและฉู่เหยาได้อย่างไร นอกจากทักษะเทวะเพลงกระบี่และจิตวิญญาณดั้งเดิมแล้ว อีกอย่างก็คือการฝึกปรือปราณชีวิต

 ตกลง ข้าจะกวาดล้างเจดีย์สังเกตการณ์ ตามข้ามาให้ดี!  ฉินมู่ลุกขึ้นและแตะไปที่หว่างคิ้วของตนเอง

 ฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิม! 

จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาพุ่งวาบและหายวับ

 จิตวิญญาณดั้งเดิมแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้! 

ทุกๆ คนรวมทั้งอวี่เหอกระโดดโหยงด้วยความตกใจ จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ได้ถูกฝึกปรือจนกลายเป็นสสาร และไม่ด้อยไปกว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นชาวสวรรค์ มันทรงพลังอย่างแท้จริง!

แม้ว่าข้าจะเป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง และบรรลุมาตรฐานของเทพเที่ยงแท้เยาว์ในหลายด้าน แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าก็ยังด้อยกว่าของเขา สตรีผู้นี้ครุ่นคิด

ซังฮั่วเดินเข้าไปหมายจะแบกฉินมู่ขึ้นมา เพื่อที่พวกเขาจะได้รีบรุดไปตามทาง แต่นางกลับเห็นเขาเริ่มวิ่งไปข้างหน้า ความเร็วของเขาทวีมากขึ้นทุกที ทำให้นางอ้าปากค้าง

เทพเสือขนดำวิ่งตามไปข้างหลังฉินมู่  เลิกจ้องได้แล้ว นี่คือเวทมนตร์ควบคุมจิตวิญญาณ เวทมนตร์ของนายท่านของข้า เร็วเข้า รีบตามมา! 

ทุกคนเร่งรีบไปตามที่บอก เมื่อพวกเขาตามฉินมู่ไปทัน จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็พลันบินกลับมาและคืนสู่ร่างเนื้อ เขาตบถุงเต๋าตี้ และไจกระบี่ลูกหนึ่งก็โบยบินออกมา มันหมุนติ้วและพลันพวยพุ่งขึ้นไปบนอากาศด้วยความเร็วยิ่งยวด

ฉินมู่พลันย่างเท้าไกลกว่าเดิมและบุกไปข้างหน้าอย่างดุเดือด ด้วยเสียงตูม เขาถึงกับวิ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียง ไม่ปิดบังร่องรอยของตนอีกต่อไป

อวี่เหอและผู้วิชาเทวะคนอื่นๆ ขมวดคิ้ว ฉินมู่สามารถบุกจู่โจมโดยมิให้ศัตรูทันตั้งตัวได้ก็จริง แต่เสียงของเขาก็จะต้องเดินทางไปยังเจดีย์สังเกตการณ์อื่นเป็นแน่

เมื่อติงอวิ๋นล่วงหน้าไปสอดแนม นอกจากเจดีย์สังเกตการณ์หกหอระหว่างเส้นทางไปของพวกเขา ก็ยังมีเจดีย์สังเกตการณ์อื่นๆ ในละแวกใกล้เคียงที่ไม่ได้ขวางอยู่บนเส้นทางด้วย ฉินมู่ได้สร้างเสียงอึกทึกอันจะทำให้เจดีย์สังเกตการณ์อื่นๆ จับสังเกตได้และเผยตำแหน่งของคณะ ทำให้พวกเขาไม่มีทางอื่นนอกจากล่าถอย

อวี่เหอกัดฟันกรอด  พวกเราตามไป! 

ทุกๆ คนรีบเพิ่มพูนความเร็วของพวกเขาและวิ่งตะบึงไปอย่างดุเดือด ทวีความเร็วจนสุดขีดขั้ว เสียงระเบิดดังออกมาเมื่อความเร็วของพวกเขาเหนือกว่าความเร็วเสียง แต่ทว่า ผู้คนในคณะไม่ได้มีกำลังฝีมือเท่ากันทุกคน

อวี่เหอ ฉู่เหยา และซังฮั่วคือพวกที่เร็วที่สุด เร็วเสียยิ่งกว่าฉินมู่ ทั้งสามคนตามเขาไปทันและมองไปข้างหน้า ไจกระบี่ได้ไปถึงเจดีย์สังเกตการณ์แรกแล้ว!

