สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – บทที่ 1492 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1392

บทที่ 1492 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1392

พออันหรันจากไปโม่ซวนหลินก็นั่งไม่อยู่แล้ว ซุปเปอร์สตาร์วอร์มตัวอยู่ ส่วนตัวเองนักแสดงเล็กๆ คนหนึ่งกลับนั่งอยู่ตรงนี้หากให้พวกแฟนคลับเห็นแล้วต้องว่าตัวเองแน่ๆ มองไปทางติงยียีอย่างไม่พอใจ เธอเองก็ลุกขึ้นมา

ผู้กำกับหวูเห็นว่าได้เวลาแล้ว โบกมือไปทางกองถ่าย ฉากแรก วู่ยวนที่รับบทโดยอันหรันนอนในภูเขาป่าหวน มีชาวบ้านอยากจะตัดต้นไม้ ม้าของเขาแปลงร่างเป็นผีหลอกชาวบ้านจนตกใจวิ่งหนีกันหมด ทำให้เรื่องภูเขาป่าหวนมีผีกลายเป็นคำเล่าลือในตลาด

อันหรันสวมใส่เกราะที่หนา ท่ารำดาบเฉิดฉายเจิดจ้า ติงยียีมองจนรื่นรมย์หลงใหล สมกับที่เป็นชายหนุ่มหล่อที่สุดในวงการบันเทิงจริงๆ แค่ท่าเดียวก็ทำให้รู้สึกหวั่นไหว

วู่ยวนได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังจากทำสงครามกับปีศาจ หลับอยู่บนภูเขาป่าหวน เชียนหิมะลงจากสวรรค์มาปกป้องเขา

โม่ซวนหลินสวมชุดจีนโบราณเดินมายังใต้ภูเขาด้วยความโศกเศร้า ผู้กำกับโบกมือไปทางติงยียี ให้เธอปล่อยแพนด้าออกไป

ติงยียีลูบหัวของแพนด้า ชี้ไปทางตำแหน่งข้างๆ ของโม่ซวนหลินให้มันไปยืนอยู่ตรงนั้น

แพนด้าวิ่งไปทางโม่ซวนหลินอย่างสง่างาม ล้มลงบนตัวของเขาเลย โม่ซวนหลินตะโกนร้องแล้วล้มลง แพนด้าอ้าปากกว้าง น้ำลายหยดลงบนตัวของโม่ซวนหลิน เธอตะโกนร้องและดิ้นรน คนในงานต่างก็กระวนกระวายกันไปหมด แต่ก็ไม่กล้าดึงแพนด้าออก

“แพนด้า!” ติงยียีตำหนิ เธอโมโหแล้วจริงๆ ปกติจะซนหน่อยไม่เป็นเลย จะมาทำอะไรบ้าๆ ตอนเวลาสำคัญได้ยังไง!

แพนด้าลงมาจากตัวของโม่ซวนหลินดีๆ ก้มหน้าเดินลงมาทางเธออย่างเสียใจ ใช้ปากยกมือของเธอขึ้น

ผู้กำกับหวูช่วยพูดไกล่เกลี่ยอยู่ข้างๆ “ช่างเถอะ ถ่ายฉากที่เหินหยวนหลอกชาวบ้าน และปกป้องวู่ยวนก่อนละกัน!”

“เดี๋ยวก่อน” สวุเหวยเหรินเดินขึ้นมา ขมวดคิ้วแน่น “อารมณ์ของสุนัขตัวนี้ไม่คงที่ ตอนนี้ผมกำลังพิจารณาฉากที่อันหรันต้องถ่ายกับมันอยู่”

ผู้กำกับหวูมองไปทางติงยียีด้วยความร้องขอ สามารถพูดได้เลยว่าเจ้าแพนด้าเป็นจุดเด่นที่สุดในเรื่อง ใช้กราฟิกสร้างออกมาตัวหนึ่งนั้นไม่ยาก ทว่าผู้ชมจะชอบหรือไม่ชอบก็พูดยากแล้ว

