สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – บทที่1488 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1388

บทที่1488 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1388

ติงยียีหัวเราะกับคำพูดของเขา คนขับรถจอดรถที่ข้างทางของสถานีขนส่ง ติงยียีหยิบธนบัตรใบละหนึ่งร้อยขึ้นมาหนึ่งใบ พูดพลางสะอึกสะอื้นว่า “ถอนเงินด้วยนะคะคนขับ!”

“เฮ้อ คุณผู้หญิงคนนี้ เศร้าเสียใจก็ยังไม่วายที่จะจุกจิก ผมยอมใจคุณจริงๆ”

รถมาเซราตีที่อยู่ด้านหลังแท็กซี่ก็จอดเข้าข้างทาง เย่เนี่ยนโม่มองติงยียีลากกระเป๋าเดินทางเดินเข้าไปในที่ขายตั๋วในมือยังถือธนบัตรอยู่หนึ่งใบ จากใบหน้าด้านข้างมองไปเห็นชัดว่าร้องไห้จนตาบวม

“ยัยโง่” เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วจึงขับรถจากไป

บ้านตระกูลเย่ พอพ่อบ้านเห็นเย่เนี่ยนโม่เข้ามาก็ร้องอย่างดีใจว่า “คุณนาย คุณชายกลับมาแล้วครับ”

“พี่!” เย่ชูฉิงเตรียมจะออกไป มองเห็นเขาก็ทักทายอย่างดีใจ เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วพูดว่า “จะไปไหนอีก”

“ฉันและแฟนคลับอีกสองสามคนของอันหรัน ลงขันกันเองเพื่อจัดแสดงผลงานเขาในรถไฟใต้ดินหนึ่งสัปดาห์ พวกเรากำลังจะไปดูผลลัพธ์ค่ะ” เย่ชูฉิงยิ้มหวาน

เย่เนี่ยนโม่หยิบใบเสร็จในมือเธอมา การจัดแสดงในรถไฟใต้ดินหนึ่งสัปดาห์เป็นเงินสามแสนหยวน เขาเห็นเธอดีใจขนาดนั้น เอาใบเสร็จคืนใส่มือเธอ พูดกับเธอว่า “ไม่พอค่อยมาเอาที่พี่”

เซี่ยชีหรั่นได้ยินเสียงก็ลงมาจากชั้นบน หลังจากเห็นเย่ชูฉิงก็พูดว่า “ชูฉิง ให้คุณอาในบ้านสองสามคนไปเป็นเพื่อนลูก ไม่อย่างนั้นเด็กผู้หญิงคนเดียวอยู่ข้างนอกอันตราย”

เย่ชูฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย บอดี้การ์ดในบ้านเป็นที่สะดุดตามากเกินไป เธอไม่อยากให้พวกเพื่อนรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก

สายตาเย่เนี่ยนโม่เหลือบมองไปที่เธอ เย่ชูฉิงยอมทำตาม พยักหน้าแล้วจึงออกไป เซี่ยชีหรั่นให้ห้องครัวยกน้ำแกงมาให้พลางเรียกเย่เนี่ยนโม่

“วันนี้แม่ไปหาติงยียีมา” เซี่ยชีหรั่นพูดพลางตบที่บนโซฟาข้างๆตัว

เย่เนี่ยนโม่นั่งข้างๆเธอ ทันใดนั้นก็พบว่าไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่คนอ่อนแออย่างตนเองกลับเอาแม่เข้ามาล้อมเอาไว้ เขาเคยสาบานว่าจะปกป้องแม่และลุงสวีตลอดไป ตอนนี้ตนกลับทำให้แม่เป็นห่วง

เซี่ยชีหรั่นตบที่มือของเขาพูดต่อว่า “เด็กคนนั้นไม่ได้เหมาะสมกับลูกเลย”

เย่เนี่ยนโม่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง พูดว่า “เธอจากไปแล้วครับ แต่ว่าผมไม่ได้คิดจะปล่อยเธอไป อนาคตของเธอจะติดแน่นอยู่ด้วยกันกับฝ่ามือของผม ตอนนี้ผมให้อิสระกับเธอก่อน”

“ในเมื่อลูกไม่เคยคิดจะปล่อยเธอไป อย่างนั้นทำไมลูกถึงตกลงยอมให้เธอไป” เซี่ยชีหรั่นถามเขาอย่างไม่เข้าใจ เย่เนี่ยนโม่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “คุณแม่เคยได้ยินชื่อซือซือชื่อนี้มั้ยครับ”

“เพล้ง!” สายประคำที่เซี่ยชีหรั่นถือเอาไว้ในมือตลอดเวลาหล่งลงบนพื้น เธอไม่สนใจที่จะเก็บ รีบดึงมือเขาถามว่า “ลูกไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน”

“เธอคือแม่ของอ้าวเสว่ เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับลุงสวี!” ตอนนี้เย่เนี่ยนโม่กำลังสังเกตอารมณ์บนใบหน้าของเธอ

สีหน้าเคร่งเครียดของเซี่ยชีหรั่นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาก็ผ่อนคลายลง อย่างนั้นน่าจะไม่ใช่หล่อน ในเมื่อพี่สวีเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของหลินเจี๋ยเขาไม่มีทางอยู่กับซือซืออีกอย่างเธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าซือซือเคยตั้งท้องก่อนจะเสียชีวิตที่ตูตู

“แม่ครับ แม่รู้จักเธอเหรอ” เย่เนี่ยนโม่ถามโดยไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไร ถ้าซือซือและตระกูลเย่มีความเกี่ยวพันกัน อย่างนั้นเรื่องนี้ก็จะยิ่งซับซ้อนไปกันใหญ่

“เมื่อก่อนลูกมีพี่ชายคนหนึ่ง แม่ของเขาก็คือซือซือแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเธอก็ไม่อยู่แล้ว” เซี่ยชีหรั่นเศร้าเล็กน้อย เธอนึกถึงตูตูขึ้นมาอีก หลายปีมานี้พอนึกถึงเธอก็จะเจ็บปวดใจมาก

ที่แท้แฟนเก่าของพ่อมีอยู่คนหนึ่งชื่อว่าซือซือเย่เนี่ยนโม่โอบไหล่ของแม่มาปลอบเบาๆอย่างสงสาร ในหัวเริ่มวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดหรือว่าที่ครั้งนี้ซือซือขับรถชนยียี แล้วยังการที่อ้าวเสว่มาปรากฏตัวข้างกายเขาจะเป็นเรื่องบังเอิญ คนที่เธอพุ่งเป้าไปมีเพียงแค่ยียีเหรอ

ติงยียีกลับมาอยู่ที่บ้านป้าสองวันแล้วกลับไปที่เมืองตงเจียงพักอยู่ในโรงแรมเล็กๆ เธอนับเงินในกระเป๋าสตางค์ด้วยความเศร้าเล็กน้อย

เงินเก็บของคนที่เพิ่งเรียนจบมาไม่นานอย่างตนเองเหลือไม่มาก ที่บ้านก็ยังซ่อมไม่เสร็จ ตอนนี้ก็ได้แต่ต้องเช่าห้องไปก่อน

บัตรใบหนึ่งในกระเป๋าหล่นออกมา เธอหยิบบัตรขึ้นมา ในบัตรมีเงินสามแสนหยวน หลังจากที่วันนั้นสวีเห้าเซิงมาพบตนเองวันต่อมาก็โอนเงินมาในบัตรตนเอง เธอไม่ได้คืนกลับไป บัตรธนาคารในตอนนี้ก็เหมือนปัญหาที่ยากจะรับมือ เธอรู้ว่ามีเงินสามแสนตนเองก็จะอยู่อย่างสุขสบาย คิดไปคิดมา เธอก็เอาบัตรยัดใส่ในกระเป๋า ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

เวลากลางคืน ติงยียีนั่งอยู่บนระเบียงที่เก่าทรุดโทรมนอกห้อง มองดูรถที่วิ่งผ่านไปมา และผู้คนที่เดินกันอย่างไม่มีการหยุดพัก จู่ๆก็รู้สึกเหงาอย่างแปลกๆ

เธอควักโทรศัพท์มือถือออกมา เปิดดูข้อความ ในนั้นมีข้อความที่เธอติดต่อพูดคุยกับเย่เนี่ยนโม่อยู่เต็ม บางครั้งก็แค่คำสั้นๆง่ายๆอย่างราตรีสวัสดิ์ บางครั้งทั้งหน้าจอมีแต่ข้อความของเธออยู่คนเดียว ส่วนเย่เนี่ยนโม่ตอบกลับตนเองบ้างบางครั้ง แต่ในข้อความเหล่านั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

เธอมองดูชื่อที่จะไม่มีทางอยู่ในบันทึกการโทรตลอดไป ถอนหายใจอย่างแรง ค่ำคืนที่ไร้ความฝัน ติงยียีตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่เธอตัดสินใจว่าต้องขยันทำงาน อย่างน้อยก็ต้องกลายเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมโดดเด่นจากนั้นจึงมีคุณสมบัติพอที่จะกลับไปอยู่ข้างเย่โม่เนี่ยน

เพิ่งจะเข้าประตูบริษัทเย่ซื่อ ห้องโถงที่แต่เดิมยังมีความคึกคักอยู่บ้างนั้นก็เงียบลงในชั่วพริบตา ติงยียีมองพวกเขาอย่างแปลกๆ เดินเข้าไปในลิฟต์ เพื่อนร่วมงานสาวคนหนึ่งที่เคยเจอหน้ากันหลายครั้งส่งเสียงหัวเราะออกมา

ออกจากลิฟต์ พอติงยียีเข้าไปที่ห้องทำงาน เพื่อนร่วมงานที่เดิมกำลังพูดคุยกันอยู่ต่างก็เงียบ

“ติงยียี ท่านประธานให้เธอเข้าไปพบ!” เลขาตะโกนเรียกเธอจากด้านหลัง ภายในห้องทำงานท่านประธานหลินเจี๋ยพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม “ได้ข่าวว่าคุณลอกผลงานของคนที่มีชื่อเสียงตอนคุณเรียนมหาวิทยาลัยเหรอ”

ติงยียีแผ่นหลังเกร็ง “ฉันอธิบายได้ค่ะ ฉันไม่ได้ลอกผลงานใคร แต่แค่ไม่รู้ว่าทำไมผลงานที่ฉันออกแบบถึงไปเหมือนกับนักออกแบบคนนั้นได้เท่านั้นเองค่ะ”

“คุณคิดว่าเหตุผลของคุณทำให้คนอื่นเชื่อได้มั้ย” หลินเจี๋ยวางเกมห่วงปริศนาที่เขาเล่นอยู่ตลอดเวลาในมือลง มองเธอแล้วพูดออกมา ติงยียีนิ่งเงียบ เธอรู้ว่าไม่มีใครเชื่อตนเอง

“ผมอนุมัติวันหยุดยาวให้คุณ” หลินเจี๋ยเดินไปข้างๆเธอ ตบบ่าเธอแล้วเดินออกไป ตอนนี้ให้เธอไปหลบข่าวซุบซิบนินทาก่อน รอจนทุกคนลืมไปแล้วค่อยออกมา นี่คือวิธีที่เขาปกป้องเธอ

ติงยียียืดหลังตรงลุกยืนขึ้นมา “ไม่ต้องหรอกค่ะท่านประธาน ฉันลาออกค่ะ!” เธอเงยหน้ายืดอกเดินกลับไปที่ประตูห้องทำงาน เธอดึงกล่องกระดาษใต้โต๊ะทำงานออกมาเริ่มเก็บข้าวของ

ด้านนอกห้องทำงานมีคนชี้ไม้ชี้มือ ติงยียีทำเป็นมองไม่เห็น นิ้วที่สั่นเล็กน้อยกลับเผยให้เห็นความหมดหวังในใจเธอ เก็บของหลายอย่างเสร็จแล้ว ติงยียีก็อุ้มกล่องกระดาษออกจากบริษัทเย่ซื่ออย่างรวดเร็ว

ขณะที่เพิ่งออกมาจากอาคารของบริษัทเย่ซื่อ ด้านหลังก็มีคนเรียกเธอ เธอหันไปมอง “พี่หวาง”

หวางเหม่ยผิงในใจอึดอัดอย่างยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสาร ลากเธอมาพูดด้วยเสียงเบาๆว่า “คุณติง เรื่องที่มหาวิทยาลัยของคุณฉันรู้ว่าใครเป็นคนเปิดโปงออกไป ฉันเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา!”

ติงยียีตัดบทเธอ เธอเดาได้แต่แรกแล้วว่าคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้มีแค่อ้าวเสว่ หวางเหม่ยผิงเห็นท่าทางของเธอก็ยิ่งสงสาร พูดว่า “ฉันคิดไม่ถึงว่าผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเย่ซื่อจะทำเรื่องแบบนี้ ฉันเห็นเขาดีกับเธอมากเลยนะ”

กล่องกระดาษในมือติงยียีตกลงบนพื้นเสียงดังปึง กระแทกเท้าของเธอแต่เธอกลับไม่รู้สึก หวางเหม่ยผิงตกใจในท่าทางของเธอ รีบพูดว่า “เมื่อวานตอนฉันทำความสะอาดในห้องน้ำได้ยินเขาพูดกับท่านประธาน จากนั้นตอนบ่ายทั้งแผนกวางแผนต่างก็รู้เรื่องกันหมด”

หวางเหม่ยผิงก็ยังพูดพล่ามไม่หยุด หัวใจติงยียีกลับเหมือนตกเข้าไปอยู่ในโรงน้ำแข็ง ทำไมเขาต้องทำแบบนั้น เขาไม่มีเหตุผลอะไรต้องทำอย่างนั้นเลย!

ไม่รู้ว่ากลับมาที่โรงแรมได้อย่างไร ใต้หน้าต่างของโรงแรมมีอาหารว่างเรียงเป็นแถว อาหารว่างแต่ละอย่างส่งกลิ่นหอม เธอนอนบนเตียง ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของฤดูใบไม้ร่วงจากผ้าปูที่นอน ไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มองเห็นว่าเป็นใครที่โทรมา เธอตั้งสติกดรับสาย “พ่อคะ!”

ติงต้าเฉินพูดคุยกับเธอครู่หนึ่ง กำชับให้เธอทานอาหารให้เป็นเวลาแล้วก็พูดว่า “ใช่แล้ว เกือบลืมไปเลยว่าวันนี้มีผู้ชายนามสกุลเย่คนหนึ่งโทรมาหาลูก”

หนหัวใจเธอเต้นตึกตักๆ ชะงักกับคำพูดของเขาโดยไม่รู้ตัว “พ่อคะ หนูนึกขึ้นได้ว่ามียานยังไม่ได้ทำ หนูไปทำงานก่อนนคะ”

“ตู๊ดๆ!” ติงต้าเฉินได้ยินเสียงโทรศัพท์สายไม่ว่าง พูดอย่างแปลกใจว่า “ไอ้ลูกคนนี้ วางสายเร็วขนาดนั้น พ่อยังไม่บอกเรื่องที่คนชื่อเย่ป๋อกำชับไว้ไม่หมดเลย! แต่เขาบอกว่าเรื่องที่บริษัทเป็นแผนลวง บอกลูกว่าไม่ต้องกังวล ประโยคนี้หมายความว่ายังไง”

หลังจากลาออกแล้ว ติงยียีหาห้องพักไว้หลายห้องจากในอินเทอร์เน็ต ที่เหมาะสมก็ราคาแพง ที่ราคาถูกถ้าไม่ไกลเกินไป ก็มีปัจจัยเสี่ยงในด้านความปลอดภัย

เสียเวลาหาอีกแล้ว ติงยียีถอนหายใจ สวมเสื้อยืดอย่างลวกๆออกไปกินข้าว คนบนถนนเดินขวักไขว่ แต่ละคนสวมหมวก หดศีรษะไว้ในเสื้อสเวตเตอร์เดินผ่านไป

เธอเดินไปพลางสังเกตโฆษณาห้องเช่าที่อยู่ข้างทางไปพลาง ที่จอดรถจักรยานต์สาธารณะแห่งหนึ่งทำให้เธอเห็นโฆษณาห้องเช่าแห่งหนึ่ง

เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ไว้ ด้านหลังมีคนเรียกเธอ “ยียีเหรอ”

เธอหันไปเจอกับไห่โจ๋ซวนและเย่ชูฉิงนั่งอยู่ในรถทักทายตนเอง “ขึ้นรถมาก่อน ตรงนี้ไม่ให้จอดรถ!” ไห่โจ๋ซวนกวักมือไปทางเธอ

รถขับไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ติงยียีถามอย่างสงสัยว่า “พวกคุณจะไปไหนกันเหรอ”

“ไปกินข้าว ช่วงนี้เพราะเรื่องศูนย์การค้านานชาติพี่โจ๋ซวนเลยยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้นเลยค่ะ ไม่ง่ายที่จะมีเวลาไปกินข้าวด้วยกัน!” เยชูฉิงพูดอย่างอิ่มเอมใจ ทำให้รับรู้ถึงความสุขของเธอได้อย่างง่ายมาก

“ยียีไปด้วยกันนะ” ไห่โจ๋ซวนโค้งไปพลางพูดไปพลาง ติงยียีมองเห็นดวงตาคู่นั้นที่ดับวูบลงไปของเย่ชูฉิง ก็รีบพูดว่า “ไม่ดีกว่า ฉันยังมีธุระต้องไปทำ ไม่ได้เจอพวกคุณนานแล้ว ก็เลยจะพูดคุยด้วยสองสามประโยคเท่านั้น”

“ใช่แล้ว เมื่อกี้เห็นเธอกำลังดูโฆษณาห้องเช่าอยู่ใช่มั้ย” ไห่โจ๋ซวนนึกถึงตอนที่ทักทายเธอ ดูเหมือนว่าเธอกำลังลอกหมายเลขโทรศัพท์บนโฆษณาอยู่

ติงยียีไม่ได้ปฏิเสธ ไห่โจ๋ซวนพูดติดตลกว่า “ผมมีห้องชุดอยู่หนึ่งห้องพอดี เธอจะลองดูมั้ย ค่าเช่าผมคิดราคาคุณถูกหน่อย”

เย่ชูฉิงยิ้มแกล้งแซวว่า “จริงเหรอคะพี่โจ๋ซวน งั้นฉันไปอยู่ได้มั้ย”

ไห่โจ๋ซวนหัวเราะเสียงดัง เปิดไฟเลี้ยวไปพลางพูดไปพลางว่า “เด็กไม่ต้องมายุ่งเลย ห้องหลายห้องของบ้านตระกูลเย่เปลี่ยนวันละห้องก็ได้”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

Status: Ongoing

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท