ข้างทางมีหมาหนึ่งตัววิ่งผ่านแพนด้าลุกขึ้นยืนทันที หางของมันสะบัดไปโดนสมุดบันทึกในมือของติงยียี เธอคว้าไว้ไม่ทัน สมุดบันทึกตกลงไปในแอ่งน้ำเล็กๆด้านข้าง
เธอรีบหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาจากแอ่งน้ำ แต่กลับถูกดึงดูดความสนใจจากสองหน้าสุดท้ายที่ติดกันนั้น กระดาษสองแผ่นนั้นถูกคนทากาวติดเอาไว้ ตรงกลางปูดออกมา เพราะถูกน้ำทำให้เปียก จึงมองเห็นว่าด้านในมีจดหมายที่เขียนไว้ฉบับหนึ่ง
ทำไมแม่ต้องเอาจดหมายมาติดเอาไว้ด้วย ติงยียีอยากรู้มาก ค่อยฉีกสมุดบันทึกออก เอาจดหมายข้างในออกมา อ่านออกเสียงเบาๆ
“ยียี แม่คิดทบทวนมาตลอดว่าจะบอกลูกเรื่องนี้ดีหรือไม่ ในเมื่อแม่กับพ่อก็รักลูกมากขนาดนั้น แต่แม่มักจะฝันบ่อยๆ ฝันว่าลูกกำลังร้องไห้ ฝันว่าลูกถามพวกเราว่าทำไมต้องอุ้มลูกไป ทำไมลูกไม่ได้รับความรักจากแม่ที่แท้จริงของลูก”
สองมือของติงยียีสั่นไม่หยุด สองหูเธอไม่ได้ยินเสียงใดๆ เหงื่อผุดออกมาจากมือและเท้า ศีรษะวิงเวียน ได้แต่อ่านต่อไปเหมือนเครื่องจักร
“ลูก พวกเราผิดต่อลูก ตอนแรกแม่กับพ่อไม่สามารถมีลูกได้ ป้าลูกทำงานที่โรงพยาบาล เธอบอกว่าแม่ของลูกไม่ต้องการมีลูก พวกเราจึงอุ้มลูกกลับมา ขอโทษด้วยนะลูก แม่ไม่กล้าพอที่จะบอกเรื่องนี้กับลูก ถ้าวันหนึ่งลูกเห็นจดหมายฉบับนี้ อย่างนั้นก็หวังว่าลูกจะให้อภัยพวกเรา”
ติงยียียืนอยู่ น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว เพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆทักทายเธอ เธอมองพวกเขา แต่กลับเหมือนอยู่กันคนโลก ทั้งหมดล้วนเหลือเชื่อขนาดนั้น ทำให้คนเราไม่กล้าที่จะไปทำความเข้าใจ
เธอไม่รู้ว่านั่งอยู่นานขนาดไหน รู้เพียงว่ามือกับเท้าไม่มีความรู้สึก เธอไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้นานมากแค่ไหน รู้แค่เพียงตาแห้งจนขนาดกระพริบตายังรู้สึกแสบตา
เสียงเรียกและเสียงฝีเท้าอย่างกระวนกระวายดังมาจากข้างๆ เธอไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไม่ตอบไม่มอง มือข้างหนึ่งจะดึงกระดาษในมือเธอออก เธอจับแน่นด้วยสัญชาตญาณ จนกระทั่งมีเสียงฉีกขาดเบาๆดังขึ้นมาเธอจึงได้สติเหมือนตื่นจากความฝัน
เย่เนี่ยนโม่มองเธออย่างเป็นห่วง เขาไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อนเลย สภาพที่อ่อนแอแบบนั้น ผมของเธอถูกลมพัดยุ่งเหยิง เขาสัมผัสแก้มเธอ ความหนาวเย็นที่ทิ่มแทงไปถึงกระดูกในฤดูใบไม้ร่วงแผ่ออกมาจากฝ่ามือ
ติงยียีปล่อยมือ เขาอ่านจดหมายฉบับนั้นจบแล้ว เธอเงยหน้ามองเขาด้วยท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ ถามอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า “เนี่ยนโม่ ฉันควรจะทำยังไงดี!”