ไจกระบี่นั้นยังคงอยู่ห่างออกไปสิบห้าวา กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนได้พรั่งพรูออกไปและพุ่งเข้าไปในเจดีย์สังเกตการณ์ กระบี่บินอีกสิบกว่าเล่มก็แยกตัวออกมา และพุ่งลงไปเลียดพื้น ในเวลาเดียวกันนั้น ที่เหลือก็กลับมารวมเข้าด้วยกันเป็นไจกระบี่ มันไม่หยุดชะงักแม้จังหวะเดียว และพุ่งต่อไปข้างหน้า

ฉินมู่เองก็กระทำเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเห็นเจดีย์สังเกตการณ์ที่สองในชั่วจังหวะถัดมา มันก็มีทหารมารสองคนนั่งดื่มสังสรรค์กันใต้เจดีย์ ขณะที่มีอีกสองเฝ้าประจำการอยู่บนยอด

กระบี่บินสิบกว่าเล่มที่บินเลียดพื้นพุ่งปราดไปหา และมารสองตนที่ดื่มสุรากันอยู่นั้นก็ไม่ทันจะได้กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ หัวของพวกเขาก็หลุดร่วง และกระบี่ก็วกพุ่งขึ้นไปข้างบนด้วยแสงโลหิต ปะทะเข้ากับไจกระบี่ที่บินออกมาจากเจดีย์สังเกตการณ์

ฟิ้ววว!

ฉินมู่เหาะเข้าไป และลมดุดันก็กวาดซัดใส่เจดีย์สังเกตการณ์ เขาพุ่งทะยานไปยังเจดีย์ที่สาม

อวี่เหอ ฉู่เหยา และซังเย่ตามเขาไปติดๆ และไปยังเจดีย์ที่สาม ฉินมู่พลันชะงักเท้า แต่ไจกระบี่ของเขาได้พุ่งไปยังเจดีย์สังเกตการณ์ที่สี่แล้ว

สองเท้าของฉินมู่ทั้งไม่ชิดและไม่ถ่าง ด้วยมือขวาของตั้งเป็นนิ้วกระบี่ ปราณชีวิตของเขาก็ไหลพล่านทั่วสรรพางค์กาย และเขาเซไปข้างหน้าเหมือนคนเมา นิ้วกระบี่ของเขาแทงเข้าไปในความว่างเปล่าทางนั้นทีทางนี้ที พลางรักษาการขับเคลื่อนโคจรเพลงกระบี่เอาไว้

ไจกระบี่ปะทะเข้าไปในเจดีย์สังเกตการณ์ และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกไปทุกทิศทางราวกับปลาบิน พวกมันสังหารผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารทุกคนที่ยืนรักษาการณ์อยู่ ในเวลาเดียวกันนั้น ไจกระบี่ก็พุ่งทลายผ่านเจดีย์สังเกตการณ์ที่สี่ ห้า และหก

ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ รีบรุดมาจนถึงสี่คนข้างหน้านี้ เมื่อพวกเขาหยุดเท้า ติงอวิ๋นก็ฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาและวิ่งไล่ตามไจกระบี่ของฉินมู่ไป เขาเห็นว่าหลังจากที่มันพังถล่มเจดีย์สังเกตการณ์ที่หก มันก็แยกออกจากกัน และกระบี่บินแปดพันเล่มก็แยกออกเป็นสองกลุ่ม ก่อนที่จะก่อตัวเป็นไจกระบี่เล็กลงสองลูกอันคล้ายคลึงกันและโบยบินไปในทิศทางตรงกันข้าม

ติงอวิ๋นตกตะลึง แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็รีบไล่ตามไจกระบี่ลูกหนึ่งไป เขาพบว่ามันเคลื่อนไหวจู่โจมอย่างมีแบบแผน และเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งด้วยความเร็วอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ มารทั้งหมดในเจดีย์สังเกตการณ์ล้วนแต่ถูกสังหารโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

เมื่อไจกระบี่มาถึงยามสังเกตการณ์คนสุดท้าย ติงอวิ๋นก็พลันได้ยินเสียงตูมที่เกิดขึ้นมาจากการที่ไจกระบี่เหล่านั้นพุ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียง แต่มันไม่ได้ดังอึกทึกอีกต่อไป ผู้ฝึกวิชาเทวะมารหลายตนโผล่หัวออกมาดู แต่ข้างหลังพวกเขา ไจกระบี่โบยบินเข้าไปในเจดีย์และระเบิดออกมาด้วยแสงกระบี่ ท่วมท้นถล่มใส่พวกเขา

ติงอวิ๋นรีบเรียกจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขากลับ และเมื่อเขาคืนสู่กายเนื้อ เขาก็เห็นไจกระบี่บินกลับมา และมีอีกลูกหนึ่งที่พุ่งหวีดหวือกลับมาเช่นกัน

ไจกระบี่สองลูกชนกันกริ๊งตรงหน้าฉินมู่ ก่อนจะหลอมรวมเป็นไจกระบี่ลูกใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย แล้วร่วงลงบนฝ่ามือของเขาอย่างแผ่วเบา

 โชคดีที่ข้าไม่ล้มเหลวในภารกิจ  ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและส่งยิ้ม

ทุกคนกำลังหอบหายใจ พวกเขาพลันชะงักเท้าและยังไม่ทันได้เหลียวมองดูบริเวณรอบๆ เลยด้วยซ้ำ

ฉู่เหยามองไปที่ติงอวิ๋นผู้ซึ่งพยักหน้า  ในรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบลี้ หอสังเกตการณ์ใดที่ได้ยินเสียงอึกทึกของพวกเราก็ถูกทำลายไปทั้งสิ้นด้วยน้ำมือจ้าวลัทธิ สถานที่อันห่างไกลออกไป ไม่สามารถได้ยินเสียงถึงนี่ 

 หนึ่งร้อยห้าสิบลี้? 

อวี่เหอมีสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู ฉินมู่เพิ่งพูดถึงแค่หนึ่งร้อยลี้อยู่เมื่อครู่ แต่เขากลับทำลายเจดีย์สังเกตการณ์ตลอดรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบลี้เชียว ปราณชีวิตของเขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว

ดูเหมือนว่าเขาจะถ่อมตนจริงๆ นางลอบคิดในใจ

 ไปกันเร็ว! จ้าวลัทธิ เจ้าควบคุมกระบี่มากมายขนาดนี้ จำเป็นต้องพักก่อนไหม  ฉู่เหยาถาม

ฉินมู่ส่ายหัว  ไม่ต้องห่วง ปราณชีวิตข้ายังเต็มเปี่ยม 

ฉู่เหยากระโดดโหยงด้วยความตกใจ และอุทานกับตนเองว่าฉินมู่เป็นอัจฉริยะปีศาจ ทุกคนพุ่งไปข้างหน้าผ่านเจดีย์สังเกตการณ์ที่ถูกทำลายไปด้วยความรีบเร่ง ไม่นานนัก พวกเขาก็อยู่ไม่ห่างจากเมืองเล็กๆ อันติงอวิ๋นได้เอ่ยถึงก่อนหน้านี้

ตรงหน้าพวกเขา สถานที่นี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเมืองเล็กๆ อีกต่อไป ในทางกลับกัน มันกลายเป็นแท่นสังเวยขนาดยักษ์ที่ไม่เล็กไปกว่าอันที่นักบุญคนตัดไม้ใช้เพื่อจุติลงมา!

มนุษย์แข็งแรงหลายพันคนกำลังก่อสร้างมันภายใต้การควบคุมกำกับของทหารมาร

แท่นสังเวยนี้ได้ถูกสร้างมาครึ่งหนึ่งแล้ว และผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารมากมายก็กำลังหิ้วถังเลือดสดมาเพื่อจารึกอักษรรูนลงไปบนนั้น

 พวกมารได้เปิดทะลุม่านคุ้มกันของสวรรค์ไท่หวงแล้วไม่ใช่หรือ ม่านคุ้มกันโลกระหว่างสวรรค์ไท่หวงและโลกของมารไม่อาจยับยั้งการจุติลงมาของมารเทวะได้อีกต่อไป แล้วทำไมพวกเขายังต้องก่อสร้างแท่นสังเวย 

ฉินมู่ฉงนใจ เขาพลันกล่าวด้วยเสียงต่ำ  เว้นก็แต่เทพหรือมารที่พวกเขากะจะอัญเชิญมา มิใช่ผู้คนจากโลกมาร? หรือว่ามันจะเป็น… 

เขาไพล่คิดถึงปูมหลังที่มาของเจ๋อหัวหลี และความไม่สบายใจก็เต็มปรี่หัวใจของเขา

เจ๋อหัวหลีเป็นศิษย์ของลั่วอู๋ชวง ผู้ซึ่งมาจากสถานที่ที่เรียกๆ กันว่าสภาสวรรค์แท้!

 ตรงนั้นมียอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์! ทุกคนเบือนสายตาไป อย่าให้เขาสังเกตเห็นพวกเจ้า!  ฉู่เหยารีบกล่าว

ทุกคนทำตามที่เขาบอก ข้างๆ แท่นสังเวย ยอดยุทธฝีมือแกร่งเผ่ามารมีจิตวิญญาณดั้งเดิมอันสูงกว่าสิบห้าวายืนอยู่ข้างหลังเขา เขาทั้งสูงและแข็งแกร่ง และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ดูราวจะสัมผัสบางสิ่งได้ในเมื่อมันเหลียวมองไปรอบๆ แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่อาจตรวจจับสิ่งใดที่ผิดสังเกต

ฉินมู่นำกระจกบานหนึ่งออกมา และใช้มันเพื่อสะท้อนภาพรอบข้าง  มารที่นี่มีจำนวนไม่มาก นอกจากยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์นั่นแล้ว คนอื่นๆ ก็คงรับมือไม่ยาก… 

ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากข้างในแท่นสังเวย และสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง

 ฟู่ยื่อลัว! 

ฝ่ามือของฉินมู่สั่นพั่บๆ เมื่อฟู่ยื่อลัวในกระจกเดินออกมาจากแท่นสังเวย และเงยหน้าขึ้นมองตรงมาที่เขา

 หนี…  ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง

ฟู่ยื่อลัวที่อยู่ในกระจก ก้าวอาดๆ ตรงเข้ามา และเดินออกจากกระจก ร่างกายของเขาใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฝันร้ายที่กำลังมาเยือน

 หนีเร็วเข้า!  ฉินมู่ตะโกนออกไปอย่างเฉียบขาด

………………

 

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท