“นี่แกกล้าตบฉันเหรอ!” อ้าวเสว่ดวงตาสองข้างเบิกโพลงอย่างเหลือเชื่อ
“ฉันรู้สึกละอายใจในการอบรมเลี้ยงดูของเธอ!” ติงยียีเอาชิ้นไก่ที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าออก หมุนตัวเดินจากไป
เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ติงยียีก็ร้องเบาๆด้วยความเจ็บอ้าวเสว่จับผมของเธอแล้วดึงไปข้างๆเธอ รอบๆยังมีคนสองสามคนมุงดูอยู่
ติงยียีโมโหแล้ว กระทืบเท้าบนรองเท้าส้นสูงของอ้าวเสว่ อ้าวเสว่ร้องด้วยความเจ็บ รีบปล่อยมือ ที่ทั้งสองถือตรงปลายคนละด้าน จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคียดแค้น
“เสี่ยวเสว่!” ซือซือเดินเข้ามาพอดี มองเห็นฉากนี้ ก็ไปยืนข้างหน้าอ้าวเสว่โดยสัญชาตญาณ
“เธอเป็นพี่สาวของลูกนะ! ทำไมรังแกพี่เขาอย่างนี้ พี่ยังป่วยอยู่นะ!” ซือซือทำเหมือนกับติงยียีไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนเลย ดังนั้นน้ำเสียงที่พูดก็หนักด้วย
ติงยียีหัวเราะเยาะ “คุณไม่ได้บอกให้ฉันเรียกคุณว่าคุณน้าหรอกเหรอคะ ทำไมเธอถึงได้กลายมาเป็นพี่สาวฉันได้อีก”
ซือซือถูกเธอทำให้สำลักจนพูดไม่ออก ทันใดนั้นอ้าวเสว่ก็ปรี่มาจากด้านข้างเงื้อมือขึ้นมาตบหน้าติงยียีหนึ่งฉาด พูดอย่างสะใจว่า “นี่คือรางวัลของแก!”
ติงยียีรู้สึกเวียนศีรษะ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นด้านหลัง “ใครกล้ารังแกลูกสาวฉัน!”
เธอเตรียมที่หันกลับไปด้วยความประหลาดใจ แต่ถูกอ้าวเสว่ลากออกไป ชายผู้หนึ่งเขย่งด้วยขาข้างเดียวพลางเอาไม้เท้าโบกไปทางสองคนนั้น
อ้าวเสว่และซือซือหลบหนีอย่างเหน็ดเหนื่อย ซือซือด่าอย่างโมโหว่า “แกเป็นใคร!”
“นังผู้หญิงปากร้ายนี่ กล้ารังแกลูกสาวฉัน!” ติงต้าเฉินจ้องมองทั้งสองคนอย่างดุร้าย ติงยียีรีบวิ่งไป “พ่อ!”
“ลูกไม่ต้องกลัว! ตระกูลติงของพวกเราแม้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ต่ำต้อยกว่าคนอื่นเด็ดขาด พวกเราไปแจ้งตำรวจกัน!” ติงต้าเฉินมองแก้มที่เป็นรอยแดงของติงยียีด้วยความสงสาร ดึงมือของเธอเดินไปข้างนอก ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้เขามาที่เมืองตงเจียง ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะมาพูดคุยกับเย่เนี่ยนโม่ที่บริษัทเย่ซื่อ เขาก็คงไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองถูกรังแกถึงขั้นนี้
ติงยียีถูกมือใหญ่ที่หยาบกร้านของเขาจูงอยู่ ความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมดจางสลายหายไป เธอพยักหน้า หยิบกำไลอันหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าติงต้าเฉินมองเธอย่างแปลกประหลาดใจ
ติงยียีถือกำไลเดินไปตรงหน้าซือซือ ส่งกำไลให้เธอ “ขอบคุณที่คลอดฉันออกมา และขอบคุณที่ตัดสินใจไม่ยอมรับฉัน”
ดวงตาติงยียีมองตรงๆไปที่ซือซือหรือว่าผู้หญิงคนนี้คือแม่แท้ๆของลูกตนเอง เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ยียี คนนี้คือ”
ติงยียีเห็นเธอไม่ยอมรับกำไลของตนเอง ก็ย่อตัวลงเอากำไลวางไว้บนพื้น แล้วลุกขึ้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “คนคนนี้ไม่ได้เป็นใครทั้งนั้นค่ะ”
“คุณติงยียีคะ” สาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์วิ่งออกมาดู หลังจากมองเห็นติงยียีก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ฉันต้องไปเรียกผู้จัดการใหญ่มั้ยคะ”
อ้าวเสว่จ้องไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เมื่อครู่เธอบอกว่าเย่เนี่ยนโม่ไม่พบตนเอง ตอนนี้เพื่อติงยียีกลับจะไปหาเย่เนี่ยนโม่ เธอไม่ยอม
สาวประชาสัมพันธ์ถูกสายตาเธอมองจนขนลุก ค่อยๆถอยหลังไปสองสามก้าว ติงยียีก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างเงียบๆ เห็นอ้าวเสว่เงื้อฝ่ามือขึ้น เธอรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อช่วยสาวประชาสัมพันธ์ที่ช่วยพูดแทนตนเองคนนั้น
มือของอ้าวเสว่ที่โบกไปทางสาวประชาสัมพันธ์ในตอนแรกจู่ๆก็เปลี่ยนทิศทางกลางคันหันมาทางติงยียีแทน ติงยียีหลบไม่ทัน ได้แต่หลับตาตามสัญชาตญาณ
ความเจ็บปวดที่คาดเดาเอาไว้ไม่ได้มาถึง ปลายจมูกได้กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายที่คุ้นจมูก เธอลืมตา มองไปตามแววตาที่แปลกประหลาดใจของอ้าวเสว่ที่มองไปยังเย่เนี่ยนโม่
เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ข้างติงยียี ยึดมือของอ้าวเสว่ที่กำลังฟาดไปทางติงยียี สายตาเหลือบไปเห็นหน้าติงยียี และเสื้อผ้าที่สกปรกเลอะเทอะ แววตาเยือกเย็น
“เนี่ยนโม่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ เมื่อกี้ฉันอารมณ์แปรปรวนอย่างมาก เธอก็มาตบฉันอีก” อ้าวเสว่รีบพูดขึ้นมา
เย่เนี่ยนโม่ปล่อยเธอ หันหน้าไปทางซือซือ “คุณคือคุณแม่ของอ้าวเสว่ ผมคิดว่าพวกเราคุยกันได้”
“พวกเราไม่มีอะไรจะคุยด้วย!” ซือซือเผชิญหน้ากับใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเย่เชินหลินรู้สึกขาดความมั่นใจอย่างประหลาด
เย่เนี่ยนโม่มองเห็นทุกอย่าง อ้าวเสว่ที่อยู่ข้างๆรู้ว่าแม่เกลียดตระกูลเย่มาก คาดว่าระหว่างแม่กับตระกูลเย่ต้องมีความแค้นต่อกันแน่นอนถ้าให้ตระกูลเย่รู้ถึงการมีตัวตนของแม่ ตนเองก็ไม่มีอะไรสนุกๆแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆอ้าวเสว่ก็กุมศีรษะทรุดตัวลงร้องโหนหวนว่า “แม่ เนี่ยนโม่ ฉันปวดหัวมากเลย!”
ซือซือดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็วไปพยุงอ้าวเสว่ เย่เนี่ยนโม่ก้มลงมอง อ้าวเสว่มองเขา ในตามีน้ำตาคลอ เรียกเบาๆว่า “เนี่ยนโม่!”
เย่เนี่ยนโม่ก้าวไปทางเธอสองก้าว อ้าวเสว่รีบยื่นมือออกมามองไปทางเขาอย่างวิงวอนขอร้อง
“ปล่อยมือเถอะอ้าวเสว่” เขาพูดจบก็หมุนตัวไปโดยไร้เยื่อใย “เนี่ยนโม่!” อ้าวเสว่เรียกเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ พอเห็นเย่เนี่ยนโม่ชะงักฝีเท้า ในดวงตาเธอก็เต็มไปด้วยความหวังขึ้นมาอีก
“ช่วยเรียกรถพยาบาลให้เธอด้วย” เย่เนี่ยนโม่พูดกับหญิงสาวที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เบาๆ เดินไปตรงหน้าติงยียี เขาขมวดคิ้ว “สกปรกจังเลย”
ติงยียีก้มหน้าอย่างเขินๆ เธอรู้ว่าตอนนี้หมดสภาพดูไม่ได้อย่างมาก ไม่พูดอะไรสกปรกเลอะเทอะไปทั้งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้ายังบวมด้วย
เธอกำลังจมอยู่ในความคิดของตนเอง กระทั่งมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวถูกจูงขึ้นมา เธอเดินตามเย่เนี่ยนโม่เข้าไปในบริษัทเย่ซื่ออย่างงงๆๆ
ติงต้าเฉินมองซือซือยังลังเลว่าจะก้าวไปข้างหน้าดีหรือไม่เล็กน้อย ในเมื่อนี่คือแม่แท้ๆของลูก เย่ป๋อประคองเขาอย่างมีน้ำใจ กึ่งดึงกึ่งลากเขาเข้าไปในบริษัทเย่ซื่อ
อ้าวเสว่ทรุดตัวอยู่บนพื้นอย่างอึ้งๆ มองพวกของเนี่ยนโม่เดินหายลับไปตรงที่เดิม น้ำตาไหลลงมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ร้องๆๆๆ! แม้แต่ผู้ชายคนหนึ่งยังรั้งเอาไว้ไม่ได้เลย!” ซือซือมองด้านหลังของติงยียีอย่างไม่พอใจ ถ้ารู้แต่แรกว่าเธอไม่ควรจะเอาเดิมพันทั้งหมดมาไว้ที่ตัวอ้าวเสว่ เอาไว้ที่ตัวติงยียีอาจจะมีอัตราความสำเร็จสูงกว่า!
บริษัทเย่ซื่อ
เย่เนี่ยนโม่ถือทิงเจอร์ไอโอดีนและสำลีก้านด้วยใบหน้าเย็นชาล้างแผลให้ติงยียี พลางพูดว่า “รู้จักที่จะทะเลาะตบตีกันแล้วเหรอ”
“เจ็บๆๆๆ!” ติงยียีเงยหน้าหลบไปด้านหลัง เย่เนี่ยนโม่ถือยาอยู่ตรงหน้าพลางขมวดคิ้ว นานพักใหญ่ เธอจึงยอมแพ้โน้มตัวเข้ามาใกล้ให้เขาทายา
มีความรู้สึกเย็นเล็กน้อยมาจากบาดแผล เธอเบิกตาโตอย่างแปลกใจ เย่เนี่ยนโม่ค่อยๆเป่าที่แผลเธอเบาๆ “ดีขึ้นบ้างมั้ย”
“ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย” เธอมองเขาอย่างอึ้งๆ เขาขมวดคิ้วขยับไปข้างหน้าตนเองอีก ใบหน้าที่เย็นชาแก้มสองข้างที่ค่อยๆป่องขึ้นมาเป่าไปที่แผลเธอ
ประตูถูกเคาะ เย่ป๋อเดินเข้ามาส่งเสื้อผ้าที่ไปซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าให้ติงยียี จากนั้นก็ปิดประตูออกไปเอง
ติงยียีถือเสื้อผ้าเอาไว้ มองเย่เนี่ยนโม่อย่างอึดอัดใจเล็กน้อย เขาขมวดคิ้ว “ห้องทำงานไม่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ!”
เธอเขินอาย จากหน้าต่างห้องทำงานมองออกไปก็ยังมองเห็นคนด้านนอกเดินไปเดินมา แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าคนข้างนอกมองไม่เห็นด้านใน แต่ยังไงก็รู้สึกแปลกๆอยู่ดี
ผ่านไปนานพักใหญ่ กระดุมที่หน้าอกไม่ได้แกะเลยสักเม็ด เธอกระวนกระวายจนเหงื่อโชก เย่เนี่ยนโม่มองดูด้วยความสนุก ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ๆเธอ
เธอถอยกรูด หลังติดผนัง มองเขายื่นมือมาทางตนเอง มือเลื่อนผ่านหูตนเอง จากนั้นก็เลื่อนลงแนบกับแผ่นหลังของตนเอง
“ตอนนี้เป็นตอนกลางวันนะคะ!” ติงยียีส่งเสียงพูดเบาๆ มีเสียงดังแก๊กดังมาข้างหู เธอหันไปมองอย่างแปลกใจ ที่แท้ที่ตนเองพิงอยู่เมื่อครู่ไม่ใช่ผนัง แต่เป็นบานประตู
เย่เนี่ยนโม่ดึงมือกลับ มองเธออย่างไร้เดียงสา “ผมก็แค่จะช่วยคุณเปิดประตูเท่านั้นเอง” ติงยียีมองเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา ก็โกรธมากกำหมัดโบกไปทางเขาแล้วหมุนตัวปิดประตูดังปัง
ติงยียีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกมา เย่เนี่ยนโม่เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร หยิบกุญแจรถยนต์ขึ้นโบกไม้โบกมือไปทางเธอ
“ไปไหนคะ” เธอเดินตามหลังเขาด้วยความอยากรู้ ออกจากบริษัทเย่ซื่อ รถยนต์ขับเคลื่อนบนถนน จนกระทั่งมาจอดที่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองตงเจียง
ติงยียีลงรถ แวบแรกก็มองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่มหึมาข้างๆห้างสรรพสินค้า นี่กำลังจะกลายเป็นศูนย์การค้านานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของเมืองตงเจียง ตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว และเจ้าของธุรกิจการค้าที่ยิ่งใหญ่นี้ ตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างๆเธอ
เย่เนี่ยนโม่ดึงติงยียีตรงเข้าไปที่แผนกเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้า หัวหน้าพนักงานขายเห็นผู้คนมากมายแล้ว แน่นอนว่าย่อมมองออกถึงสถานะของผู้ชายที่สวมชุดสูทอาร์มานีที่อยู่ตรงหน้า ก็ดึงติงยียีมาตรงหน้าราวเสื้อผ้าอย่างกระตือรือร้นเอามือทำท่าทำทาง
ติงยียีรู้ว่าเขาอยากจะซื้อเสื้อผ้าให้ตนเอง เสื้อผ้าครึ่งหนึ่งของเธออยู่ที่บ้านตระกูลติง เอามาเพียงแค่ไม่กี่ชุดเท่านั้น
เธอปล่อยให้สาวหัวหน้าพนักงานขายแนะนำอย่างไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย ไม่นาน ภายใต้การแนะนำอย่างเต็มที่ของพนักงานขายเธอก็สวมชุดกระโปรงสีชมพูออกมา
ตอนอยู่ในห้องลองชุดเธออยากจะดูป้ายราคา แต่กลับพบว่าบนชุดนอกจากป้ายยี่ห้อแล้ว ไม่มีป้ายราคาอยู่เลย ตอนเดินออกมาจากห้องลองชุด สบตาเข้ากับเย่เนี่ยนโม่ “สวยมั้ยคะ” เธอถาม
เย่เนี่ยนโม่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า มองเห็นชุดกระโปรงคอวีลึกก็ขมวดคิ้วโดยไม่ส่งเสียงอะไร เขาลุกขึ้นเดินมาข้างหน้าราวผ้า นิ้วเรียวยาวค่อยๆรูดไปตามราวผ้า จากนั้นเลือกชุดกระโปรงผ้าลินินสีขาวใส่ในมือเธอ
ติงยียีออกมาจากห้องลองชุด ชุดกระโปรงยาวผ้าลินินที่มีเนื้อผ้าดีอย่างยิ่งทำให้รูปร่างของเธอได้สัดส่วนสวยงาม
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง บนเคาน์เตอร์ก็มีถุงเล็กถุงใหญ่วางเรียงกันสิบกว่าถุงแล้ว พนักงานเก็บเงินยิ้มพลางหยิบบัตรเติมน้ำมันออกมาหนึ่งใบพูดว่า “สวัสดีค่ะ เนื่องจากคุณได้ทำการซื้อสินค้าไปแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งถึงจำนวนที่เรากำหนดไว้ในแคมเปญ นี่คือบัตรเติมน้ำมันหนึ่งพันบาท กรุณารับไว้ด้วยนะคะ”
ออกมาจากห้างสรรพสินค้าแล้ว เย่ป๋อก็รีบมารอรับ รับถุงของคุณชายไป และเปลี่ยนกุญแจรถยนต์กับเขา
จนกระทั่งเสียงGPSนำทางไปที่โรงแรมตี้เหาดังขึ้นติงยียีจึงรู้ว่าเย่เนี่ยนโม่จะไปรับพ่อที่โรงแรม แต่ตอนนี้ร่างกายเดินทางไม่ค่อยสะดวก มีเพียงรถออฟโรดเท่านั้นที่มีพื้นที่ใหญ่พอ
ขณะที่รถยนต์แล่นอยู่บนสะพานต่างระดับ ติงยียีสะลึมสะลืออยากนอน ทันใดนั้นรถยนต์ก็เบี่ยงหักไปทางขวาอย่างกะทันหัน เธอตกใจตื่นทันที
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วและเม้มปากแน่น ยื่นมือออกมาข้างหนึ่งกันไว้ด้านหน้าติงยียี เนื่องจากการพันธนาการของเข็มขัดนิรภัย ติงยียีจึงได้แต่เอาครึ่งท่อนบนพิงไปทางเขา
รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันหนึ่งขับแซงมาจากด้านข้าง หัวรถค่อยๆพุ่งมาทางรถของเย่เนี่ยนโม่ รถทั้งสองพุ่งชนกัน เกิดเสียงดังบาดหู
เย่เนี่ยนโม่เหยียบเบรก ทิ้งระยะห่างจากรถอีกคัน ลงจากสะพานต่างระดับแล้ว รถเก๋งสีดำสองคันที่ขับออกมาจากบนถนน หลังจากรถเก๋งสองคันขับผ่านรถของเย่เนี่ยนโม่ก็หยุดลงตรงหน้ารถเขาทันที ปิดกั้นทางไปของรถบีเอ็มดับเบิลยู