เย่เนี่ยนโม่พับจดหมายอย่างดีวางในมือของเธอ พร้อมกันนั้นก็ใช้มือที่ใหญ่โตของเขาห่อมือของเธอเอาไว้ พูดด้วยเสียงอ่อนโยนแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าจะทำให้เธอตกใจ “ผมอยู่ข้างคุณ”
ค่ำคืนที่ยาวนานยิ่งขึ้น ติงยียีคิดว่าตนเองจะนอนไม่หลับ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะนอนหลับในอ้อมกอดของเย่เนี่ยนโม่ได้จนถึงเช้า
เธอตื่นขึ้นมาทันทียามที่ฟ้าค่อยๆสว่างทันทีที่เธอขยับตัวก็มีพลังบางอย่างรัดตนเองให้แน่นยิ่งขึ้น ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเย่เนี่ยนโม่ก็สั่นสะเทือน ติงยียีกลัวว่าจะปลุกให้เขาตื่น จึงรีบหยิบมา
“เนี่ยนโม่ อรุณสวัสดิ์” จู่ๆข้อความหนึ่งก็เข้ามาอยู่ในสายตาเธอ ภายใต้ภาพของอ้าวเสว่ที่ยิ้มอย่างหวานเยิ้ม อยู่ในห้องที่มืดมิดกลับทำให้ดูแปลกประหลาด ไม่นานโทรศัพท์มือถือของเธอก็สั่นเช่นเดียวกัน “ติงยียี แกนังมือที่สาม เมื่อไหร่จะคืนเนี่ยนโม่มาให้ฉัน!”
คนส่งข้อความคนเดียวกัน เนื้อความต่างกัน มือคู่หนึ่งหยิบโทรศัพท์มือถือไปจากมือเธอ เย่เนี่ยนโม่มองข้อความในโทรศัพท์มือถือของติงยียี คิ้วขมวดแน่น “เริ่มได้รับข้อความพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ติงยียีไม่พูดอะไร เย่เนี่ยนโม่เริ่มใส่เสื้อผ้าอย่างเงียบๆ สีหน้าไม่สู้ดีนัก เธอรีบไปรั้งเขาไว้ “ไม่นานเท่าไหร่ เมื่อวานซืนเองค่ะ”
“ลุงสวีบอกให้คุณไปจากผมใช่มั้ย” เย่เนี่ยนโม่พลิกไหล่ของเธอมาถาม แรงจนทำให้ทั้งสองฝ่ายเจ็บเล็กน้อย
“แล้วคุณคิดยังไง” เขาถาม แม้ว่าเสียงจะเป็นปกติอย่างไร แต่สีหน้ากลับมีความตระหนกเล็กน้อย
ติงยียีเขย่งปลายเท้าโน้มไปตรงหน้าเขา ใช้ลมหายใจเกี่ยวกระหวัดกันเป็นวิธีการบอกเขาถึงการตัดสินใจของตนเอง
ความรักคือความเห็นแก่ตัว ในเมื่อเขาเลือกเธอ เธอก็ต้องอยู่กับเขาต่อไป
เย่เนี่ยนโม่ยิ้ม ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสาราวกับเด็ก นั่นคือรอยยิ้มอย่างมีความสุขของคนที่เรารักและรักเรา ท้องของติงยียีส่งเสียงโครกครากดังขึ้นมาเธอยืนขึ้นมาอย่างเคอะเขิน
เย่เนี่ยนโม่ยื่นมือมาถูปลายจมูกเธอเบาๆ พูดอย่างเอ็นดูว่า “ผมไปทำอาหารเช้าให้คุณ”
ฤดูใบไม้ร่วง แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังมาสาย ติงยียีมองท้องฟ้าสีคราม ลมอ่อนๆพัดผ้าม่านสีฟ้าที่เธอเลือกขึ้นมา ภายในห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของโจ๊ก ผู้ชายที่เธอรักที่สุดยอมปล่อยวางสถานะตัวตนเพื่อทำอาหารเช้าให้เธอ
หกโมงครึ่ง ประตูในบ้านมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นตรงเวลา เย่ป๋อที่อยู่ในชุดสูทยืนอยู่นอกประตู ในมือคือเอกสารหนาๆ เมื่อวานคุณชายสั่งว่าวันนี้จะทำงานที่บ้าน ดังนั้นเขาจึงนำเอกสารทั้งหมดมา
เย่เนี่ยนโม่พลิกอ่านหนังสือพิมพ์ หลังจากติงยียีทานอาหารเสร็จแล้วก็ส่งเสื้อคลุมให้กับเธอ ติงยียีถามอย่างแปลกใจว่า“ไปไหนคะ”
“เมืองเหยาหนาน”
หัวใจเธอเต้นตึกตัก เมืองเหยาหนานคือเมืองที่คุณป้าพักอยู่ จะไปเผชิญหน้าตอนนี้เลยเหรอ
เย่เนี่ยนโม่สวมเสื้อคลุมเรียบร้อย ติงยียียังนั่งอยู่บนโซฟา เขายืนอยู่ด้านหลังโซฟาค่อยๆโน้มตัวลงมา มองดวงตาของเธอพลางพูดเบาๆว่า “อย่าหนี”
ติงยียีมองดวงตาของเขา กลับรู้สึกว่าละสายตาไปไหนไม่ได้ หัวใจถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกปลอดภัย เธอพยักหน้าอย่างแรง
บนทางด่วน ติงยียีนั่งอยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองข้างๆ เย่เนี่ยนโม่จัดการเอกสารไปพลางสังเกตความเคลื่อนไหวของหุ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปพลาง
แสงแดดนอกหน้าต่างกำลังพอดี เคลือบขนตาของเขาให้ส่องแสงแวววับ รอจนกว่าติงยียีจะรู้ตัว มือของตนเองก็ยื่นมาตรงหน้าเขาแล้ว
ปากกาที่อยู่ในมือเย่เนี่ยนโม่ชะงัก หันมามองเธอ ความมุ่งมั่นตั้งใจบนใบหน้ากลับอ่อนลงอย่างมากเพราะสายตาที่อ่อนโยน
เธออยากจะดึงมือกลับอย่างเขินอาย แต่กลับถูกเขาจับเอาไว้ จากนั้นนิ้วมือทั้งสิบนิ้วก็สอดประสานกัน เธอไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้นานแค่ไหน แม้จะเมื่อยมืออยู่บ้าง แต่กลับไม่อยากปล่อยมือเลยสักนิดเดียว
รถยนต์แล่นเข้ามาที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งของเมืองเหยาหนาน จากนั้นก็มาหยุดลงที่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง ติงยียีเพิ่งลงจากรถ ติงเหม่ยหรงที่ถือตะกร้าเตรียมจะออกจากบ้านพอดี
“ยียี! เธอมาได้ยังไง ต้าเฉิงนายดูสิว่าใครมา!” ติงเหม่ยหรงลากแขนติงยียีเข้าไปในบ้านพลางตะโกนเรียกไปพลาง
ติงยียีรู้สึกสับสนในใจเล็กน้อย เดินตามป้าไปสองสามก้าวก็หันกลับไปมองพบว่าเย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ที่ประตู
เย่เนี่ยนโม่โบกมือให้เธอ เธอรู้ว่าพ่อไม่ชอบเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าบ้านไปกับตนเอง
ทันใดนั้นติงยียีก็รู้สึกเศร้าเสียใจ ปล่อยมือป้าวิ่งไปที่ประตู เย่เนี่ยนโม่เตรียมหมุนตัวกลับไปบนรถ แขนเสื้อคลุมถูกดึงเอาไว้เบาๆ เขาก้มหน้ามองดูมือที่รั้งตนเองไว้ ยิ้มแล้วจูงมือเธอ
ติงต้าเฉินหลังจากได้ยินว่าติงยียีกลับมาก็ดีใจมาก แต่พอมองเห็นเย่เนี่ยนโม่สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ค้ำยันไม้เท้าคิดจะกลับห้อง ติงเหม่ยหรงรีบมาขวางหน้าเขาไว้ “เขาอุตส่าห์เดินทางมาหลายร้อยกิโลเมตรจึงมาถึงที่นี่ ต้าเฉินคุณก็นั่งเป็นเพื่อนแขกหน่อย”
เย่ป๋อที่อยู่ด้านหลังเย่เนี่ยนโม่ยื่นของขวัญมาได้ทันเวลา ติงเหม่ยหรงรับมาด้วยรอยยิ้ม พอเห็นก็รู้ว่าเป็นโสมอย่างดี เธอทำงานที่โรงพยาบาลมาสิบกว่าปี เห็นคนส่งของเยี่ยมบ่อยขนาดนั้น ก็มีประสบการณ์เพราะได้เห็นได้ฟังบ่อยๆ เธอมองแวบเดียวก็มองออกว่าของขวัญชิ้นนี้มีมูลค่าไม่ต่ำหลายหมื่น
“พ่อคะ ป้าคะ ความจริงที่หนูมาวันนี้เพราะมีเรื่องจะถามพวกคุณค่ะ” ติงยียีรู้สึกว่าปากตัวเองแห้งผาก อยากจะถอยหนี เรี่ยวแรงที่มือกระตุกเกร็งเธอหันหน้าไป สบตากับดวงตาที่อ่อนโยน
ติงต้าเฉินส่งเสียงฮึ่มฮั่ม “ถ้าจะมาบอกว่าขอให้พวกเธอแต่งงานกันก็อย่าได้คิด พ่อไม่มีทางยอมรับ”
“แต่งงานเหรอคะ” ติงยียีอึ้งชะงัก ติงต้าเฉินเห็นท่าทางตกตะลึงของเธอก็โมโหมาก ตะคอกด้วยความโกรธว่า “ชีวิตนี้เธอไม่คิดที่จะตาสว่างบ้าง เลยเหรอ!”
“คุณลุงครับ เรื่องพวกนี้คุณตัดสินใจเองก็ดีแล้วครับ” เย่เนี่ยนโม่ค่อยๆก้าวมาข้างหน้า ใช้ร่างครึ่งหนึ่งปกป้องติงยียีเอาไว้
ติงยียีมองใบหน้าด้านข้างของเขา สีหน้าสับสน เธอไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานกับเย่เนี่ยนโม่มาก่อนเลย เขาพูดขนาดนี้สามารถมองว่าเป็นคำสัญญาต่อตนเองได้หรือไม่
ติงเหม่ยหรงเห็นว่าบรรยากาศดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ก็รีบเรียกให้ติงยียีและเย่เนี่ยนโม่นั่งลง ติงต้าเฉินพูดว่า “มีวันหยุดเมื่อไหร่ก็มาพักอยู่ที่นี่บ้าง”
ติงยียีรู้ว่าพ่อคิดถึงตนเอง แต่ว่าเย่เนี่ยนโม่ไม่ได้พูดอะไรเลย เธออบอุ่นในหัวใจ
ติงยียีหยิบสมุดบันทึกออกมา พอติงต้าเฉินมองเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเลย “ลูกไปเอาสิ่งนี้มาจากไหน!”
“พ่อคะ หนูรู้แล้ว” ติงยียีเอาสมุดบันทึกในมือกับจดหมายยื่นไปให้ติงต้าเฉินรับไปด้วยสองมือที่สั่นเทาหลายต่อหลายครั้งก็ยังถือให้มั่นคงไม่ได้ ติงเหม่ยหรงจึงรับไปเอง พอเปิดออกดู ก็มีสีหน้าสับสนขึ้นมา
“ยียี ตอนนั้นป้าเป็นคนตัดสินใจเอง หลานอย่าไปโทษพ่อของหลานเลยนะ!” ติงเหม่ยหรงรั้งตัวติงยียีเอาไว้อธิบายอย่างตื่นตระหนกตกใจ
ติงต้าเฉินโบกมือด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น สีหน้าแก่ชราลงมาก เขาเดินด้วยไม้เท้าไปทางด้านในห้องอย่างยากลำบาก ติงเหม่ยหรงอยากจะไปประคองเขา เขาส่ายหน้าเดินเข้าไปในห้องด้วยตนเอง
ไม่นาน เขาก็หยิบรูปถ่ายใช้ในงานศพของภรรยามา มือที่เหี่ยวแห้งเล็กน้อยลูบ มือที่แห้งกร้านเล็กน้อยค่อยๆลูบไล้ทั่วทุกมุมบนภาพอย่างละเอียดลออหลังจากนั้นพักใหญ่ จู่เขาก็ยกกรอบรูปขึ้นมาปาลงพื้น
“แม่!” ติงยียีส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนาติงต้าเฉินโยนไม้เท้าในมือทิ้ง เซถลาล้มลงบนพื้น เขาคลำหาอะไรบา
อย่างในเศษกระจกที่แตกละเอียด หยิบกำไลที่ค่อนข้างเหลืองเล็กน้อยออกมาจากกองเศษกระจก
“พ่อเตรียมที่จะเอาความลับนี้จนเสียชีวิต คิดไม่ถึงเลยว่าลูกจะเจอเข้า นี่คือของที่ป้าของลูกหยิบมาจากแม่แท้ๆของลูกหลังจากที่อุ้มลูกกลับมา”ติงต้าเฉินเอากำไลส่งให้ติงยียี แขนกลับสั่นอยู่ตลอดเวลา
“ยียี! แม้ว่าหลานจะไม่ใช่ลูกแท้ของตระกูลติง แต่ว่าหลายปีมานี้ต้าเฉินก็ปฏิบัติกับหลานเหมือนเป็นลูกแท้จริงๆ โทษฉันที่ตอนแรกขโมยอุ้มเธอมา หลอกพ่อกับแม่เธอว่าเธอเป็นเด็กที่ถูกทิ้ง แต่ว่าตอนที่แม่แท้ๆของเธอคลอดเธอนั้นบอกว่าไม่ต้องการเธอจริงๆนะ ฉันก็เลยเกิดความคิดแบบนั้น!”
ติงยียีอึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น เธอมองพ่อที่ดูแก่ชราขึ้นมาทันทีในชั่วพริบตา อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในหัวสมองกลับว่างเปล่า ไหล่ถูกผลักเบาๆ เธอหันไปมอง ก็สบตาเข้ากับสายตาอ่อนโยนของเย่เนี่ยนโม่
ติงต้าเฉินลุกยืนขึ้นตัวสั่นเทา เดินเข้าไปในห้อง ติงยียีก้าวไปข้างหน้ากอดเขาเอาไว้ น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
“พ่อคะ หนูจะไม่ไปจากพ่อค่ะ เมื่อก่อนพ่อเป็นพ่อ ตอนนี้ก็ยังเป็น อนาคตก็เป็นค่ะ!” ติงยียีร้องไห้พลางส่งเสียงเรียกเขา กอดกันกลมอยู่กับติงต้าเฉิน