เธอพูดจบก็รู้วจว่าตนเองตื่นเต้นมากเกินไปหน่อยไห่โจ๋ซวนยิ้มพูดว่า “งั้นวันนี้ก็เข้านอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้ตอนผมไปทำงานจะมาแวะรับคุณ”
“รับฉันเหรอคะ ไม่ต้องๆ!” ติงยียีพอได้ยินก็รีบส่ายหน้า ไห๋โจ๋ซวนก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งกำข้มือเธอมาที่หน้าต่าง ชี้ไปที่คฤหาสน์ที่มีสองหลังแห่งหนึ่งห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร “ผมอยู่ตรงนั้น ดังนั้นเป็นทางผ่านจริงๆ”
ความจริงการที่เธอมาพักอยู่ที่หมู่บ้านเดียวกับไห๋โจ๋ซวนทำให้ติงยียีแปลกใจเล็กน้อย รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจงใจ ไล่ความคิดในสมองออกไป ติงยียีตอบรับอย่างดีใจ
เช้าตรู่วันต่อมา ติงยียีเพิ่งออกจากประตูก็มองเห็นรถยนต์สีขาวคันหนึ่งจอดอยู่ ไห่โจ๋ซวนดึงแว่นกันแดดออกโบกมืมาทางเธอ
เขตชานเมืองของตงเจียง ตรงจุดเริ่มต้นมีรถยนต์จอดอยู่หลายคันแล้ว มีนักข่าวลงมาจากบนรถไม่ขาดสายแบกกล้องรออยู่ที่หน้าประตู
“ดูสิ นั่นบูกัตติไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนว่าฉัน ไม่เคยเห็นดาราคนไหนใช้ป้ายทะเบียนรถแบบนี้เลยนะ ” นักข่าวบันเทิงคนหนึ่งแบกกล้องพลางพูดกับเพื่อนร่วมงานข้างๆ
“ใช่ รถแพงขนาดนี้ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นดาราคนไหน แต่เมื่อกี้ผมมองเห็นคนในรถพอดี ไม่รู้จักเลยคาดว่าอาจจะเป็นคุณหนูบ้านไหนมาตามดาราอีก”
รถบูกัตติ จอดข้างทาง ติงยียีลงจากรถ แพนด้ากระโดดตามลงมา คนที่อยู่ตรงนั้นถูกรูปร่าง หน้าตาของมันดึงดูดใจเข้าแล้ว
สิ่งที่คนรักสุนัขดูออกคือ รู้ว่าสุนัขตัวนี้เป็นสายเลือดแท้ของทิเบตันแมสติฟฟ์และยังเป็นชั้นดีเยี่ยมด้วย มองไปยังหญิงสาวที่หน้าตาธรรมดามาก ด้วยความอยากรู้ว่าเป็นใครมาจากไหน
ไห่โจ๋ซวนลงรถมายืนข้างเธอ ยิ่งดึงดูดสายตาของผู้คนมากขึ้น ไม่ไกลกันมีร่างหนึ่งวิ่งมา
“พี่โจ๋ซวน พี่ยียี!” เย่ชูฉิงมองเห็นสองคนอยู่ด้วยกัน ในใจก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย นึกถึงเมื่อคืนที่ตนเองโทรศัพท์ชวนเขาไปกินข้าวด้วยกันเขากลับบอกว่าไม่มีเวลา วันนี้กลับมาพร้อมกับพี่ยียี
“ชูฉิง พอดีมาทางเดียวกัน เลยรบกวนโจ๋ซวนมาส่งพี่ ฉันคิดว่าไม่แน่ว่าเขารู้ว่าเธออยู่ที่นี่เลยอยากมาหาเธอ!” ติงยียีมองเห็นสีหน้าเธอหมองไปเล็กน้อย ก็รีบช่วยพูดแทนโจ๋ซวน
สายตาของเย่ชูฉิงเปล่งประกายขึ้นมาใหม่ ยิ้มออกมาอย่างซื่อๆ “ชูฉิง!” ห่างออกไปหลี่ยี่ซวนรีบวิ่งมา หลังจากเห็นไห่โจ๋ซวนสีหน้าก็บึ้งตึงทันที
“ชูฉิง เธอรู้มั้ยว่ากองถ่ายเขาไปรวมตัวกันที่ไหน”ไห่โจ๋ซวนถาม
เย่ชูฉิงพยักหน้า “รู้แน่นอนค่ะ พี่โจ๋ซวนฉันจะพาพี่ไป” ไห่โจ๋ซวนยิ้มพลางส่ายหน้า ดันติงยียีไปตรงหน้าเธอ พูดว่า “พี่ไม่ไปหรอก เธอพาพี่ยียีของเธอไปเถอะ การรับรู้เรื่องทิศทางของเธอไม่ดี”
เย่ชูฉิงที่ไม่ได้อารมณ์ดีง่ายนักก็ต้องมาเสียอารมณ์อีก ฝืนยิ้มออกมาพลางพยักหน้า นักข่าวด้านหน้าแตกตื่นแยกย้ายกัน ไม่ไกลนักมีรถยนต์ลินคอล์นที่เพิ่มความยาวแล่นมา
“เร็ว! อันหรันมาแล้ว!” นักข่าวกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูไปข้างนอก ติงยียีกับคนสองสามคนยืนอยู่ข้างทางพอดี ถูกฝูงคนเบียดไปมา
หลี่ยี่ซวนเอาเย่ชูฉิงมาปกป้องอยู่ในอ้อมกอดของตนเอง เพื่อไม่ให้เธอถูกชน “พี่โจ๋ซวน พี่ไม่เป็นไรนะคะ!” หลังจากเย่ชูฉิงยืนได้มั่นคงดีแล้วประโยคแรกก็คือถามไห่โจ๋ซวน
หลี่ยี่ซวนปล่อยเธอด้วยรอยยิ้มขมขื่น บีบหัวไหล่ที่เมื่อครู่ถูกกล้องชนกระแทกเข้าอย่างไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก
เย่ชูฉิงหันหน้าไป มองเห็นไห่โจ๋ซวนเอาติงยียีมาปกป้องไว้ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างในใจก็ยิ่งเข้มข้นชัดเจนขึ้น หัวใจของเธอตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างยิ่ง
หลี่ยี่ซวนดึงเธอมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อันหรันมาแล้ว”
“อ้อ รู้แล้ว” เย่ชูฉิงกลบเกลื่อนความตื่นตระหนกในใจวิ่งตามพวกแฟนคลับไปทางประตู หลี่ยี่ซวนเหลือบมองไห่โจ๋ซวน แล้วจะก้มหน้าตามเย่ชูฉิงไป
รถยนต์ลินคอล์นจอดข้างทาง อันหรันที่สวมชุดสูทสีขาวลงมาจากรถ โบกมือไปทางแฟนคลับอย่างมีมารยาท กลุ่มแฟนคลับส่งเสียงกรีดร้องอย่างคลั่งไคล้ บรรดานักข่าวเองก็ปรี่เข้าไปแย่งกันทำข่าว
สวุเหวยเหรินปกป้องอยู่รอบตัวเขาด้วยความระมัดระวังให้ความร่วมมือกับบอดี้การ์ดอย่างเข้มงวดอันหรันเดินเข้าประตูที่มีคนห้อมล้อมเจ้าหน้าที่ตรงนั้นกันนักข่าวไว้ด้านนอก
ติงยียีมองอันหรันที่เข้าประตูมาด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นในตอนแรก สายตามองมาที่แพนด้า แล้วค่อยกวาดสายตามาที่ตัวเองเบาๆ จากนั้นเข้าประตูไป กลับเป็นสวุเหวยเหรินที่หยุดฝีเท้า
“คุณคือผู้หญิงที่สนามบินวันนั้นเหรอ” สวุเหวยเหรินแปลกใจเล็กน้อยที่มาเจอเธอที่นี่
“ฉันชื่อติงยียี!” ติงยียีแนะนำตัว กลุ่มของเย่ชูฉิงที่เข้ามาเพราะอาศัยเส้นสายเองก็แปลกใจมากที่ติงยียีรู้จักกับผู้จัดการส่วนตัวของอันหรันตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้องรู้ว่า สวุเหวยเหรินคนนี้ถูกขนานนามว่าเป็นผู้จัดการที่ทรงพลังที่สุด เพราะมีเขาเพียงคนเดียวที่สามารถพูดให้เจ้าชายแห่งวงการบันเทิงอย่างอันหรันทำตามได้
สวุเหวยเหรินพยักหน้า รีบเดินตามอันหรันไป ไอ้หมอนั้นเช้าวันนี้บังคับให้เขากินสลัดก็ทำหน้าตาไม่พอใจ ให้มันได้อย่างนี้เถอะ!
“พี่ยียีรู้จักกับสวุเหวยเหรินด้วยเหรอคะ” เย่ชูฉิงอยากรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขามาก จนลืมคำพูดของไห่โจ๋ซวนไปเลย
ติงยียีอธิบายสั้นๆง่ายๆถึงเรื่องที่พบกับอันหรันโดยบังเอิญที่เมืองเหยาหนาน ทันใดนั้นก็นึกถึงเย่เนี่ยนโม่ เธอจิตตกเล็กน้อย
“เอาละ อย่าไปกวนพี่ยียีของเธอเลย ยียี ที่นี่ไม่มีรถประจำทางกลับเข้าเมือง จบพิธีเปิดแล้วคุณก็โทรหาผม” ไห่โจ๋ซวนลูบศีรษะเย่ชูฉิง หันหน้าไปพูดกับติงยียี
เย่ชูฉิงยังคงดื่มด่ำกับสัมผัสที่อบอุ่นเหนือศีรษะเธอ ได้ยินคำพูดของเขาก็ตกใจเล็กน้อย หลี่ยี่ซวนเอ่ยปากข้างๆว่า “ชูฉิงตอนนี้มีธุระไม่ใช่เหรอ กลับบ้านไปพร้อมกับรถของโจ๋ซวนเถอะ”
“มีธุระเหรอ วันนี้ไม่ได้มาดูอันหรันโดยเฉพาะเหรอ” เย่ชูฉิงมองเขาอย่างแปลกใจ หลี่ยี่ซวนหน้าซีดเป็นไก่ต้มลากเธอไปข้างๆ“ยัยโง่นี่ กลับไปพร้อมกับเขาจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ!”
เย่ชูฉิงแววตาเปล่งประกาย มองเขาอย่างดีใจ “ยี่ซวนคุณเก่งจริงๆ! ขอบคุณค่ะ!”
เย่ชูฉิงออกไปพร้อมกับไห่โจ๋ซวน มองรถที่ขับไปไกล หลี่ยี่ซวนจึงได้หมุนตัวเดินจากไป ที่ที่ไม่มีเย่ชูฉิงเขาไม่มีความสนใจที่จะอยู่ต่อเกินหนึ่งวินาที
พิธีเปิดจัดอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง ติงยียีจูงแพนด้าเข้าไปในวัด ภายในวัดมีคนไม่มากอนุญาตให้นักข่าวบางคนเข้าไปพูดคุยได้ อันหรันนั่งอยู่ในเต็นท์หลังหนึ่ง รอบๆมีผู้ช่วยยืนอยู่สองสามคน
อีกเต็นท์หนึ่ง หลังจากติงยียีเข้ามาด้านในแล้วโม่ซวนหลินก็มองเห็นเธอ ฉีเหวินมองเห็นสายตาของเธอเปลี่ยนเป็นโหดร้ายขึ้นมาทันที เตือนเธอเบาๆอยู่ข้างๆว่า “ละครเรื่องนี้ทำโฆษณาตัวอย่างละครไว้ดีมาก ไม่ง่ายที่จะได้บทนางรองมา เธออย่าก่อเรื่องมาให้ฉันเด็ดขาด!”
โม่ซวนหลินเบ้ปาก แต่กลับไม่เอามาใส่ใจ สายตาเธอมองไปที่แพนด้าที่อยู่ข้างติงยียี หลังจากมองเห็นขนที่มันเป็นเงาสายตาก็เปล่งประกาย ไม่นานก็ซ่อนเอาไว้อีก
“คุณติง!” หลังจากผู้กำกับมองเห็นติงยียีเข้ามาแล้วก็พูดคุยทักทายกับคนข้างๆแล้วก็เดินมาหาเธอ หลังจากมองเห็นแพนด้า ดวงตาเขาก็หรี่เล็ก
เขารู้ว่าทิเบตันแมสติฟฟ์จะยอมรับเจ้าของเพียงคนเดียวตลอดชีวิต และยังจงรักภักดีมาก คนอื่นคิดจะลูบมันสักเล็กน้อยก็อาจจะถูกมันกัด เขาอึดอัดใจจนทนไม่ไหว ได้แต่พูดกับติงยียีด้วยเสียงนอบน้อมเกรงใจว่า “คุณติงครับ ให้ผมลูบเจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์ตัวนี้หน่อยได้มั้ยครับ”
“เรียกฉันว่ายียีก็ได้ค่ะ แพนด้าเชื่องค่ะ” ติงยียีลูบหัวแพนด้า ผู้กำกับยื่นมือออกไปลูบมันเบาๆด้วยความดีใจ ร้องว่า “เป็นสุนัขที่ดีจริงๆ ซื้อมาสามล้านก็ไม่ขาดทุน”
เขาลูบมันอีกหลายครั้ง แพนด้าไม่พอใจแล้ว ส่งเสียงคำรามแล้วลุกขึ้นกลับไปอยู่ข้างติงยียี ผู้กำกับลุกขึ้นหยิบบทละครออกมาอย่างเสียดายแล้วพูดว่า “ยียีคุณเรียกผมว่าผู้กำกับผู้กำกับหวูก็ได้ครับ ให้คุณดูบทละครหน่อยว่ามีแพนด้ามีบทอะไรบ้าง ”
ติงยียีรับบทมา เริ่มพลิกเปิดดู บทละครชื่อว่า《เวทมนตร์》อันหรันแสดงเป็นนักแสดงนำชายวู่ยวนและผันกู่อายุเท่ากัน ต่อมาก็ผล็อยหลับไปที่ตีนเขาป่าหวน เพราะการปราบปรามปีศาจ หมาเทพเหินหยวน ร่วมต่อสู้กับเขา เพื่อช่วยให้เขาตื่นและนำผู้หญิงที่ถูกชะตาลิขิตไว้มาจากโลกมนุษย์เพื่อช่วยให้เขาตื่นขึ้น
Emilyแสดงเป็นเชียนหิมะปกป้องภูเขาแห่งเทพเอาไว้ตลอด รอจนเขาฟื้นขึ้นมา และตอนที่เขาหลับใหลอยู่นั้นก็ถูกนางเอกที่อยู่ในโลกมนุษย์ปลุกให้ตื่นและสูญเสียความทรงจำ ทั้งสองเริ่มการเดินทางในโลกมนุษย์···
ติงยียีมองบทละครอย่างละเอียด พยายามหาบทของแพนด้าในบทละคร ด้านข้างมีเสียงอ่อนโยนดังขึ้นมาอีก “ผู้กำกับ เริ่มได้หรือยังคะ”
ติงยียีเงยหน้า นี่ไม่ใช่แช่ถิงถิงนักแสดงสาวในวงการบันเทิงคนหนึ่งเหรอ! คิดไม่ถึงว่านางเอกครั้งนี้จะเป็นเธอ เห็นตัวจริงแล้วช่างสวยเหลือเกิน!
แช่ถิงถิงเห็นติงยียีมองเธอตลอดเวลา ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ผู้กำกับมองนาฬิกาข้อมือ พูดว่า “ทางสปอนเซอร์วันนี้ก็จะมาด้วย ดูเวลาน่าจะมาถึงแล้ว”
พอสิ้นเสียงเขา ด้านนอกก็มีเสียงพูดคุยของนักข่าวดังมา ผู้กำกับหวูตีหน้าผากทันที “ซวยแล้ว ลืมไปเลยว่าให้เขาเข้ามาทางประตูด้านหลัง!”
คนกลุ่มหนึ่งเดินดุ่มๆออกจากประตูวัด ติงยียีและแช่ถิงถิงมองอย่างแปลกใจ คือใครกันนะที่ทำให้ผู้กำกับชื่อดังออกไปต้อนรับด้วยตนเอง
ไม่นาน เย่เนี่ยนโม่ก็เดินแหวกผู้คนเข้ามาแช่ถิงถิงแม้จะมีอายุเกินสามสิบ แต่มองสายตาเธอก็ยังเต็มไปด้วยความชื่นชม
“เนี่ยนโม่!” โม่ซวนหลินลุกขึ้นยืนเดินทางเขา นักข่าวที่อยู่ตรงนั้นต่างก็รู้ว่าเธอกับผู้จัดการใหญ่บริษัทเย่ซื่อเคยคบหากัน ต่างเตรียมรอดูเรื่องสนุก
โม่ซวนหลินอยากจะอาศัยเย่เนี่ยนโม่ขึ้นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งสักครั้ง เดินไปครึ่งทางมองเห็นหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังเย่เนี่ยนโม่ก็ชะงัก
อ้าวเสว่เดินตามหลังเย่เนี่ยนโม่มาตลอด เวลานี้เดินออกมา เหล่มองโม่ซวนหลิน ยิ้มแล้วพูดว่า “สวัสดีค่ะ ได้ยินว่าคุณเป็นแฟนเก่าของเนี่ยนโม่เหรอคะ”
อ้าวเสว่จงใจเน้นสามคำสุดท้ายอย่างมาก ตอนแรกฉีเหวินคิดว่าโม่ซวนหลินจะตอกกลับอีกฝ่ายอย่างร้ายกาจ คิดไม่ถึงว่าเธอเพียงแค่ยิ้มๆ ไม่ไปวุ่นวายกับเย่เนี่ยนโม่อีก เดินกลับมาเฉยๆ
ผู้กำกับหวูปรบมือ นักข่าวได้แต่แยกย้ายไป เขาเชิญเย่เนี่ยนโม่มาที่ตำแหน่งประธาน นักข่าวถามคำถามเกี่ยวกับภาพยนตร์สองสามคำถามพอเป็นพิธี จากนั้นจู่ๆก็เปลี่ยนหัวข้อทันที นักข่าวคนหนึ่งลุกขึ้นยืนพูดกับเย่เนี่ยนโม่ว่า “ได้ข่าวว่า emilyในเรื่องนี้รับบทเป็นนักแสดงสบทบหญิง ครั้งนี้ทางฝ่ายผู้สนับสนุนเองก็ให้ความสำคัญกับบทของemilyมากใช่มั้ยคะ”
โม่ซวนหลินค่อยๆก้มหน้า มีความเขินอายเล็กๆบนใบหน้า แต่ในใจนั้นเริงร่าอยู่นานแล้ว เธอทนไม่ไหวที่จะถูกโยงไปเกี่ยวพันกับเย่เนี่ยนโม่
“ที่ผมลงทุนกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในครั้งนี้นั้นเป็นเพราะคนคนหนึ่งจริงๆ” สิ่งที่เย่เนี่ยนโม่พูดทำให้ทุกคนตกใจ นักข่าวที่อยู่ในงานตะลึง ลุกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น กล้องรัวชัตเตอร์ไม่หยุดโม่ซวนหลินรู้ดีว่าคนที่เย่เนี่ยนโม่พูดไม่ใช่ตนเอง แต่ก็ยังแกล้งทำท่าเขินอาย