“ขออภัยจริงๆ ค่ะ ก่อนหน้านี้เขาไม่เป็นแบบนี้เลยค่ะ” ติงยียีรู้สึกผิดมาก รีบโค้งเอวลงขอโทษ

ผู้กำกับหวูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ติงยียีคือคนสำคัญที่ต้องปกป้องเป็นพิเศษ หากเขาให้เธอลำบากใจ คุณชายเย่ไม่พอใจขึ้นมาถอนกองทุนการถ่ายทำออกไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จบแล้ว

อันหรันดึงแขนเสื้อของสวุเหวยเหรินอย่างสงบเยือกเย็น พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรครับ ยียีต้องทำให้มันเชื่อฟังแน่นอนอยู่แล้วใช่ไหมครับ”

ติงยียีมองแพนด้าแล้วไม่ค่อยแน่ใจ เมื่อเริ่มถ่ายทำร่างกายของเธอก็อัดแน่นไปหมด รอไปช่วยอันหรันอยู่ตลอดเวลา สวุเหวยเหรินที่อยู่ข้างๆ ยิ่งกังวลไปใหญ่

วู่ยวนนอนอยู่ในภูเขา เหินหยวนปกป้องเขาอยู่ข้างๆ ได้ยินว่าทางใต้ภูเขามีเรื่องผิดปกติจึงรีบออกจากภูเขาไป

ติงยียีลูบหัวของแพนด้า แพนด้าเดินเข้าไปหาอันหรันช้าๆ ในตอนที่ติงยียีทำท่าให้ก้มลงแพนด้าก็ก้มลง จนกระทั่งติงยียีเรียกมันลุกขึ้นมาอีกครั้ง

“คัท! ดีมาก!” ผู้กำกับยกนิ้วขึ้นไปทางติงยียีด้วยความพอใจ คนอื่นๆ ต่างก็มองไปทางโม่ซวนหลินด้วยสายตาที่แปลก ทำไมแพนด้าถึงโจมตีเธอคนเดียว? โม่ซวนหลินนั่งอยู่ข้างๆโดยไม่พูดอะไร สีหน้าแย่ไปหมด

ถ่ายภาพยนตร์มาทั้งวัน ติงยียีก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว หลังจากที่เก็บกอง ติงยียีก็เริ่มเครียดแล้วว่าจะกลับยังไงดี

มีรถพี่เลี้ยงคันหนึ่งขับมา อันหรันโบกมือไปทางเธอ “ไปไหนครับ? เดี๋ยวผมไปส่งครับ”

สามารถสบตากับไอดอล ติงยียีพยักหน้าด้วยความดีใจ พนักงานบางคนที่ยังไม่ทันกลับต่างก็มองภาพนี้ด้วยความแปลกใจ

โม่ซวนหลินตะลึงงันอยู่ข้างๆ นิ้วที่เรียวยาวบีบเข้าไปในก้อนเนื้ออย่างแรง วันนี้แพนด้าทำให้เธอเสียหน้ามาก! กลับถึงบ้าน เธอโยนกระเป๋าลงบนพื้นอย่างแรง

“นี่เกิดอะไรขึ้นอีก อารมณ์เสียขนาดนี้!” น้อยมากที่โม่เสี่ยวหนงจะไม่ออกไปเล่นไพ่นกกระจอก เธอดึงโม่ซวนหลินเข้าไปในห้องรับแขก “ดูสิว่าใครมา”

อ้าวเสว่และซือซือนั่งชิวๆอยู่ข้างๆ อ้าวเสว่เห็นเธอแล้วพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอกันเร็วขนาดนี้”

“คุณน้าซือซือ พี่อ้าวเสว่” ถึงแม้ว่าในใจของโม่ซวนหลินจะอารมณ์เสียอยู่ ทว่าไม่กล้าทำเรื่องบาดหมางกับสองคนนี้ ไม่ว่ายังไงแล้วซือซือเป็นคนออกเงินให้ตัวเองทำศัลยกรรม ส่วนลูกสาวของเธอดูแล้วก็ไม่ธรรมดา

“ช่วงนี้ติงยียีกำลังทำอะไรอยู่?” อ้าวเสว่พูดตรงๆ เลย เรื่องของโม่ซวนหลินและเย่เนี่ยนโม่เธอไม่ได้เก็บมาคิด สิ่งที่ทำให้เธอกังวลมากที่สุดคือติงยียี

พูดถึงติงยียี โม่ซวนหลินก็โมโหมาก พูดเรื่องที่เห็นในวันนี้ออกมาทั้งหมด อ้าวเสว่หัวเราะออกเสียง “ดีมาก!”

ดีมาก? !โม่ซวนหลินโมโหจนใจจะระเบิดแล้ว สีหน้ายังคงยิ้มอยู่ อ้าวเสว่พูดต่อว่า “อันหรันสามารถเป็นซุปเปอร์สตาร์ได้เธอคิดว่าเขาจะทำเรื่องผิดพลาดที่ชัดเจนขนาดนี้เหรอ? ”

“คุณหมายความว่าเขาตั้งใจสร้างความสนิทสนมกับติงยียี?” โม่ซวนหลินพูดด้วยความแปลกใจ อ้าวเสว่พยักหน้า “ฉันต้องการให้เธอทำเรื่องหนึ่ง ถ่ายภาพระหว่างที่พวกเขาอยู่ด้วยกันทั้งหมดมา ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ทำแบบนี้ฉันว่าพอถึงเวลาแล้วอันหรันก็ต้องทำแบบนี้แน่นอน พวกเราก็แค่เลื่อนเวลาขึ้นก่อนเท่านั้นเอง”

อ้าวเสว่ต้านกับติงยียีแน่นอนว่าโม่ซวนหลินเห็นด้วยอยู่แล้ว ในใจของอ้าวเสว่เต็มไปด้วยความซะใจ ติงยียี ฉันไม่เพียงแต่จะให้แกออกจากโลกของเพชรพลอย ฉันยังต้องการให้แกไม่สามารถอยู่ต่อในดินแดนอื่นด้วยเช่นกัน!

หลังจากที่อ้าวเสว่และซือซือไปแล้ว โม่ซวนหลินเดินไปยังบนตึกคนเดียว บนตึกถูกล็อกด้วยกุญแจใหญ่ เธอร้องเพลงพลางปลดกุญแจไปด้วย เข้าไปในห้อง สักพักก็มีเสียงของหนักตกลงมาที่พื้นดังมาจากด้านในประตู ดังต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่าตราบทั้งคืน

ในตอนที่ติงยียีกลับถึงบ้านเป็นเวลาแปดโมงแล้ว ปรุงบะหมี่ไปจานหนึ่งแล้วนำไปทานที่ห้องรับแขก เปิดทีวีแล้วกดช่องตามความต้องการ จากนั้นก็ละสายตาไม่ได้เลย

บนรายการทีวีคือบทสัมภาษณ์ของเย่เนี่ยนโม่ พิธีกรค่อนข้างที่จะหัวโบราณ ถามคำถามเร็วและว่องไวมาก เย่เนี่ยนโม่พยายามตอบกลับ ไม่ให้ผู้อื่นหาที่ติเจอ อดีตคนรักที่คุ้นเคยของติงยียี จู่ๆ ก็คิดถึงเขา คิดถึงจนไม่สามารถยับยั้งได้

ขณะนี้โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอเปิดดู เป็นเบอร์แปลกหน้า “ฮาโหล สวัสดีค่ะ ใครคะ?” เธอทานบะหมี่ไปด้วยพลางถามไปด้วย

ในโทรศัพท์มีเสียงหายใจเบาๆ แล้วก็มีเสียงของคลื่นทะเล ทว่ากลับไม่มีใครพูดอะไร จู่ๆ หัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้น ในสมองมีภาพของคนๆ หนึ่งลอยขึ้นมา กลับไม่กล้าที่จะเชื่อ “มีคนไหมคะ?”

เธอสามารถที่จะวางทิ้งได้ ทว่ากลับยืนหยัดจับโทรศัพท์ไว้ ทันใดนั้นทั้งสองต่างก็ไม่ได้พูดอะไร เหลือเพียงแต่ลมหายใจที่หนักและเบา

“เสียงริมฝีปากขมุบขมิบ!” ในโทรศัพท์มีเสียงยุ่งๆดังผ่านมา มีความฉับพลันเกินไป ทำให้รู้สึกว่าเหมือนยังอยู่ดื่มด่ำกับลมหายใจอยู่ ทีวียังคงเปิดไว้ เขาที่อยู่ในทีวีเพอร์เฟก์ไม่มีที่ติ เหมือนดั่งเจ้าชายขี่ม้าขาวในความฝันของหญิงสาวช่วงวัยรุ่นทุกคน ทว่าในตอนที่เจ้าชายขี่ม้าขาวมาถึงข้างกายจริงๆ กลับไม่ใช่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

ในตอนที่โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งติงยียีรีบรับโทรศัพท์ ในน้ำเสียงมีความสั่นที่ตัวเองไม่รู้ตัว

“ยียี”

“เมิ่นเจ๋ ไม่เจอกันนานเลย ฉันคิดถึงเธอจะตายอยู่แล้ว เธอไปต่างประเทศสักพักแล้วไม่ใช่หรอ?”

“ฉันกลับมาแล้ว พรุ่งนี้เราเจอกันหน่อยเถอะ ฉันรู้จักร้านอาหารเปิดใหม่ร้ายหนึ่งที่ไม่เลว”

ในน้ำเสียงของซ่งเมิ่นเจ๋มีเสียงสะอื้นอยู่ ติงยียียังมีความมึนงงจากสายครั้งแรก จึงฟังไม่ออก ทั้งสองคุยกันไปสองสามคำก็วางสายแล้ว

วันที่สองมีฉากของแพนด้าเพียงฉากเดียว ผู้กำกับหวูจึงหยุดงานช่วงเย็นให้กับติงยียี ตอนทานอาหารกลางวัน แน่นอนว่าอันหรันมีเชฟส่วนตัวของตัวเอง ผู้ช่วยของแช่ถิงถิงก็พกอาหารมาเอง

ติงยียีหยิบกล่องข้าวมา ผู้ช่วยก็รีบวิ่งมาแล้วพูดว่า “พี่อันเชิญคุณไปทานอาหารด้วยค่ะ!” คนกองต่างก็แอบมองติงยียี มีบางคนที่แอบพูดนินทาขึ้นมาด้วย

ถึงแม้ว่าติงยียีจะดีใจมากที่มีโอกาสทานข้าวกับไอดอล ทว่าก็ยังกลัวว่าคนอื่นจะพูดนินทา สร้างความลำบากให้อันหรัน สุดท้ายก็ส่ายหัวปฏิเสธ

เธอเปิดกล่องข้าวออก ข้างหลังมีเสียงหอบดังขึ้น มีกล่องข้าวกล่องหนึ่งยื่นมา อันหรันไม่สนใจแววตาที่ประหลาดของผู้คน ยื่นกล่องข้าวไปที่ข้างกายของเธอด้วยตัวเอง พูดขึ้นว่า “คุณไม่ใช่คนในกองอาหารอาจจะไม่ถูกปาก เชฟคนนี้ไม่เลวนะ คุณสามารถลองดูได้”

“ขอบคุณค่ะ” ติงยียีเบิกตากว้าง ในใจยิ่งรู้สึกชอบอันหรันมากขึ้น ไอดอลของตัวเองไม่ถือตัวเลย ทำให้รู้สึกซึ้งใจมากจริงๆ !

ผู้กำกับหวูที่ทานข้าวกล่องอยู่ข้างๆ ถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วส่งข้อความ “ข้าวกล่องวันนี้จัดให้เธอเป็นพิเศษ แต่ว่าอันหรันรู้สึกว่าอาหารไม่พิเศษพอ มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เธออีกชิ้น” นิ้วของเขากดส่งไป นึกขึ้นว่าในเมืองเมืองหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งอาจจะกำลังกระวนกระวายกระทืบเท้าอยู่ ก็รู้สึกดีใจแปลกๆ

หลังจากติงยียีทานอาหารเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเรียกแพนด้า ก็เห็นว่ามันกำลังกัดซาลาเปาไส้เนื้อเดินมาทางตัวเองช้าๆ เธอคิดว่าเป็นพนักงานในกองให้มัน จึงไม่ได้ใส่ใจ อยากจะไปขอบคุณอันหรันก่อนจากไป แต่กลับหาเงาของเขาไม่เจอเลย

บนเนินเขา ทั้งพื้นเต็มไปด้วยต้นใบไมยราบที่หดตัวเพราะถูกคนสัมผัส สวุเหวยเหรินปลีกตัวจากการกอดของอันหรัน พูดอย่างเย็นชาว่า “พูดมา ทำไมถึงทำแบบนั้น? ”

อันหรันรีบเปลี่ยนสีหน้าที่อ่อนโยน นัยน์มีความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ “ทำไมถึงหึงล่ะ? งั้นครั้งหน้าฉันไม่เลี้ยงข้าวเธอแล้วก็ได้”

“นายรู้อยู่แล้วว่าฉันไม่ได้หมายถึงสิ่งนี้!” สวุเหวยเหรินรู้ว่าเขากำลังเลี่ยงคำถามของตัวเอง หันศีรษะกลับด้วยความโมโหแล้วจากไป ข้อมือถูกคนจับไว้ เขาตกใจมาก รีบมองดูรอบๆ ข้าง เห็นว่าไม่มีคนจึงจะวางใจลง

อันหรันใช้แรง ดึงคนที่โมโหดิ้นรนจะจากไปกลับมา ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความจนปัญญา “ทำไมถึงฝึกทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่เป็นเลย? ”

สวุเหวยเหรินจ้องเขา อันหรันยอมแพ้ “ช่วงนี้พ่อของฉันกำลังสืบเรื่องของนาย คนเบื้องหลังของเขาไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องบาดหมางด้วยได้ อยากจะปกป้องนายก็ต้องให้พวกเขารู้ว่าฉันทำอะไร? ”

สวุเหวยเหรินมองเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “นายรู้หรือเปล่าว่าแบบนี้ไม่ยุติธรรมต่อเธอมากๆ อีกอย่างถึงแม้ว่าพ่อนายจะเชื่อนาย งั้นแฟนคลับพวกนั้นของนายล่ะ! ถ้าหากแฟนคลับรู้แล้ว เธอจะเป็นยังไง!”

อันหรันปลอบใจเขาที่กระวนกระวาย “ในเมืองเหยาหนานเขาสามารถเข้าโรงแรมไปได้ อีกอย่างสุนัขที่เธอเลี้ยงไม่ใช่คนธรรมดาที่จะเลี้ยงแน่นอน ครั้งที่แล้วที่ส่งเธอกลับบ้านก็เป็นชุมชนของเศรษฐี”

สวุเหวยเหรินขมวดคิ้ว “แล้วไงล่ะ?”

“นี่ก็สามารถยืนยันได้ว่าเบื้องหลังของเด็กผู้หญิงคนนี้อาจจะมีเครือข่ายวงศ์ตระกูลขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่าพอถึงเวลาแล้วจะมีเรื่องเสียหายออกมาก็จะมีคนช่วยเธอกลบเกลื่อนเรื่องเสียหายพวกนั้นไป และฉันแค่ต้องการให้พ่อของฉันรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ก็พอแล้ว”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

Status: Ongoing

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท